|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไตหย่า, วัฒนธรรม, การท่องเที่ยงเชิงวัฒนธรรม, เชียงราย |
Author |
กริช สอิ้งทอง |
Title |
ศักยภาพและแนวทางในการพัฒนาชุมชนไตหย่า หมู่บ้านน้ำบ่อขาวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไตหย่า ไทหย่า ไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
|
Total Pages |
120 |
Year |
2545 |
Source |
ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
การศึกษาศักยภาพในการพัฒนาชุมชนไตหย่าหมู่บ้านน้ำบ่อขาวเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ใน 3 ประเด็นหลักคือ สิ่งดึงดูดใจ การเข้าถึง และสิ่งอำนวยความสะดวกของชุมชน พบว่า ชุมชนไตหย่า หมู่บ้านน้ำบ่อขาว มีทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่โดดเด่น คือ การทำนากก การทอเสื่อกก และวิถีชีวิตไตหย่า ชุมชนไตหย่ามีความศรัทธาในคริสตศาสนาโปรเตสแตนท์จึงมีการจัดงานสืบเนื่องกับศาสนาอยู่ตลอด เช่น งานวันคริสต์มาส งานวันอีสเตอร์ ซึ่งมีส่วนในการเพิ่มศักยภาพในการท่องเที่ยวของวัฒนธรรมของชุมชน
ด้านการเข้าถึงหมู่บ้าน พบว่า นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าถึงหมู่บ้านได้โดยสะดวก ในชุมชนมีสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า น้ำดื่มน้ำใช้ แต่ยังขาดห้องสุขา โทรศัพท์สาธารณะ ที่พักแรม ร้านจำหน่ายของที่ระลึก ร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม และศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากคนในชุมชนและรัฐ |
|
Focus |
ศึกษาศักยภาพและแนวทางในการจัดทำแผนพัฒนาชุมชนไตหย่า หมู่บ้านน้ำบ่อขาว เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม(หน้า3) โดยการสำรวจแบบสอบถามคนในชุมชน |
|
Theoretical Issues |
แนวคิดด้านการท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน แนวคิดการมีส่วนร่วมของชุมชน แนวคิดการพัฒนาแบบยั่งยืน ทฤษฎีผู้นำ |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาไตหย่ามีภาษาพูดแต่ไม่มีภาษาเขียน เป็นภาษาหนึ่งในตระกูลจีน-ธิเบตในปัจจุบัน ชุมชนไตหย่า บ้านน้ำบ่อขาวมีการสอนภาษาไตหย่าภายในครัวเรือน
งานวิจัยของรุจพร ประชาเดชสุวัฒน์และคณะเรื่องวิถีชีวิตชาวไตหย่า : ศึกษากรณีซินผิง และหยวนเจียง มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน(2541) เสนอว่า ภาษาไตหย่ากับภาษาไทยถิ่นเหนือมีลักษณะคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างอยู่บ้าง เช่น หน่วยเสียงพยัญชนะและสระต่างกัน เช่น เสียง ต ในภาษาไทยกลางและภาษาไทยถิ่นเหนือจะเป็นเสียง ล ในภาษาไตหย่า เช่น ดอกไม้ เป็น ลอกไม้ สีดำ เป็น สีลำ เป็นต้น
ภาษาไตหย่าไม่มีระบบเสียงควบกล้ำ เช่น ปลา เป็น ปา เป็นต้น ในด้านสำเนียงการพูด พบว่า สำเนียงไตหย่าต่างจากภาษาไทยถิ่นเหนือ เนื่องจากภาษาไตหย่ามีหน่วยเสียงพยัญชนะ 18 เสียง เสียงสระ 18 เสียงวรรณยุกต์ 5 ในขณะที่ภาษาไทยถิ่นมีเสียงพยัญชนะ 19 เสียง สระ 18 และเสียงวรรณยุกต์ 6 (หน้า 59-60)
|
|
Study Period (Data Collection) |
3 เดือน เริ่มตั้งแต่มีนาคมถึงพฤษภาคม 2545 |
|
History of the Group and Community |
จากข้อมูลเอกสารและการสัมภาษณ์พบว่า ปี พ.ศ.2470 ศาสตราจารย์แบคเทล ผู้ปกครองแก้ว ใจมา และคณะ ได้เดินทางจากจังหวัดเชียงรายไปเมืองหย่า สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเผยแพร่คริสตศาสนา ทำให้มีชาวไตหย่าบางส่วนเปลี่ยนจากการนับถือผีมานับถือศาสนาคริสต์ และด้วยสภาพความเป็นอยู่ของชาวไตหย่าในขณะนั้นที่มีความเป็นอยู่ที่ลำบากจากอยู่ภายใต้การปกครองของจีน ศาสตราจารย์แบคเทลจึงชักชวนให้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย โดยครั้งแรกมาพำนักที่บ้านหนองกลม ปัจจุบันคือ บ้านสันธาตุในอำเภอแม่สาย จากนั้นอพยพมาที่สันป่าสักซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นหมู่บ้านสันป่าสักขวาง หลังจากตั้งหมู่บ้านได้ไม่นาน ก็มีชาวไตหย่าอพยพมาอยู่เพิ่ม จึงมีบางส่วนอพยพมาตั้งถิ่นฐานในหมู่บ้านน้ำบ่อขาว ต.ห้วยไคร้ อ.แม่สาย จ.เชียงราย
ปัจจุบันชาวไตหย่าที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านป่าสักขวาง และหมู่บ้านน้ำบ่อขาว |
|
Demography |
ประชากรในหมู่บ้านน้ำบ่อขาวจำนวนทั้งหมด 300 หลังคาเรือน ผู้ศึกษาได้เลือกศึกษาครัวเรือนที่เป็นชาวไตหย่าจำนวน 40 ครัวเรือน |
|
Economy |
ชาวไตหย่าในหมู่บ้านน้ำบ่อขาว แต่เดิมประกอบอาชีพการทำเกษตรเพื่อการยังชีพ แต่ปัจจุบันวิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไป ชาวไตหย่าส่วนใหญ่เดินทางเข้าไปทำงานในจังหวัดอื่นๆ เช่น เชียงใหม่ กรุงเทพฯ มีเพียงบางส่วนที่ประกอบอาชีพเกษตร ทำนาข้าว ทำนากก เนื่องจากกกเป็นพันธุ์พืชที่ชาวไตหย่านำมาด้วยในคราวที่อพยพจากแคว้นยูนนาน การทำนากกในประเทศไทยจึงเริ่มต้นจากหมู่บ้านของชาวไตหย่าและต่อมาแพร่กระจายไปสู่หมู่บ้านใกล้เคียง เมื่อกกโตเต็มที่จะตัดเพื่อไปเป็นวัตถุดิบในการทอเสื่อกก(หน้า 48) |
|
Social Organization |
สภาพสังคมของชาวไตหย่า หมู่บ้านน้ำบ่อขาว มีลักษณะการอยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพาซึ่งกันและกัน มีความเคารพผู้อาวุโส และมีความศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า ชุมชนดำเนินวิถีชีวิตตามหลักของศาสนาคริสต์ และมีคริสตจักรนทีธรรมเป็นจุดศูนย์กลางของชุมชนในการนัดพบและทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน(หน้า 50-51) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านน้ำบ่อขาวมีประชากรประมาณ 3,000 หลังคาเรือน เป็นชาวไตหย่าประมาณ 40 หลังคาเรือน หมู่บ้านน้ำบ่อขาวจะอยู่ภายใต้การดูแลของประชาคมเมืองเทศบาลจังหวัดเชียงราย ส่วนชุมชนไตหย่าจะมีคริสตจักรนทีธรรมเป็นศูนย์กลางในการรวมกลุ่มของชาวไตหย่า ซึ่งปัจจุบันคริสตจักรนทีธรรมรับผิดชอบโครงการ การทำเสื่อกก การจำหน่ายเกลือเสริมไอโอดีน การดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ เป็นต้น (หน้า 51) |
|
Belief System |
แต่เดิมชาวไตหย่านับถือผีบรรพบุรุษจนกระทั่งมีคณะเผยแผ่ศาสนาคริสต์เข้าไปเผยแผ่ในเมืองหย่า ชาวไตหย่าบางส่วนจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ เมื่อชาวไตหย่าอพยพเข้ามาในประเทศไทยก็ยังคงมีความศรัทธาในคริสตศาสนาด้วยและมีความเชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้าปรารถนาให้ชาวไตหย่าหนีจากความยากจน การถูกกดขี่ข่มเหง การถูกเอารัดเอาเปรียบให้อพยพมาอยู่ในประเทศที่อุดมสมบูรณ์และมีอิสระในการดำเนินชีวิต
ปัจจุบันชาวไตหย่าในหมู่บ้านน้ำบ่อขาวยังคงยึดหลักข้อปฏิบัติของศาสนาคริสต์เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เช่น ร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ฟังคำเทศนาที่คริสตจักรนทีธรรมทุกวันอาทิตย์ เป็นต้น |
|
Education and Socialization |
ชาวไตหย่าที่หมู่บ้านน้ำบ่อขาวส่วนใหญ่จบการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษา บางส่วนมีโอกาสเรียนต่อในระดับปริญญาตรี และปริญญาโท หากบางครอบครัวมีฐานะดีก็จะส่งไปศึกษาต่อในต่างประเทศ (หน้า 52) |
|
Health and Medicine |
วัฒนธรรมการบริโภคของชาวไตหย่า หมู่บ้านน้ำบ่อขาว มีวัฒนธรรมการดองอาหาร 2 แบบ คือ การดองเนื้อสัตว์ และการดองผัก การดองสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู และปลาโดยใช้เครื่องเทศ เช่น ลูกจันป่น พริกไทยป่น ข้าวคั่ว กระเทียม เม็ดซิ่วซาง และเหล้าขาว คลุกเคล้าและดองประมาณ 1 เดือน การดองผัก ชาวไตหย่าจะนิยมดองผักกาดเขียวด้วยข้าวสุกและเกลือ ใช้เวลาดองประมาณ 7 วันก็สามารถรับประทานได้ |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ปัจจุบันชาวไตหย่าจะแต่งกายตามสมัยนิยม และจะแต่งกายในชุดประจำกลุ่มชนในงานประเพณี เช่น งานชุมนุมประจำปี
เครื่องแต่งกายของสตรีชาวไตหย่าจะประกอบด้วยผ้าซิ่น 2 ผืนซ้อนกัน ผืนแรกเรียกว่า ผ้าไต่เซิน เป็นผ้าพื้นสีดำ ประดับด้วยริ้วผ้าสีต่างๆเย็บเป็นแถบชายซิ่น ส่วนผ้าผืนที่2 เรียกว่า ผ้าเซิน เป็นผ้าพื้นสีดำประดับชายผ้าด้วยริ้วผ้าสีแต่ไม่เย็บด้านข้างให้ติดกัน ใช้สวมทับผืนแรกโดยพันรอบตัวให้ชายผ้าขนานผืนแล้วคาดเข็มขัดทับ ส่วนช่วงเอวขึ้นไปมีผ้า 3 ชิ้น คือ ผ้าไวใช้คาดเอวจะประดับด้วยริ้วผ้าสีต่างๆทั้งผืน จากนั้นสวมทับด้วยเสื้อตัวที่สอง เรียกว่า ซื่อแย่ง ซึ่งเป็นเสื้อไม่มีแขน คอปิด ไม่มีปกผ่าหน้าเฉียงมาทางซ้าย ส่วนเสื้อตัวที่สาม เรียกว่า ซื่อหลุง มีลักษณะเป็นเสื้อสวมทับแขนยาว ไม่มีปก ผ่าหน้าตรง ความยาวของเสื้อจะยาวประมาณ 2 ใน 3 ของความยาวช่วงบนของผู้สวมใส่(หน้า 56)
นอกจากนี้สตรีไตหย่ามักนิยมไว้ผมยาว เกล้าเป็นมวยสูงกลางศีรษะ และจะพันศีรษะด้วยผ้าสีดำ 2 ผืน คือ ผ้าแหแย่ง และผ้าหว่างโห ส่วนเครื่องประดับ หญิงไตหย่าทุกคนจะเจาะหูและสวมตุ้มหูซึ่งมีลักษณะเป็นวงขนาดใหญ่ สวมกำไลข้อมือและแหวน ที่เป็นเงินซึ่งสามารถบ่งบอกให้ผู้อื่นทราบถึงฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้สวมใส่ เด็กหญิงชาวไตหย่าจะเริ่มสวมใส่เครื่องแต่งกายประจำกลุ่มเมื่ออายุครบ 12 ปี และผู้หญิงไตหย่าที่มีอายุ 40 ปีจะไม่สวมใส่เครื่องประดับอะไรอีก
การแต่งกายของผู้ชายไตหย่า ประกอบด้วยกางเกงขาตรงสีดำหรือสีคราม เสื้อคอจีนแขนยาวสีดำ ไม่ประดับลวดลายใดๆ ทรงผมตัดสั้นตามสมัยนิยม และผู้ชายสามารถใช้ชุดประจำกลุ่ม
ไตหย่าได้เมื่ออายุครบ 18 ปี (หน้า 58) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวไตหย่า คือ กลุ่มคนที่อพยพมาจากเมืองหย่า หรือเมืองสินผิง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจุบันการดำเนินชีวิตของชาวไตหย่า บ้านน้ำบ่อขาวมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย การประกอบอาชีพเกษตรกรรม และการทำเสื่อกกมีไม่มากนักเพราะเยาวชนรุ่นใหม่ได้รับการศึกษาจึงทำงานตามที่ตนเรียนมาซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ |
|
Map/Illustration |
ภาคผนวก ก แบบสอบถามสำหรับประชาชนในท้องถิ่น
ภาคผนวก ข แบบสอบถามสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยว
ภาคผนวก ค ประเด็นสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวและคำถามการทำสนทนากลุ่ม
ภาคผนวก ง ตารางเปรียบเทียบภาษาไทยภาคกลาง ไทยภาคเหนือและไทหย่า
ภาคผนวก จ ตารางแสดงการจำแนกวัตถุประสงค์ของการศึกษา |
|
|