สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject อาข่า,ศาสนาคริสต์, ความเชื่อดั้งเดิม, การปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรม, เชียงราย
Author สรินยา กิจประยูร
Title การรับคริสต์ศาสนากับการปรับตัวทางวัฒนธรรม : กรณีศึกษาชุมชนอาข่า ในอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อ่าข่า, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 185 Year 2541
Source หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

          เนื้อหางานเขียนเกี่ยวกับการเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ของอาข่าที่อยู่ในพื้นที่กรณีศึกษาของหมู่บ้านต่างๆในตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ว่าอาข่าในชุมชนที่ศึกษามีการผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมเข้ากับความเชื่อทางศาสนาคริสต์ที่เปลี่ยนมานับถือใหม่อย่างไรและการนับถือศาสนาคริสต์มีผลต่อความเป็นอยู่และความเชื่อของอาข่าอย่างไร โดยในงานเขียนได้ให้รายละเอียดตั้งแต่การเข้ามาเผยแพร่ศาสนาของครูสอนศาสนาคริสต์ และการปรับเปลี่ยนทางความเชื่อเมื่อมานับถือศาสนาคริสต์แล้ว และได้นำเสนอกรณีที่อาข่าเกิดปัญหาด้านต่างๆ เช่น ไม่สบาย หรือพืชผลที่ปลูกให้ผลผลิตไม่มาก ว่าอาข่านำความเชื่อดังเดิมมาปรับใช้กับการนับถือศาสนาคริสต์อย่างไรและมีปัญหาความขัดแย้งด้านความเชื่อหรือไม่

Focus

          ศึกษาการผสมผสานระหว่างความเชื่อเดิมของอาข่า กับความเชื่อทางศาสนาคริสต์ว่ามีลักษณะอย่างไรและมีความขัดแย้งกันหรือไม่และอาข่าแก้ปัญหานั้นอย่างไร กับอาข่านำความเชื่อทางศาสนาคริสต์มาใช้ในการปรับตัวและส่งผลต่อความเป็นชาติพันธุ์อาข่าอย่างไร (หน้า 4)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

          อาข่า (Akha) เป็นกลุ่มที่ภาษาพูดในตระกูล ธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman-speaking) ซึ่งอยู่ในสาขาโลโล (Lololish) อาข่าเมื่อก่อนนี้เคยตั้งที่อยู่อาศัยอยู่บริเวณภูเขาด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ภายหลังได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนใต้ผ่านด้านทิศตะวันออกของพม่า และอยู่ด้านทิศตะวันตกของประเทศลาว กับด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม และในภาคเหนือของประเทศไทย เมื่อ ค.ศ.1903  (หน้า 38)
 
          อาข่ามีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น ในจีนเรียกอาข่าว่า ฮานิ (Hani) ในกลุ่มที่พูดภาษาไต (Tai - speakers) ที่อยู่ในพม่าเรียกอาข่าว่า ก้อ (Kaw) ในลาวเรียกอาข่าว่า ข่าก้อ (Kha Kaw) ส่วนในไทยคนส่วนมากจะรู้จักอาข่าในชื่อ “อีก้อ”(Ekaw) อาข่ากว่า 85 %ของจำนวนประชากรอาข่าในไทยจะตั้งรกรากอยู่ที่จังหวัดเชียงราย โดยได้แบ่งเป็น กลุ่มย่อยเป็นกลุ่มต่างๆ เช่น อุโละอาข่า(Ulo Akha) ลูมิอาข่า (Loimi Akha) ผาหมีอาข่า (Phame Akha) และอื่นๆ การแบ่งกลุ่มจะสังเกตที่การแต่งตัวเช่นหมวกของผู้หญิงอาข่า (หน้า 38)

Language and Linguistic Affiliations

          ภาษาอาข่าอยู่ในตระกูล ธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman-speaking) ซึ่งอยู่ในสาขาโลโล (Lololish) อาข่ากลุ่มต่างๆจะมีภาษาของแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน เวลาสื่อสารจะใช้ภาษาของกลุ่มลูมิอาข่าเป็นภาษากลางเพื่อสื่อสาร (หน้า 38)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ประวัติการเข้ามาของศาสนาคริสต์และการเปลี่ยนศาสนาของอาข่า  
          การเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ของอาข่า เริ่มเมื่อ พ.ศ.2524 เมื่ออาข่าในหมู่บ้านคนหนึ่งเข้านับถือศาสนาคริสต์ เนื่องจากเห็นลาหู่ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ จากนั้นก็ได้เข้าร่วมพิธีกรรมของศาสนาคริสต์หลายครั้งด้วยกัน ตอนหลังได้มีอาข่าเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์เพิ่มขึ้นอีก 2  ครัวเรือน ต่อมาครูสอนศาสนาลาหู่จึงเข้ามาสร้างที่พักและเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในหมู่บ้านจึงมีคนเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์เพิ่มขึ้นอีก 3 ครัวเรือนในตอนเริ่มแรกจะนับถือนิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งนับจากนั้นอาข่าก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์
เพิ่มมากขึ้นจนทุกวันนี้มีจำนวน 37 ครัวเรือน (หน้า 70)               
          สำหรับการเลือกเข้านิกายโดยมากจะเข้านับถือตามญาติพี่น้อง หากญาติพี่น้องนับถือศาสนาคริสต์นิกายไหนก็จะเข้านับถือนิกายนั้น หรือถ้าหากครูสอนศาสนาประจำหมู่บ้านเป็นครูอยู่นิกายไหนก็จะนับถือนิกายนั้นเพราะจะได้ไม่ต้องไปทำพิธีกรรมศาสนาที่หมู่บ้านอื่น หรือถ้าเพาะปลูกพืชให้ผลผลิตไม่ดีหรือถ้าเกิดความขัดแย้งก็จะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์อีกนิกาย เป็นต้น (หน้า 71)

Settlement Pattern

          บ้านอาข่า สร้างด้วยไม้ไผ่แบบใต้ถุนสูงชั้นบนของบ้านมีชานบ้านเอาไว้นั่งเล่นและทำงานบ้านต่างๆ พื้นที่ใช้สอยในบ้านแบ่งเป็น 2 ส่วนสำหรับห้องชั้นนอกคือส่วนที่เป็นห้องนอนของผู้ชาย และเป็นที่ต้อนรับแขกที่มาเยี่ยม ส่วนด้านในเป็นห้องนอนของผู้หญิงกับพื้นที่ห้องครัว  ส่วนในบ้านบางหลังก็จะมีพื้นที่ทำอาหารในบริเวณห้องชั้นนอก สำหรับบ้านอาข่าที่สร้างใหม่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่จะสร้างเป็นบ้านไม้ (หน้า 41)

Demography

          อาข่าประชากรในประเทศไทยประมาณ 50,000 คน หรือ 7% ของชาวเขาในประเทศไทย อาข่าจำนวนกว่า 85 % จะตั้งรกรากในจังหวัดเชียงราย ส่วนจังหวัดอื่นๆที่อยู่เช่น จังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง แพร่ ตาก เป็นต้น (หน้า 38) หมู่บ้านกรณีศึกษา มีประชากร 475 คน มีจำนวนครัวเรือน 93 คน (หน้า 75)

Economy

          เศรษฐกิจของหมู่บ้าน ถ้าเทียบตามจำนวนประชากรทั้งหมดในพื้นที่การศึกษา 475 คน แบ่งตามอาชีพที่ทำได้ดังนี้ เคยไปทำงานรับจ้างในเมืองจำนวน 30 % (หน้า 75) เคยไปทำงานไต้หวัน 1 % และยังเป็นเด็กนักเรียนกับเรียนการตัดเย็บเสื้อผ้า อีก 11 % (หน้า 76)  

          สำหรับรายได้นอกภาคการเกษตรและที่ดินมีดังนี้ ครอบครัวที่มีรายได้หลักจากการรับจ้างจะมีจำนวน 25 ครัวเรือน เพราะว่ามีจำนวนที่ดินทำกินไม่มาก โดยจะมีจำนวน 2-10 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ หรือดินไม่ดีเพาะปลูกได้ผลผลิตไม่เพียงพอกับการบริโภคในครอบครัว (หน้า 77) สำหรับกลุ่มครัวเรือนมีรายได้จากการรับจ้างเป็นอาชีพเสริมมีจำนวน 54 ครัวเรือน กลุ่มนี้มีจำนวน 60 %  มีที่ดิน 6-70 ไร่(ตารางหน้า 77) กลุ่มนี้มีรายได้จากการปลูกพืช สำหรับพืชที่ปลูกส่วนใหญ่ได้แก่ ข้าวโพด ข้าวเหนียวดำ ถั่วแดง เป็นต้น (หน้า 78) 
 
          การเกษตร อาข่าทำการเกษตรแบบถางและเผา (slash-and-burn) พืชที่ปลูกได้แก่ข้าวไร่กับข้าวโพดและพืชชนิดอื่นๆ โดยจะปลูกเอาไว้กินในครอบครัวและเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ หมู ไก่ ม้า เอาไว้กินและใช้แรงงาน สำหรับพืชเศรษฐกิจ (cash crops)จะปลูกเพื่อจำหน่าย (หน้า 40)

Social Organization

ครอบครัวอาข่า             
          ครัวเรือนของอาข่าส่วนมากจะประกอบด้วยสมาชิก 3 ช่วงอายุซึ่งประกอบด้วย รุ่นพ่อแม่ รุ่นลูก และรุ่นหลาน ในบ้านใหญ่ของพ่อแม่จะมีลูกที่แต่งงานแล้วอยู่ด้วย และจะมีลูกชายที่แต่งงานแล้วแยกครอบครัวออกไปสร้างบ้านของตัวเองเรียกว่า บ้านเล็ก ในงานเขียนได้แบ่งประเภทของบ้านเล็กออกเป็น 3 ประเภทดังนี้ (หน้า 41)
               1) แยกบ้านด้านเศรษฐกิจกับการประกอบพิธีกรรมยังทำกับบ้านใหญ่อยู่เช่นเดิมคือจะเพาะปลูก กินอาหารและประกอบพิธีกรรมอยู่ที่บ้านใหญ่บ้านพ่อแม่  
               2) ครอบครัวที่แยกออกจากบ้านใหญ่แต่ด้านเศรษฐกิจ แต่พิธีกรรมยังคงทำอยู่เหมือนเดิม 
               3) แยกออกมาแต่การประกอบกิจกรรมแต่ยังร่วมด้านเศรษฐกิจเช่นเดิม (หน้า 41)
           
          ในครอบครัวของอาข่า ผู้ชายที่อาวุโสที่สุดจะเป็นหัวหน้าครอบครัว นอกจากนี้ก็เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อในครอบครัว เช่นเลี้ยงผีบรรพบุรุษ สำหรับการสืบสายสกุลอาข่าจะสืบสายสกุลทางพ่อ (patrilineages) สำหรับผู้หญิงถ้าแต่งงานจะสืบสายสกุลฝ่ายสามีและจะออกจากสายสกุลเดิมของตน  (หน้า 41)
 
         การแต่งงาน  จะมีความเกี่ยวโยงกับความเชื่อเรื่องผี ในการทำพิธีแต่งงานเมื่อแห่เจ้าสาวมาถึงบ้านเจ้าบ่าว ก็จะเปลี่ยนชุดให้เจ้าสาวสวมกระโปรงขาวกับสวมหมวกทรงแหลมแบบจีน
การแต่งตัวเช่นนี้เพื่อให้เหมือนกับนิทานที่ระบุว่าเจ้าสาวคนแรกของอาข่าเป็นผี เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วเจ้าสาวก็จะรีบขึ้นบ้านเจ้าบ่าว ส่วนคนที่อยู่ข้างล่างก็จะไล่เจ้าสาวแล้วขว้างก้อนดินใส่ และคนที่อยู่บนบ้านก็จะสาดน้ำใส่เจ้าสาวและตะโกนไล่และใช้ไม้ตีที่หลังคาเพื่อไล่ผีเข้าป่า ส่วนขั้นต่อไปก็จะทำพิธีที่ตะกร้าบูชาบรรพบุรุษ  (หน้า 59)
          การทำพิธีจะให้เจ้าสาวนั่งก้มหน้าบนเก้าอี้ใกล้กับเจ้าบ่าว แล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็จะส่งไข่ต้มให้กันกลับไปกลับมา 3 ครั้ง ต่อไปหญิงสูงอายุที่ประกอบพิธีจะปอกไข่แบ่งให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว ซึ่งในขั้นตอนนี้เป็นเครื่องแสดงว่าเจ้าสาวได้เข้าสู่สายสกุลของเจ้าบ่าวแล้ว ต่อไปก็จะฆ่าไก่ทำอาหารให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวกินคนละคำ (หน้า 59) ขั้นตอนต่อมาผู้นำศาสนาประจำหมู่บ้านก็จะฆ่าหมูเพื่อทำอาหารเลี้ยงแขกเมื่อฆ่าหมูตาย ก็จะถือว่าเจ้าสาวเป็นภรรยาของเจ้าบ่าวอย่างถูกต้อง พิธีในช่วงเช้าก็จะจบแค่นี้  (หน้า 60)
          สำหรับพิธีในช่วงบ่ายจะเป็นการรับประทานอาหาร และผู้สูงอายุจะสวดมนต์ขอพรให้คู่บ่าวสาว และในตอนค่ำก็จะเชิญผู้สูงอายุมารับประทานอาหารที่บ้านแล้วก็ทำพิธีขอพร ต่อไปผู้สูงอายุที่นำการประกอบพิธีในช่วงเช้าก็จะเอาเขม่าหม้อข้าวมาทาหน้าเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้วให้พร ส่วนคู่บ่าวสาวก็จะป้อนเนื้อหมูและเหล้ากับผู้สูงอายุที่มาร่วมพิธี ขั้นตอนต่อไปก็จะทำพิธีรับของขวัญจากบ้านเจ้าสาวมายังบ้านเจ้าบ่าวคือ เจ้าสาวจะแบกตะกร้าเดินออกนอกบ้านกับเจ้าบ่าว แล้วก็จะเดินกลับมาโดยมีมีดในตะกร้า และครั้งที่สองจะเดินกลับมาโดยมีมีดในตะกร้า ต่อไปเจ้าสาวก็จะถือกระจาดเนื้อหมู เหล้า โดยจะออกไปพร้อมกับญาติฝ่ายเจ้าสาวและผู้สูงอายุ เมื่อกลับมาผู้สูงอายุจะกลับไปเลยโดยไม่กลับมาอีก สำหรับพิธีแต่ละขั้นตอนที่ทำเพราะเชื่อว่าผีบรรพบุรุษกำลังมองดูการทำพิธีดังกล่าว (หน้า 60) 

         การแต่งงานของอาข่าคริสต์ จะตัดความเชื่อเรื่องผีที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องเจ้าสาวอาข่าคนแรกเป็นผี แต่จะเชิญแขกผู้สูงอายุมาร่วมงานเช่นเดิม (หน้า 135) และยังมีการเลี้ยงแขกที่มางาน การประกอบพิธีเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะนำเหล้า บุหรี่ เงินและเนื้อหมูใส่ตะกร้าไปมอบให้กับครูสอนศาสนาและขอพร จากนั้นก็จะไปมอบของที่บ้านผู้สูงอายุที่สุดที่นับถือศาสนาคริสต์  ตอนบ่ายก็จะเลี้ยงอาหารแขกเหรื่อ และขอพรจากผู้สูงอายุ (หน้า 136) 

Political Organization

          การปกครองในหมู่บ้าน  หมู่บ้านอาข่ามีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ ทำหน้าที่ปกครองหมู่บ้าน (หน้า 40) และคณะกรรมการหมู่บ้าน อีก 7 คน ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่ได้รับการเลือกตั้งจากคนในหมู่บ้านการทำงาน แต่ละคนจะทำหน้าที่ของตนเอง เช่น การพัฒนาหมู่บ้าน การศึกษา และอื่นๆ (หน้า 74)  
          ส่วนผู้นำประเพณีจะมี ”เจ่วมา“เป็นผู้นำในด้านการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในหมู่บ้านจะมี “กฎอาข่า”เป็นข้อกำหนดในการปฏิบัติตัวของคนในชุมชน หากกระทำผิดต่อกฎอาข่า ชุมชนจะกำหนดโทษโดยการปรับเงิน แต่ถ้าเป็นความขัดแย้งในครอบครัว ในหมู่บ้าน หรือระหว่างหมู่บ้านถ้าตกลงกันไม่ได้ก็จะมอบให้ผู้นำหมู่บ้านเป็นผู้พิจารณาความขัดแย้งดังกล่าว (หน้า 75,40)

Belief System

          การนับถือศาสนาของอาข่าในหมู่บ้าน  แบ่งกลุ่มตามการนับถือศาสนาดังนี้ จากการสำรวจเมื่อ พ.ศ.2540 มีอาข่านับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกจำนวน 40 ครัวเรือน นับถือนิกายโปรแตสแตนท์จำนวน 28 ครัวเรือน และมีความเชื่อแบบดั้งเดิมจำนวน 22 ครัวเรือน  คนในหมู่บ้านได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบแม้ว่าจะมีความเชื่อที่แตกต่างกัน (หน้า 31)

ความเชื่อแบบดั้งเดิม       
          ก่อนจะเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์อาข่าได้อยู่ในสังคมและปฏิบัติตาม”กฎของอาข่า”ซึ่งหมายถึง “ศาสนา วิถีชีวิต ธรรมเนียม จรรยา และระเบียบแบบแผนต่างๆ “(หน้า 42,64) ในสังคมที่ปฏิบัติตามกฎของอาข่าประกอบด้วยผู้นำทางความเชื่อดั้งเดิมได้แก่ (หน้า 44)  
          1) ผู้นำทางศาสนาของหมู่บ้านหรือ “เจ่วมา” จะเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่างๆของอาข่าในหมู่บ้านจะมีเจ่วมาเพียงคนเดียว (หน้า 44) เจ่วมาจะจะนำการประกอบพิธีเช่น พิธีเจ้าแห่งดินน้ำ เปลี่ยนประตูหมู่บ้าน พิธีสร้างชิงช้างในช่วงเทศกาลโล้ชิงช้า และอื่นๆ (หน้า 109)
          2) หมอผีหรือ “เบ้วหม่อ”มีหน้าที่ติดต่อผีบรรพบุรุษและผีชนิดอื่นๆและทำพิธีเมื่อมีคนเจ็บป่วย (หน้า 44) รักษาคนที่เจ็บป่วยโดยขับไล่วิญญาณของผีออกจากร่างคนป่วยและอื่นๆ (หน้า111-114)
          3) ช่างตีเหล็ก หรือ “บ๊ะจิ”ทุกวันนี้ไม่ค่อยมีบทบาทในด้านพิธีกรรม มีหน้าที่ทำมีด หอก และเครื่องมือด้านการเกษตร (หน้า 45)
          4) คนทรงหรือ ”นี้ผะ“ ส่วนมากจะเป็นผู้หญิงมีหน้าที่ในการติดต่อวิญญาณ เช่นผีบรรพบุรุษ ผีชนิดอื่นๆหาสาเหตุของการเจ็บป่วยและช่วยด้านการรักษาแบบพื้นบ้าน (หน้า 45,105)

          ความเชื่อเรื่องผี อาข่าแต่เดิมมีความเชื่อเรื่องผีและความเชื่อนี้มีความผูกพันกับวิถีชีวิตของอาข่าดังที่ปรากฏในพิธีกรรมต่างๆ เช่น การเลี้ยงผีบรรพบุรุษ พิธีขึ้นปีใหม่ของอาข่า พิธีกรรมเกี่ยวกับข้าว พิธีขุดประตูหมู่บ้าน พิธีบูชาเจ้าแห่งดินและน้ำ พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิด พิธีการแต่งงาน พิธีกรรมเกี่ยวกับการเจ็บป่วย ฯลฯ (หน้า 46-59)
  
          พิธีกรรมประจำปี สำหรับพิธีกรรมที่สำคัญของอาข่าคริสต์มีดังนี้ พิธีกรรมระดับชุมชน ได้แก่พิธีคริสต์มาสและปีใหม่ ตรงกับวันที่ 24-25 ธันวาคมของทุกปี (หน้า 120)

          พิธีฉลองปัสกาจะจัดช่วงต้นเดือนเมษายน เป็นพิธีการเฉลิมฉลองที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับฟื้นคืนชีวิตจากความตาย  งานจะจัด 2-3 วัน ฆ่าหมู่แบ่งเนื้อกันไปทำอาหารและแจกไข่ปัสกา หรือไข่แดงที่ต้มกับพืชบางชนิดจนมีสีแดง ทั้งนี้ที่ใช้ไข่เพราะว่า ไข่เป็นสัญญลักษณ์ของการเกิดใหม่ (หน้า 122)

         พิธีฉลองพระนางมารีย์ได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์  จัดในวันที่ 15 สิงหาคมของปี(หน้า 124)

          พิธีกินข้าวใหม่จะทำหลังข้าวในไร่เหลืองพอที่จะเก็บเกี่ยวได้ แต่เดิมจะเด็ดข้าว 3 รวงไปใส่ตะกร้าของผีบรรพบุรุษ (หน้า 126) ส่วนการจัดแบบคริสต์จะนำพืชผลต่างๆถวายพระเป็นเจ้า ตอนเย็นจะไปสวดมนต์ที่โบสถ์ (หน้า 127)

          พิธีระลึกถึงผู้ตาย จะจัดหลังจากการจัดพิธีกินข้าวใหม่ ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ในวันนี้อาข่าที่เป็นคาทอลิกจะไปร่วมกันทำความสะอาดบริเวณป่าช้า (หน้า 128)
            
          ส่วนพิธีกรรมอื่นๆ ที่กล่าวถึงในงานเขียนโดยได้แบ่งออกได้ดังนี้ ระดับครัวเรือนได้แก่ พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิด โดยจะทำเพื่อรับเด็กที่เกิดใหม่เข้าตระกูลของตนเองและตั้งชื่อให้เด็ก
เกิดใหม่(หน้า 133-135) พิธีกรรมการแต่งงาน(หน้า 135-137)

          พิธีกรรมเกี่ยวกับการเจ็บป่วย หากรักษาแบบพื้นบ้านก็จะรักษาด้วยสมุนไพรหรือหมอพื้นบ้าน ถ้าเป็นแบบคริสต์ก็จะขอพรจากพระเจ้า (หน้า 137) พิธีกรรมเกี่ยวกับการตาย ได้แก่การจัด
งานศพแบบอาข่าคริสต์ว่ามีการจัดอย่างไรเมื่อมีผู้เสียชีวิต (หน้า 138-140)
              
          พิธีกรรมที่กระทำเมื่อเผชิญกับวิกฤตชีวิต จะทำเมื่อเจ็บไข้ไม่สบาย ถ้าเป็นแบบคริสต์ครูสอนศาสนาก็จะนำญาติขิงผู้ป่วยสวดขอพรจากพระเจ้าเพื่อให้ผู้ป่วยหายจากการเจ็บไข้ (หน้า 140) พิธีกรรมประจำวันอาทิตย์ จะจัดในวันอาทิตย์ในตอนเช้าและตอนเย็น พิธีนี้จะปฏิบัติเช่นเดียวกับชาวคริสต์ทั่วโลก (หน้า 145-150)

Education and Socialization

          ในหมู่บ้านได้จัดตั้งศูนย์การศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขา (ศศช.) โดยทำการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยให้กับคนในหมู่บ้านและช่วยชาวบ้านด้านการพัฒนาหมู่บ้าน (หน้า 68) ส่วนในหมู่บ้านมีเด็กที่กำลังเรียนหนังสือและไปเรียนเย็บผ้าจำนวน 11 % จากจำนวนประชากรทั้งหมด 475 คน (หน้า 75,76)

Health and Medicine

การรักษาพยาบาล
          เมื่อไม่สบายจะมีการรักษา 2 อย่างได้แก่ แบบการแพทย์พื้นบ้าน กับการรักษาแบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ในหมู่บ้านกรณีศึกษามีการรักษาดังนี้

การรักษาด้วยไสยศาสตร์ 
          หากไม่สบายเพราะขวัญออกจากร่าง ตัวอย่างเมื่อเด็กตกใจหรือเดินไปที่อื่นในระยะทางไกลๆ เมื่อกลับมาแล้วไม่สบาย ก็จะให้หมอผีมาทำพิธีเรียกขวัญเพราะเชื่อว่าขวัญออกจากร่าง (หน้า 60)  การจัดพิธีจะประกอบพิธีที่ประตูหมู่บ้าน โดยหมอผีจะนำกระด้งและกระชอนเพื่อไปช้อนขวัญและไข่ต้ม น้ำชา น้ำ สายสิญจน์ และไก่เป็นๆ อีก 1 ตัว เมื่อถึงประตูหมู่บ้านหมอผีจะทำพิธีสวดเรียกชื่อคนป่วยและก็จะฆ่าไก่จากนั้นก็จะใช้กระชอนตักขวัญคนป่วยกลับมาที่บ้าน เมื่อมาถึงบ้านคนที่บ้านก็จะตะโกนเรียกขวัญ ต่อไปก็จะนำเครื่องเซ่นให้ผู้ป่วยกินแล้วผูกด้ายที่ข้อมือให้ผู้ป่วย ก็จบพิธีเรียกขวัญ (หน้า 61) หากป่วยเพราะผีพาวิญญาณของคนป่วยไปอยู่ด้วย การรักษาจะให้คนทรง ไปติดต่อกับผีแล้วพาวิญญาณของผู้ป่วยกลับจากนั้นจะให้ญาติผู้ป่วยฆ่าสัตว์เซ่นไหว้ผี เป็นต้น (หน้า 61)

การขอพรจากพระเจ้า 
          ถ้าป่วยมานานรักษาไม่หายก็จะขอพรจากพระเจ้า(หน้า 137) เช่นในวันอาทิตย์เมื่อไปประกอบพิธีทางศาสนาที่โบสถ์ครูสอนศาสนานิกายโปรแตสแตนท์จะใช้มือวางที่หัวคนป่วยและขอพรจากพระเจ้าเพื่อให้พระเจ้ารักษาคนป่วยให้หายป่วยไข้  ส่วนนิกายคาทอลิกไม่มีการขอพรจากพระเจ้าเพื่อรักษาคนป่วยแต่จะมีการรักษาด้วยสมุนไพรและหมอพื้นบ้าน (หน้า 138)

สมุนไพร 
          จะให้คนสูงอายุที่มีความรู้เรื่องสมุนไพรรักษาเมื่อเจ็บป่วยไม่สบายเช่น เมื่อมีแผล งูกัด เส้นพลิก ปวดกระดูกและอื่นๆ  (หน้า 137)

การรักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบัน  
          ถ้าไม่สบายเล็กๆน้อยๆจะซื้อยามากิน เช่น ยาพาราเซตามอลและยาบวดหาย ยาทัมใจ เป็นต้น (หน้า 137)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ตำนานการรับประเพณีจากพระผู้สร้างสรรพสิ่งของอาข่า
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระผู้สร้างสรรพสิ่งได้ทรงมอบประเพณีวัฒนธรรมให้กับชาติพันธุ์ต่างๆ ดังนั้นกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหลายเช่น ไทย จีน ลาหู่ ลีซอ ก็ได้ถือตะกร้าที่สานห่างๆ ไปรับประเพณีที่พระผู้สร้างสรรพสิ่งได้มอบให้  ในตอนนั้นอาข่าได้นำกระสอบที่ทออย่างแน่นหนาไปใส่ประเพณี  เมื่อรับประเพณีเรียบร้อยแล้วพอกลับบ้าน ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ ของชาติพันธุ์ไทย จีน ลาหู่ ลีซอ ก็หล่นหายไปในบางส่วน ขณะที่ประเพณีของอาข่าที่ขนมาในกระสอบไม่ได้สูญหายไปเลยสักชิ้นดังนั้นจึงทำให้อาข่ามีประเพณีต่างๆ มากกว่า
ชาติพันธุ์อื่นๆ (หน้า 30)
 
นิทานที่มาของการทำประตูหมู่บ้านอาข่า
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในตอนนั้น คนกับผีเป็นพี่น้องกัน สำหรับคนเป็นพี่และผีเป็นน้อง เมื่อเวลาผ่านไปทั้งสองได้เกิดความขัดแย้งกันจึงได้แบ่งทรัพย์สินกัน แต่ไม่สามารถตกลงกันได้
ดังนั้นจึงไปให้พระผู้สร้างเป็นผู้ตัดสิน ดังนั้นพระผู้สร้างจึงตัดสินให้ผีไปอยู่ที่หน้าผาในป่าที่อุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้ สำหรับคนได้ส่วนแบ่งที่เป็นที่ราบไม่มีต้นไม้และที่เป็นขี้เถ้า ในภายหลังคนไปเผาป่าที่จึงเป็นของคน ส่วนทรัพย์สินที่เป็นสัตว์เลี้ยงคนจะได้ ไก่ หมา หมู แพะ และผีจะได้เสือกับสัตว์ป่าชนิดต่างๆ ส่วนน้ำคนได้รับน้ำที่ไหลเชี่ยว ส่วนผีได้น้ำที่นิ่ง เมื่อเวลาผ่านได้ คนก็ใช้ชีวิตทำมาหากินในที่ดินของตนเป็นปกติเหมือนทุกๆวัน  ผีเห็นจึงเกิดความอิจฉาตาร้อนจึงเข้ามาหลอกคนในหมู่บ้าน (หน้า 46)
          เพื่อเป็นการแก้ปัญหานี้พระผู้สร้างจึงแนะนำให้คนสร้างประตูหมู่บ้านเพื่อป้องกันผีไม่ให้เข้าหมู่บ้าน และถ้าหากไปสร้างหมู่บ้านที่ใดก็ให้สร้างประตูหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังกำชับว่าให้มีคนเฝ้าหมู่บ้านและทำพิธีเซ่นไหว้ที่ประตูปีละครั้ง ซึ่งจากนั้นเรื่อยมาคนก็มีแต่ความสงบร่มเย็นไม่มีผีเข้าไปรังคราญคนในหมู่บ้านให้ได้รับความเดือดร้อน  (หน้า 46)
 
ตำนานเจ้าสาวคนแรกของอาข่าเป็นผี
          ตำนานอาข่าเรื่องนี้เล่าว่า พระผู้สร้างได้สร้างท้องฟ้าแผ่นดินและคน พระผู้สร้างได้บอกชายอาข่าว่าถ้าอยากแต่งงานให้ไปป่า เมื่อไปถึงต้นองุ่นขนาดใหญ่ให้ตะโกน 3 ครั้ง เมื่อเขาตะโกนมีปรากฏร่างของผู้หญิงที่มีขนปกคลุมทั่วร่างกายและมีเขี้ยวยาว เล็บยาว ดังนั้นชายคนนั้นจึงนำกระสอบมาตัดเป็นกระโปรงให้ผู้หญิงคนนั้นสวม ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่าเป็นที่มาที่ทำให้หญิง
อาข่าต้องสวมกระโปรงสีขาวเมื่อเข้าพิธีแต่งงาน เมื่อแต่งงานกันแล้วผู้หญิงคนนี้ก็ฆ่าสามีกิน ในเวลาต่อมาเธอต้องการแต่งงานกับชายในหมู่บ้านอีกแต่พวกเขาไม่ยอม เธอจึงตกลงว่าจะไม่กินและยอมตัดเขี้ยวเล็บและบอกให้กั้นห้องในบ้านเป็นส่วนของห้องผู้ชายและผู้หญิงเพื่อเป็นการป้องกันที่เธอจะกินเขา เมื่อญาติผีและพ่อแม่มาเยี่ยม รู้ว่าเธอสบายจึงกลับไป (หน้า 46)
          ดังนั้นผู้ที่เป็นสามีจึงชายประตูไว้ที่ทางเข้าหมู่บ้านและทำเป็นรูปแกะสลักคนเฝ้า 2 คนเพื่อให้ผีมาถึงแค่ตรงนั้นและมองว่าลูกสาวของตนสบายดี (หน้า 46) และได้กลับเข้าป่าไม่ยอมเข้าหมู่บ้าน ในภายหลังผีผู้หญิงจึงกลายเป็นผู้หญิงอาข่า (หน้า 47)

Social Cultural and Identity Change

          ในสังคมอาข่าได้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ เมื่อจะเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์อาข่าก็จะทำพิธีทิ้งผี ก่อนจะทำพิธีทิ้งผีก็จะเลี้ยงผีบรรพบุรุษเป็นครั้งสุดท้าย ในวันนั้นจะฆ่าหมู ฆ่าไก่ เชิญญาติๆมารับประทานอาหารแล้วผูกข้อไม้ข้อมือ ในวันต่อมาครูสอนศาสนาประจำหมู่บ้านจะเป็นผู้ประกอบพิธีทิ้งผี โดยเจ้าของบ้านจะมอบสิ่งของที่ใช้เลี้ยงผีบรรพบุรุษไปเผาไฟ (หน้า 151) จากนั้นก็จะทำหิ้งบูชาแบบศาสนาคริสต์ที่บริเวณห้องของผู้ชาย ต่อไปก็จะทำพิธีสวดมนต์แบบศาสนาคริสต์  (หน้า 152)               
          ในงานเขียนได้ระบุว่าแม้ว่าอาข่าจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์แต่เมื่อประสบความเดือดร้อนหรือเจ็บไข้ได้ป่วยก็คิดถึงการปฏิบัติที่เคยทำกันมาแต่เดิมแล้วได้นำความเชื่อทางศาสนาคริสต์มาประยุกต์ใช้ตามความเชื่อนั้น ซึ่งในงานเขียนได้ระบุไว้หลายกรณีดังนี้ (หน้า 152)
          1 ) การประกอบพิธีกรรมเมื่อเกิดเรื่องไม่ดีตามความเชื่อเดิม เช่นในช่วงเก็บเกี่ยวข้าวเมื่อต้นไม้ใหญ่ล้มในไร่อาข่าเชื่อว่าเป็นต้นเหตุทำให้ได้ผลผลิตน้อย แต่เดิมจะทำพิธีเซ่นไหว้ผีที่ไร่ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนมาสวดมนต์ตามแบบคริสต์และเลี้ยงอาหารเพื่อนบ้านที่มาร่วมพิธีกรรมเพื่อขอให้พืชผลที่ปลูกให้ผลผลิตเป็นจำนวนมาก (หน้า 152-155)
          2 ) การประกอบพิธีกรรมสำหรับคนป่วยอาการหนัก แม้ว่าอาข่าบางส่วนจะเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ แต่เมื่อไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วยมากๆก็จะเชิญหมอผีมาทำพิธีรักษาโดยติดต่อกับผีแล้วฆ่าสัตว์เซ่นไหว้ผีเพื่อต้องการให้หายจากไม่สบาย ตามความเชื่อของอาข่าที่เคยทำกันมาก่อนที่จะมานับถือศาสนาคริสต์  (หน้า 155-157)
          3 ) การประกอบพิธีกรรมสำหรับเด็กทารก ในกลุ่มอาข่ายังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันบางคนยังอยากให้ทำพิธีตามแบบของอาข่าที่เคยทำ เช่น นำเคียว ใบไม้กับพริกไปติดไว้ที่ประตูเพื่อป้องกันผี ดังนั้นจึงทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดเนื่องจากคิดว่าตนเองหันมานับถือศาสนาคริสต์แล้วก็ไม่น่าจะปฏิบัติตามความเชื่อของอาข่าที่เคยทำมาเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเซ่นไหว้เลี้ยงผีเมื่อไม่สบาย เป็นต้น แต่บางส่วนยังอยากให้ประกอบพิธีเลี้ยงผีแบบอาข่าเมื่อเด็กไม่สบายและทำพิธีขอพรแบบคริสต์ด้วยเช่นกันดังนั้นจึงทำให้คนในชุมชนยังมีความขัดแย้งทางความคิดในเรื่องนี้ (หน้า 157-160)
          4 ) ความขัดแย้งในกรณีการตายของทารก กรณีเด็กตายอาข่าได้จัดพิธีสวดให้เด็กทารกเองโดยครูสอนศาสนาประจำหมู่บ้านไม่ยอมเข้าร่วมพิธีเนื่องจากอ้างว่าเมื่อเด็กยังอยู่ก็ไม่ได้เรียกให้ไปสวดแบบคริสต์ แต่ชาวบ้านได้จัดตามความเชื่อแบบอาข่าที่เคยทำมาดังนั้นเมื่อเด็กตา ยครูสอนศาสนาคริสต์ประจำหมู่บ้านจึงไม่ไปร่วมพิธี ซึ่งการกระทำดังกล่าวของครูสอนศาสนาก็เพื่อต้องการให้อาข่าแยกให้ออกระหว่างความเชื่อเดิมของอาข่ากับพิธีศาสนาคริสต์ (หน้า 160-163)

Other Issues

         การเผยแพร่คริสต์ศาสนาในประเทศไทย ในงานเขียนได้เขียนเกี่ยวกับคำว่า กระบวนการกลายเป็นคริสต์อธิบายความรู้เรื่องการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในประเทศไทย การมาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ของมิชชันนารีกลุ่มต่างๆ และอื่นๆ (หน้า 90-105)

Map/Illustration

ตาราง จำแนกประเภทวิญญาณในจักรวาลวิทยาของอาข่า (หน้า 49) จำนวนครัวเรือนที่พึ่งพารายได้นอกภาคการเกษตรในระดับต่างๆ และการถือครองที่ดิน (หน้า 77) การจัดสรรเวลาที่ใช้ในแต่ละภาคการผลิตของครัวเรือนใน 1 ปี (หน้า 78) รายได้ รายจ่ายและหนี้สินเฉลี่ยของครัวเรือนใน 1 ปี (หน้า 79) จำนวนครัวเรือนที่ยึดถือความเชื่อต่างๆ ในชุมชน จำแนกประเภทของครัวเรือนตามที่มาของรายได้ (หน้า 83)
 
แผนภูมิ การประกอบพิธีกรรมประจำปีของอาข่า (หน้า 57) การประกอบพิธีกรรมประจำปีของชาวน้ำอุ่นอาข่าคริสต์ (หน้า 131) แนวโน้มการรับความเชื่อทางคริสต์ศาสนาของอาข่าในพื้นที่ศึกษา (หน้า 86)
 
แผนที่ การอพยพและตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยของอาข่า (หน้า 39) ที่ตั้งของหมู่บ้านพื้นที่ศึกษา (หน้า 67) การกระจายตัวของครัวเรือนที่ยึดถือความเชื่อต่างๆ ในพื้นที่ศึกษา (หน้า 72)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 08 ต.ค. 2563
TAG อาข่า, ศาสนาคริสต์, ความเชื่อดั้งเดิม, การปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรม, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง