|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
พวน ไทยพวน ไทพวน,โลกทัศน์,เพลงกล่อมเด็ก,สิงห์บุรี |
Author |
อุบลทิพย์ จันทรเนตร |
Title |
ความสัมพันธ์ระหว่างเพลงกล่อมเด็กกับโลกทัศน์ของลาวพวน : กรณีศึกษา หมู่บ้านวัดกุฎีทอง จังหวัดสิงห์บุรี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทยพวน ไทพวน คนพวน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
183 |
Year |
2537 |
Source |
วิทยานิพนธ์ หลักสูตรปริญญาสังคมวิทยามหาบัณฑิต ภาควิชาสังคมวิทยามานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
วิทยานิพนธ์นี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาโลกทัศน์ของชนชาติลาวพวนในหมู่บ้านวัดกุฎีทอง จังหวัดสิงห์บุรี จากการศึกษาพบว่า ความหมายในคำไทยและคำลาวในเพลงกล่อมเด็กสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกทัศน์ในด้านต่างๆ ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้จากการเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนของคำร้องในเพลง จากคำร้องในเพลงกล่อมเด็กพบว่า คำที่คนลาวพวนจำเป็นต้องใช้เพื่อสื่อการแสดงออกในวิถีชีวิตของคนไทยเป็นคำไทยส่วนใหญ่และปรากฏในบริบทที่อ้างสถานที่ การขอร้องขอห้าม และกิจวัตรประจำวัน ฯลฯ เมื่อเวลาผ่านไปคำไทยได้เข้ามาแทรกคำลาวและค่อยๆ มีบริบทที่เปลี่ยนไป คือมีคำไทยเข้ามามากขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 ลักษณะได้แก่ 1. ระหว่างหนุ่มสาวในบริบทของความรัก 2. ระหว่างสมาชิกในครอบครัวในบริบทของการเลี้ยงดูบุตร 3. ระหว่างสมาชิกในชุมชนในบริบทของความสัมพันธ์ประจำวัน 4. ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในบริบทการใช้ทรัพยากร |
|
Focus |
วิเคราะห์เพลงกล่อมเด็กในส่วนคำ วลี และประโยค ที่ใช้ร้องกันภายในหมู่บ้าน และตีความเพื่อที่จะเข้าใจโลกทัศน์ของลาวพวน(หน้า 9) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ปัจจุบัน จะใช้คำไทยมีคำลาวปนบ้าง ซึ่งผู้เขียนได้สันนิษฐานว่าอัตราส่วนของคำลาวกับคำไทยในเพลงจะชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของความคิดโลกทัศน์ของลาวพวนในชุมชนที่ศึกษา (หน้า 112) |
|
Study Period (Data Collection) |
เดือนมกราคม 2535 ถึงเดือน พฤษภาคม 2536 |
|
History of the Group and Community |
คำว่าพวนคือคำที่ใช้เรียกคนเชื้อชาติไทยเผ่าหนึ่ง ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมและภาษาพูดเป็นเอกลักษณ์ของตนชาวพวนได้อพยพมาอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ ในแถบภาคกลางรวม 12 จังหวัด ได้แก่ แพร่ สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ลพบุรีและสิงห์บุรี นอกจากนี้ ยังพบว่าพวนอาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกด้วย ถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวพวนนั้นอยู่ที่แขวงเชียงขวางหรือนครเชียงขวางซึ่งเป็นเมืองสำคัญของพวน ปัจจุบันเมียงเชียงขวางนี้เป็นเมืองสำคัญของประเทศลาว ห่างจากเวียงจันทน์ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 70-80 กิโลเมตร (หน้า 29) เนื่องจากนครเชียงขวางนี้ตั้งอยู่บนที่ราบสูงจึงไม่เหมาะแก่การประกอบอาชีพที่พวนถนัดคือ การทำนาดำหรือนาลุ่ม และเป็นทางผ่านศึกของลาว ทำให้ลาวพวนไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ บางกลุ่มจึงอพยพมาทางตะวันตกของเชียงขวาง ซึ่งพวกที่อพยพมานี้ยังคงมีความผูกพันทางเครือญาติกับพวกที่อยู่ถิ่นเดิมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น (หน้า 30+แผนที่หน้า 31) การอพยพมานั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 3 ทางคือ - กลุ่มที่ 1 มาตั้งถิ่นที่เมืองพรหม (ต.บางน้ำเชี่ยว อ.พรหมบุรี สิงห์บุรี) และบางกลุ่มอพยพมาที่ อ.บ้านหมี่ ลพบุรี - กลุ่มที่ 2 มาตั้งถิ่นฐานที่อ.หาดเสี้ยว สุโขทัย - กลุ่มที่ 3 มาตั้งถิ่นฐานที่หลายอำเภอในนครนายก และปราจีนบุรี สำหรับชาวพวนที่บ้านกุฎีทอง เป็นพวนที่อพยพมาจากเมืองเชียงขวางและเมืองสุยในสมัย ร.3 สาเหตุเพราะหนีพวกฮ่อข้ามแม่น้ำโขงมาหมายพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เมื่อมาถึงแม่น้ำเจ้าพระยาก็ได้ล่องแพมาถึง ต.บางน้ำเชี่ยว อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี และพวนนี้มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคน ไทย จึงเรียกตัวเองว่าไทยพวนมาจนถึงทุกวันนี้ (หน้า 32-33) |
|
Settlement Pattern |
พื้นที่ทั้งหมดจะใช้ในการปลูกสร้างที่อยู่อาศัยและเป็นพื้นที่ทำการเกษตรกรรมทั้งหมด มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านด้านตะวันตกของหมู่บ้าน ภายในหมู่บ้านยังมีคลองชลประทานเพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งด้วย(หน้า 20) |
|
Demography |
ในหมู่บ้านกุฎีทองประกอบด้วยชาวพวน 247 หลังคาเรือน 250 ครอบครัว มีประชากรทั้งสิ้น 935 คน ชาย 418 คนหญิง 517 คน (หน้า 20) |
|
Economy |
อาชีพที่สำคัญของสมาชิกในหมู่บ้านนี้ได้แก่ เกษตรกรรม ได้แก่ ทำไร่, ทำสวน, เลี้ยงสัตว์ และ ประมง- รับจ้าง โดยมากจะเป็นรับจ้างตัดหญ้า ทำงานบ้าน นวดแผนโบราณ และเลี้ยงเด็ก ค้าขาย มี 2 ประเภทคือ ร้านขายของกับแผงลอย-รถเข็น ซึ่งเจ้าของร้านขายของจะเป็นคนจีน ส่วนรถเข็นหรือแผงลอยนั้นจะเป็นคนพวน (หน้า 21-23) |
|
Social Organization |
ในสังคมลาวพวน วัฒนธรรมและวิถีชาวบ้านได้กำหนดให้สตรีเป็นแกนกลางของครอบครัว เมื่อชายหญิงแต่งงานกันแล้ว ฝ่ายชายต้องมาอยู่บ้านของฝ่ายหญิง เมื่อมีลูก หน้าที่เลี้ยงนั้นจะเป็นของยาย เพราะยายออกไปทำงานนอกบ้านไม่ไหว จึงคอยช่วยดูแลหลานและช่วยเหลืองานเล็ก ๆ น้อย ๆ (หน้า 111) และการอยู่ท่ามกลางญาติพี่น้องทำให้ผู้หญิงมีปราการป้องกันการทำตามอำเภอใจของสามี เพราะมีสมัครพรรคพวกคอยสนับสนุนให้กำลังใจ และให้ความช่วยเหลือในยามต้องการ หน้าที่หลักของผู้หญิงพวนจะเน้นที่ภาระของการเป็นแม่มากกว่าการปฏิบัติเอาใจสามี โครงสร้างของระบบเครือญาติ และการที่ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจทำให้ฐานะทางสังคมของผู้หญิงพวนนั้นทัดเทียมเพศชาย เพราะผู้หญิงพวนนั้นเป็นทั้งผู้ทำมาหาเลี้ยงครอบครัวและเป็นแม่ไปพร้อมกัน แต่บทบาทของภรรยานั้น จะต้องมาก่อนการเป็นแม่ ดังนั้น การเป็นภรรยาที่ดีจะต้องมีความเป็นแม่บ้านแม่เรือน รู้จักปรนนิบัติเอาใจสามี สิ่งที่หญิงดีควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดคือ การเป็นม่ายสามีทิ้ง เพราะจะเป็นการประจานตัวเองว่าไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการเป็นภรรยา อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดทางเพศระหว่างหญิงชายนั้นไม่เท่าเทียมกัน (หน้า 152) หญิงนั้นจะต้องซื่อสัตย์ต่อสามีทั้งก่อนและหลังแต่งงาน ส่วนสามีจะไปมีหญิงอื่นไม่ว่าจะหญิงบริการขาประจำ นางบำเรอ หรือภรรยาอื่นทำได้โดยกฎหมายและสังคมทั่วไปถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ถือว่าผู้ชายไม่เสียหายที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับหญิงอื่นแม้จะมีภรรยาแล้ว (หน้า 153) สำหรับบทบาทของลูกนั้น ลูกคือแรงงานในไร่นาที่จะบ่งเบาภาระการงานของพ่อแม่ เป็นหลักประกันของความอยู่รอดของพ่อแม่ในยามชรา เมื่อถึงวัยอันควรลูกชายจะบวชเรียนเพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่ เมื่อมีลูกนั้น สังคมพวนถือว่าเด็กเป็นภาระร่วมกันของครอบครัว นำมาซึ่งความสุขและความสมบูรณ์ของชีวิต ในเนื้อเพลงกล่อมเด็กส่วนใหญ่จะกล่าวถึงแม่มากกว่าเพราะแม่จะใกล้ชิดลูกมากกว่าพ่อ มีบางเพลงที่มีกล่าวถึงพ่อบ้างแต่ไม่มากนัก ในกรณีที่พ่อแม่เลี้ยงดูลูกไม่ได้ก็จะให้ญาติผู้ใหญ่นั้นดูแทน (หน้า153) คนพวนนั้นให้ความสำคัญกับเครือญาติอย่างมาก มีการเยี่ยมเยือนและไปมาหาสู่ญาติพี่น้องเสมอ เมื่อมีเรื่องเดือดร้อนจะช่วยเหลือกันในระหว่างเครือญาติ (หน้า 143) |
|
Belief System |
พวนมีความเชื่อเรื่องและพิธีกรรมที่มีรากฐานมาจากศาสนาพุทธและนับถือผี ประกอบเข้าด้วยกัน คือ - ศาสนาพุทธ ในหมู่บ้านมีวัดประจำศาสนาพุทธ 2 วัด คือวัดกุฎีทอง และวัดอุตตมะพิชัย เพราะชาวบ้านมีความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก (หน้า 26) และวัดมีบทบาทที่สำคัญคือเป็นศูนย์กลางในการรวมคนภายในหมู่บ้าน (หน้า 27) - ความเชื่อเรื่องผี ชาวบ้านกุฎีทองมีความเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธ์ และถือว่าสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติจะมีวิญญาณสิงอยู่ ปรากฏการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเป็นการกระทำของวิญญาณและสิ่งศักดิ์สิทธ์เหล่านั้น หรือที่เรียกว่าผี ทั้งยังสามารถบันดาลให้เกิดความเป็นไปต่าง ๆ ได้ จึงต้องปฏิบัติตนให้ถูกต้องเพื่อให้ผีมีความเมตตา ซึ่งเป็นความเชื่อในแบบ Animism (หน้า 27) และยังคงมีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีอยู่จนปัจจุบัน |
|
Education and Socialization |
ภายในหมู่บ้านกุฎีทองนั้นมีโรงเรียนอยู่ 2 แห่ง คือโรงเรียนวัดกุฎีทองเปิดสอนตั้งแต่ชั้นเด็กเล็กถึงประถมศึกษาปีที่ 6 และโรงเรียนนาคประดิษฐ์วิทยาซึ่งเป็นโรงเรียนราษฎร์ เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (หน้า 24) การศึกษาของประชากรส่วนใหญ่ที่อยู่ในวัยทำงานนั้นจะจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีบางส่วนเป็นผู้สูงอายุไม่ได้รับการศึกษา ส่วนเด็กรุ่นใหม่จะมีการศึกษาในระดับประถม 6 ซึ่งเป็นการศึกษาภาคบังคับ ส่วนน้อยที่ได้ศึกษาต่อในระดับมัธยม 6 ในโรงเรียนประจำจังหวัด และศึกษาต่อในกรุงเทพฯ คนที่มีโอกาสศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษามักเป็นลาวพวนที่มีฐานะดีเท่านั้น แต่บุคคลเหล่านี้มักไม่กลับมาอยู่ในหมู่บ้านแต่จะไปทำงานในท้องถิ่นอื่น (หน้า 25) |
|
Health and Medicine |
ภายในหมู่บ้านมีการรักษาทั้งแบบแผนปัจจุบันและแผนโบราณ คือมีสถานีอนามัยประจำตำบล 1 แห่ง มีแพทย์ประจำตำบล 1 คน และการรักษาแบบแผนโบราณนั้นเป็นการรักษาแบบไสยศาสตร์ โดยลาวพวนเชื่อว่าการเจ็บป่วยนั้นเกิดจากการกระทำของผี ต้องทำพิธีเจรจากับผีและเซ่นสรวงเพื่อให้ผีร้ายออกจากร่างผู้ป่วย ซึ่งการรักษาแบบนี้ยังทำอยู่ทั่วไปในหมู่บ้านควบคู่ไปกับการรักษาแผนใหม่ ชาวบ้านมักเชื่อว่า การรักษาแบบนี้มีโอกาสหายมากกว่า เพราะเคยมีคนไปรักษาที่โรงพยาบาลแล้วไม่หาย แต่มารักษาแบบนี้แล้วสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้หลายปี (หน้า 26) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
งานวิจัยชิ้นนี้ ได้กล่าวเน้นถึงเพลงกล่อมเด็กในสังคมของลาวพวน โดยผู้วิจัยได้วิเคราะห์สิ่งที่สะท้อนความคิดอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อธรรมชาติ (หน้า 34) และมนุษย์ (หน้า 72) ด้านธรรมชาตินั้นได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นเผ่าพันธุ์ที่รักสงบ มีชีวิตผูกพันกับธรรมชาติมาช้านานจนถือได้ว่าธรรมชาติเป็นหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ซึ่งจะเป็นการเปรียบเทียบอารมณ์ความรู้สึกของตนกันสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ พืชหรือดวงจันทร์(หน้า 69-71) สำหรับด้านความสัมพันธ์ของมนุษย์นั้น ได้แบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก, ยายกับหลาน, สามีกับภรรยา, และหนุ่มกับสาว (หน้า 110-111) และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับชุมชน (หน้า 144) ผู้วิจัยได้วิเคราะห์เพลงกล่อมเด็กของลาวพวน และพิจารณาถึงอัตราส่วนระหว่างคำไทยและคำลาวที่มีอยู่ในแต่ละเพลงเพื่อพิจารณาถึงการผสมกลมกลืนกับคนไทยในด้านต่าง ๆ และการเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของลาวพวน (หน้า 112) ผู้วิจัยเชื่อว่า สามารถวิเคราะห์ได้จากในเพลงลาว ซึ่งมีคำไทยปนอยู่ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน และสามารถสะท้อนความแตกต่างของโลกทัศน์ที่เปลี่ยนไปได้ด้วย และในเพลงกล่อมเด็กที่ไม่มีคำลาวปนอยู่นั้นผู้วิจัยได้ตั้งข้อสมมติฐานว่าเป็นบทเพลงที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ลาวพวนได้ผสมผสานโลกทัศน์ที่เป็นไทยมากขึ้นจนถึงระดับที่ไม่มีคำลาวปนในการร้อง (หน้า 119) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จากการที่ศาสนาพุทธเข้ามาได้ทำให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม คือเข้ามาผสมผสานกับความเชื่อเรื่องผีแบบเดิม มิได้นำไปทดแทนของเดิม และปฏิบัติตนตามความเชื่อทั้งสองแบบนี้โดยหลีกเลี่ยงไม่ให้ขัดแย้ง และเลือกปฏิบัติตนตามความเหมาะสมของสภาพความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจและโอกาสต่าง ๆ (หน้า 27) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้วิจัยได้มีสมมติฐานว่าเมื่อลาวพวนเข้ามาอยู่ในเมืองไทย มีการผสมกลมกลืนกับคนไทยในด้านต่าง ๆ แล้ว โลกทัศน์หรือความคิดของลาวพวนจะเปลี่ยนแปลงไป อัตราส่วนที่เปลี่ยนแปลงนั้นจะสะท้อนความคิดโลกทัศน์ของลาวพวนในชุมชนที่ศึกษา (หน้า 112) |
|
Map/Illustration |
แผนที่แสดง ต.บางน้ำเชี่ยว อ.พรหมบุรี สิงห์บุรี (หน้า 18) แผนที่แสดงลักษณะการตั้งบ้านเรือนของหมู่บ้าน(หน้า 19) |
|
|