|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อาข่า,ศาสนาคริสต์, ความเชื่อดั้งเดิม, การปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรม, เชียงราย |
Author |
สรินยา กิจประยูร |
Title |
การรับคริสต์ศาสนากับการปรับตัวทางวัฒนธรรม : กรณีศึกษาชุมชนอาข่า ในอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อ่าข่า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
185 |
Year |
2541 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
เนื้อหางานเขียนเกี่ยวกับการเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ของอาข่าที่อยู่ในพื้นที่กรณีศึกษาของหมู่บ้านต่างๆในตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ว่าอาข่าในชุมชนที่ศึกษามีการผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมเข้ากับความเชื่อทางศาสนาคริสต์ที่เปลี่ยนมานับถือใหม่อย่างไรและการนับถือศาสนาคริสต์มีผลต่อความเป็นอยู่และความเชื่อของอาข่าอย่างไร โดยในงานเขียนได้ให้รายละเอียดตั้งแต่การเข้ามาเผยแพร่ศาสนาของครูสอนศาสนาคริสต์ และการปรับเปลี่ยนทางความเชื่อเมื่อมานับถือศาสนาคริสต์แล้ว และได้นำเสนอกรณีที่อาข่าเกิดปัญหาด้านต่างๆ เช่น ไม่สบาย หรือพืชผลที่ปลูกให้ผลผลิตไม่มาก ว่าอาข่านำความเชื่อดังเดิมมาปรับใช้กับการนับถือศาสนาคริสต์อย่างไรและมีปัญหาความขัดแย้งด้านความเชื่อหรือไม่ |
|
Focus |
ศึกษาการผสมผสานระหว่างความเชื่อเดิมของอาข่า กับความเชื่อทางศาสนาคริสต์ว่ามีลักษณะอย่างไรและมีความขัดแย้งกันหรือไม่และอาข่าแก้ปัญหานั้นอย่างไร กับอาข่านำความเชื่อทางศาสนาคริสต์มาใช้ในการปรับตัวและส่งผลต่อความเป็นชาติพันธุ์อาข่าอย่างไร (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
อาข่า (Akha) เป็นกลุ่มที่ภาษาพูดในตระกูล ธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman-speaking) ซึ่งอยู่ในสาขาโลโล (Lololish) อาข่าเมื่อก่อนนี้เคยตั้งที่อยู่อาศัยอยู่บริเวณภูเขาด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ภายหลังได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนใต้ผ่านด้านทิศตะวันออกของพม่า และอยู่ด้านทิศตะวันตกของประเทศลาว กับด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม และในภาคเหนือของประเทศไทย เมื่อ ค.ศ.1903 (หน้า 38)
อาข่ามีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น ในจีนเรียกอาข่าว่า ฮานิ (Hani) ในกลุ่มที่พูดภาษาไต (Tai - speakers) ที่อยู่ในพม่าเรียกอาข่าว่า ก้อ (Kaw) ในลาวเรียกอาข่าว่า ข่าก้อ (Kha Kaw) ส่วนในไทยคนส่วนมากจะรู้จักอาข่าในชื่อ “อีก้อ”(Ekaw) อาข่ากว่า 85 %ของจำนวนประชากรอาข่าในไทยจะตั้งรกรากอยู่ที่จังหวัดเชียงราย โดยได้แบ่งเป็น กลุ่มย่อยเป็นกลุ่มต่างๆ เช่น อุโละอาข่า(Ulo Akha) ลูมิอาข่า (Loimi Akha) ผาหมีอาข่า (Phame Akha) และอื่นๆ การแบ่งกลุ่มจะสังเกตที่การแต่งตัวเช่นหมวกของผู้หญิงอาข่า (หน้า 38) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาอาข่าอยู่ในตระกูล ธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman-speaking) ซึ่งอยู่ในสาขาโลโล (Lololish) อาข่ากลุ่มต่างๆจะมีภาษาของแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน เวลาสื่อสารจะใช้ภาษาของกลุ่มลูมิอาข่าเป็นภาษากลางเพื่อสื่อสาร (หน้า 38) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติการเข้ามาของศาสนาคริสต์และการเปลี่ยนศาสนาของอาข่า
การเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ของอาข่า เริ่มเมื่อ พ.ศ.2524 เมื่ออาข่าในหมู่บ้านคนหนึ่งเข้านับถือศาสนาคริสต์ เนื่องจากเห็นลาหู่ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ จากนั้นก็ได้เข้าร่วมพิธีกรรมของศาสนาคริสต์หลายครั้งด้วยกัน ตอนหลังได้มีอาข่าเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์เพิ่มขึ้นอีก 2 ครัวเรือน ต่อมาครูสอนศาสนาลาหู่จึงเข้ามาสร้างที่พักและเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในหมู่บ้านจึงมีคนเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์เพิ่มขึ้นอีก 3 ครัวเรือนในตอนเริ่มแรกจะนับถือนิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งนับจากนั้นอาข่าก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์
เพิ่มมากขึ้นจนทุกวันนี้มีจำนวน 37 ครัวเรือน (หน้า 70)
สำหรับการเลือกเข้านิกายโดยมากจะเข้านับถือตามญาติพี่น้อง หากญาติพี่น้องนับถือศาสนาคริสต์นิกายไหนก็จะเข้านับถือนิกายนั้น หรือถ้าหากครูสอนศาสนาประจำหมู่บ้านเป็นครูอยู่นิกายไหนก็จะนับถือนิกายนั้นเพราะจะได้ไม่ต้องไปทำพิธีกรรมศาสนาที่หมู่บ้านอื่น หรือถ้าเพาะปลูกพืชให้ผลผลิตไม่ดีหรือถ้าเกิดความขัดแย้งก็จะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์อีกนิกาย เป็นต้น (หน้า 71) |
|
Settlement Pattern |
บ้านอาข่า สร้างด้วยไม้ไผ่แบบใต้ถุนสูงชั้นบนของบ้านมีชานบ้านเอาไว้นั่งเล่นและทำงานบ้านต่างๆ พื้นที่ใช้สอยในบ้านแบ่งเป็น 2 ส่วนสำหรับห้องชั้นนอกคือส่วนที่เป็นห้องนอนของผู้ชาย และเป็นที่ต้อนรับแขกที่มาเยี่ยม ส่วนด้านในเป็นห้องนอนของผู้หญิงกับพื้นที่ห้องครัว ส่วนในบ้านบางหลังก็จะมีพื้นที่ทำอาหารในบริเวณห้องชั้นนอก สำหรับบ้านอาข่าที่สร้างใหม่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่จะสร้างเป็นบ้านไม้ (หน้า 41) |
|
Demography |
อาข่าประชากรในประเทศไทยประมาณ 50,000 คน หรือ 7% ของชาวเขาในประเทศไทย อาข่าจำนวนกว่า 85 % จะตั้งรกรากในจังหวัดเชียงราย ส่วนจังหวัดอื่นๆที่อยู่เช่น จังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง แพร่ ตาก เป็นต้น (หน้า 38) หมู่บ้านกรณีศึกษา มีประชากร 475 คน มีจำนวนครัวเรือน 93 คน (หน้า 75) |
|
Economy |
เศรษฐกิจของหมู่บ้าน ถ้าเทียบตามจำนวนประชากรทั้งหมดในพื้นที่การศึกษา 475 คน แบ่งตามอาชีพที่ทำได้ดังนี้ เคยไปทำงานรับจ้างในเมืองจำนวน 30 % (หน้า 75) เคยไปทำงานไต้หวัน 1 % และยังเป็นเด็กนักเรียนกับเรียนการตัดเย็บเสื้อผ้า อีก 11 % (หน้า 76)
สำหรับรายได้นอกภาคการเกษตรและที่ดินมีดังนี้ ครอบครัวที่มีรายได้หลักจากการรับจ้างจะมีจำนวน 25 ครัวเรือน เพราะว่ามีจำนวนที่ดินทำกินไม่มาก โดยจะมีจำนวน 2-10 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ หรือดินไม่ดีเพาะปลูกได้ผลผลิตไม่เพียงพอกับการบริโภคในครอบครัว (หน้า 77) สำหรับกลุ่มครัวเรือนมีรายได้จากการรับจ้างเป็นอาชีพเสริมมีจำนวน 54 ครัวเรือน กลุ่มนี้มีจำนวน 60 % มีที่ดิน 6-70 ไร่(ตารางหน้า 77) กลุ่มนี้มีรายได้จากการปลูกพืช สำหรับพืชที่ปลูกส่วนใหญ่ได้แก่ ข้าวโพด ข้าวเหนียวดำ ถั่วแดง เป็นต้น (หน้า 78)
การเกษตร อาข่าทำการเกษตรแบบถางและเผา (slash-and-burn) พืชที่ปลูกได้แก่ข้าวไร่กับข้าวโพดและพืชชนิดอื่นๆ โดยจะปลูกเอาไว้กินในครอบครัวและเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ หมู ไก่ ม้า เอาไว้กินและใช้แรงงาน สำหรับพืชเศรษฐกิจ (cash crops)จะปลูกเพื่อจำหน่าย (หน้า 40) |
|
Social Organization |
ครอบครัวอาข่า
ครัวเรือนของอาข่าส่วนมากจะประกอบด้วยสมาชิก 3 ช่วงอายุซึ่งประกอบด้วย รุ่นพ่อแม่ รุ่นลูก และรุ่นหลาน ในบ้านใหญ่ของพ่อแม่จะมีลูกที่แต่งงานแล้วอยู่ด้วย และจะมีลูกชายที่แต่งงานแล้วแยกครอบครัวออกไปสร้างบ้านของตัวเองเรียกว่า บ้านเล็ก ในงานเขียนได้แบ่งประเภทของบ้านเล็กออกเป็น 3 ประเภทดังนี้ (หน้า 41)
1) แยกบ้านด้านเศรษฐกิจกับการประกอบพิธีกรรมยังทำกับบ้านใหญ่อยู่เช่นเดิมคือจะเพาะปลูก กินอาหารและประกอบพิธีกรรมอยู่ที่บ้านใหญ่บ้านพ่อแม่
2) ครอบครัวที่แยกออกจากบ้านใหญ่แต่ด้านเศรษฐกิจ แต่พิธีกรรมยังคงทำอยู่เหมือนเดิม
3) แยกออกมาแต่การประกอบกิจกรรมแต่ยังร่วมด้านเศรษฐกิจเช่นเดิม (หน้า 41)
ในครอบครัวของอาข่า ผู้ชายที่อาวุโสที่สุดจะเป็นหัวหน้าครอบครัว นอกจากนี้ก็เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อในครอบครัว เช่นเลี้ยงผีบรรพบุรุษ สำหรับการสืบสายสกุลอาข่าจะสืบสายสกุลทางพ่อ (patrilineages) สำหรับผู้หญิงถ้าแต่งงานจะสืบสายสกุลฝ่ายสามีและจะออกจากสายสกุลเดิมของตน (หน้า 41)
การแต่งงาน จะมีความเกี่ยวโยงกับความเชื่อเรื่องผี ในการทำพิธีแต่งงานเมื่อแห่เจ้าสาวมาถึงบ้านเจ้าบ่าว ก็จะเปลี่ยนชุดให้เจ้าสาวสวมกระโปรงขาวกับสวมหมวกทรงแหลมแบบจีน
การแต่งตัวเช่นนี้เพื่อให้เหมือนกับนิทานที่ระบุว่าเจ้าสาวคนแรกของอาข่าเป็นผี เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วเจ้าสาวก็จะรีบขึ้นบ้านเจ้าบ่าว ส่วนคนที่อยู่ข้างล่างก็จะไล่เจ้าสาวแล้วขว้างก้อนดินใส่ และคนที่อยู่บนบ้านก็จะสาดน้ำใส่เจ้าสาวและตะโกนไล่และใช้ไม้ตีที่หลังคาเพื่อไล่ผีเข้าป่า ส่วนขั้นต่อไปก็จะทำพิธีที่ตะกร้าบูชาบรรพบุรุษ (หน้า 59)
การทำพิธีจะให้เจ้าสาวนั่งก้มหน้าบนเก้าอี้ใกล้กับเจ้าบ่าว แล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็จะส่งไข่ต้มให้กันกลับไปกลับมา 3 ครั้ง ต่อไปหญิงสูงอายุที่ประกอบพิธีจะปอกไข่แบ่งให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว ซึ่งในขั้นตอนนี้เป็นเครื่องแสดงว่าเจ้าสาวได้เข้าสู่สายสกุลของเจ้าบ่าวแล้ว ต่อไปก็จะฆ่าไก่ทำอาหารให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวกินคนละคำ (หน้า 59) ขั้นตอนต่อมาผู้นำศาสนาประจำหมู่บ้านก็จะฆ่าหมูเพื่อทำอาหารเลี้ยงแขกเมื่อฆ่าหมูตาย ก็จะถือว่าเจ้าสาวเป็นภรรยาของเจ้าบ่าวอย่างถูกต้อง พิธีในช่วงเช้าก็จะจบแค่นี้ (หน้า 60)
สำหรับพิธีในช่วงบ่ายจะเป็นการรับประทานอาหาร และผู้สูงอายุจะสวดมนต์ขอพรให้คู่บ่าวสาว และในตอนค่ำก็จะเชิญผู้สูงอายุมารับประทานอาหารที่บ้านแล้วก็ทำพิธีขอพร ต่อไปผู้สูงอายุที่นำการประกอบพิธีในช่วงเช้าก็จะเอาเขม่าหม้อข้าวมาทาหน้าเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้วให้พร ส่วนคู่บ่าวสาวก็จะป้อนเนื้อหมูและเหล้ากับผู้สูงอายุที่มาร่วมพิธี ขั้นตอนต่อไปก็จะทำพิธีรับของขวัญจากบ้านเจ้าสาวมายังบ้านเจ้าบ่าวคือ เจ้าสาวจะแบกตะกร้าเดินออกนอกบ้านกับเจ้าบ่าว แล้วก็จะเดินกลับมาโดยมีมีดในตะกร้า และครั้งที่สองจะเดินกลับมาโดยมีมีดในตะกร้า ต่อไปเจ้าสาวก็จะถือกระจาดเนื้อหมู เหล้า โดยจะออกไปพร้อมกับญาติฝ่ายเจ้าสาวและผู้สูงอายุ เมื่อกลับมาผู้สูงอายุจะกลับไปเลยโดยไม่กลับมาอีก สำหรับพิธีแต่ละขั้นตอนที่ทำเพราะเชื่อว่าผีบรรพบุรุษกำลังมองดูการทำพิธีดังกล่าว (หน้า 60)
การแต่งงานของอาข่าคริสต์ จะตัดความเชื่อเรื่องผีที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องเจ้าสาวอาข่าคนแรกเป็นผี แต่จะเชิญแขกผู้สูงอายุมาร่วมงานเช่นเดิม (หน้า 135) และยังมีการเลี้ยงแขกที่มางาน การประกอบพิธีเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะนำเหล้า บุหรี่ เงินและเนื้อหมูใส่ตะกร้าไปมอบให้กับครูสอนศาสนาและขอพร จากนั้นก็จะไปมอบของที่บ้านผู้สูงอายุที่สุดที่นับถือศาสนาคริสต์ ตอนบ่ายก็จะเลี้ยงอาหารแขกเหรื่อ และขอพรจากผู้สูงอายุ (หน้า 136) |
|
Political Organization |
การปกครองในหมู่บ้าน หมู่บ้านอาข่ามีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ ทำหน้าที่ปกครองหมู่บ้าน (หน้า 40) และคณะกรรมการหมู่บ้าน อีก 7 คน ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่ได้รับการเลือกตั้งจากคนในหมู่บ้านการทำงาน แต่ละคนจะทำหน้าที่ของตนเอง เช่น การพัฒนาหมู่บ้าน การศึกษา และอื่นๆ (หน้า 74)
ส่วนผู้นำประเพณีจะมี ”เจ่วมา“เป็นผู้นำในด้านการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในหมู่บ้านจะมี “กฎอาข่า”เป็นข้อกำหนดในการปฏิบัติตัวของคนในชุมชน หากกระทำผิดต่อกฎอาข่า ชุมชนจะกำหนดโทษโดยการปรับเงิน แต่ถ้าเป็นความขัดแย้งในครอบครัว ในหมู่บ้าน หรือระหว่างหมู่บ้านถ้าตกลงกันไม่ได้ก็จะมอบให้ผู้นำหมู่บ้านเป็นผู้พิจารณาความขัดแย้งดังกล่าว (หน้า 75,40) |
|
Belief System |
การนับถือศาสนาของอาข่าในหมู่บ้าน แบ่งกลุ่มตามการนับถือศาสนาดังนี้ จากการสำรวจเมื่อ พ.ศ.2540 มีอาข่านับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกจำนวน 40 ครัวเรือน นับถือนิกายโปรแตสแตนท์จำนวน 28 ครัวเรือน และมีความเชื่อแบบดั้งเดิมจำนวน 22 ครัวเรือน คนในหมู่บ้านได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบแม้ว่าจะมีความเชื่อที่แตกต่างกัน (หน้า 31)
ความเชื่อแบบดั้งเดิม
ก่อนจะเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์อาข่าได้อยู่ในสังคมและปฏิบัติตาม”กฎของอาข่า”ซึ่งหมายถึง “ศาสนา วิถีชีวิต ธรรมเนียม จรรยา และระเบียบแบบแผนต่างๆ “(หน้า 42,64) ในสังคมที่ปฏิบัติตามกฎของอาข่าประกอบด้วยผู้นำทางความเชื่อดั้งเดิมได้แก่ (หน้า 44)
1) ผู้นำทางศาสนาของหมู่บ้านหรือ “เจ่วมา” จะเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่างๆของอาข่าในหมู่บ้านจะมีเจ่วมาเพียงคนเดียว (หน้า 44) เจ่วมาจะจะนำการประกอบพิธีเช่น พิธีเจ้าแห่งดินน้ำ เปลี่ยนประตูหมู่บ้าน พิธีสร้างชิงช้างในช่วงเทศกาลโล้ชิงช้า และอื่นๆ (หน้า 109)
2) หมอผีหรือ “เบ้วหม่อ”มีหน้าที่ติดต่อผีบรรพบุรุษและผีชนิดอื่นๆและทำพิธีเมื่อมีคนเจ็บป่วย (หน้า 44) รักษาคนที่เจ็บป่วยโดยขับไล่วิญญาณของผีออกจากร่างคนป่วยและอื่นๆ (หน้า111-114)
3) ช่างตีเหล็ก หรือ “บ๊ะจิ”ทุกวันนี้ไม่ค่อยมีบทบาทในด้านพิธีกรรม มีหน้าที่ทำมีด หอก และเครื่องมือด้านการเกษตร (หน้า 45)
4) คนทรงหรือ ”นี้ผะ“ ส่วนมากจะเป็นผู้หญิงมีหน้าที่ในการติดต่อวิญญาณ เช่นผีบรรพบุรุษ ผีชนิดอื่นๆหาสาเหตุของการเจ็บป่วยและช่วยด้านการรักษาแบบพื้นบ้าน (หน้า 45,105)
ความเชื่อเรื่องผี อาข่าแต่เดิมมีความเชื่อเรื่องผีและความเชื่อนี้มีความผูกพันกับวิถีชีวิตของอาข่าดังที่ปรากฏในพิธีกรรมต่างๆ เช่น การเลี้ยงผีบรรพบุรุษ พิธีขึ้นปีใหม่ของอาข่า พิธีกรรมเกี่ยวกับข้าว พิธีขุดประตูหมู่บ้าน พิธีบูชาเจ้าแห่งดินและน้ำ พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิด พิธีการแต่งงาน พิธีกรรมเกี่ยวกับการเจ็บป่วย ฯลฯ (หน้า 46-59)
พิธีกรรมประจำปี สำหรับพิธีกรรมที่สำคัญของอาข่าคริสต์มีดังนี้ พิธีกรรมระดับชุมชน ได้แก่พิธีคริสต์มาสและปีใหม่ ตรงกับวันที่ 24-25 ธันวาคมของทุกปี (หน้า 120)
พิธีฉลองปัสกาจะจัดช่วงต้นเดือนเมษายน เป็นพิธีการเฉลิมฉลองที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับฟื้นคืนชีวิตจากความตาย งานจะจัด 2-3 วัน ฆ่าหมู่แบ่งเนื้อกันไปทำอาหารและแจกไข่ปัสกา หรือไข่แดงที่ต้มกับพืชบางชนิดจนมีสีแดง ทั้งนี้ที่ใช้ไข่เพราะว่า ไข่เป็นสัญญลักษณ์ของการเกิดใหม่ (หน้า 122)
พิธีฉลองพระนางมารีย์ได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ จัดในวันที่ 15 สิงหาคมของปี(หน้า 124)
พิธีกินข้าวใหม่จะทำหลังข้าวในไร่เหลืองพอที่จะเก็บเกี่ยวได้ แต่เดิมจะเด็ดข้าว 3 รวงไปใส่ตะกร้าของผีบรรพบุรุษ (หน้า 126) ส่วนการจัดแบบคริสต์จะนำพืชผลต่างๆถวายพระเป็นเจ้า ตอนเย็นจะไปสวดมนต์ที่โบสถ์ (หน้า 127)
พิธีระลึกถึงผู้ตาย จะจัดหลังจากการจัดพิธีกินข้าวใหม่ ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ในวันนี้อาข่าที่เป็นคาทอลิกจะไปร่วมกันทำความสะอาดบริเวณป่าช้า (หน้า 128)
ส่วนพิธีกรรมอื่นๆ ที่กล่าวถึงในงานเขียนโดยได้แบ่งออกได้ดังนี้ ระดับครัวเรือนได้แก่ พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิด โดยจะทำเพื่อรับเด็กที่เกิดใหม่เข้าตระกูลของตนเองและตั้งชื่อให้เด็ก
เกิดใหม่(หน้า 133-135) พิธีกรรมการแต่งงาน(หน้า 135-137)
พิธีกรรมเกี่ยวกับการเจ็บป่วย หากรักษาแบบพื้นบ้านก็จะรักษาด้วยสมุนไพรหรือหมอพื้นบ้าน ถ้าเป็นแบบคริสต์ก็จะขอพรจากพระเจ้า (หน้า 137) พิธีกรรมเกี่ยวกับการตาย ได้แก่การจัด
งานศพแบบอาข่าคริสต์ว่ามีการจัดอย่างไรเมื่อมีผู้เสียชีวิต (หน้า 138-140)
พิธีกรรมที่กระทำเมื่อเผชิญกับวิกฤตชีวิต จะทำเมื่อเจ็บไข้ไม่สบาย ถ้าเป็นแบบคริสต์ครูสอนศาสนาก็จะนำญาติขิงผู้ป่วยสวดขอพรจากพระเจ้าเพื่อให้ผู้ป่วยหายจากการเจ็บไข้ (หน้า 140) พิธีกรรมประจำวันอาทิตย์ จะจัดในวันอาทิตย์ในตอนเช้าและตอนเย็น พิธีนี้จะปฏิบัติเช่นเดียวกับชาวคริสต์ทั่วโลก (หน้า 145-150) |
|
Education and Socialization |
ในหมู่บ้านได้จัดตั้งศูนย์การศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขา (ศศช.) โดยทำการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยให้กับคนในหมู่บ้านและช่วยชาวบ้านด้านการพัฒนาหมู่บ้าน (หน้า 68) ส่วนในหมู่บ้านมีเด็กที่กำลังเรียนหนังสือและไปเรียนเย็บผ้าจำนวน 11 % จากจำนวนประชากรทั้งหมด 475 คน (หน้า 75,76) |
|
Health and Medicine |
การรักษาพยาบาล
เมื่อไม่สบายจะมีการรักษา 2 อย่างได้แก่ แบบการแพทย์พื้นบ้าน กับการรักษาแบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ในหมู่บ้านกรณีศึกษามีการรักษาดังนี้
การรักษาด้วยไสยศาสตร์
หากไม่สบายเพราะขวัญออกจากร่าง ตัวอย่างเมื่อเด็กตกใจหรือเดินไปที่อื่นในระยะทางไกลๆ เมื่อกลับมาแล้วไม่สบาย ก็จะให้หมอผีมาทำพิธีเรียกขวัญเพราะเชื่อว่าขวัญออกจากร่าง (หน้า 60) การจัดพิธีจะประกอบพิธีที่ประตูหมู่บ้าน โดยหมอผีจะนำกระด้งและกระชอนเพื่อไปช้อนขวัญและไข่ต้ม น้ำชา น้ำ สายสิญจน์ และไก่เป็นๆ อีก 1 ตัว เมื่อถึงประตูหมู่บ้านหมอผีจะทำพิธีสวดเรียกชื่อคนป่วยและก็จะฆ่าไก่จากนั้นก็จะใช้กระชอนตักขวัญคนป่วยกลับมาที่บ้าน เมื่อมาถึงบ้านคนที่บ้านก็จะตะโกนเรียกขวัญ ต่อไปก็จะนำเครื่องเซ่นให้ผู้ป่วยกินแล้วผูกด้ายที่ข้อมือให้ผู้ป่วย ก็จบพิธีเรียกขวัญ (หน้า 61) หากป่วยเพราะผีพาวิญญาณของคนป่วยไปอยู่ด้วย การรักษาจะให้คนทรง ไปติดต่อกับผีแล้วพาวิญญาณของผู้ป่วยกลับจากนั้นจะให้ญาติผู้ป่วยฆ่าสัตว์เซ่นไหว้ผี เป็นต้น (หน้า 61)
การขอพรจากพระเจ้า
ถ้าป่วยมานานรักษาไม่หายก็จะขอพรจากพระเจ้า(หน้า 137) เช่นในวันอาทิตย์เมื่อไปประกอบพิธีทางศาสนาที่โบสถ์ครูสอนศาสนานิกายโปรแตสแตนท์จะใช้มือวางที่หัวคนป่วยและขอพรจากพระเจ้าเพื่อให้พระเจ้ารักษาคนป่วยให้หายป่วยไข้ ส่วนนิกายคาทอลิกไม่มีการขอพรจากพระเจ้าเพื่อรักษาคนป่วยแต่จะมีการรักษาด้วยสมุนไพรและหมอพื้นบ้าน (หน้า 138)
สมุนไพร
จะให้คนสูงอายุที่มีความรู้เรื่องสมุนไพรรักษาเมื่อเจ็บป่วยไม่สบายเช่น เมื่อมีแผล งูกัด เส้นพลิก ปวดกระดูกและอื่นๆ (หน้า 137)
การรักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบัน
ถ้าไม่สบายเล็กๆน้อยๆจะซื้อยามากิน เช่น ยาพาราเซตามอลและยาบวดหาย ยาทัมใจ เป็นต้น (หน้า 137) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ตำนานการรับประเพณีจากพระผู้สร้างสรรพสิ่งของอาข่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระผู้สร้างสรรพสิ่งได้ทรงมอบประเพณีวัฒนธรรมให้กับชาติพันธุ์ต่างๆ ดังนั้นกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหลายเช่น ไทย จีน ลาหู่ ลีซอ ก็ได้ถือตะกร้าที่สานห่างๆ ไปรับประเพณีที่พระผู้สร้างสรรพสิ่งได้มอบให้ ในตอนนั้นอาข่าได้นำกระสอบที่ทออย่างแน่นหนาไปใส่ประเพณี เมื่อรับประเพณีเรียบร้อยแล้วพอกลับบ้าน ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ ของชาติพันธุ์ไทย จีน ลาหู่ ลีซอ ก็หล่นหายไปในบางส่วน ขณะที่ประเพณีของอาข่าที่ขนมาในกระสอบไม่ได้สูญหายไปเลยสักชิ้นดังนั้นจึงทำให้อาข่ามีประเพณีต่างๆ มากกว่า
ชาติพันธุ์อื่นๆ (หน้า 30)
นิทานที่มาของการทำประตูหมู่บ้านอาข่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในตอนนั้น คนกับผีเป็นพี่น้องกัน สำหรับคนเป็นพี่และผีเป็นน้อง เมื่อเวลาผ่านไปทั้งสองได้เกิดความขัดแย้งกันจึงได้แบ่งทรัพย์สินกัน แต่ไม่สามารถตกลงกันได้
ดังนั้นจึงไปให้พระผู้สร้างเป็นผู้ตัดสิน ดังนั้นพระผู้สร้างจึงตัดสินให้ผีไปอยู่ที่หน้าผาในป่าที่อุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้ สำหรับคนได้ส่วนแบ่งที่เป็นที่ราบไม่มีต้นไม้และที่เป็นขี้เถ้า ในภายหลังคนไปเผาป่าที่จึงเป็นของคน ส่วนทรัพย์สินที่เป็นสัตว์เลี้ยงคนจะได้ ไก่ หมา หมู แพะ และผีจะได้เสือกับสัตว์ป่าชนิดต่างๆ ส่วนน้ำคนได้รับน้ำที่ไหลเชี่ยว ส่วนผีได้น้ำที่นิ่ง เมื่อเวลาผ่านได้ คนก็ใช้ชีวิตทำมาหากินในที่ดินของตนเป็นปกติเหมือนทุกๆวัน ผีเห็นจึงเกิดความอิจฉาตาร้อนจึงเข้ามาหลอกคนในหมู่บ้าน (หน้า 46)
เพื่อเป็นการแก้ปัญหานี้พระผู้สร้างจึงแนะนำให้คนสร้างประตูหมู่บ้านเพื่อป้องกันผีไม่ให้เข้าหมู่บ้าน และถ้าหากไปสร้างหมู่บ้านที่ใดก็ให้สร้างประตูหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังกำชับว่าให้มีคนเฝ้าหมู่บ้านและทำพิธีเซ่นไหว้ที่ประตูปีละครั้ง ซึ่งจากนั้นเรื่อยมาคนก็มีแต่ความสงบร่มเย็นไม่มีผีเข้าไปรังคราญคนในหมู่บ้านให้ได้รับความเดือดร้อน (หน้า 46)
ตำนานเจ้าสาวคนแรกของอาข่าเป็นผี
ตำนานอาข่าเรื่องนี้เล่าว่า พระผู้สร้างได้สร้างท้องฟ้าแผ่นดินและคน พระผู้สร้างได้บอกชายอาข่าว่าถ้าอยากแต่งงานให้ไปป่า เมื่อไปถึงต้นองุ่นขนาดใหญ่ให้ตะโกน 3 ครั้ง เมื่อเขาตะโกนมีปรากฏร่างของผู้หญิงที่มีขนปกคลุมทั่วร่างกายและมีเขี้ยวยาว เล็บยาว ดังนั้นชายคนนั้นจึงนำกระสอบมาตัดเป็นกระโปรงให้ผู้หญิงคนนั้นสวม ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่าเป็นที่มาที่ทำให้หญิง
อาข่าต้องสวมกระโปรงสีขาวเมื่อเข้าพิธีแต่งงาน เมื่อแต่งงานกันแล้วผู้หญิงคนนี้ก็ฆ่าสามีกิน ในเวลาต่อมาเธอต้องการแต่งงานกับชายในหมู่บ้านอีกแต่พวกเขาไม่ยอม เธอจึงตกลงว่าจะไม่กินและยอมตัดเขี้ยวเล็บและบอกให้กั้นห้องในบ้านเป็นส่วนของห้องผู้ชายและผู้หญิงเพื่อเป็นการป้องกันที่เธอจะกินเขา เมื่อญาติผีและพ่อแม่มาเยี่ยม รู้ว่าเธอสบายจึงกลับไป (หน้า 46)
ดังนั้นผู้ที่เป็นสามีจึงชายประตูไว้ที่ทางเข้าหมู่บ้านและทำเป็นรูปแกะสลักคนเฝ้า 2 คนเพื่อให้ผีมาถึงแค่ตรงนั้นและมองว่าลูกสาวของตนสบายดี (หน้า 46) และได้กลับเข้าป่าไม่ยอมเข้าหมู่บ้าน ในภายหลังผีผู้หญิงจึงกลายเป็นผู้หญิงอาข่า (หน้า 47) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในสังคมอาข่าได้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ เมื่อจะเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์อาข่าก็จะทำพิธีทิ้งผี ก่อนจะทำพิธีทิ้งผีก็จะเลี้ยงผีบรรพบุรุษเป็นครั้งสุดท้าย ในวันนั้นจะฆ่าหมู ฆ่าไก่ เชิญญาติๆมารับประทานอาหารแล้วผูกข้อไม้ข้อมือ ในวันต่อมาครูสอนศาสนาประจำหมู่บ้านจะเป็นผู้ประกอบพิธีทิ้งผี โดยเจ้าของบ้านจะมอบสิ่งของที่ใช้เลี้ยงผีบรรพบุรุษไปเผาไฟ (หน้า 151) จากนั้นก็จะทำหิ้งบูชาแบบศาสนาคริสต์ที่บริเวณห้องของผู้ชาย ต่อไปก็จะทำพิธีสวดมนต์แบบศาสนาคริสต์ (หน้า 152)
ในงานเขียนได้ระบุว่าแม้ว่าอาข่าจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์แต่เมื่อประสบความเดือดร้อนหรือเจ็บไข้ได้ป่วยก็คิดถึงการปฏิบัติที่เคยทำกันมาแต่เดิมแล้วได้นำความเชื่อทางศาสนาคริสต์มาประยุกต์ใช้ตามความเชื่อนั้น ซึ่งในงานเขียนได้ระบุไว้หลายกรณีดังนี้ (หน้า 152)
1 ) การประกอบพิธีกรรมเมื่อเกิดเรื่องไม่ดีตามความเชื่อเดิม เช่นในช่วงเก็บเกี่ยวข้าวเมื่อต้นไม้ใหญ่ล้มในไร่อาข่าเชื่อว่าเป็นต้นเหตุทำให้ได้ผลผลิตน้อย แต่เดิมจะทำพิธีเซ่นไหว้ผีที่ไร่ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนมาสวดมนต์ตามแบบคริสต์และเลี้ยงอาหารเพื่อนบ้านที่มาร่วมพิธีกรรมเพื่อขอให้พืชผลที่ปลูกให้ผลผลิตเป็นจำนวนมาก (หน้า 152-155)
2 ) การประกอบพิธีกรรมสำหรับคนป่วยอาการหนัก แม้ว่าอาข่าบางส่วนจะเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ แต่เมื่อไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วยมากๆก็จะเชิญหมอผีมาทำพิธีรักษาโดยติดต่อกับผีแล้วฆ่าสัตว์เซ่นไหว้ผีเพื่อต้องการให้หายจากไม่สบาย ตามความเชื่อของอาข่าที่เคยทำกันมาก่อนที่จะมานับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 155-157)
3 ) การประกอบพิธีกรรมสำหรับเด็กทารก ในกลุ่มอาข่ายังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันบางคนยังอยากให้ทำพิธีตามแบบของอาข่าที่เคยทำ เช่น นำเคียว ใบไม้กับพริกไปติดไว้ที่ประตูเพื่อป้องกันผี ดังนั้นจึงทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดเนื่องจากคิดว่าตนเองหันมานับถือศาสนาคริสต์แล้วก็ไม่น่าจะปฏิบัติตามความเชื่อของอาข่าที่เคยทำมาเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเซ่นไหว้เลี้ยงผีเมื่อไม่สบาย เป็นต้น แต่บางส่วนยังอยากให้ประกอบพิธีเลี้ยงผีแบบอาข่าเมื่อเด็กไม่สบายและทำพิธีขอพรแบบคริสต์ด้วยเช่นกันดังนั้นจึงทำให้คนในชุมชนยังมีความขัดแย้งทางความคิดในเรื่องนี้ (หน้า 157-160)
4 ) ความขัดแย้งในกรณีการตายของทารก กรณีเด็กตายอาข่าได้จัดพิธีสวดให้เด็กทารกเองโดยครูสอนศาสนาประจำหมู่บ้านไม่ยอมเข้าร่วมพิธีเนื่องจากอ้างว่าเมื่อเด็กยังอยู่ก็ไม่ได้เรียกให้ไปสวดแบบคริสต์ แต่ชาวบ้านได้จัดตามความเชื่อแบบอาข่าที่เคยทำมาดังนั้นเมื่อเด็กตา ยครูสอนศาสนาคริสต์ประจำหมู่บ้านจึงไม่ไปร่วมพิธี ซึ่งการกระทำดังกล่าวของครูสอนศาสนาก็เพื่อต้องการให้อาข่าแยกให้ออกระหว่างความเชื่อเดิมของอาข่ากับพิธีศาสนาคริสต์ (หน้า 160-163) |
|
Other Issues |
การเผยแพร่คริสต์ศาสนาในประเทศไทย ในงานเขียนได้เขียนเกี่ยวกับคำว่า กระบวนการกลายเป็นคริสต์อธิบายความรู้เรื่องการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในประเทศไทย การมาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ของมิชชันนารีกลุ่มต่างๆ และอื่นๆ (หน้า 90-105) |
|
Map/Illustration |
ตาราง จำแนกประเภทวิญญาณในจักรวาลวิทยาของอาข่า (หน้า 49) จำนวนครัวเรือนที่พึ่งพารายได้นอกภาคการเกษตรในระดับต่างๆ และการถือครองที่ดิน (หน้า 77) การจัดสรรเวลาที่ใช้ในแต่ละภาคการผลิตของครัวเรือนใน 1 ปี (หน้า 78) รายได้ รายจ่ายและหนี้สินเฉลี่ยของครัวเรือนใน 1 ปี (หน้า 79) จำนวนครัวเรือนที่ยึดถือความเชื่อต่างๆ ในชุมชน จำแนกประเภทของครัวเรือนตามที่มาของรายได้ (หน้า 83)
แผนภูมิ การประกอบพิธีกรรมประจำปีของอาข่า (หน้า 57) การประกอบพิธีกรรมประจำปีของชาวน้ำอุ่นอาข่าคริสต์ (หน้า 131) แนวโน้มการรับความเชื่อทางคริสต์ศาสนาของอาข่าในพื้นที่ศึกษา (หน้า 86)
แผนที่ การอพยพและตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยของอาข่า (หน้า 39) ที่ตั้งของหมู่บ้านพื้นที่ศึกษา (หน้า 67) การกระจายตัวของครัวเรือนที่ยึดถือความเชื่อต่างๆ ในพื้นที่ศึกษา (หน้า 72) |
|
|