|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ชาวเขา,ชาวจีน,การธำรงชาติพันธุ์,นโยบายผสมกลมกลืน,ชนกลุ่มน้อย,รัฐไทย |
Author |
Chaweewan Prachuabmoh, Chaiwat Satha-Anand |
Title |
Thailand : a Mosaic of Ethnic Tensions Under Control |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
8 |
Year |
2528 |
Source |
Ethnic Studies Report , Vol.3 , No.1 , January 1985. |
Abstract |
บทความนี้ได้ศึกษาการธำรงชาติพันธุ์ในสังคมไทยด้วยบริบททางประวัติศาสตร์ โดยเน้นศึกษากลุ่มชาติพันธุ์จีน มุสลิม และชาวเขา (หน้า 22) และศึกษาปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ผ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์ (หน้า 26) จะเห็นได้ว่ามีการพยายามผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์มาตั้งแต่อดีต และกลุ่มที่เห็นได้ชัดในเรื่องของการผสมกลมกลืนมากที่สุด คือ คนจีน ที่มีการเปลี่ยนอัตลักษณ์และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมให้เป็นไทย (หน้า 23) สำหรับมุสลิม ยังคงมีความเชื่อมั่นและมั่นคงในเรื่องของศาสนาอิสลามซึ่งส่งผลต่อวิถีชีวิต การผสมกลมกลืนจึงกระทำผ่านการศึกษา ส่วนชาวเขานั้นรัฐได้เปลี่ยนความเชื่อผ่านทั้งทางศาสนาและการศึกษา รวมทั้งให้โอกาสในการประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นวิธีที่รัฐพยายามแก้ปัญหาทางชาติพันธุ์ด้วยวิธีที่แตกต่างกันให้เหมาะสมในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ทุกวิธีก็คือ การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมซึ่งได้รวมความหลากหลายให้คงอยู่ร่วมกันได้ (หน้า 27) |
|
Focus |
ศึกษาการธำรงชาติพันธุ์ในสังคมไทยด้วยบริบททางประวัติศาสตร์ และนโยบายรัฐบาล เน้นศึกษากลุ่มชาติพันธุ์จีน มุสลิม และชาวเขา(หน้า 22) และศึกษาปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ผ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์ (หน้า 26) |
|
Ethnic Group in the Focus |
คนจีน มุสลิม และชาวเขากลุ่ม กะเหรี่ยง แม้ว ละหู่ เย้า ลีซอ อาข่า |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ปี พ.ศ.2526 - 2527 (หน้า 25) |
|
History of the Group and Community |
ในบทความไม่ได้ระบุถึงประวัติความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์จีนอย่างชัดเจน แต่ระบุว่ามีจำนวนของคนจีนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ในปี พ.ศ.2390 (ค.ศ.1847) ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีเพียง 1 ล้านคน และในปี พ.ศ.2503 (ค.ศ.1960) มีคนจีน 3,600,000 คน ปัจจุบันมีคนไทยจำนวนมากที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษชาวจีน (หน้า 23) ชาวมลายู-มุสลิม อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของแหลมมลายู เป็นเจ้าของวัฒนธรรมมลายู และอาณาจักรปัตตานีในอดีต ปัจจุบัน คือ จังหวัดยะลา นราธิวาสและปัตตานี (หน้า 24) ส่วนประวัติความเป็นมาและถิ่นฐานของชาวเขาในบทความนี้ไม่ได้กล่าวถึงแต่เน้นไปที่ชาวเขากลุ่มจีนฮ่อที่อพยพเข้าประเทศไทยมีอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรก ได้แตกทัพจีนเข้าไทยภายหลังจากการล้มอำนาจรัฐบาลเจียงไคเชค กลุ่มที่ 2 เป็นชาวจีนยูนนานที่ออกจากจีนสมัยที่การปกครองระบอบคอมมิสนิสต์มีอำนาจ (หน้า 26) |
|
Demography |
ในปี พ.ศ.2503 มีคนจีนในประเทศไทย 3,600,000 คน และยังมีที่เป็นคนต่างด้าวอีก 509,507 คน (หน้า 23) สำหรับมาเลย์-มุสลิม มีประมาณ 1,750,000 คน (หน้า 24) และชาวเขามีจำนวน 10 เผ่า จำนวน 2501 หมู่บ้าน ประชากร 368,223 คน(จากกรมสวัสดิการสังคม ปี พ.ศ. 2525) (หน้า 25) มีจีนฮ่อที่ไม่เป็นกำลังทหารประมาณ 13,000 คน และที่เป็นทหาร 5,000 คน รวมทั้งหมด 4,000 ครัวเรือน(หน้า 26) |
|
Economy |
ถึงแม้จะมีการปะทะกันระหว่างไทยกับจีน แต่อำนาจของชาวจีนในเศรษฐกิจไทยได้เพิ่มมากขึ้น พบว่าประมาณ 85% ชาวจีนอยู่ในชนชั้นพ่อค้า ในปี พ.ศ.2477 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลย์สงครามจึงเข้ามาแทรกแซงให้หลักประกันทางโอกาสเศรษฐกิจแก่คนไทย (หน้า 23) |
|
Political Organization |
ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีคนจีนประมาณ 1 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าและกรรมกร ทางการเห็นว่า คนจีนเป็นกลุ่มที่เป็นปัญหา เพราะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยกับจีน อันมีผลต่อความปลอดภัยภายใน ปัญหาเกิดจากการตั้งโรงเรียนจีน และมีหนังสือพิมพ์จีน ทำให้เกิดลัทธิชาตินิยมจีน จนต้องออกกฎหมายให้สัญชาติไทยแก่คนจีนที่เกิดในไทย ให้โรงเรียนจีนอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ รวมทั้งการแทรกแซงเพื่อให้โอกาสทางเศรษฐกิจแก่คนไทย(หน้า 23) สำหรับคนมลายู-มุสลิม นโยบายผสมกลมกลืนของรัฐ ด้วยการใช้ภาษาและแต่งกายแบบไทย สร้างความไม่พอใจแก่คนมลายู-มุสลิม ส่งผลให้เกิดลัทธิการแบ่งแยกดินแดน รัฐพยายามลดความรู้สึกต่อต้านนั้นด้วยการอนุญาตให้ปฏิบัติตามกฎหมายอิสลาม ในช่วงปี พ.ศ.2525 สถานการณ์ในภาคใต้ได้สงบลงมีการทำตามข้อเสนอของรัฐ แต่ก็ยังมีกลุ่ม "Dawa" ที่เป็นกลุ่มเผยแพร่ศาสนา เป็นเงามืดที่ได้สร้างความยากลำบากต่อรัฐ และเป็นสถานการณ์ที่อ่อนไหว (หน้า 24,26) ปัญหาชาวเขาในมุมมองของรัฐ ที่รัฐพยายามเข้าไปช่วยเหลือและพัฒนา เนื่องจาก พวกเขาเกี่ยวข้องกับปัญหายาเสพติด เพราะชาวเขาปลูกฝิ่นเป็นรายได้หลัก เกิดปัญหาการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ตามชายแดน และการทำการเกษตรของพวกเขามีผลต่อการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องความรุนแรงในเรื่องการยิงตำรวจ ปล้น และทำร้ายนักท่องเที่ยว ลักพาเด็ก และการสู้รบระหว่างพวกเดียวกัน ชาวเขาที่มีปัญหา คือ ละหู่ และจีนฮ่อ รัฐแก้ปัญหาด้วยการให้อิสระในการเข้าถึงพื้นที่ใหม่ ให้มีการปลูกพืชทดแทน มีการเผยแพร่พุทธศาสนาและให้การศึกษา (หน้า 25) จากปัญหาทางชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นรัฐได้มีวิธีการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม (หน้า 27) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ลักษณะทางกายภาพและสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่ทำให้รับรู้ได้ถึงความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ สำหรับคนจีน พวกเขามีการจัดการทั้งภายในและภายนอกด้วยความสัมพันธ์ทางสายตระกูลและภาษา มีการตั้งโรงเรียนจีนและหนังสือพิมพ์จีน เป็นสิ่งที่ผลักดันให้เกิดสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ (หน้า 23) ภาษามลายูและศาสนาอิสลาม เป็นลักษณะทางวัฒนธรรมของชาวมลายู-มุสลิมทางภาคใต้ พวกเขาเรียกตัวเองในภาษามลายูว่า "ore nayu" (แปลว่า คนมลายู) และเรียกคนไทยว่า "ore siya" (แปลว่า คนไทย) พวกเขามีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากวัฒนธรรมไทย เพราะพวกเขาเป็นเจ้าของวัฒนธรรมมลายูในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเจ้าของอาณาจักรปัตตานีในอดีต (ปัจจุบันคือ ยะลา นราธิวาส และปัตตานี) คนมลายู-มุสลิมมีความแตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในด้านของวัฒนธรรมและการสืบทอดทางประวัติศาสตร์ (หน้า 24) |
|
Social Cultural and Identity Change |
รัฐไทยได้มีนโยบายในการผสมกลมกลืน โดยการให้สัญชาติไทยกับคนจีนทุกคนที่เกิดในไทย ในช่วง พ.ศ.2453 และให้โรงเรียนจีนอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ มีการเปลี่ยนชื่อคนจีนให้เป็นภาษาไทย การผสมกลมกลืนทำให้เกิดการควบคุมการธำรงสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์จีน ทำให้โครงสร้างทางประชากรจีนเปลี่ยนไป จำนวนชาวจีนต่างด้าวลดลง คนเชื้อสายจีนเปลี่ยนอัตลักษณ์และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมให้เป็นไทย เป็นกระบวนการที่ทำให้ปัญหาชาวจีนลดลง และกระบวนการผสมกลมกลืนก็ดำเนินต่อไปโดยผ่านการศึกษาและการแต่งงานระหว่างกลุ่ม (หน้า 23) เช่นเดียวกับคนมาเลย์-มุสลิม ที่ได้มีนโยบายผสมกลมกลืนให้เป็นไทยทั้งภาษาและการแต่งกาย ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจ แต่รัฐได้พยายามลดการต่อต้านด้วยการให้ใช้กฎหมายของอิสลาม แต่ก็ได้ทำการผสมกลมกลืนผ่านทางการศึกษา ( หน้า 24) สำหรับชาวเขารัฐพยามผสมกลมกลืน ด้วยการให้โอกาสทางเศรษฐกิจ ให้การศึกษา การเผยแพร่พุทธศาสนาและด้วยความจงรักภักดีในพระมหากษัตริย์ (หน้า 25) |
|
|