|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่,ลาหู่ดำ, บ้านห้วยเฮี๊ยะ, แม่ฮ่องสอน, อัตลักษณ์, การเปลี่ยนแปลง |
Author |
มงคล พนมมิตร |
Title |
การดำรงอัตลักษณ์ของชุมชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
118 หน้า |
Year |
2551 |
Source |
มงคล พนมมิตร.การดำรงอัตลักษณ์ของชุมชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือ.วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต(การศึกษานอกระบบ) บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2551 |
Abstract |
งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาการดำรงอัตลักษณ์ของชุมชนกลุ่มน้อยและศึกษาเงื่อนไขที่เกี่ยวกับการดำรงอัตลักษณ์ของชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือโดยเน้นศึกษาถึงกระบวนการดำรงอัตลักษณ์ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง พบว่าชุมชนกลุ่มน้อยบ้านห้วยเฮี๊ยะ หมู่ 8 ต. ปางมะผ้า อ. ปางมะผ้า จ. แม่ฮ่องสอน พบว่ามีหลายอัตลักษณ์ ได้แก่ อัตลักษณ์ดั้งเดิม การแต่งกาย ภาษา ประเพณี และอัตลักษณ์นามธรรม เช่น การให้ความเคารพผู้อาวุโสและทรัพยากร การช่วยเหลือแบ่งปัน เป็นมิตร และอัตลักษณ์ตามสมัยนิยมที่เปลี่ยนตามยุคสมัย ผู้วิจัยพบว่าแต่ละอัตลักษณ์จะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน แต่ล้วนมีกระบวนการสำคัญ 3 กระบวนการ คือ
1. มีความคิดเรื่องความเป็นปึกแผ่นของชุมชน
2. มีกลไกของชุมชน
3. มีวิธีการสร้างการเรียนรู้เพื่อให้เห็นถึงคุณค่าของการดำรงรักษาอัตลักษณ์ของชนเผ่า ทำให้ชุมชนห้วยเฮี๊ยะสามารถดำรงรักษาอัตลักษณ์ของชุมชนไว้ได้ คนในชุมชนมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน |
|
Focus |
งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาการดำรงอัตลักษณ์ของชุมชนกลุ่มน้อยพบว่าชุมชนกลุ่มน้อยบ้านห้วยเฮี๊ยะ หมู่ 8 ต. ปางมะผ้า อ. ปางมะผ้า จ. แม่ฮ่องสอนและศึกษาเงื่อนไขที่เกี่ยวกับการดำรงอัตลักษณ์ของชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือโดยเน้นศึกษาถึงกระบวนการดำรงอัตลักษณ์ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง |
|
Theoretical Issues |
แนวคิดเรื่องวัฒนธรรมชุมชน อัตลักษณ์ชุมชน องค์กรประชาชน และเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคม(หน้า 28) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลาหู่ดำ มีภาษาพูด แต่ไม่มีภาษาเขียน(หน้า 85) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ชาวลาหู่ดำมีถิ่นอาศัยในประเทศพม่าตอนเหนือและจีนตอนใต้ อพยพโยกย้ายมาอาศัยบริเวณเขตตะเข็บชายแดนไทยที่บริเวณดอยสามหมื่นเมื่อประมาณ 90 ปีมาแล้ว แล้วจึงกระจายตัวไปอยู่จังหวัดอื่นๆ ในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ตากและแม่ฮ่องสอน
เดิมชาวลาหู่อาศัยอยู่ที่ดอยคูประเทศพม่าแต่ถูกรุกรานจากทหารชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่น ชาวบ้านถูกขูดรีด รังแก ต้องเสียภาษี ให้กับกลุ่มทหารต่อโข่(ไทใหญ่) ผู้นำและผู้อาวุโสของหมู่บ้านเห็นว่าชาวบ้านถูกรังแกมากจึงอพยพจากดอยคูประเทศพม่าเข้ามาอยู่ในประเทศไทยที่ดอยสามง่าม ต.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อปี พ.ศ. 2506 จากนั้นอีก10 ปี จำนวนครัวเรือนและประชากรเพิ่มมากขึ้น จึงโยกย้ายหมู่บ้านจากดอยสามง่ามไปตั้งหมู่บ้านใหม่ที่บ้างปางแปก ซึ่งในขณะนั้นมีนายจ่าโบ่เป็นผู้นำหมู่บ้าน ต่อมามีการสู้รบในเขตชายแดนพม่า ชาวบ้านรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงย้ายหมู่บ้านมาตั้งที่สันดอย คือ หมู่บ้านห้วยเฮี๊ยะในปัจจุบัน(หน้า43-44) |
|
Economy |
ชาวลาหู่ดำ บ้านห้วยเฮี๊ยะ มีอาชีพทำไร่ ปลูกข้าว และข้าวโพด พืชผักต่างๆ เช่น ถั่ว แตง ฟัก ฟักทอง พริก หอม และงา (หน้า 45) ซึ่งจะปลูกในระบบไร่หมุนเวียนรอบละ 7-8 ปี แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 3-4 ปี ชาวลาหู่ดำจะเลี้ยงสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควาย ถือเป็นการออมอย่างหนึ่งจะขายเมื่อต้องการนำเงินก้อนมาใช้จ่าย ส่วนสัตว์เลี้ยง เช่น เป็ด ไก่ ชาวบ้านจะเลี้ยงไว้เพื่อบริโภคหรือใช้เป็นเครื่องเซ่นประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ (หน้า 46) รายได้ส่วนใหญ่มาจากการเลี้ยงสัตว์ และปลูกถั่วแดง และอาจมีรายได้เล็กๆน้อยจากการเก็บของป่า เช่น ใบตองก๊อ เห็ด หน่อไม้ เป็นต้น (หน้า 46) ส่วนรายจ่ายจะเป็นเรื่องค่าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น น้ำมัน เกลือ ไข่ฯลฯ เมื่อหมู่บ้านมีไฟฟ้าเข้าถึง ก็ต้องมีรายจ่ายเรื่องค่าไฟฟ้า |
|
Social Organization |
หมู่บ้านห้วยเฮี๊ยะเป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก ชาวบ้านมีความเป็นเครือญาติสูง มีตระกูลใหญ่อยู่ 3 ตระกูล คือ ถิ่นพนาสุข แก้วธารากุล พรพรรษา ในแต่ละตระกูลมีความเกี่ยวดอง แต่งงานระหว่างสายตระกูลทำให้เป็นญาติกันทั้งหมด |
|
Political Organization |
ในอดีต การปกครองของชนเผ่าลาหู่ดำ มี ผู้นำอยู่ 3 ส่วน คือ
1.ผู้นำด้านการปกครอง หรือปู่ก๊าง ชาวบ้านเป็นผู้เลือกเองจากความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เห็นแก่ตัว
2. ผู้นำทางความเชื่อ หรือแกลุป่า
3. ผู้รู้ ผู้ชำนาญการตีเหล็ก หรือจ่าลิป้า เป็นผู้นำที่มีการสืบทอดโดยสายตระกูล(หน้า 50) แกลุป่า และจ่าลิป่ามีบทบาทในชุมชนเป็นหลัก ส่วนปู่ก๊างนั้นมีบทบาททั้งในหมู่บ้านและและนอกหมู่บ้าน
มีกฎเกณฑ์ร่วมในหมู่บ้าน ดังนี้
1. ห้ามซื้อขายยาเสพติด
2. ห้ามบุคคลภายนอกมาก่อเรื่องทะเลาะวิวาทในหมู่บ้าน
3. ห้ามลักขโมยทรัพย์สินทุกชนิด
4. ห้ามผู้ชายที่มีภรรยาแล้วละเมิดกับผู้หญิงในหมู่บ้าน
5. ห้ามพกพาอาวุธปืนในหมู่บ้าน
6. ห้ามราษฎรในหมู่บ้านทำลายทรัพยากรป่าไม้ในเขตป่าต้นน้ำ (หน้า53) |
|
Belief System |
โครงสร้างทางสังคมและการจัดความสัมพันธ์การอยู่ร่วมกันของชาวบ้าน โดยมีความเชื่อว่าลาหู่ดำบ้านห้วยเฮี๊ยะมีความเชื่อต่อสิ่งสูงสุดที่เรียกว่า “อื่อซา” ว่าเป็นผู้ดูแลปกป้องคุ้มครองหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังไม่มีความเชื่อว่า หากใครละเมิดข้อบังคับหรือประพฤติตัวไม่ดี ทำผิดข้อห้าม จะถูกลงโทษโดยอื่อซา เช่น ทำให้ เจ็บป่วย จิตใจไม่สงบ (หน้า 54 )
ชาวลาหู่ดำจะมีการประกอบประเพณีทุกเดือน เช่น ประเพณีปีใหม่ ประเพณีกินปีใหม่ ประเพณีเรียกขวัญข้าว ประเพณีทำบุญต้นข้าว ประเพณีกินข้าวใหม่ ประเพณีทำบุญหมู่บ้าน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีประเพณีที่จัดในแต่ละครัวเรือน เช่น พิธีกรรมปอยบาง พิธีกรรมบู่เต เป็นต้น ชาวลาหู่จะเชื่อว่าถ้าผู้ใดไม่เข้าร่วมในประเพณีหรือจัดกิจกรรมจะทำให้ชีวิตไม่มีความสุข(หน้า 61) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้วิจัยประมวลจากการสัมภาษณ์ผู้นำและผู้อาวุโสของชุมชนเป็น 3 ช่วง
ช่วงที่ 1 ก่อนการขยายอำนาจของรัฐ หมู่บ้านห้วยเฮี๊ยะ เป็นหมู่บ้านอพยพมาจากบริเวณดอยสามหมื่น เขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกลุ่มลาหู่ดำๆ ที่อพยพมาจาก อ.ปางมะผ้าเมื่อประมาณ 55 ปีที่ผ่านมา การตั้งหมู่บ้านจะไม่ถาวร เพราะจะอพยพไปตามพื้นที่ที่มีการทำกิน หรืออพยพจากการหนีโรคระบาด มีจิตสำนึกเคารพในธรรมชาติ เคารพในวิญญาณบรรพบุรุษ การดำเนินชีวิตจะผูกโยงกับ อือซ่า คือ ผู้สร้างทุกสิ่งในโลก(หน้า 64)
ช่วงที่ 2 การขยายอำนาจของรัฐ และการเข้ามาของโครงการความช่วยเหลือระหว่างประเทศ (พ.ศ. 2504-2535) ปี พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา รัฐได้ขยายอำนาจการปกครองไปสู่ภูมิภาค มีผลให้ชาวลาหู่ดำทำไร่ด้วยความลำบาก ถูกจำกัดพื้นที่ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มที่อึดอัดใจ จะย้ายหมู่บ้าน
2.เห็นว่า ควรปรับตัวตามแนวทางของรัฐเพื่อจะได้ตั้งหมู่บ้านและดำเนินชีวิตอยู่ได้ บ้านห้วยเฮี๊ยะเลือกที่จะปรับตัวยอมรับและสิทธิความเป็นคนไทยซึ่งส่งผลให้หมู่บ้านมีความมั่นคงและได้รับสวัสดิการต่างๆ จากรัฐ โดยชาวลาหู่ดำได้ปรับตัวผสมผสานระหว่างโครงสร้างต่างๆ ภายในหมู่บ้านให้เข้ากับการปกครองของรัฐ และพยายามรักษาประเพณีวัฒนธรรมของลาหู่ดำไว้ด้วย ในยุคนี้มีหน่วยงานราชการต่างๆ เข้าไปมีบทบาทพัฒนาความเป็นอยู่ของชาวบ้าน เช่น
1.ที่ว่าการอำเภอ
2.โครงการพัฒนาที่สูงไทย-เยอรมัน มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนบนพื้นที่สูง เพื่อลดพื้นที่ปลูกฝิ่น
3.หน่วยงานทหารกองอำนายการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน) มีบทบาทด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การตัดถนนสายหลักเลาะชายแดนไทย-พม่า
4.หน่วยป่าไม้ หน่วยจัดการป่าไม้ซึ่งมีนโยบายแก้ปัญหาและป้องกันมิให้มีการบุกรุกทำลายป่าไม้โดยใช้มาตรการทางกฎหมายกับชาวบ้าน มีเหตุการณ์หลายครั้งที่เจ้าหน้าที่จับชาวบ้านที่กำลังถางแผ้ว แต่ผู้นำหมู่บ้านต้องไปเจรจาผ่อนปรน
5.หน่วยงานประชาสงเคราะห์ เป็นหน่วยงานบุกเบิกที่มีบทบาทพัฒนาชาวเขาโดยตรง จัดทำทะเบียนประวัติ และพัฒนาอาชีพ เช่น ส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กาแฟ ท้อ บ๊วย(หน้า69)
6.หน่วยงานเกษตรตำบล มุ่งส่งเสริมปลูกพืชทดแทนการปลูกฝิ่น
7.หน่วยงานพัฒนาที่ดิน
8.หน่วยงานปศุสัตว์
9.หน่วยงานประมง
10.หน่วยงานสาธารณสุขอำเภอ เป็นต้น (หน้า 69-72)
ช่วงที่ 3 ยุคกระแสบริโภควัตถุของระบบทุนนิยม(พ.ศ.2536-ปัจจุบัน) ในยุคการขยายอำนาจการปกครองของรัฐ และการเข้าไปพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนบนพื้นที่สูง มีจุดเริ่มต้นจากพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2475 พร้อมทั้งมีการออกบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อให้อำนาจรัฐมีผลจริงต่อการปกครองประเทศ เป็นช่วงที่รัฐมีนโยบายและโครงการเพื่อการปราบปรามยาเสพติด ใช้มาตรการแบบสั่งการจากบนลงล่าง ลดพื้นที่การปลูกฝิ่น การทำเกษตรถาวรด้วยระบบการทำแปลงอนุรักษ์ดินและน้ำ การเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ เป็นช่วงที่ชาวบ้านถูกกระทำรุมเร้าจากภายนอกมากที่สุด เป็นยุคที่ชาวบ้านไม่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาแต่อย่างใด การส่งเสริมจากรัฐหลายโครงการไม่ให้ผลและไม่ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของชาวบ้าน เช่น การเลี้ยงปลาในแหล่งน้ำ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นช่วงที่ชาวบ้านต้องพัฒนาด้านอื่นๆด้วย เช่น การศึกษา มีร้านค้าชุมชน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ อัตลักษณ์ของชาวลาหู่ดำบ้านห้วยเหี๊ยะในช่วงนี้ เป็นอัตลักษณ์ที่ต้องประนีประนอม เป็นมิตรได้กับทุกฝ่าย และสามารถเข้าได้กับทุกฝ่าย เพื่อรักษาตัวตนของตนเอง (หน้า77)
ช่วงที่ 3 ยุคกระแสบริโภควัตถุของระบบทุนนิยม(พ.ศ.2536-ปัจจุบัน) ช่วงนี้หมู่บ้านได้รับอิทธิพลจากภายนอก การบริโภคมีแนวโน้มสูงขึ้น มีตลาดนัด การกู้ยืมเกิดภาวะหนี้สิน เช่น ซื้อเครื่องซักผ้ารถจักรยานยนต์ รถยนต์ และมีการบริโภคสื่อ โทรทัศน์ อัตลักษณี้ เป็นอัตลักษณ์ที่ทับซ้อนของ 2 ยุค คือ 1.อัตลักษณ์ดั้งเดิมแสดงออกทางประเพณีวัฒนธรรม 2.อัตลักษณ์ที่ต้องปรับตัวตามความเปลี่ยนของสังคมที่มีการบริโภคมากขึ้น (หน้า 77) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ช่วงที่ 2 การขยายอำนาจของรัฐ ชาวบ้านต้องปรับตัวผูกมิตรกับเจ้าหน้าที่รัฐ ใช้วิธีการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ สร้างภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือให้หมู่บ้านด้วยการให้ความร่วมมือและตอบสนองนโยบายของรัฐ
ช่วงที่ 3 ยุคกระแสบริโภคนิยม กลับมาฟื้นฟูประเพณีวัฒนธรรมลาหู่ดำและมีการรวมตัวสร้างเครือข่ายลาหู่ดำตำบลปางมะผ้า เพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชาวลาหู่ดำ(หน้า 89) |
|
Map/Illustration |
ตาราง 1 แสดงการดำรงอัตลักษณ์ของชุมชนในแต่ละช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง (หน้า 92-94)
แผนผัง กระบวนการการดำรงรักษาอัตลักษณ์ชุมชนกับการส่งผลต่อการดำรงอยู่ของชุมชน (หน้า 102) |
|
|