สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่,ลาหู่ดำ, บ้านห้วยเฮี๊ยะ, แม่ฮ่องสอน, อัตลักษณ์, การเปลี่ยนแปลง
Author มงคล พนมมิตร
Title การดำรงอัตลักษณ์ของชุมชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือ
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 118 หน้า Year 2551
Source มงคล พนมมิตร.การดำรงอัตลักษณ์ของชุมชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือ.วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต(การศึกษานอกระบบ) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2551
Abstract

         งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาการดำรงอัตลักษณ์ของชุมชนกลุ่มน้อยและศึกษาเงื่อนไขที่เกี่ยวกับการดำรงอัตลักษณ์ของชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือโดยเน้นศึกษาถึงกระบวนการดำรงอัตลักษณ์ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง พบว่าชุมชนกลุ่มน้อยบ้านห้วยเฮี๊ยะ หมู่ 8 ต. ปางมะผ้า อ. ปางมะผ้า จ. แม่ฮ่องสอน พบว่ามีหลายอัตลักษณ์ ได้แก่ อัตลักษณ์ดั้งเดิม  การแต่งกาย ภาษา ประเพณี และอัตลักษณ์นามธรรม เช่น การให้ความเคารพผู้อาวุโสและทรัพยากร การช่วยเหลือแบ่งปัน เป็นมิตร และอัตลักษณ์ตามสมัยนิยมที่เปลี่ยนตามยุคสมัย ผู้วิจัยพบว่าแต่ละอัตลักษณ์จะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน แต่ล้วนมีกระบวนการสำคัญ 3 กระบวนการ คือ
          1. มีความคิดเรื่องความเป็นปึกแผ่นของชุมชน
          2. มีกลไกของชุมชน
          3. มีวิธีการสร้างการเรียนรู้เพื่อให้เห็นถึงคุณค่าของการดำรงรักษาอัตลักษณ์ของชนเผ่า ทำให้ชุมชนห้วยเฮี๊ยะสามารถดำรงรักษาอัตลักษณ์ของชุมชนไว้ได้ คนในชุมชนมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

Focus

          งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาการดำรงอัตลักษณ์ของชุมชนกลุ่มน้อยพบว่าชุมชนกลุ่มน้อยบ้านห้วยเฮี๊ยะ หมู่ 8 ต. ปางมะผ้า อ. ปางมะผ้า จ. แม่ฮ่องสอนและศึกษาเงื่อนไขที่เกี่ยวกับการดำรงอัตลักษณ์ของชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือโดยเน้นศึกษาถึงกระบวนการดำรงอัตลักษณ์ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง 

Theoretical Issues

แนวคิดเรื่องวัฒนธรรมชุมชน อัตลักษณ์ชุมชน องค์กรประชาชน และเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคม(หน้า 28)

Ethnic Group in the Focus

ลาหู่ดำ

Language and Linguistic Affiliations

ลาหู่ดำ มีภาษาพูด แต่ไม่มีภาษาเขียน(หน้า 85)

Study Period (Data Collection)

พ.ศ. 2551

History of the Group and Community

          ชาวลาหู่ดำมีถิ่นอาศัยในประเทศพม่าตอนเหนือและจีนตอนใต้ อพยพโยกย้ายมาอาศัยบริเวณเขตตะเข็บชายแดนไทยที่บริเวณดอยสามหมื่นเมื่อประมาณ 90 ปีมาแล้ว แล้วจึงกระจายตัวไปอยู่จังหวัดอื่นๆ ในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ตากและแม่ฮ่องสอน

          เดิมชาวลาหู่อาศัยอยู่ที่ดอยคูประเทศพม่าแต่ถูกรุกรานจากทหารชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่น ชาวบ้านถูกขูดรีด รังแก ต้องเสียภาษี ให้กับกลุ่มทหารต่อโข่(ไทใหญ่) ผู้นำและผู้อาวุโสของหมู่บ้านเห็นว่าชาวบ้านถูกรังแกมากจึงอพยพจากดอยคูประเทศพม่าเข้ามาอยู่ในประเทศไทยที่ดอยสามง่าม ต.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อปี พ.ศ. 2506 จากนั้นอีก10 ปี จำนวนครัวเรือนและประชากรเพิ่มมากขึ้น จึงโยกย้ายหมู่บ้านจากดอยสามง่ามไปตั้งหมู่บ้านใหม่ที่บ้างปางแปก ซึ่งในขณะนั้นมีนายจ่าโบ่เป็นผู้นำหมู่บ้าน  ต่อมามีการสู้รบในเขตชายแดนพม่า ชาวบ้านรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงย้ายหมู่บ้านมาตั้งที่สันดอย คือ หมู่บ้านห้วยเฮี๊ยะในปัจจุบัน(หน้า43-44)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

          ชาวลาหู่ดำ บ้านห้วยเฮี๊ยะ มีอาชีพทำไร่ ปลูกข้าว และข้าวโพด พืชผักต่างๆ เช่น ถั่ว แตง ฟัก ฟักทอง พริก หอม และงา (หน้า 45) ซึ่งจะปลูกในระบบไร่หมุนเวียนรอบละ 7-8 ปี แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 3-4 ปี ชาวลาหู่ดำจะเลี้ยงสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควาย ถือเป็นการออมอย่างหนึ่งจะขายเมื่อต้องการนำเงินก้อนมาใช้จ่าย ส่วนสัตว์เลี้ยง เช่น เป็ด ไก่ ชาวบ้านจะเลี้ยงไว้เพื่อบริโภคหรือใช้เป็นเครื่องเซ่นประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ (หน้า 46)  รายได้ส่วนใหญ่มาจากการเลี้ยงสัตว์ และปลูกถั่วแดง และอาจมีรายได้เล็กๆน้อยจากการเก็บของป่า เช่น ใบตองก๊อ เห็ด หน่อไม้ เป็นต้น (หน้า 46) ส่วนรายจ่ายจะเป็นเรื่องค่าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น น้ำมัน เกลือ ไข่ฯลฯ เมื่อหมู่บ้านมีไฟฟ้าเข้าถึง ก็ต้องมีรายจ่ายเรื่องค่าไฟฟ้า 

Social Organization

          หมู่บ้านห้วยเฮี๊ยะเป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก ชาวบ้านมีความเป็นเครือญาติสูง มีตระกูลใหญ่อยู่ 3 ตระกูล คือ ถิ่นพนาสุข แก้วธารากุล พรพรรษา ในแต่ละตระกูลมีความเกี่ยวดอง แต่งงานระหว่างสายตระกูลทำให้เป็นญาติกันทั้งหมด 

Political Organization

ในอดีต การปกครองของชนเผ่าลาหู่ดำ มี ผู้นำอยู่ 3 ส่วน คือ

          1.ผู้นำด้านการปกครอง หรือปู่ก๊าง ชาวบ้านเป็นผู้เลือกเองจากความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เห็นแก่ตัว
          2. ผู้นำทางความเชื่อ หรือแกลุป่า
          3. ผู้รู้ ผู้ชำนาญการตีเหล็ก หรือจ่าลิป้า เป็นผู้นำที่มีการสืบทอดโดยสายตระกูล(หน้า 50) แกลุป่า และจ่าลิป่ามีบทบาทในชุมชนเป็นหลัก ส่วนปู่ก๊างนั้นมีบทบาททั้งในหมู่บ้านและและนอกหมู่บ้าน

มีกฎเกณฑ์ร่วมในหมู่บ้าน ดังนี้
          1. ห้ามซื้อขายยาเสพติด
          2. ห้ามบุคคลภายนอกมาก่อเรื่องทะเลาะวิวาทในหมู่บ้าน
          3. ห้ามลักขโมยทรัพย์สินทุกชนิด
          4. ห้ามผู้ชายที่มีภรรยาแล้วละเมิดกับผู้หญิงในหมู่บ้าน
          5. ห้ามพกพาอาวุธปืนในหมู่บ้าน
          6. ห้ามราษฎรในหมู่บ้านทำลายทรัพยากรป่าไม้ในเขตป่าต้นน้ำ (หน้า53)

Belief System

          โครงสร้างทางสังคมและการจัดความสัมพันธ์การอยู่ร่วมกันของชาวบ้าน โดยมีความเชื่อว่าลาหู่ดำบ้านห้วยเฮี๊ยะมีความเชื่อต่อสิ่งสูงสุดที่เรียกว่า “อื่อซา” ว่าเป็นผู้ดูแลปกป้องคุ้มครองหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังไม่มีความเชื่อว่า หากใครละเมิดข้อบังคับหรือประพฤติตัวไม่ดี ทำผิดข้อห้าม จะถูกลงโทษโดยอื่อซา เช่น ทำให้ เจ็บป่วย จิตใจไม่สงบ (หน้า 54 )
          ชาวลาหู่ดำจะมีการประกอบประเพณีทุกเดือน เช่น ประเพณีปีใหม่ ประเพณีกินปีใหม่ ประเพณีเรียกขวัญข้าว ประเพณีทำบุญต้นข้าว ประเพณีกินข้าวใหม่ ประเพณีทำบุญหมู่บ้าน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีประเพณีที่จัดในแต่ละครัวเรือน เช่น พิธีกรรมปอยบาง พิธีกรรมบู่เต เป็นต้น ชาวลาหู่จะเชื่อว่าถ้าผู้ใดไม่เข้าร่วมในประเพณีหรือจัดกิจกรรมจะทำให้ชีวิตไม่มีความสุข(หน้า 61)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ผู้วิจัยประมวลจากการสัมภาษณ์ผู้นำและผู้อาวุโสของชุมชนเป็น  3 ช่วง
          ช่วงที่ 1 ก่อนการขยายอำนาจของรัฐ หมู่บ้านห้วยเฮี๊ยะ เป็นหมู่บ้านอพยพมาจากบริเวณดอยสามหมื่น เขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกลุ่มลาหู่ดำๆ ที่อพยพมาจาก อ.ปางมะผ้าเมื่อประมาณ 55 ปีที่ผ่านมา การตั้งหมู่บ้านจะไม่ถาวร เพราะจะอพยพไปตามพื้นที่ที่มีการทำกิน หรืออพยพจากการหนีโรคระบาด มีจิตสำนึกเคารพในธรรมชาติ เคารพในวิญญาณบรรพบุรุษ การดำเนินชีวิตจะผูกโยงกับ อือซ่า คือ ผู้สร้างทุกสิ่งในโลก(หน้า 64)

          ช่วงที่ 2 การขยายอำนาจของรัฐ และการเข้ามาของโครงการความช่วยเหลือระหว่างประเทศ (พ.ศ. 2504-2535) ปี พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา รัฐได้ขยายอำนาจการปกครองไปสู่ภูมิภาค มีผลให้ชาวลาหู่ดำทำไร่ด้วยความลำบาก ถูกจำกัดพื้นที่ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
                    1.กลุ่มที่อึดอัดใจ จะย้ายหมู่บ้าน
                    2.เห็นว่า ควรปรับตัวตามแนวทางของรัฐเพื่อจะได้ตั้งหมู่บ้านและดำเนินชีวิตอยู่ได้ บ้านห้วยเฮี๊ยะเลือกที่จะปรับตัวยอมรับและสิทธิความเป็นคนไทยซึ่งส่งผลให้หมู่บ้านมีความมั่นคงและได้รับสวัสดิการต่างๆ จากรัฐ โดยชาวลาหู่ดำได้ปรับตัวผสมผสานระหว่างโครงสร้างต่างๆ ภายในหมู่บ้านให้เข้ากับการปกครองของรัฐ และพยายามรักษาประเพณีวัฒนธรรมของลาหู่ดำไว้ด้วย  ในยุคนี้มีหน่วยงานราชการต่างๆ เข้าไปมีบทบาทพัฒนาความเป็นอยู่ของชาวบ้าน เช่น
                    1.ที่ว่าการอำเภอ
                    2.โครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมัน มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนบนพื้นที่สูง  เพื่อลดพื้นที่ปลูกฝิ่น
                    3.หน่วยงานทหารกองอำนายการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน) มีบทบาทด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การตัดถนนสายหลักเลาะชายแดนไทย-พม่า
                    4.หน่วยป่าไม้ หน่วยจัดการป่าไม้ซึ่งมีนโยบายแก้ปัญหาและป้องกันมิให้มีการบุกรุกทำลายป่าไม้โดยใช้มาตรการทางกฎหมายกับชาวบ้าน มีเหตุการณ์หลายครั้งที่เจ้าหน้าที่จับชาวบ้านที่กำลังถางแผ้ว แต่ผู้นำหมู่บ้านต้องไปเจรจาผ่อนปรน
                    5.หน่วยงานประชาสงเคราะห์  เป็นหน่วยงานบุกเบิกที่มีบทบาทพัฒนาชาวเขาโดยตรง จัดทำทะเบียนประวัติ และพัฒนาอาชีพ เช่น ส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กาแฟ ท้อ บ๊วย(หน้า69)
                    6.หน่วยงานเกษตรตำบล มุ่งส่งเสริมปลูกพืชทดแทนการปลูกฝิ่น
                    7.หน่วยงานพัฒนาที่ดิน
                    8.หน่วยงานปศุสัตว์
                    9.หน่วยงานประมง  
                    10.หน่วยงานสาธารณสุขอำเภอ เป็นต้น (หน้า 69-72) 

          ช่วงที่ 3 ยุคกระแสบริโภควัตถุของระบบทุนนิยม(พ.ศ.2536-ปัจจุบัน) ในยุคการขยายอำนาจการปกครองของรัฐ และการเข้าไปพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนบนพื้นที่สูง  มีจุดเริ่มต้นจากพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2475 พร้อมทั้งมีการออกบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อให้อำนาจรัฐมีผลจริงต่อการปกครองประเทศ เป็นช่วงที่รัฐมีนโยบายและโครงการเพื่อการปราบปรามยาเสพติด ใช้มาตรการแบบสั่งการจากบนลงล่าง ลดพื้นที่การปลูกฝิ่น การทำเกษตรถาวรด้วยระบบการทำแปลงอนุรักษ์ดินและน้ำ  การเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ เป็นช่วงที่ชาวบ้านถูกกระทำรุมเร้าจากภายนอกมากที่สุด เป็นยุคที่ชาวบ้านไม่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาแต่อย่างใด การส่งเสริมจากรัฐหลายโครงการไม่ให้ผลและไม่ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของชาวบ้าน เช่น การเลี้ยงปลาในแหล่งน้ำ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นช่วงที่ชาวบ้านต้องพัฒนาด้านอื่นๆด้วย เช่น การศึกษา มีร้านค้าชุมชน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ อัตลักษณ์ของชาวลาหู่ดำบ้านห้วยเหี๊ยะในช่วงนี้ เป็นอัตลักษณ์ที่ต้องประนีประนอม เป็นมิตรได้กับทุกฝ่าย และสามารถเข้าได้กับทุกฝ่าย เพื่อรักษาตัวตนของตนเอง (หน้า77)
          ช่วงที่ 3 ยุคกระแสบริโภควัตถุของระบบทุนนิยม(พ.ศ.2536-ปัจจุบัน) ช่วงนี้หมู่บ้านได้รับอิทธิพลจากภายนอก การบริโภคมีแนวโน้มสูงขึ้น มีตลาดนัด การกู้ยืมเกิดภาวะหนี้สิน เช่น ซื้อเครื่องซักผ้ารถจักรยานยนต์ รถยนต์ และมีการบริโภคสื่อ โทรทัศน์ อัตลักษณี้ เป็นอัตลักษณ์ที่ทับซ้อนของ 2 ยุค คือ 1.อัตลักษณ์ดั้งเดิมแสดงออกทางประเพณีวัฒนธรรม  2.อัตลักษณ์ที่ต้องปรับตัวตามความเปลี่ยนของสังคมที่มีการบริโภคมากขึ้น (หน้า 77)

Social Cultural and Identity Change

          ช่วงที่ 2 การขยายอำนาจของรัฐ ชาวบ้านต้องปรับตัวผูกมิตรกับเจ้าหน้าที่รัฐ ใช้วิธีการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ สร้างภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือให้หมู่บ้านด้วยการให้ความร่วมมือและตอบสนองนโยบายของรัฐ 

          ช่วงที่ 3 ยุคกระแสบริโภคนิยม กลับมาฟื้นฟูประเพณีวัฒนธรรมลาหู่ดำและมีการรวมตัวสร้างเครือข่ายลาหู่ดำตำบลปางมะผ้า เพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชาวลาหู่ดำ(หน้า 89)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

ตาราง 1 แสดงการดำรงอัตลักษณ์ของชุมชนในแต่ละช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง (หน้า 92-94)

แผนผัง กระบวนการการดำรงรักษาอัตลักษณ์ชุมชนกับการส่งผลต่อการดำรงอยู่ของชุมชน (หน้า 102)

Text Analyst ชัยวัฒน์ อหันทริก Date of Report 27 พ.ค. 2562
TAG ลาหู่, ลาหู่ดำ, บ้านห้วยเฮี๊ยะ, แม่ฮ่องสอน, อัตลักษณ์, การเปลี่ยนแปลง, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง