|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ ไทดำ, การดำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์, ดอนตูม, นครปฐม |
Author |
จตุพล ทองสกล |
Title |
การดำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวไทดำ บ้านหัวถนน ตำบลดอนพุทรา อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
136 |
Year |
2553 |
Source |
การดำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวไทดำ บ้านหัวถนน ตำบลดอนพุทรา อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
วิทยานิพนธ์เล่มนี้เป็นการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา และบริบทชุมชนของชาวไทดำ การดำรงอัตลักษณ์ของชาวไทยดำที่มีเงื่อนไขต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้อง จากประสบการณ์การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆและการเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ไทดำ โดยเน้นศึกษาเรื่องการดำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวไทดำเป็นหลัก โดยผู้วิจัยได้นำข้อมูลเบื้องต้น
มาใช้เป็นแนวทางในการศึกษาด้วยการแบ่งการศึกษาเรื่องการดำรงอัตลักษณ์ของชาวไทดำในพื้นที่เป็น 3 รูปแบบ คือ
1. การดำรงอัตลักษณ์โดยทั่วไปในรอบปี
2. การดำรงอัตลักษณ์ในรูปแบบพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน
3. การสนับสนุนการดำรงอัตลักษณ์จากหน่วยงานราชการและโรงเรียน |
|
Focus |
ศึกษาการดำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวไทดำ บ้านหัวถนน ตำบลดอนพุทรา อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม ใน 3 ประเด็น คือ
1. ศึกษาประวัติความเป็นมา บริบทชุมชนของชาวไทดำ
2. ศึกษาอัตลักษณ์และการดำรงอัตลักษณ์ของชาวไทดำในพื้นที่ศึกษา
3. ศึกษาเรื่องการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ และเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการดำรงอัตลักษณ์ของชาวไทดำในพื้นที่ศึกษา
โดยศึกษาจากการเก็บรวบรวมข้อมูลทางเอกสาร เพื่อนำมาสร้างกรอบแนวคิดในการวิจัย ข้อมูลจากประสบการณ์การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ และการเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์
ไทดำ และนำข้อมูลที่ได้มาจัดหมวดหมู่แล้วนำมาวิเคราะห์เพื่อนำมาถ่ายทอดให้เข้าใจถึงเรื่องวัฒนธรรมที่เป็นอัตลักษณ์ และการดำรงอยู่ของอัตลักษณ์ชาวไทดำ และปรากฏการณ์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้านต่างๆ ของชาวไทดำในพื้นที่ |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนได้นำเอาแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับวัฒนธรรม แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์และความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับอัตลักษณ์และอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการดำรงอัตลักษณ์และการเปลี่ยนแปลงทางชาติพันธุ์ ซึ่งแนวคิดทฤษฎีต่างๆเหล่านี้ เป็นแนวทางในการกำหนดกรอบแนวคิดของผู้เขียนที่นำมาเป็นส่วนช่วยอธิบายเชื่อมโยงถึงปรากฏการณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการการดำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวไทดำในพื้นที่วิจัย |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
- ชาวไทดำในหมู่บ้านหัวถนนแทบจะไม่สามารถอ่านและเขียนภาษาไทดำได้ แต่ก็ยังมีหมอผีบางคนและคนเฒ่าคนแก่ชาวไทดำ ยังสามารถฟังพูดและยังพอเขียนภาษาไทดำดั้งเดิมได้ (หน้า 62)
- หนุ่มสาวไทดำบางคนก็ยังสื่อสารกันด้วยภาษาไทดำ (หน้า 62)
- ปัจจุบันสำเนียงภาษาไทดำจะเป็นไปตามช่วงอายุ กล่าวคือ คนแก่ยังคงพูดและยังคงสำเนียงไทดำดั้งเดิม ส่วนคนรุ่นที่มีอายุน้อยลงมาที่ได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียนที่ต้องสื่อสารกันด้วยภาษาไทยกลาง มักจะใช้ศัพท์เป็นภาษาไทดำแต่มีสำเนียงจะเป็นภาษาไทยกลาง บางคนพูดภาษาไทดำปนกับภาษาไทยกลางไปเลยก็มี แต่บางคนสามารถฟังได้แต่พูดไม่ได้
หรือเด็กรุ่นใหม่บางคนไม่สามารถฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาไทดำได้แล้ว (หน้า 62 - 63) |
|
Study Period (Data Collection) |
สิงหาคม พ.ศ. 2552 ถึง สิงหาคม พ.ศ. 2553 |
|
History of the Group and Community |
จากการเชื่อมโยงทางเครือญาติ ผู้คนที่อพยพมาอยู่น่าจะมาจากบ้านบางเลน วัดละมุด วัดบางพระ อำเภอนครชัยศรี ซึ่งเป็นคนไทย คนจีน คนไทดำ คนลาวครั่ง และคนมอญ (หน้า 49)
พื้นที่ดั้งเดิมเป็นที่ดินดอนปนทราย ที่ใช้ทำนาส่วนใหญ่เป็นทุ่งโล่ง สำหรับที่อยู่อาศัยจะเป็นป่าโปร่งเบญจพรรณ และปกคลุมไปด้วยพืชหนาม เนื่องจากมีต้นพุทราจำนวนมาก และเป็นที่ดอน มีอากาศแห้งแล้ง เชื่อว่าเป็นที่มาของชื่อตำบลดอนพุทรา เดิมทีเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่อาศัยกันแบบเครือญาติ แต่ในปัจจุบันได้แยกชุมชนออกเป็นหมู่บ้าน ที่ดินทำมาหากิน หน่วยงานราชการได้กำหนดขอบเขตให้เป็นโฉนด นส. 3 ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
นอกจากนี้ยังเชื่อว่าคนดั้งเดิมในพื้นที่ คือ ตระกูลหลวงจำนง ทวยหาญ ที่อาศัยอยู่ในหมู่ที่1สำหรับหมู่ที่ 6 8 และ 10 เป็นป่ารกมีพืชหนาม เป็นดอนสูง มีความแห้งแล้งมาก ทำให้ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ แต่ต่อมาก็มีคนไทดำจากอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี อพยพเข้ามารับจ้าง มาซื้อที่ดิน มาถางป่าจับจองเพื่อทำมาหากิน ผู้คนจึงมีจำนวนมากขึ้น ทางราชการจึงตัดถนนดิน เพื่อให้เป็นถนนเชื่อมต่อระหว่างตำบลดอนพุทราเข้ามา ถึงอำเภอดอนตูม เป็นที่มาของชื่อหมู่บ้าน “หัวถนน”
บ้านหัวถนนมีคนไทยอาศัยอยู่มาก่อน เมื่อคนไทดำจากจังหวัดเพชรบุรี อพยพเข้ามาอยู่ในเวลาไล่เลี่ยกันก็มีชาวจีนที่อพยพมาจากจีน เข้ามาตั้งรกรากอยู่ที่บ้านหัวถนน ได้สร้างโรงเจและโรงเรียน เมื่อปี พ.ศ. 2514 ได้สร้างวัด ต่อมาชาวจีนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านได้ขายที่ดินให้ชาวไทดำและย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพฯ แทน
นอกจากนี้ยังมีชาวไทดำที่ยังมีการอพยพมาจากเพชรบุรี ได้อพยพผ่านบ้านหัวถนนขึ้นไปทางเหนือ เช่น ในเขตนครปฐม ไปอยู่ที่บ้านเกาะแรต ดอนขมิ้น และดอนยอ อำเภอบางเลน กับหมู่บ้านดอนทอง สระสี่มุม หัวชุกบัว ไผ่หูช้าง และหนองหมู อำเภอกำแพงแสน และยังมีไทดำที่อาศัยอยู่บ้านหัวถนน ได้อพยพจากบ้านหัวถนนไปอยู่ที่จังหวัดพิจิตร พิษณุโลก สุพรรณบุรี การอพยพของคนไทดำบ้านหัวถนนมีหลายรุ่น ตั้งแต่ราว พ.ศ. 2480 และราว พ.ศ. 2490 แต่หลังจากนั้นก็เบาบางไป (หน้า 51 - 52) |
|
Settlement Pattern |
ตำบลดอนพุทรา พื้นที่ส่วนที่เป็นดอนสูงสลับกับที่ราบลุ่ม โดยที่ดอนจะมีความแห้งแล้ง ไม่ดูดซับน้ำ ใช้เป็นที่ตั้งวัดและโรงเรียน ส่วนที่ราบลุ่มริมคลองจะใช้เป็นที่อยู่อาศัย เพาะปลูก
ทำสวน เลี้ยงสัตว์ สำหรับในที่ราบลุ่มทุ่งโล่งจะใช้ทำนา (หน้า 54, 56) |
|
Demography |
ประชากรในตำบลดอนพุทรา ในปี พ.ศ. 2553 มีทั้งสิ้น 5,165 คน ชาย 2,568 คน หญิง 2,59 7คน มี 1,186 หลังคาเรือน ประชากรหนาแน่นเฉลี่ย 344 คน/ตารางกิโลเมตร สามารถแยกจำนวนหลังคาเรือนและประชากรชายและหญิงในแต่ละหมู่บ้านได้ ดังนี้
หมู่ที่ 1 บ้านหัวถนน มี 142 หลังคาเรือน แบ่งเป็น ชาย 306 คน หญิง 298 คน รวม 604 คน
หมู่ที่ 2 บ้านดอนพุทรา มี 129 หลังคาเรือน แบ่งเป็น ชาย 254 คน หญิง 259 คน รวม 513 คน
หมู่ที่ 3 บ้านดอนพุทรา มี 129 หลังคาเรือน แบ่งเป็น ชาย 372 คน หญิง 347คน รวม 719 คน
หมู่ที่ 4 บ้านปากหว้า มี 207 หลังคาเรือน แบ่งเป็น ชาย 410 คน หญิง 401 คน รวม 811คน
หมู่ที่ 5 บ้านหนองบอน มี 154 หลังคาเรือน แบ่งเป็น ชาย 318 คน หญิง 309 คน รวม 627 คน
หมู่ที่ 6 บ้านหัวถนน มี 58 หลังคาเรือน แบ่งเป็น ชาย 116 คน หญิง 141 คน รวม 257 คน
หมู่ที่ 7 บ้านหนองควายเฒ่า มี 146 หลังคาเรือน แบ่งเป็น ชาย 292 คน หญิง 308 คน รวม 600 คน
หมู่ที่ 8 บ้านหัวถนน มี 71 หลังคาเรือน แบ่งเป็น ชาย 160 คน หญิง 176 คน รวม 336 คน
หมู่ที่ 9 บ้านหนองปรง มี 67 หลังคาเรือน แบ่งเป็น ชาย 132 คน หญิง 130 คน รวม 262 คน
หมู่ที่ 10 บ้านหัวถนน มี 83 หลังคาเรือน แบ่งเป็น ชาย 208 คน หญิง 228 คน รวม 436 คน (หน้า 54-55) |
|
Economy |
- ทุกหมู่บ้านในตำบลดอนพุทรามีไฟฟ้าใช้ทุกครัวเรือน มีไฟฟ้าสาธารณะ 425 จุด ที่ครอบคลุมถนนและซอย 51สาย ส่วนเรื่องน้ำที่ใช้อุปโภคบริโภค ทางราชการได้ช่วยเหลือและจัดสรรน้ำประปาให้ใช้ ทั้งหมด 490 ครัวเรือน มีแหล่งน้ำดิบที่ใช้ผลิตน้ำประปา 12 แห่ง และแหล่งน้ำดิบสำรอง 6 แห่ง มีเจ้าของกิจการประปา 12 แห่ง น้ำที่ใช้ทำการเกษตรมาจากระบบชลประทานท่าเรือ-บางพระ คลองเข้ คลองชลประทานดอนพุทรา-บางระกำ และน้ำจากลำห้วยอีก 2สาย
สำหรับเรื่องการโทรคมนาคมสื่อสาร มีโทรศัพท์ส่วนบุคคล 1,074 เลขหมาย โทรศัพท์สาธารณะ 5 แห่ง มีอินเตอร์เน็ตตำบลฟรี 1 แห่ง มีระบบเสียงตามสาย /ไร้สาย /หอกระจายข่าวในพื้นที่บริการ 10 แห่ง (หน้า 56) มีปั๊มน้ำมัน 15 แห่ง ร้านค้าทั่วไป 32 แห่ง มีโรงงานอุตสาหกรรม 5 แห่ง มีสนามกีฬาเอนกประสงค์ 2 แห่ง สนามฟุตบอล 1 แห่ง และมีแหล่งท่องเที่ยว(ศูนย์เผยแพร่วัฒนธรรมไทดำ) 1 แห่ง(หน้า 57)
- ประชากรส่วนใหญ่ในตำบลดอนพุทรา จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมโดยจะทำนาร้อยละ 80 รองลงมาจะทำไร่ ทำสวน และร้อยละ10จะเลี้ยงสัตว์ ประชากรมีรายได้เฉลี่ย 25,000บาท/คน/ปี (หน้า 56)
- คนในตำบลดอนพุทรา มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นของตนเอง โดยมีที่ดินเป็นที่พักอาศัย 1,000 ไร่ ที่ดินสำหรับพานิชยกรรม 200ไร่ ที่ดินสำหรับอุตสาหกรรม 150 ไร่ พื้นที่สาธารณะ 108 ไร่ พื้นที่ 3,500 ไร่ และพื้นที่ปศุสัตว์ 800ไร่ ส่วนพื้นที่ว่างอื่นๆ มี 3,617ไร่ (หน้า 57)
- เมื่อ พ.ศ. 2490 บ้านหัวถนนทำนากันทั้งหมู่บ้าน ต่อมาราว พ.ศ. 2530 ชาวบ้านส่วนใหญ่จะขายนา ผู้ซื้อคือ คนที่มีทุนมากจากภายนอกและคนในหมู่บ้านหัวถนนเอง บางคนก็มาเช่า
ทำนา ทำไร่แตง
ในปัจจุบันชาวไทดำในพื้นที่ไม่นิยมทำนา แต่จะหันไปทำอาชีพอื่นๆ เช่นเลี้ยงไก่ ปลา เป็ด หมู
หนุ่มสาวไทดำจะนิยมไปทำงานในกรุงเทพ บางส่วนที่ยังอยู่บ้าน จะมีอาชีพเย็บผ้าเหลือง หรือเครื่องไตรจีวรพระ จากการใกล้ชิดกับอาชีพธุรกิจหรือค้าขาย ทำให้ชาวไทดำหลายคน
ยึดอาชีพเป็นพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ และลูกจ้าง (หน้า 64)
- การบริโภคของชาวไทดำบ้านหัวถนน มีการผสมผสานระหว่างอาหารดั้งเดิมกับอาหารคนไทยทั่วไป นิยมบริโภคข้าวเจ้ามากกว่าข้าวเหนียว ซึ่งข้าวเหนียวจะนำไปใช้ในพิธีกรรมและเลี้ยงแขก จากที่เคยเก็บผัก หาปลามาทำอาหารก็เปลี่ยนมาหาซื้อจากตลาด นิยมอาหารปรุงสำเร็จ แต่บางบ้านก็ยังคงเก็บผัก หาปลามาทำอาหารเองบ้าง บางบ้านมีการปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินเอง สำหรับอาหารดั้งเดิมที่ยังทำกินกันอยู่ ได้แก่ แจ่ว แกงหน่อไม้เปรี้ยว ยำผักชนิดต่างๆ และแกงหยวกกล้วย เป็นต้น (หน้า 65) |
|
Social Organization |
- ชาวไทดำมีการสืบสกุลทางฝ่ายบิดา โดยลูกชายและภรรยาจะนับถือผีบรรพบุรุษฝ่ายพ่อ ส่วนลูกสาวจะต้องนับถือผีฝ่ายสามีของตน แต่ในบางครอบครัวมีลูกสาวคนเดียว เมื่อแต่งงานจึงให้ฝ่ายชายไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง เมื่อถึงเวลา “สืบเฮือน”จะแยกปลูกเรือนต่างหาก หากฝ่ายหญิงต้องการเซ่นผีฝ่ายบรรพบุรุษของตน จะต้องให้ลูกชายคนหนึ่งของหญิงนั้นไปสืบผี คือรับผีฝ่ายมารดาต่อไป เรียกว่า “เอาเสื้อออกเสน” ภาษาไทดำเรียกว่า “สืบผีตายาย”ส่วนการสืบผีบรรพบุรุษฝ่ายบิดาจะเรียกว่า “สืบผีอ้าย” (หน้า 62)
- ชาวไทดำมีการแบ่งตระกูลเพื่อแสดงความเกี่ยวข้องว่าเป็นญาติเดียวกัน ด้วยการให้มีชื่อคำนำหน้าชื่อสกุลว่า “สิง” เช่น สิงลอ สิงคำ เป็นต้น ในปัจจุบันไม่นิยมตั้ง แต่มักใช้ชื่อสกุลเช่นเดียวกับคนไทยหมดแล้ว ซึ่งการตั้งชื่อสกุลใหม่ของชาวไทดำ มักนำเอาชื่อของบรรพบุรุษหรือสถานที่เกิดมาตั้งเป็นชื่อสกุล (หน้า 62)
- ชนชั้นในสังคมไทดำ จะแบ่งเป็นชนชั้นผู้น้อย และผู้ท้าว ซึ่งจะเห็นได้เด่นชัดในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เช่น การปาดตง ผู้น้อยจะทำทุกสิบวัน แต่ผู้ท้าวจะทำทุกห้าวัน เป็นต้น (หน้า 62) |
|
Political Organization |
- คณะผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลดอนพุทรา ประกอบด้วย นายก 1 คน รองนายก 2 คน และเลขานุการนายก 1 คน
ส่วนสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ประกอบด้วย ประธาน 1 คน รองประธาน 1 คน เลขานุการ 1 คน และสมาชิก 18 คน สำหรับการบริหารงานบุคคล จากบุคลากรที่มีทั้งสิ้น 15 คน แบ่งเป็นพนักงาน 9 คน พนักงานจ้างตามภารกิจ 3 คน และพนักงานจ้างทั่วไป 3 คน โดยสำนักหรือส่วนราชการภายใน แบ่งเป็น 1 สำนัก และ 2 ส่วน ประกอบด้วย สำนักบริหารงานอบต. (ปลัด อบล.) 1คน และสำนักปลัดมี 9 คน การคลังมี 2 คน และการโยธามี 3 คน (หน้า 55)
- ในตำบลดอนพุทรา มีการจัดตั้งกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน 1 รุ่น มีสมาชิก 50 คน กลุ่มไทยอาสาป้องกันชาติ,กลุ่มกองทุนเพื่อความมั่นคงของชาติ,กลุ่มสตรีแม่บ้าน 1 รุ่น มีสมาชิก 120 คน กลุ่มเยาวชน 1 รุ่น มีสมาชิก 150 คน และสมาคมผู้สูงอายุ 1 สมาคม (หน้า 57) |
|
Belief System |
- คนไทดำในตำบลดอนพุทรานับถือศาสนาพุทธกันทั้งหมด มีการประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนาที่วัด (หน้า 56)
- วัฒนธรรมประเพณีของตำบลดอนพุทราที่สำคัญ คือ ประเพณีอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นไทดำ ประเพณีสงกรานต์ การทำบุญสลากภัต การทำบุญหลังบ้าน ประเพณีบวชพระ ทำบุญตรุษ ทำบุญสงกรานต์ ประเพณีกินเจ ทำบุญสารทไทย ประเพณีเสนเรือน เป็นต้น มีคติความเชื่อเรื่องการบวชเรียนเป็นการสร้างกุศลให้บิดามารดาขึ้นสวรรค์ การตั้งศาลพระภูมิเพื่อเป็นสิริมงคล และป้องกันอันตรายให้แก่เจ้าของและคนในบ้าน การทำบุญหน้าศาลประจำหมู่บ้านเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข เป็นต้น (หน้า 56)
- ในการปลูกบ้าน ชาวไทดำจะนิยมนำไซร เป็นเครื่องมือที่ใช้ดักปลา มาไว้ในบ้าน เพราะเชื่อว่าจะให้โชคลาภ ดักเงินดักทอง เป็นความเชื่อคล้ายกับเรื่องนางกวัก (หน้า 65)
- ชาวไทดำบ้านหัวถนนทุกคนนับถือศาสนาพุทธ มีการทำบุญตักบาตร ถือศีลปฏิบัติธรรมทุกวันพระ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ญาติพี่น้องที่ล่วงลับ และยังนิยมให้ลูกชายทุกคนบวชตามความเชื่อแบบพุทธ แสดงถึงความเคารพ ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แต่ก็ยังมีการรับเอาความเชื่อแบบพราหมณ์ ที่เห็นได้จากทุกบ้านมีการสร้างศาลพระภูมิไว้ในบ้าน (หน้า 71)
- ชาวไทดำบ้านหัวถนน มีความเชื่อเรื่องผี จะมีการเซ่นผี มีการบอกกล่าวผีก่อนออกนอกบ้านเพื่อให้ผีคุ้มครองหรือบอกกล่าวผีเมื่อมีคนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ที่บ้าน เมื่อมีการสังสรรค์ดื่มเหล้าในบ้าน จะต้องเหล้าไปเซ่นผีก่อน หากไม่ทำจะผิดผีทำให้เจ็บไข้ (หน้า 74)
จากความเชื่อเรื่องผีของชาวไทดำบ้านหัวถนน ทำให้มีพิธีปาดตง พิธีเสนเรือน โดยพิธีปาดตง จะทำกันทุกบ้านที่มีกะล่อหองอยู่ โดยการนำกับข้าว ขนมใส่ถาดไปวางไว้ที่มุมห้องของ
กะล่อหอง จะทำวันละสองครั้ง คือ เช้าและกลางวัน อาหารที่เซ่นจะใช้อาหารที่รับประทานในชีวิตประจำวันที่จะต้องนำไปเซ่นผีเรือนก่อนรับประทาน ผู้ท้าวจะทำทุกห้าวัน ส่วนผู้น้อยจะทำทุกสิบวัน เป็นการปฏิบัติเพื่อระลึกถึงพ่อแม่และบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
สำหรับพิธีเสนเรือน ถือเป็นพิธีสำคัญของชาวไทดำ จะทำในช่วงเดือน 4 เดือน 6 เดือน 7 เดือน 8 เดือน 11 และเดือน 12 การนับเดือนจะนับแบบข้างขึ้นข้างแรม (หน้า 81) พิธีจะทำขึ้นทุกๆ สามถึงห้าปีและมีข้อห้ามว่าถ้ามีญาติผีเดียวกันเสียชีวิตในปีที่จะทำพิธี จะต้องเลื่อนการทำพิธีออกไป (หน้า 76) สำหรับบรรพบุรุษที่ตายโหงหรือตายไม่ดีจะไม่เลี้ยงผีในกะล่อหอง แต่จะเลี้ยงด้านนอก ถือเป็นส่วนหนึ่งของพิธีเสนเรือน แต่ถ้าผ่านไปแล้วสิบปีจะทำการเชิญผีเข้ากะล่อหองได้ (หน้า 78)
- ในการทำพิธีเสนเรือนหรือพิธีแต่งงานหากมีญาติผีเดียวกันเสียชีวิตจะต้องเลื่อนการทำพิธีออกไปประมาณครึ่งปีถึงหนึ่งปี (หน้า 82) โดยในพิธีแต่งงานแบบชาวไทดำบ้านหัวถนนใน
สมัยก่อน ถ้าเจ้าบ่าวที่เป็นผู้น้อยจะมีเพื่อนเจ้าบ่าวที่ร่วมทำพิธีสี่คน แต่ถ้าเป็นผู้ท้าวจะมีแปดคน (หน้า 82)
- ชาวไทดำบ้านหัวถนนยังมีความเชื่อเรื่องขวัญ มีการทำพิธีแปลงขวัญ หากเป็นเด็กหรือผู้ที่ยังไม่ได้แต่งงานจะต้องใช้ไข่ไก่ทำพิธี ส่วนผู้ทึ่แต่งงานแล้วจะใช้หัวหมูในการทำพิธี
- พิธีแต่งงานของชาวไทดำบ้านหัวถนนมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและภาวะทางเศรษฐกิจ เว้นแต่ว่าหนุ่มสาวที่จะแต่งงานกันเป็นไทดำทั้งคู่ พิธีจะทำตามแบบดั้งเดิมเป็นส่วนใหญ่ ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นไทดำ ฝ่ายชายไม่ใช่ไทดำ จะมีพิธีบอกกล่าวผีบรรพบุรุษ ด้วยการทำพิธีเซ่นเพื่อบอกกล่าวการมาเป็นเขยของตระกูล การมาเป็นเขยไทดำจะต้องมีหน้าที่ร่วมและทำพิธีต่างๆ ต่อไป
ส่วนในกรณีที่ฝ่ายชายเป็นไทดำ ฝ่ายหญิงไม่ใช่ไทดำ อาจมาการจัดพิธีทั้งแบบไทดำและแบบไทยนิยมผสมกัน แต่ฝ่ายหญิงจะต้องเข้าไปทำพิธีในกะล่อหอง การเป็นสะใภ้ต้องทำหน้าที่ในการเข้าร่วมและทำพิธีต่างๆต่อไป การเข้ากะล่อหองจะต้องใส่เสื้อฮี หากเป็นเขยจะใช้พันคอ แต่หากเป็นสะใภ้จะใช้พับและพันรอบอก โดยฝ่ายสามีหรือภรรยาจะเตรียมไว้ให้ (หน้า 90)
- พิธีศพของชาวไทดำบ้านหัวถนนมีการผสมผสานความเชื่อแบบพุทธศาสนาเข้าไปด้วย คือ การนิมนต์พระสงฆ์ให้มาสวดที่บ้านผู้ตาย ประมาณสองถึงสามวัน มีการทำอาหารเยงแขก แต่ก็ยังมีพิธรกรรมแบบไทดำ จะมีหมอ เรียกว่าเขยกกเป็นผู้ทำพิธีต่างๆ จนถึงวันนำผีขึ้นเรือน หมอจะใส่เสื้อม่อฮ้อมสีดำแขนยาว ลูกสาวจะใส่เสื้อต๊กและผ้าโพกหัว ส่วนลูกเขยและลูกสะใภ้จะใส่เสื้อฮี มีการวนรอบโรงศพสามรอบโดยจะถือไม้ไผ่เหลายาวมีธงติดที่ปลาย เรียกว่าเจาอวน อีกคนจะถือกระถางธูปเล่มใหญ่ที่จุดไฟ อีกคนหนึ่งถือรูปผู้ตาย มีผู้ช่วยหมอถือสิ่งของลักษณะคล้ายสวิง แต่ไม่มีด้ามจับใส่ของใช้ผู้ตาย มีการท่องคาถาไปด้วย (หน้า 90) การขนศพบนโรงศพจะมีเสื้อฮีกลับด้านของผู้ตายคลุมอยู่ ลูกหลานจะนำเอาเสื้อฮีนี้ใส่ให้ผู้ตายก่อนนำเข้าเมรุ และเย็บลูกมะกอนจากผ้าใส่มือสองข้าง และวางไว้สามถึงสี่ลูกที่ลำตัวของผู้ตายเพื่อเผาพร้อมผู้ตาย (หน้า 91)
- เขยกก จะต้องเป็นผู้รู้และสามารถท่องคาถาข่มได้ ซึ่งคาถาข่มจะมีอยู่ในตำราที่เป็นภาษาไทดำ เนื่องจากคาถาข่มสำคัญมาก มีความจำเป็นสำหรับผู้ทำพิธีศพ เพื่อใช้ป้องกันตนเอง นอกจากนี้เขยกกยังต้องท่องคาถาบอกทางคนตายได้ จะมีอยู่ในตำราบอกทางศพ การเรียนคาถาทั้งสองนี้ต้องไปเรียนที่ทุ่งโล่งหรือทุ่งนา ห้ามเรียนที่บ้าน อายุของผู้ที่จะเป็นเขยกกจะต้องมากพอสมควร คือ หกสิบปีขึ้นไป หลังจากทำพิธีศพแล้วผู้คนจะไม่นิยมไปบ้านเขยกก และห้ามไม่ให้เขยกกขึ้นบ้าน เนื่องจากเชื่อว่า ไม่เป็นสิริมงคลกับบ้านนั้น (หน้า 93)
- อำเภอดอนตูมและอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม มีการจัดงานประจำปีเพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทดำ ในทุกวันที่ 13 เมษายน เรียกว่า “งานทรงดำ”เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีให้เด็กรุ่นหลังได้มีโอกาสสืบทอด ภายในงานจะมีเด็กหนุ่มสาวแสดงการละเล่น ทอดคอน เป่าแคน (หน้า 96)
- ชาวไทดำในพื้นที่มีการจัดประเพณีวันสงกรานต์ ที่มีการรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุดังเช่นพิธีของไทย ซึ่งในตอนกลางวัน จะมีพิธีรดน้ำดำหัวขอพรผู้สูงอายุ ส่วนตอนเย็นจะมีงานที่วัด ลูกหลานไทดำจะมาเล่นลูกข่าง ตลอดงานมีการเปิดแผ่นเสียง สลับกับการเป่าแคน ที่มีการขับและร้องเป็นภาษาไทดำ (หน้า 98)
- ชาวไทดำในพื้นที่มีการทำพิธีบูชาศาลพ่อปู่ประจำหมู่บ้าน ในช่วงหลังวันสงกรานต์โดยใช้ข้าวใหม่เพื่อทำพิธี เรียกว่า “การทำศาลข้าวใหม่”(122)
|
|
Education and Socialization |
ตำบลดอนพุทรามีโรงเรียนระดับประถมศึกษา 4 แห่ง ที่สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครปฐม มีนักเรียนทั้งหมด 439 คน มีครู 33 คน และศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 1แห่ง (หน้า 55) |
|
Health and Medicine |
ตำบลดอนพุทรามีสถานีอนามัย 1 แห่ง ตั้งอยู่ที่บ้านหัวถนน หมู่ 10(หน้า 57) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
- บ้านของชาวไทดำดั้งเดิม เป็นบ้านที่มีขอกุดที่อยู่เหนือจั่ว มุงหลังคาด้วยตับหญ้าคาหรือทรงที่เรียกว่าหลังเต่าคือการมุงหญ้าคาต่ำลงมาจนถึงพื้นบ้านเกือบมิด ยกพื้นสูง ในตัวบ้านจะเป็นห้องโล่งห้องเดียว ไม่มีหน้าต่าง มีการกั้นห้องหนึ่งไว้เป็นที่ประกอบพิธีที่เกี่ยวกับผีบรรพบุรุษ เรียกว่า “กะล่อหอง” แต่ในปัจจุบันไม่นิยมสร้างบ้านตามแบบดังที่กล่าวแล้ว เช่น การมุงหลังคาด้วยสังกะสีหรือกระเบื้องแทน มีหน้าต่างมากขึ้นภายในตัวบ้านมีการต่อเติมห้องเพิ่มขึ้น บ้านส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ประยุกต์ ครึ่งปูนครึ่งไม้ บางหลังเป็นบ้านแบบสมัยใหม่ทั้งหลัง แต่ก็ยังมีการกั้นห้องไว้ห้องหนึ่งเพื่อประกอบพิธี และบางหลังก็ยังมีการยกพื้นสูงอยู่ เพื่อเอาไว้พักผ่อน รับแขก เก็บอุปกรณ์การแกษตร ใช้เป็นที่จักสาน หรือตั้งเครื่องมือทอผ้า (หน้า 57)
- การแต่งกายของชาวไทดำ ผู้หญิงไทดำสมัยก่อนจะใส่เสื้อก้อม เสื้อน้อย หรือเสื้อแขนจิ๊ด หรือเสื้อฮี มีการคาดผ้าเปียว มีสไบพาดสีสันสวยงาม นุ่งผ้าซิ่นลายแตงโม ไว้ผมแบบปั้นเกล้า
ผู้ชายจะะใส่เสื้อไทที่มีลักษณะคล้ายเสื้อก้อมของผู้หญิงแต่จะยาวมาถึงสะโพก และใส่กางเกงที่เรียกว่า ส้วงฮี คือ กางเกงขายาวสีดำแคบ ทอด้วยผ้าฝ้ายหรือไหม
แต่ในปัจจุบันคนไทดำไม่นิยมแต่งกายแบบดั้งเดิมแล้ว จะเห็นเฉพาะในหมู่ผู้สูงอายุ และในโอกาสพิเศษเท่านั้นที่จะแต่งกายแบบดั้งเดิมให้เห็น แม้แต่ผู้สูงอายุบางคนก็ยังใส่เสื้อคอกระเช้าที่ทอและเย็บเอง หรือซื้อแบบสำเร็จรูปแทนเสื้อฮี เสื้อก้อม เสื้อน้อยหรือเสื้อแขนจิ๊ดในสมัยโบราณ คนแก่ผู้ชายหลายคนจะใส่กางเกงแบบสมัยใหม่กันหมด อาจมีเพียงไม่กี่คนที่ยังใส่กางเกงส้วงก้อม
ส่วนคนรุ่นใหม่ไม่มีการแต่งกายแบบดั้งเดิมให้เห็นเลย ยกเว้นในช่วงเทศกาล และโอกาสพิเศษเท่านั้น เช่น การใส่เสื้อฮีในพิธีเสนเรือน พิธีแต่งงาน หรือการเล่นคอน ฟ้อนรำในช่วงสงกรานต์ ส่วนการไว้ผม ผู้หญิงไม่มีการไว้ทรงผมแบบปั้นเกล้าอีกแล้ว ผู้ชายจะไว้ทรงผมสมัยใหม่ คนแก่จะไว้ผมแบบสั้นเกรียนและรองทรง (หน้า 59)
- เครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่ชาวไทดำนิยมทำ ส่วนใหญ่จะทำด้วยไม้ไผ่ เช่น สุ่ม ค่อง ชะลอม ไซร กระจาด ที่กรอด้าย เป็นต้น ส่วนปานเผือนที่ใช้ใส่หมู และขนม จะใช้ในพิธี
เสนเรือน หรือพิธีศพที่ป่าช้า เป็นต้น แต่ในปัจจุบันคนไทดำรุ่นใหม่ไม่นิยมทำการจักสาน ทำให้ภูมิปัญญาด้านนี้เกือบจะไม่มีให้เห็นแล้ว (หน้า 65)
นอกจากเครื่องจักสานแล้ว คนแก่ผู้หญิงไทดำยังมีการทอผ้า เย็บหน้าหมอน ผ้าเปียว สไบ กระเป๋าใส่มือถือ ซึ่งก็มีคนไทดำเพียงไม่กี่คนที่ยังทำอยู่ นอกจากนี้ยังมีการทอผ้าซิ่นลายแตงโม ด้วยเครื่องทอแบบดั้งเดิม ที่ทำใช้เอง และเครื่องทอแบบกี่กระตุก แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ทำ แต่ต้องซื้อฟืมจากต่างถิ่น และด้ายที่ใช้ทอต้องซื้อด้ายสำเร็จมาใช้ทอแทน ส่วนเครื่องทอแบบกี่กระตุก ก็ต้องหาซื้อจากสุพรรณบุรี (หน้า 66)
- ผ้าซิ่นลายแตงโม จะแบ่งเป็นสามส่วน คือ ต้นซิ่น มีสีครามหรือสีดำ ตัวซิ่น คือส่วนที่เป็นลายแตงโม และตีนซิ่นเป็นส่วนที่เล็กที่สุดมีลาดลาย การทำซิ่นจะนำผ้าทั้งสามส่วนมาตัดแล้วเย็บต่อกันเป็นผืนเดียว นอกจากสีครามแล้ว ยังมีสีส้ม สีแดง และเขียว ส่วนมากสีเหล่านี้จะนำไปเย็บเป็นหมอนมีการเย็บลวดลายลงไปด้วย นอกจากนี้ยังนำไปเย็บเป็นผ้าสไบที่มีลายทั้งแบบดั้งเดิมและลายแบบใหม่ๆที่คิดขึ้นมาเอง นำมาเย็บเป็นกระเป๋าสตางค์ นำมาเย็บเป็นผ้าฮ้างนม ผ้าเปียวหรือผ้าคาดอกที่มีการเย็บลวดลายดอกไม้แบบต่างๆด้วยการเย็บมือสดๆโดยไม่มีการขึ้นลายก่อนและไม่มีการใช้จักรเย็บเลย (หน้า 66)
ในการละเล่นทุกประเภทของไทดำ จะใช้แคนเป็นเครื่องดนตรีสำคัญ มี 2 ประเภท คือ แคนเจ็ด และ แคนแปด (หน้า 96-97) ชาวไทดำนิยมการขับลำนำหรือการเล่าเรื่องเป็นทำนอง เนื่องจากชาวไทดำมีความสนใจฟังเรื่องราว และสนใจในความไพเราะของการขับลำนำ ที่มีการร้องรับกันเหมือนลูกคู่ ในภาษาไทดำ คำที่เรียกว่า “ขับ” หมายถึง การร้องตามทำนอง ใช้เฉพาะโอกาสต่างๆ เช่น การขับลำขณะอิ้นกอน เรียกว่า “สายแปง”ในพิธีเสนเรือนหรือพิธีศพ เรียกว่า “ว่า”เป็นต้น (หน้า 97)
|
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
- ในพิธีกรรมจะแสดงให้เห็นถึงการแบ่งชนชั้นวรรณะระหว่างผู้ท้าวกับผู้น้อย เช่น พิธีเสนเรือนของผู้เท้าจะเร็วกว่าพิธีเสนเรือนของผู้น้อย (หน้า 77) หรือในพิธีปาดตงที่ผู้น้อยต้องทำทุกๆ
สิบวัน แต่ผู้เท้าจะทำทุกๆห้าวันเท่านั้น (หน้า 76)
- การจัดแสดงนอกสถานที่ที่เกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ทำให้คนภายนอก และสื่อได้รับรู้ได้ว่าบ้านหัวถนนยังมีชาวไทดำที่มีการอนุรักษ์ และดำรงความเป็นอัตลักษณ์ของตนเองไว้อยู่ ทำให้มีสื่อจากหลายแห่งให้ความสนใจ เช่น รายการตามไปดู รายการร้อยแปด รายการชีวิตต้องสู้ ละรายการเที่ยวไทยยั่งยืน เป็นต้น (หน้า 115)
- อัตลักษณ์ด้านความเชื่อของชาวไทดำในพื้นที่เป็นนสิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุดว่า สามารถดำรงอยู่ได้ (หน้า 131) |
|
Social Cultural and Identity Change |
จากการอพยพออกจากหมู่บ้านหัวถนนของชาวไทดำหลายรุ่นสามารถสรุปได้ว่าเกิดจากพื้นที่ของหมู่บ้านแห้งแล้ง ทำให้ต้องออกไปศึกษาและเก็บเกี่ยวข้อมูลด้านพื้นที่ทำกินใหม่ ว่ามีความเหมาะสมที่จะประกอบอาชีพเพาะปลูก ทำนาได้ดีหรือไม่ แล้วนำกลับมาเล่าสู่กันฟัง เมื่อพอใจในพื้นที่ใหม่แล้ว จึงเป็นสาเหตุทำให้ชาวบ้านตัดสินใจขายที่ดินเดิมไปซื้อที่ดินใหม่ที่พร้อมและดีกว่า หรือบางคนก็ให้เช่าที่ดินแทนการขาย
นอกจากนี้สาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ที่ทำให้ชาวไทดำในพื้นที่ไม่นิยมทำนากันแล้ว เนื่องจากเมื่อปี พ.ศ. 2508 ถึง พ.ศ. 2511บ้านหัวถนนแห้งแล้ง ไม่มีคลองชลประทานทำนา
ไม่ได้ ชาวบ้านจึงอพยพออกไปทำงานนอกพื้นที่ แต่เมื่อ พ.ศ. 2516 เริ่มมีคลองชลประทาน ชาวไทดำบางส่วนกลับมาทำนาแต่ก็มีบางคนที่ยึดอาชีพจากภายนอก ประกอบกับลูกหลาน
ไทดำได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น เมื่อเรียนจบมักจะหางานตามที่เรียนมา และมักได้ทำงานนอกพื้นที่ทำให้ไม่มีคนสืบทอดอาชีพทำนาต่อเป็นเหตุให้พื้นที่นาต้องขายให้ไปทำกิจการอื่นๆ เช่น กิจการบ่อดิน เป็นต้น (หน้า 64) ซึ่งแนวโน้มเรื่องการทำนาลดลง เริ่มเป็นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 เป็นปีที่ชาวไทดำในพื้นที่ขายนากันมากเพื่อส่งบุตรหลานเรียนต่อและปัญหาด้านเศรษฐกิจ (หน้า 129)
ในการทำหัตถกรรมของชาวไทดำในพื้นที่ปัจจุบันไม่มีใครสืบทอดต่อ เนื่องจากคนรุ่นใหม่ไม่มีความสนใจอย่างจริงจัง นิยมออกไปทำงานนอกบ้าน ไม่มีเวลาว่างในการทำงานอย่างอื่น และด้วยสาเหตุที่หมู่บ้านหัวถนนสามารถทำนาได้ปีละ 2-3 ครั้ง เวลาว่างในการผลิตหัตถกรรมจึงไม่มีเหมือนแต่ก่อน เนื่องจากไม่มีหน่วยงาน ภาครัฐเข้ามาสนับสนุน หรือช่วยกระตุ้นให้ชาวบ้านสืบทอดอัตลักษณ์นี้ไว้ ในอนาคตอัตลักษณ์นี้อาจสูญหายไปในที่สุด เช่น การแต่งกายจะถูกดูดกลืนกลายเป็นแบบสมัยใหม่ไปหมด เครื่องมือเครื่องใช้อาจถูกประยุกต์ใช้ตามยุคสมัย
ไม่เหลือแบบดั้งเดิมให้เห็นอีกต่อไป (หน้า 67) และอาจเป็นไปได้ว่าในที่สุด อัตลักษณ์ต่างๆของไทดำอาจถูกผสมกลมกลืนไปจนหมด เนื่องจากชาวไทดำบ้านหัวถนนต้องปรับตัวในการดำเนินชีวิตอยู่ตลอดเวลา (หน้า 130)
- ชาวไทดำในพื้นที่ยังมีการดำรงอัตลักษณ์ของตนเองไว้อยู่ โดยมีสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์แบบไทดำ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องมือที่ใช้ทอผ้า ครกตำข้าวเครื่องจักสานต่างๆ ที่ใช้ในการทำมาหากิน
นอกจากนี้ยังมีการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์เพื่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีแบบไทดำ มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2550 มีการจัดแสดงประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต ภูมิปัญญา ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพดั้งเดิม คือ การทำนา หาปลา เช่น ครกตำข้าว สุ่ม ตะค่อง ชะลอม เป็นต้น (หน้า 103)
อย่างไรก็ตามการทำพิพิธภัณฑ์เพื่อการอนุรักษ์นี้ก็ไม่ได้รับความใส่ใจมากนัก อีกทั้งยังไม่ได้รับการสนับสนุน เนื่องจากปัญหาเรื่องความคิดเห็นของชาวบ้านที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ไม่ตรงกับความคิดเห็นของหน่วยงานราชการในพื้นที่ ซึ่งในการของบประมาณในแต่ละครั้งไม่ค่อยได้รับการสนับสนุน ผู้บริหารไม่ให้ความสำคัญ นอกจากนี้คนในชุมชนก็ไม่ค่อยให้ความสนใจในการอนุรักษ์เท่าที่ควร (หน้า 107)
|
|
Other Issues |
ผู้วิจัยได้เน้นย้ำเรื่องการอนุรักษ์ไว้อย่างชัดเจนจากการเน้นให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการดำรงอัตลักษณ์ของไทดำ ดังนี้
1. ชาวไทดำได้รับสัญชาติไทมาตั้งแต่กำเนิด อีกทั้งทางรัฐบาลเริ่มให้ความสำคัญกับการมีวัฒนธรรมที่แตกต่างมากขึ้นและให้การสนับสนุนมากขึ้น ทำให้เห็นว่าการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของไทดำได้ขัดต่อกฎหมายหรือความมั่นคงของประเทศ ชาวไทดำจึงสามารถร่วมกันอนุรักษณ์วัฒนธรรมเพื่อการดำรงอัตลักษณ์ไว้ได้ไม่ยากลำบากเหมือนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ (หน้า 135)
2. ในเรื่องการสืบทอดอัตลักษณ์ต่างๆของชาวไท ผู้นำชุมชนทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการต้องให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนอย่างจริงจัง ต้องมีการพูดคุยแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างจริงจัง (หน้า 135) อีกทั้งชาวบ้านไทดำต้องมีความกระตือรือร้นและมีการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นและเข้มแข็งในการร่วมกันดำรงอัตลักษณ์มากขึ้นอีกด้วย (หน้า 136)
3. ได้เสนอแนะแนวทางในการวิจัยครั้งต่อไป ด้วยการให้ยกแง่มุมอื่นๆมาพิจารณาในการศึกษาเพิ่มเติม เช่น ศึกษาเรื่องการผสมผสานทางวัฒนธรรมของไทดำ ด้วยการเปรียบเทียบระหว่างการดำรงอัตลักษณ์ของชาวไทดำที่อยู่ห่างไกลกับที่ไม่ห่างไกลว่ามีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร หรือศึกษาเปรียบเทียบเรื่องการดำรงอัตลักษณ์ระหว่างชาวไทดำในพื้นที่เดียวกันกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆในพื้นที่ว่ามีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร รวมถึงศึกษาเรื่องการดำรงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ว่ามีผลต่อการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันหรือไม่ อย่างไร และอาจผสมการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณเข้าไปด้วยเพื่อให้งานวิจัยมีความหลากหลาย (หน้า 136) |
|
Map/Illustration |
แผนผังที่ 1 แผนที่อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม (หน้า 50)
แผนผังที่ 2 แผนที่ตำบลดอนพุทรา อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม (หน้า 53)
ภาพที่ 1 บ้านของชาวไทดำเป็นบ้านไม้ ยกใต้ถุนสูง มีหน้าต่างเพิ่มมากขึ้นและหลังคาปูกระเบื้อง (หน้า 58)
ภาพที่ 2 บ้านของชาวไทดำที่เป็นแบบครึ่งปูนครึ่งไม้สองชั้น ไม่มีใต้ถุน (หน้า 58)
ภาพที่ 3 การแต่งกายของหญิงชาวไทดำบ้านหัวถนนในชีวิตประจำวัน (หน้าที่ 60)
ภาพที่ 4 การแต่งกายของชายชาวไทดำบ้านหัวถนนในชีวิตประจำวัน (หน้าที่ 60)
ภาพที่ 5 การแต่งกายของคุณยายชาวไทดำบ้านหัวถนนในชีวิตประจำวัน (หน้าที่ 61)
ภาพที่ 6 การแต่งกายของคุณตาชาวไทดำบ้านหัวถนนในชีวิตประจำวัน (หน้าที่ 61)
ภาพที่ 7 เครื่องจักสานต่างๆ ที่เป็นภูมิปัญญาของชาวทดำในพื้นที่ (หน้า 68)
ภาพที่ 8 ปานเผือนที่ยังไม่ได้ประกอบต้องใช้ในพิธีเสนเรือนของชาวไทดำ (หน้า 68)
ภาพที่ 9 ตะค่องใส่ปลาที่ชาวไทดำในพื้นที่เป็นคนสานเอง (หน้า 69)
ภาพที่ 10 คุณยายแก้ว ออเขาย้อย กำลังทอผ้าซิ่นลายแตงโม (หน้า 69)
ภาพที่ 11 คุณยายบุญ อินทร์เขาย้อย กำลังทอผ้าซิ่นลายแตงโม (หน้า 70)
ภาพที่ 12 คุณยายกำ ออเขาย้อย กำลังนั่งกรอด้าย (หน้า 70)
ภาพที่ 13 ภายในบริเวณวัดดอนพุทรา (หน้า 71)
ภาพที่ 14 บริเวณทางเข้าวัดหัวถนน (หน้า 72)
ภาพที่ 15 ภายในบริเวณวัดหัวถนน (หน้า 72)
ภาพที่ 16 ชาวไทดำมาทำบุญและถือศีลในทุกวันพระที่วัดหัวถนน (หน้า 73)
ภาพที่ 17 ศาลพระภูมิที่ชาวไทดำนิยมสร้างไว้เกือบทุกบ้าน (หน้า 73)
ภาพที่ 18 ภายในกะล่อหองของบ้านที่เป็นชนชั้นผู้น้อย (หน้า 74)
ภาพที่ 19 เครื่องประจำตัวของเด็กแรกเกิดผู้ชายจะมีกระพ้อ ผู้หญิงจะมีพัด ธนู จี้กง และถุงหมาก(หน้า 75)
ภาพที่ 20 ศาลพ่อปู่ประจำหมู่บ้าน (หน้า 75)
ภาพที่ 21 นางบุญเยือน พริ้มประเสริฐ เจ้าของบ้านที่ทำการเสนเรือน (หน้า 78)
ภาพที่ 22 นายธีรวัฒน์ พริ้มประเสริฐ เป็นคนนำเสื้อออกเสน และเหล่าญาติๆ (หน้า 79)
ภาพที่ 23 นางป้อม พริ้มประเสริฐ เป็นลูกสะใภ้และต้องใส่เสื้อฮี (หน้า 79)
ภาพที่ 24 นายคำนึง ถิ่นวงษ์ม่อม(หมอเสน) และนายไมค์ วรรณอนุสรณ์(ผู้ช่วยหมอเสน) (หน้า 80)
ภาพที่ 25 นายต่าง ออเขาย้อย เป็นหมอที่ทำพิธีอยู่ข้างนอกกะล่อหองเรียกพิธีข่าวว่า (หน้า 80)
ภาพที่ 26 เหล่าญาติพี่น้องและผู้มาร่วมงานร่วมรับประทานอาหาร (หน้า 81)
ภาพที่ 27 นางม่วน บริสุทธิ์ภักดี เจ้าของบ้านที่ทำการเสนเรือน (หน้า 81)
ภาพที่ 28 หมอเสนชื่อมั่น ถิ่นวงศ์ยอด มาจากบางเลน (หน้า 84)
ภาพที่ 29 นายวันทอง ทองคงหาญ เป็นญาติที่มาร่วมงานและเป็นผู้ช่วยหมอเสน (หน้า 85)
ภาพที่ 30 นายทองคำ ทองคงหาญ เป็นญาติที่มาร่วมงานและเป็นผู้ช่วยหมอเสน (หน้า 85)
ภาพที่ 31 การทำพิธีข่าวว่าข้างนอกกะล่อหองในช่วงเที่ยงวัน (หน้า 86)
ภาพที่ 32 ลูกสะใภ้และหลานสะใภ้ที่มาร่วมงานมีทั้งสวมเสื้อฮีและใช้เสื้อฮีคาดดอก (หน้า 86)
ภาพที่ 33 หมอเสนและญาติที่มาร่วมงานร่วมรับประทานอาหารในกะล่อหอง (หน้า 87)
ภาพที่ 34 คุณยายใส่เสื้อคอกระเช้าสีขาวและมีเสื้อฮีพาดบ่าคือคนที่ทำการแปลงขวัญ (หน้า 88)
ภาพที่ 35 หมอต่าง ออเขาย้อย กำลังทำพิธีแปลงขวัญ (หน้า 89)
ภาพที่ 36 ญาติของผู้ที่แปลงขวัญและผู้ที่มาร่วมงาน (หน้า 89)
ภาพที่ 37 เสื้อฮีกลับด้านของผู้ตายวางคลุมอยู่บนโลงศพ (หน้า 93)
ภาพที่ 38 ลูกสาวของผู้ตายใส่เสื้อต๊กเดินวนรอบโลงศพ (หน้า 94)
ภาพที่ 39 ตั้งศพบนเมรุวัดหัวถนน ญาติและผู้มาร่วมงานมีการใส่เสื้อฮี (หน้า 94)
ภาพที่ 40 เขยกกทำการเสี่ยงทายพื้นที่ในป่าช้า ต้องขุดเพื่อใส่ไหบรรจุเถ้ากระดูก (หน้า 95)
ภาพที่ 41 เรือนจำลอง ปลีและใบไม้ประกอบกันเป็นลักษณะคล้ายร่ม ต้องใช้ในการทำพิธีที่ป่าช้าของผู้ตายที่เป็นหญิง (หน้า 95)
ภาพที่ 42 เด็กสาวชาวไทดำกำลังเล่นลูกข่าง (หน้า 100)
ภาพที่ 43 การฟ้อนแคนเริ่มตั้งแต่ยังไม่มืด (หน้า 101)
ภาพที่ 44 ด้านหน้าเวทีกำลังมีพิธีเปิดงาน (หน้า 101)
ภาพที่ 45 นางรำเป็นลูกหลานชาวไทดำในพื้นที่แสดงการรำแคนอยู่บนเวที (หน้า 102)
ภาพที่ 46 ชาวไทดำและผู้มาร่วมงานร่วมกันฟ้อนแคน (หน้า 102)
ภาพที่ 47 นายประสงค์ เตี๊ยะตาช้าง (หน้า 104)
ภาพที่ 48 บริเวณหน้าบ้านของคุณประสงค์ เตี๊ยะตาช้าง (หน้า 104)
ภาพที่ 49 ซุ้มทางเข้าพิพิธภัณฑ์วิถีชีวิตไทดำบ้านหัวถนนซึ่งอยู่ภายในบริเวณบ้าน (หน้า 105)
ภาพที่ 50 โปสเตอร์ให้ความรู้เกี่ยวกับชาวไทดำในด้านต่างๆ โดยทุนส่วนตัว (หน้า 105)
ภาพที่ 51 การจัดแสดงอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพดั้งเดิม คือการทำนา การตำข้าว และการหาปลา (หน้า 106)
ภาพที่ 52 อุปกรณ์กรอด้ายและทอผ้า ใช้จัดแสดงและยังสามารถใช้ได้จริง (หน้า 106)
ภาพที่ 53 โปสเตอร์ขนาดใหญ่ คุณประสงค์ใช้ทุนส่วนตัวทำไว้เพื่อโปรโมทพิพิธภัณฑ์ (หน้า 109)
ภาพที่ 54 คุณยายกำลังสาธิตการทอผ้า (หน้า 110)
ภาพที่ 55 เหล่าคุณยาย เป็นทีมงานในการสาธิตการทอผ้า และเย็บปักถักร้อย (หน้า 111)
ภาพที่ 56 สินค้าที่ชาวไทดำบ้านหัวถนนเป็นคนทำ คุณประสงค์ นำมาวางจำหน่ายในงานต่างๆ (หน้า 111)
ภาพที่ 57 นายธวัชชัย พงษ์อารี เป็นคนเป่าแคนและมีวงแคนในการจัดแสดงตามที่ต่างๆ (หน้า 113)
ภาพที่ 58 นางสิริพร โชคเศรษฐี ผู้จัดหานางรำในการจัดแสดงตามที่ต่างๆ (หน้า 114)
ภาพที่ 59 พี่น้องและลูกหลานของนางสิริพร โชคเศรษฐี ทีมงานในการรำแคน (หน้า 114)
ภาพที่ 60 หุ่นจัดแสดงเสื้อผ้าของผู้ชายและผู้หญิงชาวไทดำที่คุณประสงค์ใช้ทุนส่วนตัวซื้อมา (หน้า 116)
ภาพที่ 61 วงแคนของนายธวัชชัย พงษ์อารี (หน้า 116)
ภาพที่ 62 อุปกรณ์ที่นำไปจัดแสดงตามงานต่างๆ (หน้า 117)
ภาพที่ 63 การเสวนาในงานทับแก้ว : มหกรรมหนังสือสื่อการเรียนรู้ ครั้งที่ 4(หน้า 117)
ภาพที่ 64 ทีมงานในการสาธิตการทอผ้า และการแสดงรำแคน (หน้า 118)
ภาพที่ 65 ทีมนางรำมีทั้งคนรุ่นหนุ่มสาวและผู้สูงอายุ (หน้า 118)
ภาพที่ 66 จากงบของโครงการอยู่ดีมีสุขนำมาจัดสร้างเป็นอาคารอเนกประสงค์ของหมู่บ้าน (หน้า 119)
ภาพที่ 67 จากงบของโครงการ SMLมีทั้งโต๊ะ เก้าอี้ และครื่องครัวต่างๆ ให้คนในหมู่บ้านได้ยืมใช้ (หน้า 120)
ภาพที่ 68 เรือนพักอาศัยแบบดั้งเดิมของชาวไทดำที่ได้งบจัดสร้างจากวัฒนธรรม จังหวัดนครปฐม (หน้า 121)
ภาพที่ 69 เนื่องจากผู้รับเหมาหนีงานทำให้สร้างมาปีกว่าแล้วยังไม่เสร็จ (หน้า 121)
ภาพที่ 70 มีการว่าจ้างผู้รับเหมามาจัดสร้างใหม่คาดว่าน่าจะเสร็จภายในสิ้นปีพ.ศ. 2553นี้ และจะจัดทำเป็นศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมไทดำของบ้านหัวถนน (หน้า 122)
ภาพที่ 71 นายเมือง จ้อยแพง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลดอนพุทราคนปัจจุบัน(2553) (หน้า 123)
ภาพที่ 72 นางพิชญ์สินี ชื่อชูวงษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหัวถนนคนปัจจุบัน(2553) (หน้า 125)
ภาพที่ 73 นางประจวบ วงศ์จำปา ครูสอนดนตรีโรงเรียนบ้านหัวถนน (หน้า 125)
ภาพที่ 74 นางกันยา ดอนสุวรรณ์ ครูที่มีส่วนร่วมในการสนับสนุนกิจกรรมของเด็กชาวไทดำ (หน้า 126)
ภาพที่ 75 ทางโรงเรียนได้เชิญคุณประสงค์ มาให้ความรู้เกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ไทดำกับเด็กๆ (หน้า 126)
ภาพที่ 76 ทางโรงเรียนได้เคยจัดสร้างเรือนพักจำลองของชาวไทดำเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ให้กับเด็กๆ (หน้า 127)
ภาพที่ 77 ทางโรงเรียนได้เชิญคุณธวัชชัย พงษ์อารีมาสอนการเป่าแคนให้กับเด็กๆ (หน้า 127)
ภาพที่ 78 หลังเลิกเรียนเด็กๆ ที่สนใจการเป่าแคนมารวมกลุ่มกันหัดเป่าแคน (หน้า 128)
|
|
|