สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ชาวเขา,ชาวจีน,การธำรงชาติพันธุ์,นโยบายผสมกลมกลืน,ชนกลุ่มน้อย,รัฐไทย
Author Chaweewan Prachuabmoh, Chaiwat Satha-Anand
Title Thailand : a Mosaic of Ethnic Tensions Under Control
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 8 Year 2528
Source Ethnic Studies Report , Vol.3 , No.1 , January 1985.
Abstract

บทความนี้ได้ศึกษาการธำรงชาติพันธุ์ในสังคมไทยด้วยบริบททางประวัติศาสตร์ โดยเน้นศึกษากลุ่มชาติพันธุ์จีน มุสลิม และชาวเขา (หน้า 22) และศึกษาปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ผ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์ (หน้า 26) จะเห็นได้ว่ามีการพยายามผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มาตั้งแต่อดีต และกลุ่มที่เห็นได้ชัดในเรื่องของการผสมกลมกลืนมากที่สุด คือ คนจีน ที่มีการเปลี่ยนอัตลักษณ์และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมให้เป็นไทย (หน้า 23) สำหรับมุสลิม ยังคงมีความเชื่อมั่นและมั่นคงในเรื่องของศาสนาอิสลามซึ่งส่งผลต่อวิถีชีวิต การผสมกลมกลืนจึงกระทำผ่านการศึกษา ส่วนชาวเขานั้นรัฐได้เปลี่ยนความเชื่อผ่านทั้งทางศาสนาและการศึกษา รวมทั้งให้โอกาสในการประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นวิธีที่รัฐพยายามแก้ปัญหาทางชาติพันธุ์ด้วยวิธีที่แตกต่างกันให้เหมาะสมในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ทุกวิธีก็คือ การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมซึ่งได้รวมความหลากหลายให้คงอยู่ร่วมกันได้ (หน้า 27)

Focus

ศึกษาการธำรงชาติพันธุ์ในสังคมไทยด้วยบริบททางประวัติศาสตร์ และนโยบายรัฐบาล เน้นศึกษากลุ่มชาติพันธุ์จีน มุสลิม และชาวเขา(หน้า 22) และศึกษาปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ผ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์ (หน้า 26)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

คนจีน มุสลิม และชาวเขากลุ่ม กะเหรี่ยง แม้ว ละหู่ เย้า ลีซอ อาข่า

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ปี พ.ศ.2526 - 2527 (หน้า 25)

History of the Group and Community

ในบทความไม่ได้ระบุถึงประวัติความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์จีนอย่างชัดเจน แต่ระบุว่ามีจำนวนของคนจีนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ในปี พ.ศ.2390 (ค.ศ.1847) ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีเพียง 1 ล้านคน และในปี พ.ศ.2503 (ค.ศ.1960) มีคนจีน 3,600,000 คน ปัจจุบันมีคนไทยจำนวนมากที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษชาวจีน (หน้า 23) ชาวมลายู-มุสลิม อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของแหลมมลายู เป็นเจ้าของวัฒนธรรมมลายู และอาณาจักรปัตตานีในอดีต ปัจจุบัน คือ จังหวัดยะลา นราธิวาสและปัตตานี (หน้า 24) ส่วนประวัติความเป็นมาและถิ่นฐานของชาวเขาในบทความนี้ไม่ได้กล่าวถึงแต่เน้นไปที่ชาวเขากลุ่มจีนฮ่อที่อพยพเข้าประเทศไทยมีอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรก ได้แตกทัพจีนเข้าไทยภายหลังจากการล้มอำนาจรัฐบาลเจียงไคเชค กลุ่มที่ 2 เป็นชาวจีนยูนนานที่ออกจากจีนสมัยที่การปกครองระบอบคอมมิสนิสต์มีอำนาจ (หน้า 26)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ในปี พ.ศ.2503 มีคนจีนในประเทศไทย 3,600,000 คน และยังมีที่เป็นคนต่างด้าวอีก 509,507 คน (หน้า 23) สำหรับมาเลย์-มุสลิม มีประมาณ 1,750,000 คน (หน้า 24) และชาวเขามีจำนวน 10 เผ่า จำนวน 2501 หมู่บ้าน ประชากร 368,223 คน(จากกรมสวัสดิการสังคม ปี พ.ศ. 2525) (หน้า 25) มีจีนฮ่อที่ไม่เป็นกำลังทหารประมาณ 13,000 คน และที่เป็นทหาร 5,000 คน รวมทั้งหมด 4,000 ครัวเรือน(หน้า 26)

Economy

ถึงแม้จะมีการปะทะกันระหว่างไทยกับจีน แต่อำนาจของชาวจีนในเศรษฐกิจไทยได้เพิ่มมากขึ้น พบว่าประมาณ 85% ชาวจีนอยู่ในชนชั้นพ่อค้า ในปี พ.ศ.2477 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลย์สงครามจึงเข้ามาแทรกแซงให้หลักประกันทางโอกาสเศรษฐกิจแก่คนไทย (หน้า 23)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีคนจีนประมาณ 1 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าและกรรมกร ทางการเห็นว่า คนจีนเป็นกลุ่มที่เป็นปัญหา เพราะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยกับจีน อันมีผลต่อความปลอดภัยภายใน ปัญหาเกิดจากการตั้งโรงเรียนจีน และมีหนังสือพิมพ์จีน ทำให้เกิดลัทธิชาตินิยมจีน จนต้องออกกฎหมายให้สัญชาติไทยแก่คนจีนที่เกิดในไทย ให้โรงเรียนจีนอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ รวมทั้งการแทรกแซงเพื่อให้โอกาสทางเศรษฐกิจแก่คนไทย(หน้า 23) สำหรับคนมลายู-มุสลิม นโยบายผสมกลมกลืนของรัฐ ด้วยการใช้ภาษาและแต่งกายแบบไทย สร้างความไม่พอใจแก่คนมลายู-มุสลิม ส่งผลให้เกิดลัทธิการแบ่งแยกดินแดน รัฐพยายามลดความรู้สึกต่อต้านนั้นด้วยการอนุญาตให้ปฏิบัติตามกฎหมายอิสลาม ในช่วงปี พ.ศ.2525 สถานการณ์ในภาคใต้ได้สงบลงมีการทำตามข้อเสนอของรัฐ แต่ก็ยังมีกลุ่ม "Dawa" ที่เป็นกลุ่มเผยแพร่ศาสนา เป็นเงามืดที่ได้สร้างความยากลำบากต่อรัฐ และเป็นสถานการณ์ที่อ่อนไหว (หน้า 24,26) ปัญหาชาวเขาในมุมมองของรัฐ ที่รัฐพยายามเข้าไปช่วยเหลือและพัฒนา เนื่องจาก พวกเขาเกี่ยวข้องกับปัญหายาเสพติด เพราะชาวเขาปลูกฝิ่นเป็นรายได้หลัก เกิดปัญหาการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ตามชายแดน และการทำการเกษตรของพวกเขามีผลต่อการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องความรุนแรงในเรื่องการยิงตำรวจ ปล้น และทำร้ายนักท่องเที่ยว ลักพาเด็ก และการสู้รบระหว่างพวกเดียวกัน ชาวเขาที่มีปัญหา คือ ละหู่ และจีนฮ่อ รัฐแก้ปัญหาด้วยการให้อิสระในการเข้าถึงพื้นที่ใหม่ ให้มีการปลูกพืชทดแทน มีการเผยแพร่พุทธศาสนาและให้การศึกษา (หน้า 25) จากปัญหาทางชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นรัฐได้มีวิธีการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม (หน้า 27)

Belief System

ไม่มีข้อมูล

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ลักษณะทางกายภาพและสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่ทำให้รับรู้ได้ถึงความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ สำหรับคนจีน พวกเขามีการจัดการทั้งภายในและภายนอกด้วยความสัมพันธ์ทางสายตระกูลและภาษา มีการตั้งโรงเรียนจีนและหนังสือพิมพ์จีน เป็นสิ่งที่ผลักดันให้เกิดสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ (หน้า 23) ภาษามลายูและศาสนาอิสลาม เป็นลักษณะทางวัฒนธรรมของชาวมลายู-มุสลิมทางภาคใต้ พวกเขาเรียกตัวเองในภาษามลายูว่า "ore nayu" (แปลว่า คนมลายู) และเรียกคนไทยว่า "ore siya" (แปลว่า คนไทย) พวกเขามีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากวัฒนธรรมไทย เพราะพวกเขาเป็นเจ้าของวัฒนธรรมมลายูในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเจ้าของอาณาจักรปัตตานีในอดีต (ปัจจุบันคือ ยะลา นราธิวาส และปัตตานี) คนมลายู-มุสลิมมีความแตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในด้านของวัฒนธรรมและการสืบทอดทางประวัติศาสตร์ (หน้า 24)

Social Cultural and Identity Change

รัฐไทยได้มีนโยบายในการผสมกลมกลืน โดยการให้สัญชาติไทยกับคนจีนทุกคนที่เกิดในไทย ในช่วง พ.ศ.2453 และให้โรงเรียนจีนอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ มีการเปลี่ยนชื่อคนจีนให้เป็นภาษาไทย การผสมกลมกลืนทำให้เกิดการควบคุมการธำรงสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์จีน ทำให้โครงสร้างทางประชากรจีนเปลี่ยนไป จำนวนชาวจีนต่างด้าวลดลง คนเชื้อสายจีนเปลี่ยนอัตลักษณ์และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมให้เป็นไทย เป็นกระบวนการที่ทำให้ปัญหาชาวจีนลดลง และกระบวนการผสมกลมกลืนก็ดำเนินต่อไปโดยผ่านการศึกษาและการแต่งงานระหว่างกลุ่ม (หน้า 23) เช่นเดียวกับคนมาเลย์-มุสลิม ที่ได้มีนโยบายผสมกลมกลืนให้เป็นไทยทั้งภาษาและการแต่งกาย ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจ แต่รัฐได้พยายามลดการต่อต้านด้วยการให้ใช้กฎหมายของอิสลาม แต่ก็ได้ทำการผสมกลมกลืนผ่านทางการศึกษา ( หน้า 24) สำหรับชาวเขารัฐพยามผสมกลมกลืน ด้วยการให้โอกาสทางเศรษฐกิจ ให้การศึกษา การเผยแพร่พุทธศาสนาและด้วยความจงรักภักดีในพระมหากษัตริย์ (หน้า 25)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ขนิษฐา อลังกรณ์ Date of Report 24 ก.ย. 2567
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, มุสลิม, ชาวเขา, ชาวจีน, การธำรงชาติพันธุ์, นโยบายผสมกลมกลืน, ชนกลุ่มน้อย, รัฐไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง