|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เมี่ยน, ม้ง ,ลาฮู่ ,ลีซู ,อาข่า ,นโยบายรวมพวก, เชียงราย |
Author |
พิมล แสงสว่าง |
Title |
นโยบายรวมพวกชาวเขากับเอกลักษณ์ประจำเผ่า : ศึกษาเชิงวัฒนธรรมการเมือง |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อ่าข่า, ลีซู, ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
|
Total Pages |
208 หน้า |
Year |
2536 |
Source |
คณะรัฐศาสตร์ สาขาวิชาการเมืองและการปกครอง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
“นโยบายรวม”หมายถึง นโยบายของรัฐบาลที่นำมาใช้กับชาวเขา โดยยอมรับว่า ชาวเขา คือคนไทยที่จะต้องได้รับการพัฒนาทั้งทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและอื่นๆ เพื่อให้ชาวเขาสามารถปรับตัว เข้าเป็นส่วนหน่งสของสังคมไทย เป็นพลเมืองไทย มีคุณภาพชีวิตที่พึ่งตนเองได้
เป้าหมายของนโยบายรวมพวก คือ การพัฒนาให้ชาวเขาเป็นพลเมืองไทย สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ในภาพรวมพบว่า กรมประชาสงเคราะห์ประสบผลสำเร็จในการปรับเปลี่ยนรูปแบบทางเศรษฐกิจของชุมชนชาวเขาหลายแห่ง ปัจจุบันเด็กชาวเขามีโอกาสเรียนหนังสือในโรงเรียนของรัฐมากขึ้น ชาวเขามีการประกอบอาชีพอื่นๆที่ไม่ใช่เกษตรกรรม เช่น เดินทางไปรับจ้าง ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายรวมพวกของรัฐ |
|
Focus |
การศึกษาทัศนคติของชนชั้นนำทางจารีตของชาวเขาเผ่าเย้า แม้ว มูเซอ ลีซอ และอีก้อ ที่มีต่อเรื่องต่างๆ เช่น การนิยามความเป็นไทย ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงการศึกษาว่าชนชั้นนำทางจารีตของเผ่าต่างๆนั้นมีความสำคัญและบทบาทตลอดไปถึงความมั่นคงหรือเสถียรภาพของบทบาทเหล่านั้น เพื่อพิสูจน์ว่านโยบายรวมพวกเป็นการพัฒนาชาวเขาอย่างสอดคล้องกับวัฒนธรรมทางการเมืองของพวกเขาหรือไม่ |
|
Theoretical Issues |
แนวคิดบูรณาการ นโยบายรวมพวกเป็นนโยบายที่ใช้แนวคิดเชิงบูรณาการ คำว่า “บูรณาการ” เป็นคำที่มีบัญญัติในเชิงสังคมศาสตร์ไว้มากมาย โดยผู้เขียนจะขอนำการให้ความหมายของคำว่าบูรณาการตามความหายของMyron Weiner ดังนี้ โดยWeiner ได้อธิบายความหมายของดังนี้
บูรณาการ คือ การนำกลุ่มชนต่างๆที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมมาสร้างเอกลักษณ์และความรู้สึกร่วมของสังคมร่วมกัน แต่กลุ่มต่างๆทางสังคมยังมีความรู้สึกถึงวัฒนธรรมและมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ดั้งเดิมของตนอยู่ เช่น ภาษา ความรู้สึกเป็นอิสระทางการเมือง การบูรณาการมีหลายรูปแบบ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจและการเมือง มักจะเกิดรูปแบบไม่เหมาะสม รัฐหวังใช้ผลสำเร็จจากการบูรณาการที่เหมาะสม แต่โดยมากมักจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่า ความสำเร็จของการบูรณาการนั้นต้องเกิดมาจากความประสงค์ของมวลชนเอง(Myron Weiner, 1965: 64อ้างใน พิมลแสง สว่าง: 9-10)
งานเขียนชิ้นนี้ได้นำนโยบายรวมพวกขึ้นมาอธิบายให้เห็นว่าเป็นนโยบายที่มีความพยายามที่จะบูรณาการ กล่าวคือในนโยบายรวมพวกนั้นมีการตั้งจุดประสงค์สำคัญคือ การสร้างสำนึกในความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองดีให้แก่ชาวเขา การดำเนินการตามนโยบายนี้กระทำหลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ “หน่วยสร้างความสัมพันธ์เบื้องต้น”มีหน้าที่ในการทำความคุ้นเคยกับชาวบ้าน ซึ่งจากนโยบายรวมพวกกรมประชาสงเคราะห์ได้กำหนดให้ หน่วยสร้างความสัมพันธ์เบื้องต้นนั้น “มีพื้นที่รับผิดชอบไม่เกิน 30หมู่บ้าน ใช้เวลาปฏิบัติงานเดือนละ 25วัน ต้องไปเยี่ยมหมู่บ้านไม่ต่ำกว่า 5หมู่บ้าน (พิมล แสงสว่าง, 2536:57) ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนั้นเป็นการทำตามนโยบายรวมพวกหรือเป็นการกระทำตามแนวคิดบูรณาการ เพราะหากดูในผลการศึกษาพบว่าผู้นำทางจารีต มีความรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่รัฐนั้นเป็นตัวแทนอำนาจของรัฐไทยและยังเป็นตัวกลางในการทำความเข้าใจคนไทยหรือคนนอกเผ่าอีกด้วย ถือเป็นการสร้างความรู้สึกร่วมในเรื่องความเป็นไทยแต่ก็ไม่ได้ละเมิดหรือคุกคามต่อวัฒนธรรมและจิตสำนึกในการอนุรักษ์ดั้งเดิมของตน |
|
Ethnic Group in the Focus |
เมี่ยน(เย้า) ม้ง(แม้ว) ลาฮู่(มูเซอ) ลีซู(ลีซอ) และอาข่า(อีก้อ) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ความเป็นมาของชุมชนชาวเขาในจังหวัดเชียงรายนั้น มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเมืองและนโยบายที่ได้รับจากการเมืองระดับประเทศเกี่ยวกับเรื่องชาวเขา เช่นกัน โดยในช่วงเวลาก่อนหน้าปี 2503นั้นเป็นช่วงเวลาที่ชาวเขาเผ่าต่างๆ มีวิถีชีวิตที่เน้นการผลิตแบบการเกษตรแต่เป็นการเกษตรแบบการทำไรเลื่อนลอย ทำให้ต้องอพยพอยู่เรื่อยๆระหว่างชายแดน ไทย-พม่า รัฐไทยเริ่มมาให้ความสำคัญเริ่มให้ความช่วยเหลือชาวเขาก็เมือ ประมาณปี พ.ศ.2499ในช่วงสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ได้จัดตั้งคณะกรรมการสงเคราะห์
ต่อมาในช่วงปี พ.ศ.2503จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในฐานะผู้นำประเทศในขณะนั้นได้สั่งให้มีการจัดตั้งนิคมสงเคราะห์ชาวเขาขึ้นอันเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดที่จะให้ชาวเขาอาศัยอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ไม่อพยพ แต่การจัดตั้งนิคมในครั้งนี้เกิดความผิดพลาดขึ้น เมื่อเกิดความไม่เข้าใจในเรื่องความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆทำให้การอยู่ร่วมกันอยู่ของชาวเขากลุ่มต่างๆนั้นเป็นไปได้ยาก หลังจากนั้นมีการปรับนโยบายดังกล่าวให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นโดยเป็นการกำหนดเขตพื้นที่การสงเคราะห์และการพัฒนา โดยให้ชาวเขาเผ่าต่างๆย้ายเข้ามาอยู่อาศัยในบริเวณที่กรมประชาสงเคราะห์กำหนดเพื่อให้ง่ายแก่การดูแล
ปี พ.ศ. 2516 เป็นปีที่ขบวนการคอมมิวนิสต์เริ่มเข้ามาแทรกซึมในหมู่ชาวเขาเผ่าต่างๆ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับชาวเขาอีกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวเขามีความคิดที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ โดยเกิดนโยบายรวมพวกขึ้นและโยบายดังกล่าวยังคงดำเนินอยู่จนถึงช่วงเวลาที่นายพิมลทำกาศึกษาชิ้นนี้ขึ้นคือ ปี พ.ศ.2536ปัจจุบัน มีชาวเขา 408 หมู่บ้านด้วยกันที่ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดเชียงรายได้ส่งเจ้าที่ไปดูแล หรือประมาณร้อยละ 70 ของจำนวนกลุ่มชาติพันธุ์ (พิมล แสงสว่าง, 2536:64) |
|
Demography |
“จังหวัดเชียงรายแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 12 อำเภอ 3 กิ่งอำเภอ 119 หมู่บ้าน 1229 หมู่บ้าน มีประชากรประมาณ 1,052,000 คน ชาย 535,000 คน เป็นหญิง 517,000 คน”(สำนักงานสถิติแห่งชาติ) โดยจังหวัดเชียงรายมีกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากด้วยกัน ได้แก่ แม้ว เย้า มูเซอ ลีซอ อีก้อ กะเหรี่ยง ขมุ ลัวะ จีนฮ่อ ไทยใหญ่ จีน ภูมัง และอินเดีย รวมประชากรทั้งสิ้น 123,277 คน หรือประมาณ ร้อยละ 11 ของจำนวนประชากรทั้งหมด”(พิมล แสงสว่าง,2536:63) |
|
Economy |
จากการศึกษาได้ปรากฏข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจเพียงว่า ชาวเขาเผ่าต่างนั้นพึ่งพาการผลิตแบบการเพาะปลูก โดยมีเทคโนโลยีหรือภูมิปัญญาในระดับที่ไม่สูงมาก นั่นคือการทำไร่เลื่อนลอย และพืชที่ปลูกก็เป็นพืชปลูกเพื่อการบริโภคไม่ใช่เพื่อการพานิช เช่น ข้าวไร่ เป็นต้น |
|
Political Organization |
ลักษณะของรูปแบบการเมืองการปกครองภายในเผ่าต่างๆ โดยผู้เขียนได้พยายามเสนอว่าโครงสร้างทางการเมืองของเผ่านั้นประกอบด้วย “ชนชั้นนำ”และ “ชนชั้นตาม”ซึ่งผู้เขียนได้ทำการสนใจศึกษาค้นคว้าแต่เพียงชนชั้นนำทางจารีต ซึ่งถือเป็นชนชั้นนำหนึ่งในสองกลุ่มที่ผู้เขียนได้กล่าวถึง
นอกจากนั้นการเมืองภายในเผ่ายังคงมีความเชื่อมโยงกับระบบการเมืองภายนอกเผ่าซึ่งเป็นระบบการเมืองในภาพใหญ่ ซึ่งเป็นการเมืองระดับประเทศ นับตั้งแต่การมีคำสั่งหรือนโยบายจากคณะรัฐมนตรีผ่านมาจนถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ดำเนินการกับชาวเขาตามนโยบายที่ได้รับ
ผู้วิจัยอธิบายว่าเผ่าต่างๆนั้นมีผู้นำทางจารีตที่เป็นผู้ที่มีความรู้ เกี่ยวกับเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติ บางเผ่าถึงกับเชื่อว่าผู้นำทางจารีตนั้นถูกเลือกจากอำนาจที่เหนือธรรมชาติหรือถ้าเป็นแม้วก็เรียกสิ่งนี้ว่า “ผีครู”บางเผ่าก็สืบทอดกันตามโลหิต ผู้นำประเภทนี้เป็นผู้นำที่มีมานับแต่สังคมชนเผ่าดั้งเดิม และเนื่องจากเป็นผู้ที่เป็นผู้นำในการทำพิธีกรรม หรือมีความรู้ในการรักษา รวมทั้งยังเป็นศูนย์รวมจิตใจ จึงมีอำนาจสิทธิในการสั่งการชี้ขาดให้คนในหมู่กระทำในทิศทางเดียวกัน ผู้เขียนได้พยายามอธิบายว่าชนชั้นนำกลุ่มนี้มีความเป็นผู้นำมีอำนาจทางวัฒนธรรมที่เจ้าหน้าของรัฐและชนชั้นนำตามอำนาจรัฐ อย่างกรรมการหมู่บ้าน หรือหัวหน้าหมู่บ้านเข้าไม่ถึง ถือเป็นชนชั้นนำที่มีอิทธิพลต่อสมาชิกสูงที่สุด
กลุ่มชนชั้นนำกลุ่มที่สองที่ผู้เขียนได้กล่าวถึงนั่นคือ กลุ่มชนชั้นนำตามอำนาจรัฐ ผู้เขียนได้กล่าวถึงกลุ่มคนเหล่านี้ว่าเป็นตัวแทนของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการประสานงานต่างๆกับสมาชิกในเผ่า เพื่อขอความร่วมมือต่างๆในการทำกิจกรรมที่รัฐต้องการ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่พูดภาษาไทยได้ เคยเรียนภาษาไทยและยังมีอายุไม่เยอะเท่าไหร่นัก
ผู้วิจัยได้ระบุเอาไว้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชนชั้นนำทั้งสองในเผ่านั้น เป็นไปด้วยท่าทีแบบพึ่งพาอาศัย เนื่องจากมีความขัดแย้งในเรื่องของความคิดเรื่อง การปลูกพืช ที่กลุ่มชนชั้นนำตามจารีตต้องการปลูกพืชที่ใช้ในพิธีการสำคัญของหมู่บ้าน คือ ข้าวโพด ส่วนกลุ่มชนชั้นนำจากอำนาจรัฐมีความเห็นแบบเดียวกันกับเจ้าหน้าที่รัฐ คือ ต้องการปลูกพืชเศรษฐกิจ ซึ่งบางครั้งชนชั้นนำจากอำนาจรัฐเองที่เป็นคนได้รับการสนับสนุนให้ปลูกพืชเศรษฐกิจในที่ดินของตนเองจากเจ้าหน้าที่
“เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ซึ่งเป็นผลพวกจากรวมพวก ความสัมพันธ์ของเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวเขานั้น เจ้าหน้าที่รัฐจะกลายเป็นผู้ให้ โดยจากการสอบถามความเป็นของชนชั้นนำทางจารีตนั้นมองว่าเจ้าหน้าที่รัฐ เข้ามาเพื่อปกป้องดูแลสมาชิกในชุมชน ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่เนื่องจากความขัดแย้งทางความคิดในเรื่องพืชเศรษฐกิจทำให้ชนชั้นนำทางจารีตอาจจะแสดงออกโดยการไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีอิทธิพลต่อสมาชิกในชุมชนอย่างแน่นอน
กล่าวอย่างสรุปคือ กลุ่มการเมืองในเผ่าต่างๆนั้นมี 3กลุ่มด้วยกันคือ เจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย สามารถกำกับควบคุมบังคับดูแลชาวเขาได้ จึงมีฐานะที่ได้เปรียบที่สุด สองคือกลุ่มชนชั้นนำตามจารีตซึ่งเป็นกลุ่มที่แม้ไม่มีอำนาจความชอบธรรมทางกฎหมายแต่กลับมีอิทธิพลต่อจิตใจของสมาชิกในสังคมมากที่สุดในสามกลุ่ม ส่วนชนชั้นนำตามอำนาจรัฐนั้นแม้ว่าจะมีความชอบธรรมในระดับหนึ่งแต่ในงานศึกษาชิ้นนี้กลับไม่ได้มองว่ามีอำนาจในการต่อรองมากเท่าที่ควร |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
คำเรียกชื่อชาวเขา กล่าวได้ว่าคำไทยและคำที่ชนเผ่าเรียกตนเอง แตกต่างกันเกือบทุกเผ่า เช่น แม้ว เรียกตัวเองว่า ม้ง เย้า เรียกตัวเองว่า อิวเมี่ยน หรือ เมี่ยน มูเซอ เรียกตนเองว่า ลาฮู ลีซอ เรียกตนเองว่า ลีซู อีก้อ เรียกตนเองว่า อาข่า |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Critic Issues |
ผู้วิจัยได้สืบค้นข้อมูลเรื่องความเป็นมาของการสงเคราะห์และพัฒนาชาวเขานับตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม จนกระทั่งเกิดเป็นนโยบายรวมพวกที่ยังใช้กันจนกระทั่งนายพิมล ได้เขียนงานชิ้นนี้จบคือเมื่อปี 2536 ซึ่งเขาได้เล่าไว้ในบทที่มีชื่อว่า”การพัฒนาชาวเขาโดยกรมประชาสังเคราะห์”โดยมีเนื้อหาดังนี้
การดำเนินการกับชาวเขาโดยรัฐบาล
ความพยายามในการจัดการกับชาวเขานั้นเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 โดยเป็นยุคของจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยมองว่าควรจะมีการส่งเสริมชาวเขาให้มีความเจริญทัดเทียมกับประชาชนโดยทั่วไป จึงได้เกิดคณะกรรมการสงเคราะห์ประชาชนไกลคมนาคมขึ้น โดยมีคำสั่งในวันที่ 7 สิงหาคม 2499 (พิมล แสงสว่าง, 2536:38) โดยคณะกรรมการชุดนี้ประกอบบุคคลจากหน่วยงานของรัฐต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็น ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน ต่อมาในยุคสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มองเห็นว่าชาวเขานั้นเป็นต้นตอของปัญหาหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยการทำไร่เลื่อนลอย หรือพื้นที่ในการปลูกฝิ่นซึงเป็นสารเสพติด สมควรที่รัฐจะต้องเข้าไปจัดการดูแลให้เกิดความเรียบร้อยและเกิดการพัฒนา เลยได้เปลี่ยนชื่อหน่วยงานที่เคยตั้งไว้จากคณะกรรมการ “สงเคราะห์ประชาชนไกลการคมนาคม”เป็น “คณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขา”ซึ่งถือเป็นหน่วยงานแรกที่ดูแลรับผิดชอบชาวเขา นอกจากนั้นยังตั้งนิคมที่อยู่อาศัยให้กับชาวเขา ให้อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งไว้ 4นิคม คือ คอยมูเซอ จังหวัดตาก ดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ที่ม่อนแสนใจ ม่อนแสนเจริญ จังหวัดเชียงราย และที่ภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์(ประภาส จารุเสถียร, 2509: 10-11 อ้างใน พิมล แสงสว่าง ,2536 :40)
การสงเคราะห์ชาวเขานั้นต้องดำเนินการในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านกาจัดการ มีการตั้งคณะอนุกรรมการสงเคราะห์ชาวเขาขึ้น เพื่อคอยประสานงานในส่วนจังหวัดต่างๆ 12จังหวัดในภาคเหนือทั้งหมดและจังหวัด พิษณุโลก กำแพงเพชร เลย เพชรบูรณ์ มีการตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบพื้นที่ เพื่อหาพื้นที่ในการสร้างนิคมพึ่งตนเอง คณะอนุกรรมการสาขาการศึกษา มีหน้าที่ในการจัดการโครงสร้างการศึกษา การจัดการด้านอาชีพโดยคณะอนุกรรมการด้านอาชีพ และมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับชาวเขาโดยมีการตั้งอนุกรรมการสาขาการจัดตั้งศูนย์วิจัยชาวเขา
การพัฒนาชาวเขาในช่วงนี้ โดยการจัดให้มีนิคมพึ่งพาตนเองนั้นไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากชาวเขามีความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม และมีปัญหาในเรื่องการสื่อเพราะไม่เข้าใจภาษาของกันและกัน ประกอบกับชาวเขาเผ่าต่างๆ อยากอยู่อย่างอิสระ จึงทำให้นิคมแห่งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ แต่รัฐบาลก็ยังไม่ละทิ้งความพยายามที่จะพัฒนาชาวเขา ดังนั้นในวันที่ 7 กันยายน 2508รัฐได้มอบอำนาจเต็มในการดูแลพัฒนาชาวเขาให้กับ “คณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขา”ซึ่งแผนการพัฒนาชาวเขาในช่วงเวลาดัง มีวัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้ชาวเขาสร้างปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำลายป่าไม้ การปลูกฝิ่น การสร้างความรู้สึกเป็นไทยและพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ซึ่งได้มีการดำเนินการ 4มาตรการด้วยกัน นั่นคือ
หนึ่ง การจัดตั้งนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขา โดยแนะนำให้ชาวเขามาอยู่อาศัยในบริเวณที่ใกล้เคียงกันเป็น หมู่บ้านๆ เพื่อให้ง่ายแก่การดูแลและพัฒนา
สอง จัดตั้งศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา โดยเป็นการจัดทีมให้มีหน่วยงานต่างๆเข้าไปดูแลชาวเขาที่ห่างไกล โดยเป็นทีมแพทย์ พยาบาล ซึ่งสามารถที่จะเข้าถึงชาวเขาได้ประมาณ 29,000 คน ในหมู่บ้านชาวเขา 145 แห่ง (พิมล แสงสว่าง, 2536:44)
สาม จัดตั้งศูนย์วิจัยชาวเขา โดย 5 ปีแรกทำการศึกษาวิจัย 6 เผ่า คือ แม้ว เย้า ลีซอ มูเซอ อีก้อ และกะเหรี่ยง แล้วจัดตั้งเป็นห้องสมุด
สี่ โครงการชาวเขาสัมพันธ์ เพื่อการสร้างความรู้ความเป็นคนไทย ทำโดยการนำพระภิกษุขึ้นไปเผยแพร่ศาสนาพุทธ นำผู้นำชุมชนไปในเมืองหลวงของประเทศไทยเพื่อดูความเจริญรุ่งเรืองและสงเคราะห์คนที่ติดฝิ่น
การทำงานในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะจำเป็นที่จะต้องใช้เจ้าหน้าที่ที่มีความรู้และความสามารถที่เหมาะสมในการทำงานกับชาวเขา เนื่องจากความแตกต่างทางวัฒนธรรม ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีความเห็นว่า การจัดการกับชาวเขานั้นเพียงสงเคราะห์อย่างเดียวไม่พอยังต้องมีการพัฒนาด้วย ดังนั้นในวันที่ 2ตุลาคม 2511คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อคณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขาเป็นคณะกรรมการบริหารงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา โดยดารเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้มีเหตุผลทางการเมือง คือ การป้องกันไม่ให้ชาวเขาเข้ากับกระบวนคอมมิวนิสต์และกระด้างกระเดื่องกับรัฐไทย
2.นโยบายการพัฒนาชาวเขา
ในช่วง2510 – 2511 นั้นเป็นช่วงเวลาที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ได้แทรกซึมอยู่ในชุมชนชาวเขา โดยเฉพาะเผ่าแม้ว จนถึงขั้นมีการติดอาวุธและปะทะกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยหลายครั้งด้วยกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการยับยั้งเหตุการณ์ดังกล่าวจึงได้เกิดนโยบายต่างๆดังนี้
1. นโยบาย
ก. นโยบายระยะสั้น ใช้นโยบาย Civic Action ทำให้ประชาชนมีจิตใจนิยมชมชอบรัฐบาล โดยส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปอยู่จุดที่ล่อแหลมมากที่สุด หรือในจุดที่ยังไม่เกิดเหตุแต่มีแนวโน้มก็ให้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปป้องกันเอาไว้
ข. นโยบายระยะยาว เน้นการพัฒนาชาวเขา ทั้งในเรื่องอาชีพเพื่อให้มีการปลูกฝิ่น ที่ดินทำกินเพื่อไม่ให้ชาวทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
2. วิธีการดำเนินการ
2.1 อพยพชาวเขาที่อยู่ไม่เป็นหมู่บ้านให้มาอยู่เป็นหมู่บ้านเพื่อให้ง่ายแก่การดูแล
2.2 สำหรับชาวเขาที่อยู่เป็นหมู่บ้านอยู่แล้วก็ให้อยู่ที่เดิม แต่จัดเจ้าหน้าที่ไปดูแล
2.3 สำหรับชาวเขาที่หลบภัยคอมมิวนิสต์ไปอยู่พื้นราบแล้วไม่ประสงค์ที่จะกลับมาก็ให้จัดตั้งนิคมอยู่อาศัยและผูกจิตใจกับชาวไทยพื้นราบ
2.4 เร่งสร้างสำนึกความเป็นไทย
คณะรัฐมนตรีได้มองเห็นว่านโยบายที่กล่าวมานั้นเป็นนโยบายที่ ดำเนินการกับโดยมองว่าชาเขาเหล่านั้นเป็นคนไทย แต่ไม่ได้มองว่าชาวเขาเหล่านี้มีความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม นโยบายที่ดำเนินการกับชาวเขาจึงเป็นลักษณะรวมพวกมากกว่าจะเป็นการผสมผสานอย่างแท้จริงจึงมีการทบทวนนโยบาย และวิธีดำเนินการกับชาวเขาอีกครั้ง โดยในวันที่ 6 กรกฎาคม 2519 มีมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบกับนโยบายชาวเขาเสียใหม่ ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศชาติ (กรมประชาสงเคราะห์,2525:9 อ้างใน พิมล แสงสว่าง, 2536:52) โดยมีเนื้อความดังนี้
3. นโยบายรวมพวก
เนื่องจากชาวชาวเขาในประเทศไทยเป็นชนกลุ่มน้อย ที่สามารถดำเนินชีวิตร่วมกับคนไทยได้อย่างสันติ จึงสมควรทำ “นโยบายรวมพวก”โดยให้ชาวเขามีสำนึกในความเป็นไทย เป็นพลเมืองไทย แต่มีสิทธิที่จะเลือกนับถือศาสนาและปฏิบัติตามขนบทำเนียมประเพณีเดิมได้อย่างแท้จริง โดยมีการดำเนินการต่างๆ กับชาวเขา ทั้งด้านการพัฒนา และการส่งเสริมความเป็นไทย เช่น การส่งเสริมสนับสนุนการปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนการปลูกฝิ่น ส่งเสริมให้ชาวเขาเลิกย้ายถิ่นฐานและอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งเป็นต้น
นอกจากนั้นยังมีการเร่งรัดให้ทำทะเบียนชาวเขาตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพิจารณาสัญชาติไทยในทะเบียนบ้านให้แก่ชาวเขา พ.ศ.2517นอกจากนั้นยังมีนโยบายควบคุมประชากรชาวเขาโดยสนับสนุนให้มีการวางแผนครอบครัวของชาวในประเทศไทยอีกด้วย
4. การดำเนินการ
4.1 กำหนดเขตพื้นที่การพัฒนา (Development zone) เป็นการกำหนดพื้นที่ในการอยู่อาศัยและพื้นที่ทำกินให้แก่ชาวเขาโดยมีกรมประชาสงเคราะห์เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบหลัก เพื่อให้รัฐสามารถกำกับควบคุมและดูแลได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกำกับให้ชาวเขาทำการเกษตรแบบยั่งยืนในพื้นที่ที่กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการทำลายป่า จากการทำไรเลื่อนลอยและส่งเสริมให้ชุมชนชาวเขาสามารถเป็นหน่วยเศรษฐกิจของประเทศ ประเด็นที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งนั่นคือการกำหนดพื้นที่ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐควบคุมการเคลื่อนย้ายของชาวเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ให้ชาวเขาอพยพเข้าหรือออกนอกประเทศได้อย่างง่ายได้ ตลอดจนสามารถที่จะติดตามความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและความมั่นคงของประเทศได้เป็นอย่างดี
4.2 ในกรณีที่ยังไม่กำหนดเขตพ้นที่ในการพัฒนา รัฐจะส่งเจ้าหน้าที่ซึ่งที่จัดเป็นหน่วยเคลื่อนที่ออกไปปฏิบัติงานให้ชาวเขา เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีและเป็นการเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งเขตพื้นที่การพัฒนา
4.3 การดำเนินการตามนโยบาย มีการดำเนินง่านต่างๆเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของนโยบายรวมพวกดังนี้ คือ 1. จัดตั้งหน่วยสร้างความสัมพันธ์เบื้องต้น เข้าไปในชุมชนเพื่อดูแลและช่วยเหลือชาวเขาในด้านต่างๆเพื่อให้ชาวเขาทราบถึงความห่วงใหญ่ของรัฐบาล 2. หน่วยหมู่บ้านหลัก มีสองประเภทคือหมู่บ้านหลักเกษตร และหมู่บ้านหลักโรงเรียน โดยจะจัดเจ้าหน้าที่เพื่อให้ประจำอยู่ในหมู่บ้านต่างๆ ทั้งสองประเภทเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการพัฒนาและให้ความรู้กับชาวบ้านต่อไป 3. เขตพัฒนาพื้นที่ คือ เป็นการกำหนดพื้นที่ที่มีศักยภาพที่มีพื้นที่ที่แน่นอน เพื่อสามารถดำเนินงานในรูปแบบที่สมบูรณ์แบบ โดยจัดเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ประมาณ 10-40แล้วแต่ขนาดของแต่ละเขต |
|
|