|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ กะเหรี่ยง,การจัดการความรู้,หมอพื้นบ้าน,บ้านจันทร์,เชียงใหม่ |
Author |
สุรินทร วงศ์คำแดง |
Title |
การจัดการความรู้ของหมอพื้นบ้านชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอตำบลบ้านจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
|
Total Pages |
110 |
Year |
2550 |
Source |
สุรินทร วงศ์คำแดง. (2550).การจัดการความรู้ของหมอพื้นบ้านชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอตำบลบ้านจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาการส่งเสริมสุขภาพ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. |
Abstract |
ศึกษาถึงเรื่องการจัดการความรู้ของหมอพื้นบ้านของชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอ ซึ่งประกอบไปด้วยหมอไสยศาสตร์ หมอสมุนไพร และหมอตำแย ผ่านการลงพื้นที่สัมภาษณ์ สังเกตและสนทนากับหมอพื้นบ้านและชาวบ้านที่มารักษา
จากการศึกษาพบว่า หมอพื้นบ้านส่วนใหญ่ได้รับการถ่ายทอดความรู้จากบรรพบุรุษหรือผู้อาวุโส แต่ในการถ่ายทอดนั้น หมอพื้นบ้านไม่มีการรวมกลุ่มกันอย่างชัดเจน ไม่มีการถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นระบบ แต่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน โดยการรักษานั้นจะเน้นผสมผสานระหว่างความเชื่อ ประพณีและวัฒนธรรมของชนเผ่า นอกจากนั้นยังพบว่าเนื่องจากความเจริญ
ที่เข้ามาสู่ชุมชนทำให้คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยสนใจวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ทำให้การสืบทอดความรู้อาจหายไปในอนาคต |
|
Focus |
เน้นการศึกษาเรื่องการจัดการความรู้ของหมอพื้นบ้านชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอ อันประกอบไปด้วยหมอไสยศาสตร์ หมอสมุนไพร และหมอตำแยใน 3 หมู่บ้าน คือ หมู่บ้านหนองแดง หมู่บ้านสันม่วง หมู่บ้านโป่งขาว อ. แม่แจ่ม จ. เชียงใหม่ |
|
Theoretical Issues |
ใช้การลงพื้นที่สัมภาษณ์ สังเกตและสนทนากับหมอพื้นบ้านและชาวบ้านที่มารักษา เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แสดงถึงการจัดการความรู้ของหมอพื้นบ้านในสาขาต่างๆ และนำมาเปรียบเทียบกับทฤษฎีการจัดการความรู้ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยงสะกอหรือยางขาว) ในตำบลบ้านจันทร์ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากะเหรี่ยงจัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน –ธิเบต (หน้า 41) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
มีคำกล่าวว่าเดิมปกาเกอะญออาศัยอยู่บริเวณต้นแม่น้ำสาละวินก่อนที่จะมีการอพยพมายังประเทศไทยและพม่า ต่อมาเมื่อเกิดความขัดแย้งกับฝ่ายปกครองในพม่า จึงทำให้มีการอพยพ
เพิ่มเติมมายังฝั่งประเทศไทย (หน้า 41) |
|
Settlement Pattern |
ส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนภูเขา บางส่วนอาจอยู่ตามพื้นราบ แต่กะเหรี่ยงคนละกลุ่มย่อยจะไม่ชอบอยู่รวมกัน มีการตั้งหมู่บ้านอย่างถาวร (หน้า 42) |
|
Demography |
ในประเทศไทย มี 1,993 หมู่บ้าน 69,353 หลังคาเรือน ประชากร 352,295 คน กระจายอยู่ใน 15 จังหวัดทางภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันตก โดยสามารถแบ่งออกได้เป็นกลุ่มย่อยทั้งหมด 4 กลุ่มคือ
1. สะกอหรือยางขาว (ปกาเกอะญอ)
2. โป
3. ปะโอ
4. บะเว (หน้า 41-42)
ตำบลบ้านจันทร์มีประชากร 3,520 คน 768 ครัวเรือน (หน้า 70) โดยหมู่บ้านหนองแดงมีประชากร 84หลังคาเรือน (หน้า 74) หมู่บ้านสันม่วงมีประชากร 100หลังคาเรือน (หน้า 75) หมู่บ้านโป่งขาว มีประชากร 21 หลังคาเรือน (หน้า 76) |
|
Economy |
มีการทำนาแบบขั้นบันไดตามไหล่เขา และห้ามข้ามไปทำไร่ในเขตของหมู่บ้านอื่นนอกจากการทำนา เพราะนาสามารถซื้อขายได้ (หน้า 42)
ชาวปกาเกอะญอมีการเพาะปลูกแบบยังชีพโดยไม่มีการปลูกพืชเศรษฐกิจ ไม่ปลูกฝิ่นแต่นิยมนำฝิ่นมาสูบหรือใช้เป็นตัวยารักษาโรคและบรรเทาความเจ็บปวด มีการทำไร่หมุนเวียนและ
เลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะหมูและไก่ซึ่งต้องใช้ในการประกอบพิธีกรรม นอกจากนั้นยังมีการล่าสัตว์ป่าและเก็บของป่ามาขายอีกด้วย (หน้า 45)
ชาวบ้านประกอบอาชีพทางเกษตรกรรมโดยเฉพาะการทำนาเป็นส่วนใหญ่ มีการทำไร่, เลี้ยงสัตว์ (เช่น โค กระบื หมู ไก่) เพื่อจำหน่ายและบริโภค และรับจ้างทั่วไป เป็นอาชีพรองลงมา (หน้า 70,71) โดยมีผลผลิตที่สำคัญคือไม้เมืองหนาว ฟักทองญี่ปุ่นและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รายได้เฉลี่ยครอบครัวละ 10,000 บาทต่อปี (หน้า 71) |
|
Social Organization |
ในแต่ละหมู่บ้านจะมีหัวหน้าฝ่ายชายซึ่งเป็นหมอผี 1 คน เพื่อประกอบพิธีกรรม ในอดีตจะใช้การแบ่งเขตหมู่บ้านด้วยระยะเดินเท้า 1 ชั่วโมง แต่ละครัวเรือนจะอาศัยเป็นครอบครัวเดี่ยว เมื่อแต่งงานแล้วก็จะแยกบ้านออกไป แต่ในช่วงแรกของการแต่งงาน ฝ่ายชายจะต้องเข้ามาอาศัยอยู่กับบ้านภรรยาเพื่อช่วยเหลือการเกษตร 1 ฤดูกาลเพาะปลูกก่อนที่สามารถแยกบ้านออกไปปลูกใกล้ครอบครัวของฝ่ายหญิงและมีไร่เป็นของตนเองได้ (หน้า 43)
การแต่งงานเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียวที่ยึดถือกันอย่างเคร่งครัด การผิดประเวณีก่อนการแต่งงานเป็นข้อห้ามขั้นรุนแรง การเกี้ยวพาราสีเกิดขึ้นได้ระหว่างงานศพ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ชายได้เป็นฝ่ายเลือกคู่ครอง โดยฝ่ายหญิงจะเป็นคนขอแต่งงานและออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด (หน้า 43)
มรดกจะถูกแบ่งให้กับลูกในขณะที่คู่สมรสยังมีชีวิตอยู่ หากลูกยังเด็กเกินไปก็จะให้ญาติเป็นผู้ดูแล แต่หากมีปัญหาเกิดขึ้นจะมอบให้หมอผีหรือผู้อาวุโสภายในหมู่บ้านเป็นผู้ตัดสินใจ (หน้า 43)
ชาวปกาเกอะญอมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย รักสงบ และมีความสนิทสนมภายในเครือญาติ (หน้า 69) มีการพึ่งพาอาศัยกันภายในเครือญาติ ทั้งภายในและภายนอกชุมชนต่างก็มีการเดินทางมาพบกันอยู่เสมอๆ (หน้า 70)
การที่เด็กเกิดด้วยการทำคลอดของหมอตำแยคนเดียวกัน เปรียบเสมือนพี่น้องกัน ทำให้คนในชุมชนรู้จักและสนิทสนมกัน (หน้า 88) |
|
Political Organization |
ในทางราชการจะมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นตัวแทน แต่จะไม่มีอำนาจมากเท่ากับหมอผีประจำหมู่บ้านและผู้อาวุโสซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจสิทธ์ขาดในการตัดสินความผิดตามประเพณี ผู้ที่มีตำแหน่งทางราชการเป็นเพียง 1 ในคณะกรรมการเท่านั้น (หน้า 44) ชาวบ้านมีการปกครองแบบช่วยเหลือดูแลกันและกัน (หน้า 74) |
|
Belief System |
ชาวปกาเกอะญอจะนับถือทั้งผีและศาสนาพุทธรวมกัน โดยนำมาเป็นหลักประพฤติและปฏิบัติตนในสังคม (หน้า 44) ผีที่ชาวปกาเกอญอให้ความนับถือมาก ได้แก่ ผีเจ้าที่ และผีที่สถิตอยู่ตามที่ต่างๆ เช่น เขา ป่า ลำห้วย หมู่บ้าน ส่วนผีถือว่าเป็นผีร้ายเชื่อว่าเป็นผีที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติจะต้องมีการเซ่นผีร้ายด้วยอาหารต่างๆ เช่น หมู่ ไก่ เพื่อให้ภัยพิบัตินั้นหายไป (หน้า 44)
ชาวปกาเกอะญอเชื่อว่าในร่างกายมนุษย์มีขวัญทั้งหมด 33 ขวัญ ขวัญจะหายไปเมื่อคนนั้นตายไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่า ในยามป่วยนั้นเป็นเพราะขวัญถูกผีร้ายทำร้าย หรือกักขัง การักษาต้องเรียกขวัญพร้อมทำพิธีผูกข้อมือรับขวัญด้วย
มีข้อห้ามและข้อปฏิบัติตามกฎจารีตประเพณีของชนเผ่าซึ่งยึดถือเป็นหลักในการดำเนินชีวิตทั้งหมด 11 ข้อ (หน้า 53)
พิธีกรรมต่างๆ ของชาวปกาเกอะญอประกอบด้วย
1. พิธีหลักในรอบชีวิต ได้แก่ การเกิด (ดี ต่า เบล – หน้า 45-46) การแต่งงาน (ดี เทาะ โค่ เบล – หน้า 46–48) การตาย (หน้า 48–49)
2. พิธีกรรมเกี่ยวกับครอบครัว เช่นการขึ้นบ้านใหม่ พีธีเอาะ บก๊ะ การผูกขวัญ ฯลฯ (หน้า 49-50)
3. พิธีกรรมระดับเครือญาติ (หน้า 50)
4. พิธีกรรมระดับหมู่บ้าน เช่นการขึ้นปีใหม่ พิธีกลางปี การฉลองเจดีย์ (ต่า ถ่อ โฆ่) การสืบชะตาหมู่บ้าน ฯลฯ ซึ่งมักเป็นหน้าที่ของผู้นำหมู่บ้านในการนำลูกบ้านประกอบพิธีกรรมต่างๆ (หน้า 50-52)
นอกจากนั้นยังมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูกข้าวและการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยส่วนมากจะจัดขึ้นเพื่อขอพรให้ได้ผลผลิตที่ดี ไม่มีสิ่งใดมารบกวน หรือเป็นการขอบคุณสิ่งต่างๆ ที่ทำให้ได้ผลผลิตที่ดี (หน้า 53-56)
นอกจากศาสนาพุทธและการนับถือผีบรรพบุรุษแล้ว พบว่ามีปกาเกอะญอจำนวนหนึ่งที่นับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 72) |
|
Education and Socialization |
ชาวปกาเกอะญอมีการถ่ายทอดวัฒนธรรมและธรรมเนียมปฏิบัติผ่านมาสู่แต่ละรุ่น ทำให้ชาวบ้านอยู่กันด้วยความสงบ เพราะทุกคนเชื่อในคำสอนที่สืบทอดต่อกันมา (หน้า 70)
มีสถานศึกษาตั้งภายในตำบลจำนวน 3 แห่ง โดยมีโรงเรียนตั้งอยู่ในหมู่บ้านสันม่วง
หมอไสยศาสตร์นั้นส่วนใหญ่จะเรียนรู้ผ่านการซึมซับวิธีของบรรพบุรุษที่เป็นผู้นำหมู่บ้าน โดยการเข้าร่วมในพิธีกรรมเพื่อให้เรียนรู้และจดจำ (หน้า 78,79) มีการสอบถามผู้รู้ ผู้อาวุโสภายในหมู่บ้าน และแลกเปลี่ยนความรู้กับหมอไสยศาสตร์คนอื่นบ้าง แต่ไม่พบรูปแบบการถ่ายทอดความรู้ที่เป็นระบบชัดเจน (หน้า 79)
หมอสมุนไพรเรียนรู้จากวิถีชีวิตของบรรพบุรุษ และมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรเป็นอย่างดี มีการเรียนรู้จากการสอบถามผู้อาวุโส หรืออาจจะมีการไปขอเรียนวิชาความรู้จากหมอยา และอาศัยวิธีการเรียนรู้แบบครูพักลักจำซึ่งพอได้ความรู้แล้วก็จะมาลงมือปฏิบัติทดลองเพื่อความมั่นใจและปฏิบัติต่อมา (หน้า 80,81)
หมอตำแยมีการเรียนรู้จากบรรพบุรุษ และเรียนรู้จากประสบการณ์จริง เช่น การติดตามและเป็นผู้ช่วยในการทำคลอด ทำให้เกิดการฝึกปฏิบัติจนชำนาญและใช้ความรู้ได้ (หน้า 83)
การถ่ายทอดความรู้ส่วนใหญ่จะถ่ายทอดกันในสายเลือด เช่น พ่อสู่ลูกชาย แม่สู่ลูกสาว แต่อาจจะมีการไปขอเรียนวิชาจากผู้รู้ได้เช่นกัน
ไม่มีการแสวงหาความรู้เพิ่มเติ่ม เพราะเชื่อมั่นในความรู้ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่อาจจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างหมอประเภทเดียวกันด้วยกันเองได้ ไม่มีการรวมกลุ่มกัน (หน้า 84-88)
ไม่มีการถ่ายทอดความรู้ผ่านเอกสารหรือตำรา มีแต่เพียงการถ่ายทอดโดยการให้เข้าร่วมและมีประสบการณ์ตรงในการรักษาเท่านั้น (หน้า 89) |
|
Health and Medicine |
มีความเชื่อเรื่องขวัญ ซึ่งมีทั้งหมด 33 ที่ทั่วร่างกาย ซึ่งหากขวัญถูกผีร้ายทำร้ายหรือกักขังก็จะทำให้คนผู้เป็นเจ้าของขวัญนั้นเจ็บป่วยได้ จึงมีการรักษาด้วยพิธีเลี้ยงผีและการเรียกขวัญ (หน้า 44)
ปัจจุบันมีสถานีอนามัยประจำตำบล 1 แห่ง ศูนย์บริการสาธารณสุขมูลฐานชุมชน 12 แห่ง และโรงพยาบาลประจำตำบลที่กำลังก่อสร้าง 1 แห่ง (หน้า 71)
สถานีอนามัยตั้งอยู่ในหมู่บ้านห้วยบงซึ่งหากไม่สามารถรักษาได้จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอำเภอปาย จ. แม่ฮ่องสอน (หน้า 75)
หมอไสยศาสตร์เชื่อว่าโรคและความเจ็บป่วยเกิดจากการกระทำของผีและอำนาจเหนือธรรมชาติ การละเมิดคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ หรือการกินที่ผิดธาตุ (หน้า 78) ทำให้หมอไสยศาสตร์มีความรู้เกี่ยวกับการนับถือผี คาถาอาคม และการประกอบพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาของชาวปกาเกอะญอ และอาจมีความรู้ด้านอื่นที่เกี่ยวข้องตามแต่ละบุคคล (หน้า 78)
หมอไสยศาสตร์จะทำการรักษาก่อนการเกิดโรคโดยการสั่งสอนให้เชื่อฟังคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ และข้อห้ามต่างๆ ถ้าเกิดโรคแล้วจะเป็นการประกอบพิธีกรรมต่างๆ และหลังจากการรักษาจะมีพิธีกรรมเพื่อเสริมกำลังใจให้กับผู้ป่วย (หน้า 79)
หมอสมุนไพรเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดจากความผิดปกติของธาตุในร่างกายที่ไม่สมดุลกัน ซึ่งอาจเกิดจากการรับประทานอาหาร หรือบางคนเชื่อว่าเกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติ หมอสมุนไพรสามารถปรุงยาขนานต่างๆ เพื่อรักษาโรคได้ (หน้า 80,81)
แนวคิดเรื่องแม่และเด็กของหมอตำแยนั้นเชื่อว่าแม่และเด็กจะแข็งแรงเมื่อแม่มีอายุที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป กินอาหารครบถ้วน งดของหวาน ของมัน มีการทำงานตามปกติ อารมณ์ดีและมั่นคง มีการทำนายเพศของเด็กโดยการคลำที่ก้นเด็ก นอกจากนั้นหมอตำแยยังต้องมีความรู้เกี่ยวกับลักษณะครรภ์ที่ผิดปกติ การรักษาครรภ์ให้ปกติ วิธีทำคลอด อาหารการกินทั้งก่อนและหลังคลอด ฯลฯ (หน้า 83)
ในการทำคลอดให้ หมอตำแยจะไม่รับเงิน แต่คนที่ทำคลอดให้จะนำน้ำขมิ้น ส้มป่อยและข้าวของต่างๆ มาให้ตามประเพณี (หน้า 84)
รูปแบบการรักษาส่วนใหญ่ผสมผสานระหว่างประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ (หน้า 88) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
มีการแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า มีการละเล่นที่แสดงถึงชีวิตประจำวัน (หน้า 72) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจุบันมีการปลูกพืชเศรษฐกิจมากขึ้นโดยเฉพาะตามหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ความเจริญเช่นถนน หรือโครงการหลวง (หน้า 45)
ภายหลังจากการที่ความเจริญเริ่มเข้าถึงชุมชน มีการตั้งโรงเรียนและถนนที่สะดวกมากขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนภายชุมชนเปลี่ยนแปลงไป คือเริ่มห่างเหินกันมากขึ้น ช่วยเหลือกันน้อยลง วัฒนธรรมดั้งเดิมของเผ่าถูกคนรุ่นใหม่มองว่าล้าหลังและถูกดูถูก มีการรับค่านิยมของคนเมืองเข้ามามากมาย พึ่งพาตนเองได้น้อยลง เพราะเปลี่ยนจากการทำนาเพื่อบริโภคไปเป็นการทำงานเพื่อหาเงิน มีการเกษตรแบบพาณิชย์แทน (หน้า 73)
เนื่องจากความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ลดน้อยลงทำให้ผู้สืบทอดหมอพื้นบ้านนั้นมีจำนวนลดลงและอาจสูญหายไปได้ รวมถึงทำให้ต้องมีการปรับวิถีชีวิต เช่น
หมอสมุนไพรเน้นที่การปรุงยาขายมากขึ้นเป็นต้น มีการถ่ายทอดความรู้และต่อยอดความรู้ที่น้อยลงทำให้ความรู้อาจสูญหายไปได้ (หน้า 89) |
|
Map/Illustration |
1. กรอบแนวความคิดในงานวิจัย
2. แผนที่ตั้งของตำบลบ้านจันทร์
3. แผนที่ตั้งของหมู่บ้านในตำบลบ้านจันทร์
4. ภาพของหมอไสยศาสตร์ หมอสมุนไพร และหมอตำแยที่ให้สัมภาษณ์
5. ภาพสาธิตการดูเมื่อจากกระดูกไก่
6. กระดูกไก่ที่ใช้ในการดูเมื่อ
7. ภาพประเพณีการมัดมือของหมู่บ้านหนองแดง |
|
|