สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ไต คนไตไตโหลงไตหลวง ไตใหญ่,อาหาร ,เชียงใหม่,รัฐฉาน
Author Busarin Lertchavalitsakul
Title Shan Ethnic Food: The Cultural Politics of Taste in Chiang Mai City
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ไทใหญ่ ไต คนไต, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
(เอกสารฉบับเต็ม) Total Pages 218 หน้า Year 2552
Source Busarin Lertchavalitsakul(2552).Shan Ethnic Food: The Cultural Politics of taste in Chiang Mai city. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาการพัฒนาอย่างยั่งยืน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
Abstract

ศึกษาถึงเรื่องอาหาร รสนิยม และวัฒนธรรมทางการกินของชาวไทใหญ่ที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ภายในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแสดงถึงการเมืองเชิงวัฒนธรรมที่แสดงออกผ่านทาง
การรับประทานอาหาร ผ่านการสัมภาษณ์ชาวไทใหญ่ที่อพยพเข้ามาทำงานในประเทศไทย และชาวไทใหญ่ที่ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการให้ได้มาซึ่งวัตถุดิบในการทำอาหาร

จากการศึกษาพบว่า ชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยยังคงยึดติดกับอาหารของตน เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้นึกถึงบ้านเกิดและเผ่าของตน จึงต้องหาแหล่งวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารซึ่งมีชาวไทใหญ่ด้วยกันเป็นผู้จัดจำหน่าย นอกจากการเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทใหญ่ที่มาทำงานแล้ว อาหารไทใหญ่ยังเป็นพื้นที่เชื้อเชิญให้ชาวต่างชาติทดลองสัมผัสกับวัฒนธรรมของไทใหญ่ผ่านอาหาร  ทำให้มีผู้ค้าชาวไทใหญ่จำนวนหนึ่งเลือกที่จะเปิดร้านอาหารหรือแผงขายในถนนคนเดิน เพื่อกลุ่มลูกค้าประเภทนักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่ต้องการจะลองอาหารที่แปลกจากของตน

Focus

เน้นการศึกษาเรื่องอาหาร รสนิยม และวัฒนธรรมทางการกินของชาวไทใหญ่ที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ภายในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแสดงถึงการเมืองเชิงวัฒนธรรมที่แสดงออกผ่านทาง
การรับประทานอาหาร

Theoretical Issues

ใช้การลงพื้นที่ สังเกต สัมภาษณ์ชาวไทใหญ่ที่ประกอบอาชีพต่างๆ เช่น เป็นแรงงานต่างด้าว พ่อค้า ฯลฯ มีการติดตามเส้นทางและบุคคลที่เกี่ยวข้องในการได้มาซึ่งสินค้าที่นำมาประกอบอาหาร และรวบรวมข้อมูลจากเอกสารของทางราชการ เพื่ออธิบายเส้นทางของวัฒนธรรมการกินของชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่

Ethnic Group in the Focus

ชาวไทใหญ่ ในจังหวัดเชียงใหม่

Language and Linguistic Affiliations

ชาวไทใหญ่ใช้ภาษาในกลุ่ม ภาษาไท (หน้า 10)

ชาวไทใหญ่ไม่ได้ใช้นาฬิกาในการบอกเวลา แต่ใช้ระยะเวลาในการทำกิจกรรมหนึ่งๆ เป็นคำอธิบายโดยเฉพาะมีการนำกิจกรรมที่เกี่ยวกับข้าวมาเป็นคำอธิบาย เช่น เวลาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เรียกว่าเวลาทุบข้าวเปลือก (paddy pounding time) (หน้า 78-79)

บทสนทนาของชาวไทใหญ่มีการนำอาหารเข้ามาอยู่ในรูปประโยคด้วย (หน้า 97)

Study Period (Data Collection)

พ.ศ. 2552

History of the Group and Community

ชาวไทใหญ่มีการตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างกระจัดกระจายภายในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งครอบคลุมบริเวณประเทศจีนทางตะวันตกเฉียงใต้, อินเดียทางตะวันออกเฉียงเหนือ, ไทย, เวียดนามตอนเหนือ, ลาว, กัมพูชา และทางตะวันออกของพม่า (หน้า 10) มีหลักฐานว่าชาวไทใหญ่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณประเทศจีนมาก่อนที่จะอพยพมายังที่อยู่ปัจจุบัน (หน้า 11)

ชาวไทใหญ่ได้มีการตั้งถิ่นฐานเป็นหมู่บ้านในประเทศไทยหลักๆ อยู่ 2 ที่คือในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และบ้านใหม่หมอกจ๋าม อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1960 และได้รับการรับรองให้เป็นหมู่บ้านใน 10 ปีต่อมา (หน้า 84)

Settlement Pattern

มีชุมชนของชาวไทใหญ่อยู่บริเวณที่เรียกว่า ช่างเคี่ยน โดยแต่ละครอบครัวอาศัยอยู่ภายในห้องเช่าขนาดเล็ก ไม่มีที่พอสำหรับห้องครัวภายใน จึงต้องมีการนำถังแก๊สแบบปิคนิก มาใช้ทำอาหารนอกบ้าน (หน้า 107-108)

บริเวณหลังวัดป่าเป้า มีประมาณ 5-6 ร้านที่เปิดขายอาหารไทใหญ่และอาหารอย่างอื่นที่ทำจาก ถั่วพู (tuapu) นอกจากนั้นยังมีร้านขายสินค้าที่นำเข้ามาจากพม่า (หน้า 129)

วัดป่าเป้าและวัดกู่เต้าเป็นวัดที่ดังที่สุดของชาวไทใหญ่ภายในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งชาวไทใหญ่นิยมไปร่วมงานเทศกาลทางศาสนาต่างๆ ที่วัดนี้ (หน้า 130)

Demography

ชาวไทใหญ่ส่วนมากอาศัยอยู่ในรัฐฉาน ประเทศพม่า และถือเป็นชนกลุ่มที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศพม่า (หน้า 11)

มีการอพยพของชาวไทใหญ่เข้ามาสู่ประเทศไทยในหลายช่วงเวลา ด้วยเหตุผลและแรงจูงใจที่แตกต่างกันไป และเป็นยากที่จะนับจำนวนชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเพราะว่า
ชาวไทใหญ่ต่างอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจายทั่วประเทศ และบางส่วนได้รับสัญชาติไทยแล้ว (หน้า 12)

มีการอพยพเข้ามายังประเทศไทยในช่วงสมัยอาณาจักรล้านนา (กลางศตวรรตที่ 16) ผ่านการปกครองในรูปแบบบ้านพี่เมืองน้องกับอาณาจักรรอบข้าง โดยเฉพาะในสมัยของพระเจ้ากาวิละ ที่ภายหลังจากสงครามกับพม่าทำให้ประชากรภายในอาณาจักรลดลงอย่างมาก จึงมีการบังคับอพยพผู้คนมาจากอาณาจักรรอบข้าง (หน้า 13)

มีการอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทยอีก เมื่อมีการค้าขายทางไกลบรรทุกข้าวของต่างๆ เพื่อมาขายในอาณาจักรล้านนา ทำให้มีการตั้งถิ่นฐานของพ่อค้าเหล่านี้ในแถบจังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงกลางศตวรรตที่ 19 (หน้า 14)

ปัจจุบัน ชาวไทใหญ่ที่อพยพมายังประเทศไทยนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลีกเลี่ยงปัญหาการเมืองภายในประเทศที่มีการใช้กำลังทางทหารต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทำให้มีกลุ่มคนที่อพยพเข้ามายังประเทศไทย 2 ประเภทคือ
1. เป็นอดีตทหาร หรือที่เกี่ยวข้องกับการค้ายา ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป็นแกนนำในกลุ่มขบวนการรักชาติ
2. เป็นกลุ่มของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ เช่น สูญเสียที่ดินทำกินหรือว่าไม่มีอาชีพจึงหันมาปลูกฝิ่น (หน้า 15-16)

ระหว่างปีค.ศ. 1996-1997 คาดการณ์ว่ามีชาวไทใหญ่ข้ามชายแดนอย่างผิดกฎหมายมากกว่า 80,000 คน และในช่วงปี ค.ศ. 1997-2002 มีกลุ่มคนจำนวนมากที่อพยพเข้ามาทางอำเภอ ฝาง จังหวัดเชียงใหม่ (ประมาณ 8,000-15,000 คนต่อปี) (หน้า 16)

ชาวไทใหญ่มีการอพยพเข้ามายังประเทศไทยเพื่อหางานทำในช่วงเดือนมกราคม ถึง พฤษภาคมทุกปีในช่วงก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์สู้รบภายในประเทศ ในปัจจุบัน การอพยพส่วนใหญ่มี
แรงจูงใจจากเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก ในการอพยพนั้นไม่ได้มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองโดยตรง แต่จะมีการข้ามพรมแดน และหยุดพักตามเมืองต่างๆ ก่อน เพื่อหางานทำ (หน้า 17)

มีการประมาณการว่ามีชาวไทใหญ่จำนวนประมาณ 200,000 คน อาศัยอยู่ภายในตัวเมืองเชียงใหม่และอำเภอโดยรอบ และทั้งจังหวัดจะมีทั้งสิ้น 1,000,000 คน (หน้า 20) ผู้อพยพ
ชาวไทใหญ่บางส่วนไม่ได้มองว่าเชียงใหม่เป็นจุดหมายปลายทางของการอพยพ บางส่วนมีการเดินทางต่อไปยังกรุงเทพ หรือจังหวัดอื่นๆ เพื่อเสาะหาโอกาสในการประกอบอาชีพที่ดีกว่า (หน้า 28)

Economy

ชาวไทใหญ่เรียนรู้วัฒนธรรมทางอาหารจากการเติบโตท่ามกลางการรับประทาน การเตรียม และวัฒนธรรมและสังคมที่ให้คุณค่ากับอาหาร (หน้า7)

ในอดีตเชียงใหม่ (อาณาจักรล้านนา) ดำรงชีวิตด้วยเศรษฐกิจแบบยังชีพ แต่เมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญากับต่างชาติ ทำให้มีการเปลี่ยนเป็นเศรษฐกิจแบบพาณิชย์ ทำให้มีกลุ่ม
ชนชั้นกลางเกิดขึ้นในสังคม ซึ่งมักเป็นชาวจีนที่ทำการค้าขาย ทำให้การค้าขายแบบคาราวานทางไกลที่ทำโดยชาวไทใหญ่ ชาวพม่า ชาวอินเดีย และชาวจีนยูนนานลดลง (หน้า 29)

ชาวไทใหญ่บางส่วนมีการขายสินค้าที่รับมาจากชายแดนมายังตัวเมืองเชียงใหม่ ทั้งแบบปลีกและแบบส่งหรืออาจจะเป็นผู้ผลิตสินค้าดังกล่าวขึ้นเองในเวลาเดียวกัน (หน้า36)

การเคลื่อนย้ายของอาหารและวัตถุดิบข้ามพรมแดนมีจำนวนมากขึ้นแม้จะมีกฎระเบียบเกี่ยวกับการค้าขายข้ามพรมแดน  (หน้า 71)

ในการศึกษาสามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 กลุ่มคือ ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และผู้บริโภค ซึ่งไม่ได้แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าอาจจะมีผู้ที่ทำหน้าที่มากกว่า 1 บทบาทก็ได้ในเวลาเดียวกัน (หน้า 71)

มีการแบ่งผู้ผลิตอาหารออกเป็น 2 กลุ่มตามทุนเริ่มต้น คือผู้ผลิตที่มีทุนน้อย แสดงถึงผู้ที่เป็นพ่อค้าตามถนน ตลาดนัด หรือว่าพ่อค้าเร่เคลื่อนที่ กับกลุ่มที่มีทุนมากกว่า คือผู้ที่ธุรกิจร้านอาหารพม่า (หน้า 71)

ในแง่ของผู้บริโภค แบ่งได้ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกคือผู้ที่เป็นแรงงานต่างด้าว ที่รับประทานอาหารของชนเผ่าตน เพื่อนึกถึงชนเผ่าและชีวิตที่ดินแดนบ้านเกิด กลุ่มที่ 2 คือลูกค้าของร้านอาหารพม่า ที่มารับประทานเนื่องจากรู้สึกว่าเป็นอาหารที่แปลกใหม่ ทำให้กลุ่มผู้บริโภคทั้ง 2 กลุ่มมีแรงจูงใจในการรับประทานอาหารที่ต่างกัน

ชาวไทใหญ่ดำรงชีวิตด้วยการทำนาเป็นส่วนหลัก เพื่อแลกเปลี่ยนกับผลผลิตอย่างอื่น เช่นถั่ว ยาสูบ แตงโม และผลผลิตตามฤดูกาล ซึ่งเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องทางศาสนาตลอดทั้งปี (หน้า 74)

ชาวไทใหญ่ชอบกินเนื้อสัตว์ป่าและสัตว์ประหลาดต่างๆ เช่น ทากดูดเลือด ปลาไหล งู หนู แมลงปอ กบ เป็นต้น รวมถึงแมลงที่กินได้ มีการดื่มน้ำเกรวี่ที่ทำจากปลา หรือเนื้อหมักในน้ำล้างข้าว อาหารส่วนใหญ่มักเกิดจากการหมักผลผลิต เช่น ปลา ผัก หน่อไม้และเนื้อสัตว์ต่างๆ เนื่องจากชาวไทใหญ่ชอบรับประทานอาหารรสเปรี้ยวและรู้วิธีถนอมอาหาร ถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบ
อีกชนิดหนึ่งที่นิยมนำมารับประทาน (หน้า 74)

ชนชั้นสูงของไทใหญ่สมัยก่อนจะรับประทานอาหารแบบไม่ได้อุ่น ไม่มีการใช้ตะเกียบเหมือนชาวจีน แต่ละเริ่มรับประทานอาหารโดยการล้างมือและล้างปาก มีการดื่มแอลกอฮอล์จากแก้วด้วยหลอด อาหารและเครื่องดื่มทุกอย่างจะต้องมีการถวายให้กับเทพเจ้าหรือวิญญาณก่อนที่คนจะสามารถรับประทานได้ นอกจากนั้นยังชอบเคี้ยวชาที่เรียกว่า Ku โดยเฉพาะในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง (หน้า 74)

มีการจัดตลาดนัด (Kaadnud) ขึ้นทุกๆ 5 วันในสถานที่ต่างๆ กันรอบๆเมือง ซึ่งจะมีการซื้อขายกันทั้งจากผู้ขายจากต่างหมู่บ้านนำสินค้ามาแลกเปลี่ยน หรือซุ้มอาหารที่ขายอาหารไทใหญ่ (หน้า 75-76) ตัวอย่างอาหารไทใหญ่เช่น เต้าหู้ถั่วพู ถั่วเน่า ผักกาดส้ม ข้าวเส้นน้ำเงี้ยว(หน้า 76,86-87)

ปกติชาวไทใหญ่จะรับประทานอาหารเช้าเวลา 8.00 น. ก่อนที่จะออกไปทำงานหรือเข้าป่า อาหารเย็นจะตั้งตอนเวลาประมาณ 20.00 น. อาหารจานหลักมักจะเป็นข้าวเหนี่ยวกับแกงต่างๆ ที่มีผักเป็นส่วนประกอบโดยจะม้วนข้าวให้เป็นก้อนกลมและจิ้มลงไปในแกงก่อนรับประทาน ถ้าเป็นเนื้อจะถูกคลุกกับข้าวรวมกับส่วนผสมและเครื่องเทศ แต่จะไม่มีการรับประทานข้าว พร้อมกับเนื้อ หลังจากมื้ออาหาร ชาวไทใหญ่มักมีรับประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น สับปะรดโดยไม่ต้องปอกเปลือก (หน้า 76-77)

กล้วยที่ยังไม่สุกสามารถใช้เป็นส่วนประกอบในแกงได้ หรืออาจจะนำมาตากแดด (หน้า 77)

มีการนำผักและผลไม้บางอย่างมาขายในตลาดนัด เช่น ฟักทอง บวบ แตงกวา พริก ฯลฯ โดยในฤดูที่แตกต่างกันก็จะมีผักและผลไม้ตามฤดูกาลมาขายเพิ่มด้วย เห็ดทั้งสดและแห้งก็เป็นที่แพร่หลายเช่นกัน  (หน้า 77)

บางครัวเรือนมีการเลี้ยงสัตว์เพื่อนำเนื้อมาขายให้กับครอบครัวที่ไม่อยากฆ่าสัตว์ โดยเนื้อสัตว์ที่นำมาบริโภคมักจะเป็นเนื้อที่เพิ่งถูกฆ่าใหม่ๆ เพราะเชื่อว่าเป็นธรรมชาติของมัน สัตว์น้ำและแมลงต่างๆ ก็สามารถพบได้ในตลาดเช่นกัน โดยมีข้าวและงาเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่มีการขายเป็นจำนวนมาก (หน้า 77)

ข้าวเป็นวัตถุดิบและผลผลิตหลักในการเพาะปลูก มีบทบาทในความเชื่อหลายประการ และเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของวัฏจักรชีวิตของชาวไทใหญ่ (หน้า 77-78)

เด็กจะรับประทานอาหารเหมือนผู้ใหญ่เมื่อสามารถรับประทานอหารร่วมกับครอบครัวได้

อาหารเช้าโดยทั่วไปจะประกอบด้วยข้าว แกงผัก และเนื้อเล็กน้อย และจะมีการเตรียมอาหารกลางวันให้สำหรับเด็กชายที่ออกไปช่วยต้อนวัวในป่า ซึ่งถ้าเกิดว่าไม่มีแกง ก็จะรับประทานแต่ข้าวเปล่าๆ เพียงอย่างเดียว (หน้า 78)

ชาวไทใหญ่ส่วนใหญ่จะทำนาตามฤดูกาลยกเว้นบางแห่งที่ต้องมีการชลประทาน คนยากจนที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองก็จะใช้ที่รกร้างหรือบริเวณภูเขาในการทำนา ตลอดทั้งปีมีการปลูกพืชหมุนเวียน เช่น มะเขือเทศ หัวหอม ถั่ว พริก และผลไม้ มันฝรั่ง ข้าวโพด อ้อย ข้าวฟ่าง และครามเป็นพืชเศรษฐกิจที่นิยมปลูกมาก รวมถึงชาและกาแฟที่กำลังเป็นที่นิยมเช่นกัน (หน้า 82,86)

ในช่วงปีค.ศ. 1980 มีชาวไทใหญ่ที่อาศัยในจังหวัดแม่ฮ่องสอน รับประทานรอบโต๊ะกลมเตี้ยตั้งกับพื้น ภายในบ้านที่ทำจากไม้ ข้าวและของกินอื่นๆ จะถูกเก็บไว้ในชั้นสูง ส่วนฟืน ไม้ไผ่และเครื่องมืออุปกรณ์จะเก็บไว้ที่ใต้ถุนบ้าน (หน้า 85)

ข้าวที่ไม่เหนียวจะใช้รับประทานตอนเช้าและกลางวัน และข้าวเหนียวจะรับประทานในตอนเย็น (หน้า 86) ถั่วเน่าเป็นอาหารที่แสดงถึงความเป็นไทใหญ่ โดยมีถั่วเน่าแขบเป็นอาหารสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในวัฒนธรรมการกินของชาวไทใหญ่ (หน้า 86)

อาหารพื้นฐานส่วนใหญ่ จะทำจากวัตถุดิบพื้นฐานคือ ถั่วเหลือง ผักดอง และผักสดอื่นๆ (หน้า 86) ชาวไทใหญ่มักจะไม่รับประทานอาหารว่าง (khao moon) หลังอาหารแต่จะมีการทำขนมเพื่อใช้ในงานเทศกาล เพื่อมอบให้กับบุคคลอื่น
อาหารสำหรับเทศกาลพิเศษจะถูกจัดเตรียมก่อนหน้าวันงานที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน เช่นในเทศกาล Awk Waa จะมีการทำแกงฮังเล และอาหารอย่างอื่น เช่น kyasan, khamonpphawang, taengsa, phakkatoupฯลฯ โดยจะจัดเตรียมอาหารไว้สำหรับนักบวช ผู้เข้าร่วมงานและผู้ที่ได้รับเชิญจากต่างหมู่บ้าน ยกเว้นบางจานที่จัดไว้เพื่อพระสงฆ์เท่านั้นมีการออกร้านขายของและอาหารตลอดงานเทศกาล (หน้า 87)

ตลอดทั้งปี มีการจัดงานประเพณีประจำเดือน ตามปฏิทินแบบจันทรคติ ซึ่งแสดงความเชื่อมโยงระหว่างชาวไทใหญ่ ผลผลิต การเก็บเกี่ยว และการบริโภค (หน้า 90)

ชาวไทใหญ่ในแต่ละส่วนมีลักษณะอาหารที่แตกต่างกัน ทางใต้อาหารจะมันกว่า เช่น อาหารทอดและแกงฮังเล ในขณะที่ทางเหนือจะรับประทานน้ำซุปปรุงรสด้วยเกลือและถั่วเน่า(หน้า 98)

มีน้ำพริกบางอย่างที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำอาหารของชาวไทใหญ่คือ nam pit nok,nam pit pu, น้ำพริกมะเขือ เป็นต้น (หน้า 99)

ถั่วเน่าเป็นสิ่งที่แสดงถึงอาหารของชาวไทใหญ่ ไม่ว่าจะอยู่ภูมิภาคใดก็ตาม (หน้า 99) นอกจากถั่วเน่าชาวไทใหญ่นิยมรับประทานผักสดที่พบได้ตามธรรมชาติตามฤดูกาล ทำให้มีอาหารแบ่งตามฤดูขึ้นกับผักและส่วนผสมที่ใช้ (หน้า 99)

ชาวไทใหญ่อาจรับประทานของว่างได้ทุกเมื่อถ้าต้องการ เช่น Khang pong, khao moon tong เป็นต้น แต่มักจะทำและรับประทานในช่วงเทศกาลมากกว่ารับประทานตามปกติ (หน้า 100)

ภายหลังจากการอพยพมายังประเทศไทย ชาวไทใหญ่พบว่าพืชผักที่นี่ไม่สดและสะอาดเหมือนที่เคยมีที่บ้านเกิด เพราะมีการใช้สารเคมี และผลผลิตไม่ได้เป็นไปตามฤดูกาล ทำให้ชาวไทใหญ่ที่พอจะมีพื้นที่ภายในบ้านนิยมปลูกพืชผักไว้เก็บรับประทานกินเอง และไม่สามารถทำอาหารบางชนิดได้ เพราะขาดวัตถุดิบบางชนิดที่ไม่สามารถหาได้เหมือนของดั้งเดิมและมักจะทำอาหารที่มีขั้นตอนไม่มากแทน (หน้า 101)

ชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในชุมชนช่างเคี่ยนมักประกอบอาชีพเป็นแรงงานในการก่อสร้างอาคารต่างๆ (หน้า 108)
ชาวไทใหญ่นิยมไปตลาดนัด (Kaadnud) ในย่านชุมชนช่างเคี่ยน ที่มีทุกๆ วันจันทร์ตอนบ่าย ตั้งแต่ 15.00-20.00 น. แต่ละครอบครัวมีการทำอาหารทุกวัน เนื่องจากว่าการทำอาหารเองจะประหยัดกว่าการซื้ออาหารข้างนอกบ้านรับประทาน โดยส่วนมากจะทำอาหารเย็นให้ทั้งครอบครัว และเหลือเผื่อพอสำหรับมื้อเช้าและกลางวันวันรุ่งขึ้น แต่บางคนจะไปรับประทานอาหารเช้าและเที่ยงซึ่งเป็นสวัสดิการของร้านอาหารที่ตนเองทำงานอยู่ ชาวไทใหญ่ส่วนมากทำงานแบบไม่มีวันหยุด และอาจต้องทำงานล่วงเวลา ทำให้ไม่มีเวลาสำหรับการทำอาหาร จึงนิยมทำอาหารเพียงครั้งเดียว และทำแต่อาหารง่ายๆ  เพื่อรับประทานในครอบครัว (หน้า 109-110)

วัตถุดิบในการทำอาหารสามารถหาซื้อได้จากตลาด เช่นตลาด Chang Puek หรือซื้อจากพ่อค้าเคลื่อนที่ที่ขับรถกระบะหรือจักรยานยนต์บรรทุกข้าวของมาขายตามที่ต่างๆ วนไปรอบๆ เมือง เช่น ถั่วเน่าถั่วเหลือง ผักกาดส้มและสินค้าที่นำเข้าจากพม่า (หน้า 111)

ชาวไทใหญ่ที่ทำงานก่อสร้างมักจะย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ทุกครั้งที่ทำงานเสร็จ ขึ้นกับว่างานก่อสร้างต่อไปอยู่ที่ใด ทำให้เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาเหล่านี้จะนอนในตู้เคบิน หลังคา
ทำจากดีบุก และมีพลาสติกคลุมป้องกันฝน (หน้า 112)

โดยปกติแล้วในการนั่งรับประทานอาหารจะแยกกันรับประทานตามแต่ละครอบครัวยกเว้นมีโอกาสพิเศษถึงจะมีการนั่งรวมกันหมด (หน้า 114)

ชาวไทใหญ่บางคนเลือกที่จะรับประทานอาหารไทใหญ่ที่ขายบริเวณหลังวัดป่าเป้า หรือสามารถซื้อได้ในเวลาที่มีงานเทศกาล ในขณะที่บางคนที่ไม่มีเวลาหรือไม่สามารถหาสถานที่ขายอาหารไทใหญ่ได้ก็อาจจะรับประทานอาหารประเภทบะหมี่สำเร็จรูปแทน (หน้า 116)

โดยทั่วไป ข้าวถือเป็นอาหารหลักของผู้อพยพชาวไทใหญ่ และมักจะรับประทานพร้อมกับข้าวอีกประมาณ 2 อย่าง (หน้า 117)

โดยปกติจะมีการซื้อสินค้าบางประเภทเช่นข้าว พริก หอม กระเทียม น้ำมันตุนไว้ภายในครัวเรือน แต่จะไม่ซื้อผักหรือของสด เพราะว่าชาวไทใหญ่ส่วนใหญ่ไม่มีตู้เย็น (หน้า 119)

ชาวไทใหญ่ที่ทำงานในร้านอาหารจะได้รับเงินเดือนประมาณเดือนละ 5,000-6,000 บาท รายได้ที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ จะถูกส่งกลับไปยังบ้านเกิดในประเทศพม่า (หน้า 122)

สำหรับผู้อพยพชาวไทใหญ่ การได้รับประทานอาหารไทใหญ่ช่วยเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดหายไปเพราะอยู่ต่างถิ่น ทำให้นึกถึงตอนที่อาศัยอยู่ในบ้านเกิด และเป็นเครื่องแสดงถึงความเป็น
ชาวไทใหญ่ (หน้า 123)

ชาวไทใหญ่จะอยากซื้อสินค้ากับชาวไทใหญ่ด้วยกันเองมากกว่า ซึ่งสามารถซื้อได้ตามตลาดนัดหรือจากพ่อค้าเคลื่อนที่ เพราะเชื่อว่าชาวไทใหญ่ด้วยกันจะรู้ว่าต้องการอะไร (หน้า 124)

ชาวไทใหญ่ส่วนมากจะเดินทางไปไหนไม่ได้มากนัก  เนื่องจากสถานะความเป็นแรงงานต่างด้าวที่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและข้อบังคับ (หน้า 125)

อาหารไทใหญ่ไม่ใช้เครื่องปรุงรสมากเหมือนอาหารไทย (หน้า 135)

มีชาวไทใหญ่ที่ประกอบอีพเป็นผู้ขาย ผู้ค้าปลีก ผู้ค้าส่ง และผู้จัดจำหน่าย เพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ของชาวไทใหญ่ที่อาศัยในประเทศไทย โดยจำนวนผู้ค้าเหล่านี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ (หน้า 137) และเนื่องจากเชียงใหม่เป็นเมืองที่มีความหลากหลายของธุรกิจมาก ทำให้มีการแข่งขันกันของผู้ประกอบการทั้งต่างเชื้อชาติ และภายในเชื้อชาติเดียวกัน (หน้า 138-139)

ผู้ค้าขายเคลื่อนที่ (mobile vendor) แบ่งได้ออกเป็น 3 ประเภทคือ 1. ผู้ที่ใช้รถจักรยานยนต์แบบต่อเติม 2.ผู้ที่ใช้รถกระบะ 3.ผู้ที่ใช้รถกระบะในการขนถ่ายสินค้าไปเปิดซุ้มตามตลาดนัด (หน้า 139)

ผู้ที่ค้าขายโดยใช้รถจักรยานยนต์ต่อเติม อาจมองเป็นก้าวแรกของการประกอบอาชีพค้าขายสินค้าไทใหญ่และสินค้าพม่า ซึ่งเมื่อกิจการขยายขึ้นอาจเปลี่ยนไปเป็นการใช้รถกระบะได้ (หน้า 142) ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ที่ได้นั้นอาจมาจากการโทรศัพท์ไปสั่งจากแหล่งผลิต ไปซื้อส่งมาจากตลาด หรือว่าไปซื้อสินค้าพม่าที่ชายแดนก็ได้

ในการค้าขายสินค้าในตลาดนัด ควรมีเพียงร้านเดียวที่ขายสินค้าไทใหญ่และสินค้านำเข้าจากพม่า เพราะว่าในบริเวณหนึ่งมีจำนวนชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่แน่นอน และการมีร้านอื่นมาขายในบริเวณเดียวกันจะทำให้กำไรที่ได้ลดลง (หน้า 146-147)

ในการค้าขายถ้าเกิดว่ามีความสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว จะทำให้ได้รับสิทธิพิเศษบางอย่างมากกว่าผู้ซื้อคนอื่น เช่นการให้เครดิตมากขึ้น เป็นต้น (หน้า 147)

มีผู้ค้าบางคนมองเห็นโอกาสในการนำสินค้าไทใหญ่ไปขายตามถนนคนเดินหรือสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาเดินจำนวนมาก กลุ่มเป้าหมายของผู้ค้ากลุ่มนี้จึงเป็นนักท่องเที่ยวที่อยากลองอาหารไทใหญ่ หรืออาหารพม่า ไม่ใช่ชาวไทใหญ่ (หน้า 149-150)

มีอาหารและสินค้าบางอย่างที่ต้องใช้ในการประกอบอาหารไทใหญ่ที่ต้องนำเข้าจากชายแดนระหว่างประเทศไทยและพม่า ซึ่งอาจมาในรูปแบบของสด หรือสินค้ากึ่งสำเร็จรูป เช่น เนื้อ
ข้าวซอยทอด ปลาแห้งและอาหารทะเล เครื่องสำอาง ฯลฯ (หน้า 154-155)

การนำเข้าสินค้าจากประเทศพม่าสามารถผ่านจังหวัดชายแดนได้ 2 ที่คืออำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก (หน้า 155)

มีการนำเข้าสินค้าประเภทอาหารทะเลและสินค้าจากพม่ามากขึ้นเนื่องจากว่าจำนวนปลาและสิ่งมีชีวิตในทะเลของไทยมีจำนวนน้อยลง (หน้า 156)

ต้นทุนของสินค้าจากพม่านั้นจะไม่ต่างกันมาก แต่ราคาจะขึ้นอยู่กับหลังการข้ามชายแดน เช่น การซื้อสินค้าจากผู้ขายที่ต่างกัน หรือความสนิทสนมของผู้ซื้อกับผู้ขาย (หน้า 157)

นอกจากนั้นมีการขนส่งสินค้าจากพม่าอย่างผิดกฎหมายผ่านทางด่านตรวจคนเข้าเมืองชั่วคราว NongOuk อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นช่องทางการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายของแรงงานพม่าสู่ประเทศไทยเช่นกัน (หน้า 158)

ในช่วงที่ทำการสำรวจ (ค.ศ.2009) พบว่าราคาสินค้าจากพม่าสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ขายสินค้าได้ยากขึ้น (หน้า 163)

มีชาวไทใหญ่บางส่วนที่ประกอบอาชีพเป็นผู้ผลิตอาหารเพื่อขายให้กับพ่อค้าเคลื่อนที่, ผู้ขายจากแหล่งต่างๆ หรือนำไปขายด้วยตนเอง เช่นการทำ pakkaadsom, ถั่วเน่าsa, ถั่วเน่า cap (หน้า 164-166)

บางเจ้าทำสินค้าออกมาขายจำนวนมาก ทำให้เป็นศูนย์กลางของการผลิตและมีผู้ที่โทรศัพท์มาสั่งซื้อ หรือมาซื้อด้วยตนเองมากมาย (หน้า 166-167)

อำเภอเพียงหลวง เป็นสถานที่ที่มีการผลิตถั่วเน่าที่มีรสชาติดี โดยมี 2 หมู่บ้านที่ยังคงมีการผลิตอยู่นั่นก็คือ Baan Jong และ Baan Lak Tang ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีสูตรในการทำที่แตกต่างกันออกไป โดยมีการเริ่มทำครั้งแรกเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว (หน้า 168)

จำนวนถั่วเน่าที่ผลิตได้ขึ้นกับฤดูกาล เพราะขั้นตอนการตากแห้งขึ้นกับสภาพความชื้นของอากาศ (หน้า 171)

มีร้านอาหารพม่าจำนวน 3 ร้านที่เปิดในตัวเมืองเชียงใหม่และบริเวณใกล้เคียงที่เจ้าของกลับไม่ใช่ชาวพม่า แต่เลือกใช้ชื่ออาหารพม่าเนื่องจากทำให้การค้าขายเป็นไปได้ดีมากยิ่งขึ้น แทนการใช้ชื่ออาหารตามกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งแต่ละร้านก็มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป (หน้า 175-176)

วัตถุดิบที่ใช้ในการประกอบอาหารของร้านอาหารพม่าจะซื้อมาจากตลาด หรือร้านค้าหลัง Wat Pa Pao(หน้า 189)

แม้ว่าจะเป็นร้านอาหารพม่า แต่กลับพบว่าไม่ใช่ชาวพม่าหรือชาวไทใหญ่ทุกคนที่สนใจในร้านอาหารพม่า ในทางกลับกันชาวไทใหญ่ที่เป็นแรงงานอพยพไม่มีเงินมากพอที่จะเข้ามา
รับประทานอาหารในร้านเหล่านี้ได้ ถึงแม้ว่าจะมีอาหารไทใหญ่ขายก็ตาม (หน้า 190)

ชาวไทใหญ่ที่เป็นผู้อพยพเก่าสามารถจ่ายเงินเพื่อที่จะรับประทานอาหารไทใหญ่ที่มีราคาแพงได้ และสามารถปรับตัวรับประทานอาหารอย่างอื่นนอกจากอาหารบ้านเกิดได้ในขณะที่ผู้อพยพใหม่ยังคงยึดติดกับอาหารบ้านเกิดของตนอยู่ (หน้า 190)

การออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านไม่ใช่วัฒนธรรมของชาวไทใหญ่ ยกเว้นเวลามีงานเทศกาลหรือโอกาสพิเศษเท่านั้น (หน้า 190)

สำหรับชาวไทใหญ่ที่มีรายได้สูง ร้านอาหารพม่าเหล่านี้เป็นหมือนสถานที่ที่รู้สึกผูกพันกับเพื่อนหรือคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน (หน้า 191)

เจ้าของร้านอาหารพม่าทั้ง 3 ร้านนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์ในการขายอาหารให้กับชาวพม่าเพียงอย่างเดียวแต่ขายให้กับคนที่ไม่ใช่คนพม่าด้วย รวมถึงนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว (หน้า 192)

มีรายการอาหารไม่กี่อย่างที่ถูกระบุว่าเป็นอาหารไทใหญ่แต่บางรายการที่จัดว่าเป็นอาหารไทใหญ่แต่ไม่ได้ระบุไว้เพราะว่าสามารถทำได้ 2 แบบคือแบบพม่าและแบบไทใหญ่ (หน้า 194)

บางร้านอาหารมีการขายอาหารไทยแต่บางรายการไม่ระบุว่าเป็นอาหารไทยเนื่องจากต้องการให้ลูกค้าคิดว่าเป็นอาหารพม่า (หน้า 195)

อาหารที่ขายตามผู้ขายสินค้าเคลื่อนที่ไม่สามารถซื้อได้ในร้านอาหารแต่อาหารไทใหญ่ที่พบในร้านอาหารชาวไทใหญ่สามารถทำได้ด้วยตนเองที่บ้านในราคาที่ถูกกว่าที่ขาย (หน้า 198)

อาหารไทใหญ่ไม่ถูกแยกออกมาให้เห็นได้ชัดจากอาหารพม่าเนื่องจากมีวัตถุดิบและวิธีการทำที่คล้ายกัน ยกเว้นบางอย่างที่แตกต่างกันมากจึงจะระบุว่าเป็นอาหารไทใหญ่

Social Organization

สามารถแบ่งกลุ่มชาวไทใหญ่ที่อพยพเข้ามาได้ 2 ประเภทคือผู้ที่อพยพมานานแล้ว (old migrant –  Tai Nai) จะอาศัยอยู่ภายในเมือง และมีทุนมากกว่า อีกประเภทคือผู้ที่เพิ่งอพยพเข้ามา (New migrant – Tai Nok) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน หรือผู้พลัดถิ่น ซึ่งการแบ่งกลุ่มในรูปแบบนี้มีขึ้นเนื่องจากการแข่งขันในตลาดแรงงาน ไทนอก จะได้รับ
ค่าจ้างที่ต่ำกว่า และเป็นที่ต้องการมากกว่า (หน้า 18-19)

เด็กผู้หญิงชาวไทใหญ่จะต้องได้รับการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำหน้าที่ต่างๆ เพื่อดูแลบ้าน เช่นการทอผ้า ทำอาหาร ฯลฯ ในขณะที่เด็กผู้ชายจะเรียนรู้เกี่ยวกับการเพาะปลูก เก็บของป่า เป็นต้น
ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะต้องย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของสามีและดูแลครอบครัวของสามี (หน้า 75) ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งจะต้องมีหน้าที่ทำอาหาร และเตรียมการจัดงานเวลามีงานเทศกาล (หน้า 75) 

โดยปกติทุกคนในครอบครัวจะรับประทานอาหารพร้อมกัน แต่เมื่อเวลามีแขก ผู้ชายมักจะรับประทานก่อนและผู้หญิงรับประทานทีหลัง (หน้า 78)

ชาวไทใหญ่ทางภาคเหนือนิยมการช่วยเหลือและแบ่งปันให้กับคนอื่น รวมถึงสัตว์ รูปปั้น ฯลฯ (หน้า 80)

ในการแต่งงาน ฝ่ายชายเป็นผู้แจ้งพ่อแม่ของตนให้ไปสู่ขอฝ่ายหญิง โดยฝ่ายเจ้าบ่าวต้องเตรียมของสำหรับพิธีด้วยไข่ดิบ 2 ฟอง ข้าวที่สีแล้ว ใบชาเปียกและเกลือสำหรับนำไปมอบให้กับครอบครัวฝ่ายหญิง ซึ่งถ้าทางฝ่ายผู้หญิงตกลง จะมีการเปิดซองชามาแบ่งปันรับประทานกันในหมู่เครือญาติ หลังจากนั้น ฝ่ายเจ้าบ่าวจะกลับไปจัดเตรียมพิธีหมั้นและสิ่งของที่จะมอบให้กับพ่อแม่เจ้าสาว โดยของหมั้นประกอบไปด้วยไข่ ใบชาใส่ซองและเกลือ สำหรับไทใหญ่ทางเหนือ ถ้าเกิดว่าฝ่ายหญิงตกลงรับของหมั้น จะมีการทอดไข่เพื่อประกาศให้บรรพบุรุษรู้ถึง
การแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้น

ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวต้องเตรียมไก่ต้ม 2 ตัว กล้วย 2 หวี น้ำอ้อย 2 ชาม เหล้า 2 ชาม และเงินไป ในขณะที่ประธานในพิธีกำลังสวดมนต์ เจ้าสาวก็จะส่งเหล้าให้กับว่าที่สามี ซึ่งจะส่งต่อให้กับญาติพี่น้องของตน จากนั้นประธานจะเทเหล้าลงบนตัวไก่ต้ม ญาติพี่น้องจะมัดเชือกศักดิ์สิทธิ์รอบตัวเจ้าสาวเจ้าบ่าวเพื่อแสดงถึงการสิ้นสุดพิธีกรรม เจ้าบ่าวจะต้องเตรียมข้าว เนื้อ ชา กล้วย ไข่ 4 ฟองและปลาหมัก 2 ตัว ครึ่งหนึ่งนำไปมอบให้พ่อแม่เจ้าสาว อีกครึ่งหนึ่งสำหรับญาติพี่น้องของฝ่ายหญิง (หน้า 83)

ชาวไทใหญ่มีวัฒนธรรมในการต้อนรับทุกคนที่มาเยี่ยมบ้านด้วยการมอบสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เช่น niengko, บุหรี่ มะนาวพร้อมกับน้ำหรือชา ซึ่งมีการใช้เป็นเครื่องดื่มในงานเทศกาลด้วย(หน้า 88)

มีการแบ่งระดับด้วยจำนวนศีลที่ถือ ผู้ที่ถือศีลมากกว่า เช่น พระสงฆ์จะได้รับการดูแลที่ดีกว่าผู้ที่นับถือศีลน้อยกว่า พระสงฆ์จะรับประทานร่วมกับพระสงฆ์ เณรกับเณร และชีกับชี โดยอาหารสำหรับพระสงฆ์กับเณรจะมีผู้เตรียมไว้ให้แต่ชีจะต้องนำอาหารของตนเองมา สำหรับคนทั่วไปสามารถรับประทานอาหารด้วยกันได้ แต่มักจะให้ผู้อาวุโสก่อน เด็กและผู้หญิงซึ่งเป็นคนเตรียมอาหารจะรับประทานหลังสุด (หน้า 95)

พระสงฆ์จะนั่งในที่สูงกว่าคนอื่น โดยนั่งข้างพระพุทธรูป ต่อมาเป็นผู้อาวุโสและผู้ชาย แล้วถึงเป็นชี และผู้หญิงทางด้านหลัง เพราะเชื่อว่าผู้หญิงอยู่ในสถานะที่ต่ำกว่าผู้ชาย (หน้า 96)

เด็กผู้ชายจะได้รับอิสระมากกว่าเด็กผู้หญิงเพราะจะต้องบวชเป็นเณร เมื่อจบชั้นประถมศึกษา ซึ่งถือเป็นพิธีที่ทำให้เด็กกลายเป็นผู้ใหญ่ (หน้า 96)

ผู้ชายไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหาร แต่ในเวลาเทศกาลผู้ชายจะได้รับเกียรติเป็นคนปรุงรสอาหารในขั้นสุดท้ายเช่น แกงฮังเล ซึ่งถือว่าเป็นการแสดงฝีมือแสดงทักษะทางการทำอาหารของผู้ชาย (หน้า 96)

ปัจจุบันผู้ชายที่ออกมาทำงานคนเดียวต้องทำอาหารได้ด้วยตนเอง เพราะว่าการซื้ออาหารข้างนอกรับประทานนั้นแพงกว่ามาก (หน้า 114-115)

เวลาต้อนรับแขก ชาวพม่าจะมีการเสิร์ฟน้ำชากับน้ำตาลก้อนให้กับแขก ก่อนการเสิร์ฟอาหารจานหลัก (นห้า  185) 

Political Organization

ภายในรัฐฉาน มีการแบ่งออกเป็น 3 ส่วนตามรูปแบบการปกครอง คือ รัฐฉานตอนเหนือ ตอนใต้ และทางตะวันออก แต่ถ้าแบ่งตามภูมิหลังทางวัฒนธรรมนั้นจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน (หน้า 12)

Belief System

ชาวไทใหญ่นับถือศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท และเชื่อถือในวิญญาณ ก่อนที่ศาสนาพุทธจะเข้ามามีอิทธิพลต่อชาวไทใหญ่ ชาวไทใหญ่นับถือวิญญาณธรรมชาติและตำนานเร้นลับเกี่ยวกับวิญญาณผู้คุ้มครองตามบ้านและสถานที่เพาะปลูก ซึ่งนำไปสู่ประเพณีที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน โดยจะต้องมีการทำความเคารพหรือถวายเครื่องสักการะคืออาหารให้กับวิญญาณต่างๆ เหล่านี้ก่อน เพื่อให้เกิดความโชคดี (หน้า 74-75)

มีการทำนายสถานที่ตั้งหมู่บ้านใหม่ของชาวไทใหญ่ด้วยข้าวที่ยังไม่ได้หุง และมีการนำข้าวมาใช้ในการทำนายพยากรณ์ (หน้า 78)

ในงานศพจะมีการเตรียมอาหารไว้รับรองแขกที่มาร่วมงานทุกวัน เช่น ขนมปังกรอบ น้ำมะนาว และอื่นๆ จนกระทั่งวันสุดท้ายคือวันฝังจะมีการเตรียมข้าว ยาสูบ และชา วางไว้บนพื้นล้อมรอบสุสาน (หน้า 80)

ชาวไทใหญ่มีการประกอบพิธีกรรมแสดงความเคารพต่อข้าวและวิญญาณที่คอยคุ้มครองในทุกขั้นตอนของการเพาะปลูก โดยก่อนเริ่มปลูกในเดือนสิงหาคมจะมีพิธีเลี้ยงเจ้าเมือง และ hongkwamkwaiเพื่อเรียกขวัญให้กับควาย (หน้า 88)

ในงานศพ ข้าวและขนมถือเป็นสิ่งที่ใช้ทำบุญให้กับคนตายและอุทิศแด่พระสงฆ์ ผู้เข้าร่วมงานจะมายังบ้านผู้ตายและนำข้าวหรืออาหารอื่นๆ มอบให้กับเจ้าภาพของงาน และช่วยเตรียมอาหารสำหรับพระสงฆ์และแขก มีการแจกเครื่องดื่มเช่น นมถั่วเหลือง หรือชาหวาน และมีอาหารกลางวันมื้อใหญ่สำหรับผู้เข้าร่วมงานในวันสุดท้ายก่อนนำไปฝังที่วัด (หน้า 89)

พิธีส่งผีคือการรวบรวมสิ่งของ รวมถึงอาหารเพื่อมอบให้แก่ดวงวิญญาณต่างๆ (หน้า 89)

เมื่อชาวไทใหญ่ประสบปัญหา พวกเขาจะเชื่อในสิ่งเร้นลับต่างๆ และมีการประกอบพิธีกรรมเพื่อความโชคดีหรือขับไล่สิ่งชั่วร้าย (หน้า 89-90)

มีการประกอบพิธีกรรมและประเพณีตามวันสำคัญทางศาสนาพุทธ เช่น Wan sin ซึ่งประชาชนบางส่วนจะปฏิบัติตนตามศีลอย่างเข้มงวดกว่าปกติ (หน้า 92)

เทศกาล Poy Sang Long เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อเด็กชายชาวไทใหญ่ที่จะเริ่มเรียนรู้หลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา ซึ่งในพิธีนี้เด็กชายที่กำลังจะบวชจะได้รับอาหารทั้งหมด 12 อย่างจากพ่อแม่ของตน (หน้า 93) นอกจากนั้นยังมีการจัดเตรียมอาหารสำหรับถวายพุทธเจ้าและพระสงฆ์ และญาติหรือเจ้าภาพจะมีการเตรียมอาหารสำหรับแขกที่มาร่วมงานเช่นกัน (หน้า 94)

ในพิธี Poy Sang Long ผู้หญิงสาวจะช่วยในการทำอาหารให้แก่นาคและอาหารเทศกาลสำหรับแขก ส่วนผู้ชายจะทำหน้าที่ให้ความบันเทิงหรือเล่นดนตรีให้แขกฟังระหว่างขบวนแน่นาคไปรอบๆ วัด (หน้า 133) ชาวไทใหญ่ที่ได้ไปงานเทศกาลที่วัดใดวัดหนึ่งแล้วมักจะไม่ไปที่วัดอื่นอีก เพราะว่าต้องใช้เงินเยอะในการเดินทางไปร่วมงาน (หน้า 134) เทศกาล Poy Sang Long กลายเป็นเทศกาลที่มีชาวไทใหญ่เฉลิมฉลองกันในทุกที่ที่มีคนไทใหญ่ไปทำงานหรืออาศัยอยู่ทั่วโลก เพื่อสร้างความรู้สึกรักในชาติพันธุ์ของตนและต้องการให้กลุ่มของตนเป็นอิสระจากพม่า (หน้า 202) 

Education and Socialization

ชาวไทใหญ่มีการส่งทอดความเชื่อและการปฏิบัติจากรุ่นสู่รุ่น (หน้า 95)

มีการใช้วัดเป็นสถานที่สอนภาษาไทยหรือการศึกษาแบบไม่เป็นทางการให้กับชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเชียงใหม่ (หน้า 130)

Health and Medicine

มีการนำสมุนไพรและส่วนประกอบของร่างกายสัตว์ป่ามาทำเป็นยารักษาโรค เช่น สมองนกและไขมันงู เชื่อว่าเนื้อค้างคาวผสมสมุนไพรสามารถช่วยรักษาอาการหอบหืดได้ เลือดลิง
ตากแห้งสามารถลดอาหารไอ ในขณะที่กระดูกเสือป่นและเล็บหมีสามารถเป็นยาชูกำลังทำให้ร่างกายแข็งแรงได้ เป็นต้น (หน้า 81)

ผู้หญิงท้องจะไม่ได้รับอนุญาตให้รับประทานอาหารรสจัด แต่ควรรับประทานผักผลไม้ให้มากกว่าเนื้อสัตว์ ภายหลังคลอดแม่จะห้ามรับประทานไก่หรือไข่ เพราะอาจทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ผักบางชนิด เช่น ผักตำลึง ผักหวาน จะเป็นพิษและอาจทำให้เสียชีวิตได้ ในทางตรงกันข้าม ข้าวจี่เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพของแม่และจะต้องอยู่ไฟหรือที่เรียกว่า arbduen หากเด็กทารกมีอาหารสำลัก จะได้รับการนวดด้วยน้ำมันงา (หน้า 81,95)

ผู้หญิงท้องไม่ควรรับประทานหน่อไม้ เห็ด เนื้อกวาง มะเขือเทศ บะหมี่ข้าว ผักกูด ส้ม ฯลฯ แต่ควรรับประทานข้าวจี่กับเนื้อวัวต้มหรือหางวัว เนื้อตากแห้ง หรือหน่อของต้นขนุนนำไปต้ม ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยในการผลิตน้ำนม (หน้า 82-83)

ชาวไทใหญ่เชื่อว่าเด็กมีอาการเจ็บป่วยเนื่องจากขวัญถูกผีข่มขู่ จึงต้องมีการทำพิธีเรียกขวัญในขณะที่เด็กกำลังนอนอยู่ แล้วเรียกชื่อเด็กดังๆ ถ้าเกิดเด็กตื่นขึ้น จะได้รับประทานข้าว ปลา ขนม และผลไม้ แต่ถ้าไม่ตื่นจะต้องทำพิธีกรรมที่ใหญ่กว่านี้ (หน้า 89)

มีการเก็บสมุนไพรตากแห้งไว้ในถุงพลาสติกภายในบ้าน (หน้า 100)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เพลงภาษาไทใหญ่เป็นเครื่องมือในการเชื่อมระหว่างชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยกับบ้านเกิด (หน้า 201)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ชาวไท แบ่งออกได้เป็น 6 กลุ่ม คือ
1. Tai Yai หรือ Tai Long
2. Tai Nueหรือ Tai Mao
3. Tai Khun 4. Tai Khamti
5. Tai Lueหรือ Tai Yong
6. Tai Yuan หรือคนเมือง (หน้า 10)

ภายหลังจากข้ามพรมแดนมายังประเทศไทยแล้ว ชาวไทใหญ่ได้รับความดูแลที่แตกต่างจากทั่วไป (discriminative treatment) เนื่องจากว่าผู้อพยพส่วนมากไม่มีหนังสือเดินทางและเดินทางข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมาย (หน้า 21)

ชนเผ่าที่มีอำนาจมากกว่าสามารถใช้ประโยชน์จากการรวมเอาอาหารของชนกลุ่มน้อยภายในสังคมของตนเอง เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตน (หน้า 53)

ปัจจุบันไม่มีอาณาเขตที่ชัดเจนของวัฒนธรรมหนึ่งๆ ที่มีบทบาทสำคัญเพียงสังคมเดียว เช่น ผู้อพยพสามารถสร้างชุมชนในจินตนการของตนขึ้นได้ด้วยความทรงจำ (หน้า 63)

มีความแตกต่างหลายประการระหว่างอาหารพม่าและอาหารไทใหญ่ เช่น ชาวพม่าสามรถรับประทานอาหารทะเลได้ แต่ชาวไทใหญ่ส่วนมากจะรับประทานปลาน้ำจืด ชาวไทใหญ่นิยม
รับประทานแมลงที่กินได้แต่ชาวพม่ากลับไม่ชอบรับประทาน (หน้า 102)

อาหารทางภาคเหนือและอาหารไทใหญ่บางอย่างต่างได้รับอิทธิพลซึ่งกันและกัน บางอย่างมีชื่อเดียวกันแต่วิธีทำคนละแบบ ในขณะที่บางอย่างวิธีทำเหมือนกันแต่เรียกชื่อคนละอย่าง แต่ก็ยังคงมีความแตกต่าง เช่น ชาวไทใหญ่จะรับประทานเผ็ดได้น้อยกว่าชาวไทยภาคเหนือ (หน้า 103)

นอกจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจแล้ว ชาวไทใหญ่ยังต้องสู้เพื่อความอยู่รอดในประเทศไทยที่ไม่ได้เต็มใจต้อนรับด้วยการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน (หน้า 123)

หลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงว่าวัฒนธรรมไทและพม่าพัฒนามาจากรากเดียวกัน (หน้า 201)

Social Cultural and Identity Change

มีการเปลี่ยนแปลงจากการเพาะปลูกแบบยังชีพมาเป็นเพาะปลูกเพื่อค้าขาย (หน้า 76)

มีวัฒนธรรมหลายอย่างที่ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรมจีนที่เริ่มมีอิทธิพล เช่น เปลี่ยนจากการเคี้ยวชาเป็นดื่มชา เปลี่ยนจากข้าวเหนียวเป็นข้าว มีการใช้ตะเกียบ มีการใช้อั้งโล่เป็นเครื่องมือในการประกอบอาหาร และมีอาหารประเภททอดในน้ำมัน ฯลฯ (หน้า 76)

ภายหลังจากการประชาสัมพันธ์ของจังหวัดและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ทำให้วัฒนธรรมหรือประเพณีบางอย่างของชาวไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวมากขึ้น

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

อาหารของชนเผ่าเป็นอาหารที่แสดงถึงรูปแบบการทำอาหารของเผ่านั้นที่มีการเผยแพร่ในสาธารณะได้รับรู้ ผ่านทางพ่อค้า หรือรายการอาหาร (หน้า 24)

อาหารของชนเผ่าสามารถเป็นสิ่งที่แสดงความเชื่อมโยงถึงการเมืองทางวัฒนธรรมของผู้คนในชีวิตประจำวัน ซึ่งนำไปสู่การเป็นตัวแทนและแสดงความขัดแย้งระหว่างชนเผ่ากับสัญชาติ ครอบคลุมถึงการรวมอาหารชนเผ่าไว้ภายใต้ชนเผ่าหรือชาติที่มีอำนาจมากกว่า (หน้า 41) เนื่องจากในทางมานุษยวิทยา อาหารของชนเผ่าไม่ได้แสดงถึงแค่วิถีชีวิตประจำวันของการ
รับประทาน การทำอาหาร หรือการจับจ่ายซื้อของ แต่เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อเข้าใจถึงการทำอาหารภายในครัวเรือนของชนเผ่า (home cooking) และยังเป็นสัญลักษณ์แสดงเอกลักษณ์ของชนเผ่า โดยเฉพาะเมื่อมีคนต่างเผ่ารับประทานอาหารที่แปลกใหม่จากต่างเผ่า (หน้า 45)

ในบางสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาหารการกิน การเป็นคนนอกชนเผ่านั้นไม่ได้ก่อให้เกิดประเด็นสำคัญใดๆ หากเป็นการช่วยเหลือในช่วงเวลาสำคัญๆ (หน้า 51) คือสามารถใช้ประโยชน์จากความคลุมเครือของการแบ่งแยกเผ่าได้ (หน้า 52)

การบริโภคอาหารเป็นสิ่งที่แสดงถึงรูปแบบการสื่อสารถึงรสนิยมและวิถีชีวิตของตนให้ผู้อื่นได้รับรู้ (หน้า 66)

อาหารไทใหญ่เป็นพื้นที่ของการเชื้อเชิญ (space of inclusion) โดยเป็นการเชื้อเชิญให้คนต่างเชื้อชาติมาลองรับประทานอาหารไทใหญ่ (หน้า 153)

การเคลื่อนที่ของอาหารไทใหญ่ทั้งจากการซื้อ ขาย และผลิตสินค้า ก่อให้เกิดการสร้างพื้นที่ทางสังคมของชาวไทใหญ่ (Shan Social Space) (หน้า 154) พบว่าอาหารไทใหญ่เคลื่อนที่กระจายไปได้ไกลกว่าอำนาจรัฐของไทย แม้ว่าชาวไทใหญ่อาจถูกควบคุมและจับตามองความเคลื่อนไหว แต่กลับไม่สามารถหยุดยั้งการเคลื่อนที่ของอาหารไทใหญ่ได้ (หน้า 173)

Map/Illustration

1. รูปวาดแสดงร้านอาหารพม่าบนถนนนิมมานเหมินทร์
2. แผนที่แสดงจังหวัดเชียงใหม่ และเมืองต่างๆ
3. แผนผังแสดงความเกี่ยวข้องของ Ethnic food และ Practice of space making
4. รูปภาพแสดงการทำอาหารนอกตัวบ้านของชาวไทใหญ่
5. รูปภาพแสดงตู้นอนของชาวไทใหญ่ภายในบริเวณก่อสร้าง
6. รูปภาพแสดงชาวไทใหญ่ซื้อของที่ตลาดนัด
7. รูปภาพแสดงร้านค้าเคลื่อนที่ด้วยจักรยานยนต์
8. รูปภาพแสดงผู้หญิงชาวไทใหญ่ในงานเทศกาล Poy Sang Long
9. รูปภาพแสดงบรรยากาศภายในการขายอาหารไทใหญ่ที่ Wat Ku Yao จังหวัดเชียงใหม่
10. รูปภาพแสดงร้านค้าเคลื่อนที่ ที่กำลังขายของบริเวณที่มีการก่อสร้าง
11. รูปภาพแสดงผักสดที่แยกบรรจุภายในถุงพลาสติก
12. รูปภาพแสดงซุ้มขายอาหารไทใหญ่ในถนนคนเดินที่ท่าแพ
13. รูปภาพแสดงป้ายแนะนำอาหารไทใหญ่
14. รูปภาพแสดงส่วนประกอบหลากหลายภายในร้านค้าของชาวไทใหญ่
15. รูปภาพแสดงเครื่องสำอางที่นำเข้ามาจากชายแดนพม่า
16. รูปภาพแสดงการต้มถั่วเหลืองเพื่อทำ ถั่วเน่า
17. แผนภาพแสดงเส้นทางการได้มาซึ่งอาหารและส่วนประกอบในการทำอาหารไทใหญ่
18. รูปภาพแสดงร้านอาหารพม่าภายในตัวเมือง
19. รูปภาพแสดงป้ายร้านอาหารพม่า
20. รูปภาพแสดงบรรยากาศที่นั่งนอกอาคารของร้านอาหารพม่า
21.รูปภาพแสดงร้านอาหารพม่า
22. รูปภาพแสดงป้ายที่เขียนด้วยภาษาพม่าภายในร้านอาหาร
23. รูปภาพแสดงน้ำชาและน้ำตาล ที่แสดงถึงธรรมเนียมแบบพม่า
24. รูปภาพแสดงอาหารพม่า ‘Laphetthoke’
25. แผนที่แสดงร้านอาหารต่างชาติภายในตัวเมืองเชียงใหม่

Text Analyst กรกนก ศฤงคารีเศรษฐ์ Date of Report 02 ต.ค. 2567
TAG ไต คนไตไตโหลงไตหลวงไตใหญ่, อาหาร, เชียงใหม่, รัฐฉาน, Translator บุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง