สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,การจัดการความรู้,หมอพื้นบ้าน,บ้านจันทร์,เชียงใหม่
Author สุรินทร วงศ์คำแดง
Title การจัดการความรู้ของหมอพื้นบ้านชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอตำบลบ้านจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
Total Pages 110 Year 2550
Source สุรินทร วงศ์คำแดง. (2550).การจัดการความรู้ของหมอพื้นบ้านชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอตำบลบ้านจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาการส่งเสริมสุขภาพ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
Abstract

ศึกษาถึงเรื่องการจัดการความรู้ของหมอพื้นบ้านของชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอ ซึ่งประกอบไปด้วยหมอไสยศาสตร์ หมอสมุนไพร และหมอตำแย ผ่านการลงพื้นที่สัมภาษณ์ สังเกตและสนทนากับหมอพื้นบ้านและชาวบ้านที่มารักษา

จากการศึกษาพบว่า หมอพื้นบ้านส่วนใหญ่ได้รับการถ่ายทอดความรู้จากบรรพบุรุษหรือผู้อาวุโส แต่ในการถ่ายทอดนั้น หมอพื้นบ้านไม่มีการรวมกลุ่มกันอย่างชัดเจน ไม่มีการถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นระบบ แต่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน โดยการรักษานั้นจะเน้นผสมผสานระหว่างความเชื่อ ประพณีและวัฒนธรรมของชนเผ่า นอกจากนั้นยังพบว่าเนื่องจากความเจริญ
ที่เข้ามาสู่ชุมชนทำให้คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยสนใจวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ทำให้การสืบทอดความรู้อาจหายไปในอนาคต

Focus

เน้นการศึกษาเรื่องการจัดการความรู้ของหมอพื้นบ้านชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอ อันประกอบไปด้วยหมอไสยศาสตร์ หมอสมุนไพร และหมอตำแยใน 3 หมู่บ้าน คือ หมู่บ้านหนองแดง หมู่บ้านสันม่วง หมู่บ้านโป่งขาว อ. แม่แจ่ม จ. เชียงใหม่

Theoretical Issues

ใช้การลงพื้นที่สัมภาษณ์ สังเกตและสนทนากับหมอพื้นบ้านและชาวบ้านที่มารักษา เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แสดงถึงการจัดการความรู้ของหมอพื้นบ้านในสาขาต่างๆ และนำมาเปรียบเทียบกับทฤษฎีการจัดการความรู้

Ethnic Group in the Focus

ปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยงสะกอหรือยางขาว) ในตำบลบ้านจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่

Language and Linguistic Affiliations

ภาษากะเหรี่ยงจัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน –ธิเบต (หน้า 41)

Study Period (Data Collection)

1 ปี(พ.ศ. 2550)

History of the Group and Community

มีคำกล่าวว่าเดิมปกาเกอะญออาศัยอยู่บริเวณต้นแม่น้ำสาละวินก่อนที่จะมีการอพยพมายังประเทศไทยและพม่า ต่อมาเมื่อเกิดความขัดแย้งกับฝ่ายปกครองในพม่า จึงทำให้มีการอพยพ
เพิ่มเติมมายังฝั่งประเทศไทย (หน้า 41)

Settlement Pattern

ส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนภูเขา บางส่วนอาจอยู่ตามพื้นราบ แต่กะเหรี่ยงคนละกลุ่มย่อยจะไม่ชอบอยู่รวมกัน มีการตั้งหมู่บ้านอย่างถาวร (หน้า 42)

Demography

ในประเทศไทย มี 1,993 หมู่บ้าน 69,353 หลังคาเรือน ประชากร 352,295 คน กระจายอยู่ใน 15 จังหวัดทางภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันตก โดยสามารถแบ่งออกได้เป็นกลุ่มย่อยทั้งหมด 4 กลุ่มคือ
1. สะกอหรือยางขาว (ปกาเกอะญอ)
2. โป
3. ปะโอ
4. บะเว (หน้า 41-42)

ตำบลบ้านจันทร์มีประชากร 3,520 คน 768 ครัวเรือน (หน้า 70) โดยหมู่บ้านหนองแดงมีประชากร 84หลังคาเรือน (หน้า 74) หมู่บ้านสันม่วงมีประชากร 100หลังคาเรือน (หน้า 75) หมู่บ้านโป่งขาว มีประชากร 21 หลังคาเรือน (หน้า 76)

Economy

มีการทำนาแบบขั้นบันไดตามไหล่เขา และห้ามข้ามไปทำไร่ในเขตของหมู่บ้านอื่นนอกจากการทำนา เพราะนาสามารถซื้อขายได้ (หน้า 42)

ชาวปกาเกอะญอมีการเพาะปลูกแบบยังชีพโดยไม่มีการปลูกพืชเศรษฐกิจ ไม่ปลูกฝิ่นแต่นิยมนำฝิ่นมาสูบหรือใช้เป็นตัวยารักษาโรคและบรรเทาความเจ็บปวด มีการทำไร่หมุนเวียนและ
เลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะหมูและไก่ซึ่งต้องใช้ในการประกอบพิธีกรรม นอกจากนั้นยังมีการล่าสัตว์ป่าและเก็บของป่ามาขายอีกด้วย (หน้า 45)

ชาวบ้านประกอบอาชีพทางเกษตรกรรมโดยเฉพาะการทำนาเป็นส่วนใหญ่ มีการทำไร่, เลี้ยงสัตว์ (เช่น โค กระบื หมู ไก่) เพื่อจำหน่ายและบริโภค และรับจ้างทั่วไป เป็นอาชีพรองลงมา (หน้า 70,71) โดยมีผลผลิตที่สำคัญคือไม้เมืองหนาว ฟักทองญี่ปุ่นและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รายได้เฉลี่ยครอบครัวละ 10,000 บาทต่อปี (หน้า 71)

Social Organization

ในแต่ละหมู่บ้านจะมีหัวหน้าฝ่ายชายซึ่งเป็นหมอผี 1 คน เพื่อประกอบพิธีกรรม ในอดีตจะใช้การแบ่งเขตหมู่บ้านด้วยระยะเดินเท้า 1 ชั่วโมง แต่ละครัวเรือนจะอาศัยเป็นครอบครัวเดี่ยว เมื่อแต่งงานแล้วก็จะแยกบ้านออกไป แต่ในช่วงแรกของการแต่งงาน ฝ่ายชายจะต้องเข้ามาอาศัยอยู่กับบ้านภรรยาเพื่อช่วยเหลือการเกษตร 1 ฤดูกาลเพาะปลูกก่อนที่สามารถแยกบ้านออกไปปลูกใกล้ครอบครัวของฝ่ายหญิงและมีไร่เป็นของตนเองได้ (หน้า 43)

การแต่งงานเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียวที่ยึดถือกันอย่างเคร่งครัด การผิดประเวณีก่อนการแต่งงานเป็นข้อห้ามขั้นรุนแรง การเกี้ยวพาราสีเกิดขึ้นได้ระหว่างงานศพ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ชายได้เป็นฝ่ายเลือกคู่ครอง โดยฝ่ายหญิงจะเป็นคนขอแต่งงานและออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด (หน้า 43)

มรดกจะถูกแบ่งให้กับลูกในขณะที่คู่สมรสยังมีชีวิตอยู่ หากลูกยังเด็กเกินไปก็จะให้ญาติเป็นผู้ดูแล แต่หากมีปัญหาเกิดขึ้นจะมอบให้หมอผีหรือผู้อาวุโสภายในหมู่บ้านเป็นผู้ตัดสินใจ (หน้า 43)

ชาวปกาเกอะญอมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย รักสงบ และมีความสนิทสนมภายในเครือญาติ (หน้า 69) มีการพึ่งพาอาศัยกันภายในเครือญาติ ทั้งภายในและภายนอกชุมชนต่างก็มีการเดินทางมาพบกันอยู่เสมอๆ (หน้า 70)

การที่เด็กเกิดด้วยการทำคลอดของหมอตำแยคนเดียวกัน เปรียบเสมือนพี่น้องกัน ทำให้คนในชุมชนรู้จักและสนิทสนมกัน (หน้า 88)

Political Organization

ในทางราชการจะมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นตัวแทน แต่จะไม่มีอำนาจมากเท่ากับหมอผีประจำหมู่บ้านและผู้อาวุโสซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจสิทธ์ขาดในการตัดสินความผิดตามประเพณี ผู้ที่มีตำแหน่งทางราชการเป็นเพียง 1 ในคณะกรรมการเท่านั้น (หน้า 44) ชาวบ้านมีการปกครองแบบช่วยเหลือดูแลกันและกัน (หน้า 74)

Belief System

ชาวปกาเกอะญอจะนับถือทั้งผีและศาสนาพุทธรวมกัน โดยนำมาเป็นหลักประพฤติและปฏิบัติตนในสังคม (หน้า 44) ผีที่ชาวปกาเกอญอให้ความนับถือมาก ได้แก่ ผีเจ้าที่ และผีที่สถิตอยู่ตามที่ต่างๆ เช่น เขา ป่า ลำห้วย หมู่บ้าน ส่วนผีถือว่าเป็นผีร้ายเชื่อว่าเป็นผีที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติจะต้องมีการเซ่นผีร้ายด้วยอาหารต่างๆ  เช่น หมู่ ไก่ เพื่อให้ภัยพิบัตินั้นหายไป (หน้า 44)

ชาวปกาเกอะญอเชื่อว่าในร่างกายมนุษย์มีขวัญทั้งหมด 33 ขวัญ ขวัญจะหายไปเมื่อคนนั้นตายไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่า ในยามป่วยนั้นเป็นเพราะขวัญถูกผีร้ายทำร้าย หรือกักขัง การักษาต้องเรียกขวัญพร้อมทำพิธีผูกข้อมือรับขวัญด้วย
มีข้อห้ามและข้อปฏิบัติตามกฎจารีตประเพณีของชนเผ่าซึ่งยึดถือเป็นหลักในการดำเนินชีวิตทั้งหมด 11 ข้อ (หน้า 53)

พิธีกรรมต่างๆ ของชาวปกาเกอะญอประกอบด้วย
1. พิธีหลักในรอบชีวิต ได้แก่ การเกิด (ดี ต่า เบล – หน้า 45-46) การแต่งงาน (ดี เทาะ โค่ เบล – หน้า 46–48) การตาย (หน้า 48–49)
2. พิธีกรรมเกี่ยวกับครอบครัว เช่นการขึ้นบ้านใหม่ พีธีเอาะ บก๊ะ การผูกขวัญ ฯลฯ (หน้า 49-50)
3. พิธีกรรมระดับเครือญาติ (หน้า 50)
4. พิธีกรรมระดับหมู่บ้าน เช่นการขึ้นปีใหม่ พิธีกลางปี การฉลองเจดีย์ (ต่า ถ่อ โฆ่) การสืบชะตาหมู่บ้าน ฯลฯ ซึ่งมักเป็นหน้าที่ของผู้นำหมู่บ้านในการนำลูกบ้านประกอบพิธีกรรมต่างๆ (หน้า 50-52)

นอกจากนั้นยังมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูกข้าวและการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยส่วนมากจะจัดขึ้นเพื่อขอพรให้ได้ผลผลิตที่ดี ไม่มีสิ่งใดมารบกวน หรือเป็นการขอบคุณสิ่งต่างๆ ที่ทำให้ได้ผลผลิตที่ดี (หน้า 53-56)

นอกจากศาสนาพุทธและการนับถือผีบรรพบุรุษแล้ว พบว่ามีปกาเกอะญอจำนวนหนึ่งที่นับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 72)

Education and Socialization

ชาวปกาเกอะญอมีการถ่ายทอดวัฒนธรรมและธรรมเนียมปฏิบัติผ่านมาสู่แต่ละรุ่น ทำให้ชาวบ้านอยู่กันด้วยความสงบ เพราะทุกคนเชื่อในคำสอนที่สืบทอดต่อกันมา (หน้า 70)

มีสถานศึกษาตั้งภายในตำบลจำนวน 3 แห่ง โดยมีโรงเรียนตั้งอยู่ในหมู่บ้านสันม่วง

หมอไสยศาสตร์นั้นส่วนใหญ่จะเรียนรู้ผ่านการซึมซับวิธีของบรรพบุรุษที่เป็นผู้นำหมู่บ้าน โดยการเข้าร่วมในพิธีกรรมเพื่อให้เรียนรู้และจดจำ (หน้า 78,79) มีการสอบถามผู้รู้ ผู้อาวุโสภายในหมู่บ้าน และแลกเปลี่ยนความรู้กับหมอไสยศาสตร์คนอื่นบ้าง แต่ไม่พบรูปแบบการถ่ายทอดความรู้ที่เป็นระบบชัดเจน (หน้า 79)

หมอสมุนไพรเรียนรู้จากวิถีชีวิตของบรรพบุรุษ และมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรเป็นอย่างดี มีการเรียนรู้จากการสอบถามผู้อาวุโส หรืออาจจะมีการไปขอเรียนวิชาความรู้จากหมอยา และอาศัยวิธีการเรียนรู้แบบครูพักลักจำซึ่งพอได้ความรู้แล้วก็จะมาลงมือปฏิบัติทดลองเพื่อความมั่นใจและปฏิบัติต่อมา (หน้า 80,81)

หมอตำแยมีการเรียนรู้จากบรรพบุรุษ และเรียนรู้จากประสบการณ์จริง เช่น การติดตามและเป็นผู้ช่วยในการทำคลอด ทำให้เกิดการฝึกปฏิบัติจนชำนาญและใช้ความรู้ได้ (หน้า 83)

การถ่ายทอดความรู้ส่วนใหญ่จะถ่ายทอดกันในสายเลือด เช่น พ่อสู่ลูกชาย แม่สู่ลูกสาว แต่อาจจะมีการไปขอเรียนวิชาจากผู้รู้ได้เช่นกัน

ไม่มีการแสวงหาความรู้เพิ่มเติ่ม เพราะเชื่อมั่นในความรู้ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่อาจจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างหมอประเภทเดียวกันด้วยกันเองได้ ไม่มีการรวมกลุ่มกัน (หน้า 84-88)

ไม่มีการถ่ายทอดความรู้ผ่านเอกสารหรือตำรา มีแต่เพียงการถ่ายทอดโดยการให้เข้าร่วมและมีประสบการณ์ตรงในการรักษาเท่านั้น (หน้า 89)

Health and Medicine

มีความเชื่อเรื่องขวัญ ซึ่งมีทั้งหมด 33 ที่ทั่วร่างกาย ซึ่งหากขวัญถูกผีร้ายทำร้ายหรือกักขังก็จะทำให้คนผู้เป็นเจ้าของขวัญนั้นเจ็บป่วยได้ จึงมีการรักษาด้วยพิธีเลี้ยงผีและการเรียกขวัญ (หน้า 44)

ปัจจุบันมีสถานีอนามัยประจำตำบล 1 แห่ง ศูนย์บริการสาธารณสุขมูลฐานชุมชน 12 แห่ง และโรงพยาบาลประจำตำบลที่กำลังก่อสร้าง 1 แห่ง (หน้า 71)

สถานีอนามัยตั้งอยู่ในหมู่บ้านห้วยบงซึ่งหากไม่สามารถรักษาได้จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอำเภอปาย จ. แม่ฮ่องสอน (หน้า 75)

หมอไสยศาสตร์เชื่อว่าโรคและความเจ็บป่วยเกิดจากการกระทำของผีและอำนาจเหนือธรรมชาติ การละเมิดคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ หรือการกินที่ผิดธาตุ (หน้า 78) ทำให้หมอไสยศาสตร์มีความรู้เกี่ยวกับการนับถือผี คาถาอาคม และการประกอบพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาของชาวปกาเกอะญอ และอาจมีความรู้ด้านอื่นที่เกี่ยวข้องตามแต่ละบุคคล (หน้า 78)

หมอไสยศาสตร์จะทำการรักษาก่อนการเกิดโรคโดยการสั่งสอนให้เชื่อฟังคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ และข้อห้ามต่างๆ ถ้าเกิดโรคแล้วจะเป็นการประกอบพิธีกรรมต่างๆ และหลังจากการรักษาจะมีพิธีกรรมเพื่อเสริมกำลังใจให้กับผู้ป่วย (หน้า 79)

หมอสมุนไพรเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดจากความผิดปกติของธาตุในร่างกายที่ไม่สมดุลกัน ซึ่งอาจเกิดจากการรับประทานอาหาร หรือบางคนเชื่อว่าเกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติ หมอสมุนไพรสามารถปรุงยาขนานต่างๆ เพื่อรักษาโรคได้ (หน้า 80,81)

แนวคิดเรื่องแม่และเด็กของหมอตำแยนั้นเชื่อว่าแม่และเด็กจะแข็งแรงเมื่อแม่มีอายุที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป กินอาหารครบถ้วน งดของหวาน ของมัน มีการทำงานตามปกติ อารมณ์ดีและมั่นคง มีการทำนายเพศของเด็กโดยการคลำที่ก้นเด็ก นอกจากนั้นหมอตำแยยังต้องมีความรู้เกี่ยวกับลักษณะครรภ์ที่ผิดปกติ การรักษาครรภ์ให้ปกติ วิธีทำคลอด อาหารการกินทั้งก่อนและหลังคลอด ฯลฯ (หน้า 83)

ในการทำคลอดให้ หมอตำแยจะไม่รับเงิน แต่คนที่ทำคลอดให้จะนำน้ำขมิ้น ส้มป่อยและข้าวของต่างๆ มาให้ตามประเพณี (หน้า 84)

รูปแบบการรักษาส่วนใหญ่ผสมผสานระหว่างประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ (หน้า 88)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

มีการแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า มีการละเล่นที่แสดงถึงชีวิตประจำวัน (หน้า 72)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ปัจจุบันมีการปลูกพืชเศรษฐกิจมากขึ้นโดยเฉพาะตามหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ความเจริญเช่นถนน หรือโครงการหลวง (หน้า 45)

ภายหลังจากการที่ความเจริญเริ่มเข้าถึงชุมชน มีการตั้งโรงเรียนและถนนที่สะดวกมากขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนภายชุมชนเปลี่ยนแปลงไป คือเริ่มห่างเหินกันมากขึ้น ช่วยเหลือกันน้อยลง วัฒนธรรมดั้งเดิมของเผ่าถูกคนรุ่นใหม่มองว่าล้าหลังและถูกดูถูก มีการรับค่านิยมของคนเมืองเข้ามามากมาย พึ่งพาตนเองได้น้อยลง เพราะเปลี่ยนจากการทำนาเพื่อบริโภคไปเป็นการทำงานเพื่อหาเงิน มีการเกษตรแบบพาณิชย์แทน (หน้า 73)

เนื่องจากความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ลดน้อยลงทำให้ผู้สืบทอดหมอพื้นบ้านนั้นมีจำนวนลดลงและอาจสูญหายไปได้ รวมถึงทำให้ต้องมีการปรับวิถีชีวิต เช่น
หมอสมุนไพรเน้นที่การปรุงยาขายมากขึ้นเป็นต้น มีการถ่ายทอดความรู้และต่อยอดความรู้ที่น้อยลงทำให้ความรู้อาจสูญหายไปได้ (หน้า 89)

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

1. กรอบแนวความคิดในงานวิจัย
2. แผนที่ตั้งของตำบลบ้านจันทร์
3. แผนที่ตั้งของหมู่บ้านในตำบลบ้านจันทร์
4. ภาพของหมอไสยศาสตร์ หมอสมุนไพร และหมอตำแยที่ให้สัมภาษณ์
5. ภาพสาธิตการดูเมื่อจากกระดูกไก่
6. กระดูกไก่ที่ใช้ในการดูเมื่อ
7. ภาพประเพณีการมัดมือของหมู่บ้านหนองแดง

Text Analyst กรกนก ศฤงคารีเศรษฐ์ Date of Report 08 เม.ย 2558
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง, การจัดการความรู้, หมอพื้นบ้าน, บ้านจันทร์, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง