|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,เอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์,สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม,การจัดการทางเศรษฐกิจการเมือง,เชียงใหม่ |
Author |
มนตรา พงษ์นิล |
Title |
พหุลักษณ์ของสำนึกทางชาติพันธุ์ : ม้งภูสวยกับการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจและการเมือง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
264 |
Year |
2541 |
Source |
สาขาวิชามานุษยวิทยา ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
งานวิจัยนี้มีเนื้อหาครอบคลุมปรากฏการณ์ทางการเมืองและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในหมู่บ้านภูสวย จังหวัดเชียงใหม่ โดยมุ่งเน้นที่วิธีการปรับตัวในท่ามกลางผลกระทบทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการปกครอง อันเนื่องมาจากความสัมพันธ์กับกลุ่มอื่นๆ ทั้งภายในและภายนอกหมู่บ้าน ด้วยการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ และการปรับเปลี่ยนความหมายในเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมประเพณีของม้งบ้านภูสวย เพื่อพยายามรักษาอำนาจและ ผลประโยชน์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งให้มากที่สุด โดยสามารถธำรงเอกลักษณ์ในกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเอาไว้ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องสูญเสียสิทธิประโยชน์บางประการเพื่อลดภาวะกดดันจากการแทรกแซงจากการปกครองของรัฐ |
|
Focus |
ลักษณะและกระบวนการปรับเปลี่ยนความหมายในเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมือง และเป็นกลไกรักษาฐานะความเป็นกลุ่มสังคมชาติพันธุ์ของม้งบ้านภูสวย จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 6)
นอกจากภายในหมู่บ้านภูสวยแล้ว ขอบเขตการศึกษาได้ขยายรวมถึงหมู่บ้านหรือสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมกับม้งในหมู่บ้านภูสวยด้วย เช่น หน่วยราชการที่ดำเนินการกับชาวเขา (เช่น อุทยานแห่งชาติ ศูนย์วิจัยชาวเขาจังหวัดเชียงใหม่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยชาวเขาจังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น) และหมู่บ้านม้งที่เป็นญาติกับหมู่บ้านภูสวย เป็นต้น (หน้า 8) |
|
Theoretical Issues |
กรอบแนวคิดทฤษฎีที่ใช้ ได้แก่ (หน้า 12-29)
1.ใช้กรอบทฤษฎีสำนักระบบ (Systemist) ร่วมกับสำนักกระบวนการ (Processionalist) แนวคิดเกี่ยวกับการให้ความหมายต่อประเด็นด้านระบบและกระบวนการทางการเมือง โดยพิจารณาถึงอำนาจที่ถูกจัดสรรให้กับกลุ่มต่างๆ เพื่อแบ่งปันผลประโยชน์โดยกระบวนการปกครองที่เป็นทางการ กระบวนการที่ทำให้จัดสรรเช่นนั้นได้ และกลไกการต่อสู้ทางการเมืองของแต่ละกลุ่มเพื่อให้ได้อำนาจนั้นมา โดยที่ยังอยู่ร่วมกันในสังคมได้ (หน้า 12-14)
2. แนวคิดเกี่ยวกับการนิยามความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ (Ethnicity) เป็นการวิเคราะห์โครงสร้างหน้าที่และการปรับตัวทางชาติพันธุ์โดยใช้ 2 แนวคิด คือ 1) แนวคิดระบบรวม (System approach) 2) ทฤษฎีที่ว่าด้วยความขัดแย้งเรื่องอคติทางเชื้อชาติและการเข้ากันไม่ได้ของกลุ่มคนที่มีลักษณะทางกายภาพต่างกัน (หน้า 14-20)
3. แนวคิดเกี่ยวกับลักษณะที่แสดงความสำคัญของพลวัตรและความสัมพันธ์ทางอำนาจ (Power Relation) กับสัญลักษณ์ (Symbols) เพื่อให้เข้าใจถึงการปรับใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความสำคัญในบริบทการปฏิสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างกลุ่ม (หน้า 20-24)
4. แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ในการดำเนินการทางการเมือง การใช้สัญลักษณ์ของกลุ่มในการเป็นกลไก และดำเนินงานภายในกลุ่มเพื่อคงความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเองในแง่การแข่งขันกับกลุ่มอื่นๆ (หน้า 24-29)
ข้อค้นพบจากการวิจัย
1. ม้งบ้านภูสวยมีการปรับใช้สัญลักษณ์ดั้งเดิมทางวัฒนธรรมและรับเอาสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมใหม่มาใช้ เช่น การใช้ระบบการปกครองสมัยใหม่เป็นกลไกสร้างกระบวนการในการพยายามรักษาอำนาจและผลประโยชน์ให้คงอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ของตน การปรับใช้พิธีกรรมของตนเพื่อลดความวิตกกังวลทางจิตใจที่เป็นผลจากเศรษฐกิจทุนนิยมหรืออำนาจรัฐ หรือเพื่อแสดงศักยภาพในการเข้าถึงทรัพยากรทางเศรษฐกิจสังคมและการปกครองของไทยได้ในระดับหนึ่ง จนมีฐานะมั่นคง การใช้พิธีกรรมและองค์กรทางสังคมเป็นองค์กรทางการเมืองที่ไม่เป็นทางการ ทำให้สามารถเข้าไปมีอำนาจในการบริหารการปกครองหมู่บ้านได้ และมีการปรับปรุงกฎเกณฑ์ทางการปกครองบางอย่างเพื่อให้เกิดการยอมรับและปฏิบัติตามในทุกกลุ่มชาติพันธุ์
2. ม้งบ้านภูสวยมีการปรับใช้สัญลักษณ์ของสำนึกทางชาติพันธุ์เป็นสามลักษณะคือ เกิดการสำนึกของความเป็นชาติพันธุ์ม้งร่วมกัน เกิดสำนึกในสัญชาติหรือความเป็นพลเมืองไทยจากนโยบายของรัฐและอ้างอิงถึงถิ่นกำเนิดในภาคเหนือหรือลักษณะทางกายภาพแทนที่สำนึกความเป็นม้ง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาอคติทางชาติพันธุ์เมื่อต้องอยู่เพียงลำพังกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น การปรับใช้สัญลักษณ์ของสำนึกทางชาติพันธุ์ดังกล่าวเป็นไปเพื่อการปกป้องผลประโยชน์และอำนาจที่มีอยู่ภายในกลุ่มชาติพันธุ์ เมื่อได้รับผลกระทบจากการกระทำหรือนโยบายของรัฐ (หน้า ง, หน้า 243-250) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนเรียกชาติพันธุ์ที่ศึกษาว่า "ม้ง" (Hmoob) และม้งบ้านภูสวยก็เรียกตัวเองว่า "ม้ง" (Hmoob) แต่เวลาพูดถึงตนเองต่อกลุ่มชาติพันธุ์อื่นจะเรียกตัวเองว่า "แม้ว" แม้ว่าจะไม่พอใจเมื่อถูกชาติพันธุ์อื่นเรียกว่า "แม้ว" ก็ตาม (หน้า 147)
บ้านภูสวยเป็นหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าม้งน้ำเงิน (Hmoob Ntsuab) มีกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ อาศัยอยู่ด้วย คือคนไทยและคนเมือง จีนฮ่อ กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ และเนปาล (ตารางที่1 หน้า 54)
ม้งเรียกคนไทยคนเมืองว่า "กะหล่ง" (Kuam Loom) เรียกไทยใหญ่ว่า "ไท้ล่อ / ไท้ลู่" (Thai Loj, Thai Luj) มีความหมายตรงตัวว่า "ไทยใหญ่" เรียกกะเหรี่ยงว่า "ยาง" (Yaa) หรือ "ยา" (Ya) ตามที่กะเหรี่ยงชาวภูสวยเรียกตัวเองว่า "ยาง" เรียกจีนฮ่อว่า "สัว" (Suav) (หน้า 146) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่มีข้อมูลชัดเจน ในบางส่วนของเนื้อหาผู้เขียนระบุว่าม้งบ้านภูสวยพูดภาษาม้งและส่วนใหญ่พูดภาษาไทยได้ แต่การออกเสียงอาจเพี้ยนไปบ้าง เนื่องจากภาษาม้งไม่มีเสียงตัวสะกดปิดท้ายนอกจากตัว "ง" สะกด เช่น คำว่า "หลักแหลม" ม้งจะออกเสียงเป็น "หละแหลง" เป็นต้น
นอกจากนี้ ภาษาของม้งบ้านภูสวยเป็นภาษาม้งน้ำเงิน ซึ่งจะมีเสียงในเสียงภาษาไทยค่อนข้างน้อย ซึ่งต่างจากสำเนียงภาษาม้งขาว (Hmoob Dawb) ที่การออกเสียงจะคล้ายกับการออกเสียงในภาษาไทยมากกว่า เสียงภาษาม้งน้ำเงินมีเสียงที่คล้ายการออกเสียงในภาษาอังกฤษ (หน้า 220) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้เขียนระบุว่า ระยะเวลาการศึกษาวิจัยในหมู่บ้าน คือ เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2540 ถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2541 (หน้า 9) (ในตารางขั้นตอนการดำเนินงานระบุว่า การวิจัยภาคสนาม กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ถึงกรกฎาคม พ.ศ. 2541 - หน้า 10) ทำวิจัยภาคสนามโดยใช้ชีวิตร่วมกับชาวบ้านในหมู่บ้านเป็นเวลา 1 ปี ใช้วิธีเก็บข้อมูลจากเอกสารชั้นต้น เอกสารชั้นรอง การสัมภาษณ์อย่างเจาะลึก และสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม (Participant Observation) (หน้า ง, 9) |
|
History of the Group and Community |
กลุ่มชาติพันธุ์ม้งอพยพหนีภัยคุกคามจากชาวจีนมาอยู่ในประเทศไทยราวปี ค.ศ. 1840-1870 (พ.ศ.2483-2503) โดยเข้ามาทางฝั่งตะวันตก เหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย อาศัยอยู่บนภูเขา พื้นที่ซึ่งเป็นจุดที่มีปัญหาการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติมาก รัฐบาลไทยพยายามนำโครงการพัฒนาและนโยบายการเลิกปลูกฝิ่นของชาวเขา ขยายการบริการ เช่น การอนามัย การศึกษา การพัฒนา เป็นต้น เพื่อหวังให้ชาวเขาจงรักภักดีกับรัฐไทย ความสัมพันธ์ของม้งกับรัฐไทยในขณะนั้น มักออกมาในลักษณะการถูกกดขี่ข่มเหงจากเจ้าหน้าที่และเกิดความไม่ไว้วางใจกัน ปี พ.ศ. 2519 รัฐบาลประกาศนโยบายรวมพวก ซึ่งในแง่ปฏิบัติแล้วมีแนวโน้มของการผสมกลมกลืน (Assimilation) มากกว่าการบูรณาการเข้ากับสังคมไทย (Integration) (หน้า 1-3)
บ้านภูสวย : (ชื่อสมมุติ) ม้งภูสวยสามารถสืบหาประวัติได้ตั้งแต่การอพยพมาจากประเทศพม่า เข้าสู่ชายแดนอำเภอฝาง เรื่อยมาถึงการตั้งถิ่นฐานที่บ้านแม่สาใหม่ หนองหอย ดอยป่าคา จนถึงหมู่บ้านภูสวย ตามลำดับ (หน้า 215)
กลุ่มชาติพันธุ์ม้งเป็นชาติพันธุ์แรกที่ย้ายเข้ามาอาศัยในบ้านภูสวยเมื่อปี พ.ศ. 2494 โดยม้ง 3 แซ่สกุล จากบ้านแม่สาใหม่ มาอาศัยอยู่ที่ดอยป่าคา เนื่องจากที่อยู่เดิมเกิดอหิวาต์และไข้ฝีดาษระบาดหนัก มีคนตายจำนวนมาก ประกอบกับเพื่อหาที่ดินทำกินที่เหมาะสม ต่อมา พื้นที่ดอยป่าคาเกิดสงครามการปราบปรามการค้ายาเสพติดโดยตำรวจตะเวนชายแดน กลุ่มม้งดังกล่าวจึงหนีภัยสงครามมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านภูสวยในพื้นที่ปัจจุบัน
ต่อมา มีม้งแซ่สกุลอื่น ๆ อพยพเข้ามาอีก โดยย้ายมาจากหมู่บ้านม้งในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดอื่น ๆ ทางภาคเหนือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดน่าน ด้วยสาเหตุจากการแย่งชิงที่ดินทำกินกับม้งกลุ่มอื่น ๆ บ้าง เป็นเครือญาติกับม้งบ้านภูสวยชักชวนกันมาอยู่ใกล้ ๆ กันบ้าง หรือบางกลุ่มก็มีสาเหตุจากการปราบปรามยาเสพติด
ในปีที่ทำวิจัย (พ.ศ. 2541) บ้านภูสวยมีม้งอยู่ 8 แซ่สกุล (หน้า 55, ตารางที่ 2 หน้า 56) ในระหว่างนั้น มีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นทยอยอพยพมาอยู่บ้านภูสวย คือ จีนฮ่อ คนเมืองและกลุ่มคนไทยจากพื้นราบ กระเหรี่ยง ไทยใหญ่และเนปาล สรุปรวมแล้ว เหตุผลของการอพยพเข้ามาบ้านภูสวย คือ
1) การปราบปรามการค้ายาเสพติดและปลูกฝิ่นอย่างรุนแรง
2) แรงกดดันทางประชากรที่ทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรบนภูเขา
3) พื้นที่ปลูกฝิ่นที่ม้งได้บุกเบิกไว้ในแถบบริเวณภูสวยตั้งแต่อยู่ที่ดอยป่าคา
4) การเพิ่มขึ้นมากมายของธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ในหมู่บ้าน ทำให้มีผู้อพยพเข้ามาตั้งร้านค้าและอยู่ถาวรในภายหลัง 5) เป็นกรณีของคนต่างด้าวที่หนีภัยสงครามในพม่ามา (หน้า 54 - 58) |
|
Settlement Pattern |
ตัวบ้านจะมีลักษณะที่ประยุกต์ใช้กับวัสดุอุปกรณ์สมัยใหม่ เช่น การใช้ไม้จริง หลังคาสังกะสี และปูพื้นซิเมนต์ เป็นต้น แต่การจัดวางผังห้องยังคงรูปแบบเดิม เช่น มีหิ้งผีบูชาบรรพบุรุษอยู่ฝาบ้านตรงข้ามกับประตูหน้า เป็นต้น (หน้า 133) มีอาคารบางส่วนที่ใช้ไม้ไผ่และหลังคาจาก เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมเพื่อธุรกิจการท่องเที่ยว |
|
Demography |
หมู่บ้านม้งภูสวย ประกอบด้วยประชากรหลายกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่ จำนวนทั้งสิ้น 1,382 คน 130 ครัวเรือน โดยมีม้งน้ำเงิน (Hmoob Ntsuab) จำนวน 1,280 คน คนไทย/คนเมือง 43 คน จีนฮ่อ 49 คน ชาวเนปาล 2 คน กะเหรี่ยง 11 คน และคนต่างด้าวที่เป็นไทยใหญ่ 7 คน (และจีนฮ่อ 5 คนซึ่งไม่ปรากฏในตารางประชากร - Text Analyst) (หน้า 54, ตารางที่ 1) |
|
Economy |
ระบบเศรษฐกิจของหมู่บ้านภูสวยเปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพ (subsistence economy) (ในลักษณะปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอยตามพื้นที่ป่า ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ม้งและจีนฮ่อบุกเบิกไว้ก่อนที่จะอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่ภูสวย โดยครอบคลุมอาณาเขตป่ารอบๆ หมู่บ้าน) เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่เชิงพาณิชย์ (หน้า 87) เช่นการท่องเที่ยวและการเกษตรกรรมพืชพาณิชย์ (Cash Corp Economy) (หน้า 4-5)
สถิติการประกอบอาชีพภายในหมู่บ้านภูสวยปี พ.ศ. 2520 รายได้จากการเกษตรเฉลี่ยเดือนละ 532.85 บาทต่อครอบครัว รายได้จากการขายสินค้าที่ระลึกเฉลี่ยเดือนละ 1,467 บาทต่อครอบครัว (หน้า 4)
ปี พ.ศ. 2506 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพันธุ์ลิ้นจี่ให้ทดลองปลูกแทนการปลูกฝิ่น ปัจจุบัน (พ.ศ. 2540 -2541) พื้นที่ทำการเกษตรของม้งบ้านภูสวยมีประมาณ 7,523 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นสวนลิ้นจี่ (หน้า 89) ปี พ.ศ. 2540 มีรายได้จากพืชไร่และสวนลิ้นจี่ 1,866,666 บาทต่อปี (หน้า 95) และจากความเฟื่อฟูของธุรกิจการท่องเที่ยวในหมู่บ้าน ทำให้ม้งบ้านภูสวยอาชีพค้าขาย โดยมีร้านค้านานาชนิดตั้งอยู่ตามถนนในหมู่บ้านประมาณ 133 ร้าน มีทั้งที่เป็นเจ้าของด้วยตัวเอง ให้เช่า และเช่าร้านค้าจากผู้อื่น (ตารางที่ 7 หน้า 96) ราคาค่าเช่าร้านมีตั้งแต่ 300 บาทต่อเดือนถึง 2,500 บาทต่อเดือน (ตารางที่ 8 หน้า 98)
ม้งบ้านภูสวยมีฐานะทางเศรษฐกิจมั่นคง ครัวเรือนม้งมีรถจักรยานยนต์ รถปิคอัพ 42 และ 43 ครัวเรือนตามลำดับ มีครัวเรือนที่ประกอบอาชีพเพาะปลูกอย่างเดียวและประกอบอาชีพมากกว่าหนึ่งอาชีพอยู่ 88 และ 100 ครัวเรือนตามลำดับ มีรายได้เฉลี่ยของครัวเรือนที่ประกอบอาชีพมากกว่าหนึ่งอาชีพ 80,000 บาทต่อปี (หน้า 108)
ปัจจุบัน (พ.ศ. 2540) บ้านภูสวยได้รับผลกระทบจากระบบเศรษฐกิจของประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง เงินหมุนเวียนของรายได้ที่เป็นกำไรจากการค้าขายสินค้าจากร้านค้าต่าง ๆ ลดลงจากอดีต ซึ่งเคยได้ประมาณ 10 ล้านบาท เหลือเพียง 4,875,000 บาท (หน้า 101-102)
ภาพรวมด้านเศรษฐกิจ แยกตามกลุ่มชาติพันธุ์ในหมู่บ้าน (หน้า 90 -115) :
- กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง - เป็นคนกลุ่มใหญ่ในภูสวยที่มาอยู่ก่อนและได้บุกเบิกที่ดินทำกิน ทำสวนลิ้นจี่เป็นของตนเองจากความช่วยเหลือของโครงการหลวง อีกทั้งมีร้านค้าของตนเองและให้เช่า สามารถควบคุมทรัพยากรและผลประโยชน์ในหมู่บ้านได้มากที่สุดในหมู่บ้าน ตลอดจนการค้าขายได้ขยายไปในตัวเมืองเชียงใหม่และจังหวัดอื่น ๆ ที่ไกลออกไปจนถึงภาคใต้ของไทย (หน้า 107 -109)
- จีนฮ่อ เป็นกลุ่มที่อพยพมาพร้อม ๆ กับกลุ่มม้ง เดิมทำสวนโดยมีพื้นที่สวนส่วนใหญ่อยู่ในหมู่บ้าน ภายหลังเลิกทำสวน เปลี่ยนจากพื้นที่สวนเป็นร้านค้า ทั้งค้าเองและให้เช่า (หน้า 107)
- คนไทยและคนเมือง-เข้ามาสัมพันธุ์กับผลปประโยชน์ทางธุรกิจท่องเที่ยวเป็นแรงดึงดูด โดยเช่าหรือซื้อร้านค้าและบ้านจากม้งและจีนฮ่อบางคนเพื่อทำการค้าเพียงอย่างเดียว (หน้า 100, 107)
- กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและบุคคลต่างด้าว (ที่เป็นไทยใหญ่และจีนฮ่อบางคน) ไม่ได้ครอบครองปัจจัยการผลิต ไม่สามารถควบคุมทรัพยากรและผลประโยชน์ หารายได้โดยการรับจ้างเป็นแรงงานให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ม้งและจีนฮ่อในไร่นาและร้านค้า ส่วนกะเหรี่ยงที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในหมู่บ้าน อาศัยความสัมพันธุ์กับม้ง ได้ค้าขายสินค้าที่ระลึกเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยตั้งโต๊ะตามทางเดินในสวนน้ำตกซึ่งมีกลุ่มม้งบริหารกิจการ โดยไม่ต้องเสียค่าเช่า (หน้า 105, 107)
การรวมกลุ่มบริหารองค์กรเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ : จากกระแสการท่องเที่ยวด้านสังคม วัฒนธรรม และธรรมชาติ ทำให้ม้งบ้านภูสวยรวมตัวกันเป็นสองกลุ่ม ดังนี้
- กลุ่มหนึ่งคือ กลุ่มม้งตระกูลหวังวัฒนา ที่หันมานับถือศาสนาพุทธได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์หมู่บ้านชาวเขาขึ้น เพื่อการอนุรักษ์และแสดงวัฒนธรรมชาวเขา โดยสร้างอาคารไม้ไผ่หลังต่าง ๆ เป็นที่เก็บภาพประวัติศาสตร์ชาวเขาในประเทศไทย และเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน มีรายได้จากการเก็บค่าเข้าชมเดือนละประมาณ 112,547.80 บาท ส่วนภายในพิพิธภัณฑ์เรียงรายไปด้วยร้านค้า และมีสหกรณ์ร้านค้าของม้งกลุ่มตระกูลหวังวัฒนาตั้งอยู่ ไม่มีแซ่ตระกูลอื่นเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มพิพิธภัณฑ์
- อีกกลุ่มหนึ่งประกอบด้วยม้งสามแซ่ตระกูลรวมตัวกัน สร้างสวนน้ำตกภูสวย ขึ้น โดยร่วมกันบริหารจัดการและแบ่งรายได้กันในกลุ่ม พื้นที่สวนน้ำตกและบริเวณรอบ ๆ อยู่ใกล้กับบ้านม้งแซ่ตระกูลต่าง ๆ ที่อพยพมาทีหลัง และม้งแซ่ตระกูลต่าง ๆ ที่มีบ้านอยู่ในสวนน้ำตกสามารถเข้าไปขายสินค้าได้ในบางเวลา ในปี พ.ศ. 2541 มีรายได้จากสวนน้ำตกบ้านภูสวย 649,211 บาท (หน้า105-106) |
|
Social Organization |
ครอบครัว : ม้งภูสวยที่นับถือผีมีระบบถือสายสกุลฝ่ายผู้ชาย (patrilineal descent) แต่งงานแล้วผู้หญิงจะเปลี่ยนไปถือสายตระกูลและบรรษบุรุษของสามี และเข้าอยู่บ้านฝ่ายสามี (patrilocal resident) โดยถือฝ่ายชายเป็นใหญ่ (patriarchy) สังคมม้งถือผู้ชายเป็นใหญ่ทั้งการปกครองภายในบ้านจนถึงระดับการปกครองหมู่บ้าน และอนุญาตให้สามีมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งคนในเวลาเดียวกัน (polygynous family) การหย่าขาดฝ่ายชายเท่านั้นที่สามารถเป็นผู้ริเริ่ม โดยร้องขอต่อคณะกรรมการหมู่บ้าน (ผู้อาวุโสจะถามฝ่ายหญิงว่ายินยอมหย่ากับสามีหรือไม่ ถ้าตกลงก็ถือว่าการหย่าขาดเสร็จสิ้น - หน้า161-162)
ครอบครัวม้งเป็นครอบครัวขยายในแนวตั้ง นิยมการมีลูกมากเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ชายและหญิงก่อนแต่งงานอาจมีเพศสัมพันธ์กับใครก็ได้ตามใจสมัคร แต่ถ้าแต่งงานแล้วหญิงจะตกเป็นสิทธิของฝ่ายชาย
ลักษณะการแต่งงานของม้งยังเป็นรูปการแต่งงานกันในชนเผ่า (Endogamy - หน้า 148) มีม้งในหมู่บ้านเพียง 6 คนเท่านั้นที่แต่งงานกับชาติพันธุ์อื่น ม้งมีข้อห้ามแต่งงานในแซ่สกุลเดียวกัน (incest taboo) ซึ่งรวมถึงการห้ามแต่งงานกับชาวจีนที่มีแซ่สกุลเดียวกันด้วย
นอกเหนือจากนี้ ในหมู่กลุ่มม้งตระกูลว่างและม้งตระกูลลีมีข้อห้ามในการแต่งงานกัน สืบเนื่องจากประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าว่าบรรพบุรุษของทั้งสองตระกูลสาบานเป็นพี่น้องกัน จึงห้ามลูกหลานแต่งงานกัน และเป็นบรรทัดฐานถือปฏิบัติกันจนถึงปัจจุบันนี้ ข้อห้ามแต่งงานในแซ่สกุลเดียวกันนี้ ม้งบ้านภูสวยตระหนักว่าอาจเกิดปัญหาในอนาคต เมื่อมีการเปลี่ยนไปใช้นามสกุลกันจำนวนมากตามนโยบายของรัฐ ... สังคมม้งให้ความสำคัญและเชื่อฟังผู้อาวุโสเป็นอย่างสูง ผู้อาวุโสในแต่ละแซ่ตระกูลจะมีบทบาทสำคัญในการปกครองแซ่ตระกูลของตนและปกครองหมู่บ้าน (หน้า 34, 61-62, 69, 77-82)
กลุ่มผลประโยชน์ : ในหมู่บ้านม้งภูสวยมีการรวมตัวเป็นกลุ่มทางสังคมและผลประโยชน์อย่างเห็นได้ชัดอยู่ 2 กลุ่ม คือ
1) กลุ่มม้งว่างหวังวัฒนา เป็นสายตระกูลใหญ่ มีการรวมกลุ่มที่เหนียวแน่นทางเครือญาติและทางธุรกิจการค้า ได้สร้างองค์กรทางสังคมอย่างเหนียวแน่นขึ้น และมีระบบระเบียบการควบคุมการรวมกลุ่มมากมาย เช่น ผู้นำกลุ่มได้พาสมาชิกหันมานับถือศาสนาพุทธ ยกเลิกการบวงสรวงผีของศาสนาม้ง จัดตั้งกลุ่มพิพิธภัณฑ์ชาวเขา ตั้งสหกรณ์ร้านค้ากลุ่มหวังวัฒนา กำหนดให้สมาชิกในกลุ่มแต่งกายชุดม้งเมื่อขายสินค้า และการใช้เครื่องปั่นไฟร่วมกัน เป็นต้น (ผู้เขียนวิเคราะห์ว่าลักษณะการเปลี่ยนความเชื่อตามหลักศาสนาพุทธนี้เป็นการพยายามแสดงความเป็นม้งหัวก้าวหน้า และมุ่งเข้าไปมีความสัมพันธ์และการยอมรับในค่านิยม ความคิด และการปกครองของไทย) (หน้า 106, 136-137, 239-240)
2) กลุ่มม้งลี ม้งย่าง และม้งว่าง (อีกกลุ่ม) จัดตั้งหุ้นส่วนบริหารสวนน้ำตกภูสวย ซึ่งเป็นแหล่งผลประโยชน์ให้กับกะเหรี่ยงและม้งกลุ่มแซ่ตระกูลอื่นที่อยยพมาทีหลังและไม่มีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติหรือร่วมกับม้งแซ่ตระกูลใหญ่สามตระกูลในหมู่บ้าน กลุ่มสวนน้ำตกมีความหลากหลายในการรวมกลุ่ม มีกิจกรรมทางสังคมระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์อย่างหลากหลาย และมีชีวิตทางสังคมประจำวันร่วมกัน (หน้า 106, 239-240)
เครือข่ายทางสังคม : เครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างม้งบ้านภูสวยและม้งหมู่บ้านอื่นๆ เกิดจากกิจกรรมและความสัมพันธ์ดังนี้
1) สายสัมพันธ์ทางเครือญาติผ่านการแต่งงาน ม้งภูสวยแต่งงานกับม้งต่างหมู่บ้านและกระจายข้ามจังหวัดเป็นจำนวนมาก การเดินทางมาร่วมพิธีกรรมในฐานะเครือญาติ ทำให้ข่าวสารระหว่างหมู่บ้านถูกส่งผ่านถ่ายทอดถึงกัน ต่างรับรู้ปัญหาและการดำเนินชีวิตในแต่ละหมู่บ้าน
2) พิธีรวมญาติโดยเข้าร่วมพิธีกรรม เช่นงานศพ งานปีใหม่ เป็นต้น ในกรณีของงานศพ ข่าวจะกระจายไปปากต่อปาก และผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงภาษาม้งที่กระจายเสียงทั้งภาคเหนือของประเทศไทย ญาติพี่น้องทางสายเลือด ทางการแต่งงาน เพื่อนสนิท ผู้อาวุโส เป็นต้น ต้องมาร่วมงานศพ ซึ่งจะเป็นโอกาสแลกเปลี่ยนข่าวสารต่างๆ กัน ส่วนในกรณีของงานปีใหม่ เป็นงานฉลองขนาดใหญ่ มีทั้งพิธีกรรมเซ่นสรวงวิญญาณในครัวเรือนและงานฉลองในระดับหมู่บ้าน มีองค์กรหมู่บ้านม้ง 12 หมู่บ้านร่วมกันจัดงานปีใหม่ม้ง โดยหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพในแต่ละปี เครือข่ายการจัดงานปีใหม่ม้งทั้ง 12 หมู่บ้านเป็นองค์กรม้งที่ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ มีการประชุมร่วมกันก่อนจัดงาน
3) เครือข่ายคณะกรรมหมู่บ้านม้ง 12 หมู่บ้าน ทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน เช่น จัดงานปีใหม่ การแข่งขันกีฬาเชื่อมความสามัคคีของกลุ่มหนุ่มสาว การจัดตั้งองค์กรฝึกอบรมอาชีพหัตถกรรมผ้าของกลุ่มแม่บ้านม้ง การประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการหมู่บ้าน เครือข่ายหมู่บ้านม้งฯ จะประชุมกันทุก 3 เดือนโดยเวียนกันเป็นเจ้าภาพ ทำให้เกิดการเรียนรู้และเปิดโลกทัศน์ด้านต่าง ๆ เช่น หมู่บ้านม้งภูสวยได้ดัดแปลงกฏระเบียบการปกครองของหมู่บ้านหนองหอยมาใช้ในหมู่บ้านภูสวย เป็นต้น (หน้า 215-219) |
|
Political Organization |
การปกครอง : เดิมก่อนใช้ระบบการปกครองส่วนท้องถิ่นสมัยใหม่ ในสังคมม้งจะมีการเลือกตั้งหัวหน้าหมู่บ้าน (tus hau zos) โดยหัวหน้าในแต่ละแสน (กลุ่มตระกูล) จะประชุมร่วมกันเลือกหัวหน้าหมู่บ้าน โครงสร้างของอำนาจปกครองจะมีกลุ่มผู้อาวุโสแต่ละแสนเป็นเป็นศูนย์กลาง สมาชิกทุกคนในแสนนั้น ๆ จะเชื่อฟังและปฏิบัติตามความเห็นของผู้อาวุโสในแสนตลอดเวลา แสนใดมีสมาชิกมากที่สุดในหมู่บ้าน มักจะได้รับเลือกตั้งเป็นผู้นำหมู่บ้าน และเมื่อแสนใดได้อำนาจปกครอง แสนอื่น ๆ มักจะคล้อยตาม แม้ในทางกฎหมาย ราชการจะเป็นผู้แต่งตั้งผู้ใหญ่บ้าน แต่ในทางปฏิบัติ หากหัวหน้าหมู่บ้านที่ม้งเลือกกันเองมีคุณสมบัติครบถ้วน ทางราชการก็จะไม่แต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านขึ้นอีก (หน้า 37-38)
บุตรชายคนหัวปีหรือบุตรชายคนรอง ๆ ลงมาของหัวหน้าหมู่บ้านคนก่อนมักได้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านสืบต่อมา เพราะแสนหรือแซ่สกุล (xeem) ของหัวหน้าคนเดิมมักจะกุมเสียงส่วนมากในที่ประชุมหมู่บ้านไว้ได้ หัวหน้าหมู่บ้านจะใช้อำนาจปกครองตามกรอบจารีตประเพณีและมติที่ประชุม ม้งแบ่งคดีโดยพิจารณาจากความสัมพันธ์ของคู่พิพาท คือ ถ้าเกิดคดีพิพาทระหว่างคนในแซ่สกุลเดียวกัน จะให้ผู้อาวุโสในแซ่สกุลนั้นเป็นผู้พิจารณาคดีเอง หากคู่พิพาทอยู่ต่างแซ่สกุล จะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการที่ประกอบด้วยหัวหน้าหมู่บ้านและองค์คณะที่คู่กรณีเลือกขึ้นมา แต่จะเลือกแซ่สกุลเดียวกันไม่ได้ ส่วนคดีฆาตกรรมผู้ใหญ่บ้านจะส่งผู้กระทำผิดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินการ (หน้า 157)
ปัจจุบัน หมู่บ้านภูสวยมีผู้ใหญ่บ้าน 1 คน มาจากการเลือกตั้ง บริหารงานในหมู่บ้านโดยคณะกรรมการหมู่บ้าน ซึ่งประกอบด้วยคณะกรรมการ 2 ประเภทคือ 1) มาจากการเลือกตั้ง 10 คน 2) เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง คือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 4 คน ที่ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้แต่งตั้ง คณะกรรมการหมู่บ้านมีผู้ใหญ่บ้านเป็นประธาน จะหมดอายุเมื่อผู้ใหญ่บ้านดำรงตำแหน่งครบ 5 ปี มีฝ่ายต่างๆ สำหรับช่วยเหลือภารกิจของคณะกรรมการหมู่บ้าน มีการแบ่งเขตการปกครองในหมู่บ้านออกเป็นสิบเขต ทำให้แต่ละเขตมีแซ่ตระกูลและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รวมกัน และในหนึ่งแซ่ตระกูลก็ถูกกระจายไปอยู่ในหลาย ๆ เขต โดยสมาชิกในแต่ละเขตอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของหัวหน้าเขตที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการหมู่บ้าน วีธีการแบ่งเขตการปกครองเช่นนี้ ขัดแย้งกับการใช้สิทธิในการแสดงและเสนอความคิดเห็นผ่านแซ่สกุลของม้งในอดีต จึงยากแก่การปกครองให้สมาชิกในเขตนั้นๆ ปฏิบัติหรือร่วมมือในการพัฒนาหมู่บ้าน เนื่องจากเดิมสมาชิกในม้งแซ่ตระกูลต่าง ๆ เชื่อฟังและใช้สิทธิแสดงความคิดเห็นผ่านบรรดาผู้อาวุโสและผู้นำแซ่ตระกูล (หน้า 154-157, แผนภูมิที่ 13 หน้า 158, 159-173)
นอกจากนี้ การตั้งถิ่นฐานและอาศัยอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ทำให้หมู่บ้านภูสวยต้องอยู่ในการปกครองดูแลรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติ โดยเฉพาะกิจกรรมภายในหมู่บ้าน เช่น การทำเกษตร การสร้างที่พักอาศัย การติดตั้งไฟฟ้าและสาธารณูปโภคต่าง ๆ เป็นต้น (หน้า 130)
บ้านภูสวยมีรูปแบบการปกครองหมู่บ้านสมัยใหม่ของไทยค่อนข้างเต็มรูปแบบ และสามารถใช้รูปแบบการปกครองดังกล่าวจัดระเบียบทางการเมืองภายในหมู่บ้านได้เป็นอย่างดี อำนาจที่เป็นทางการทำให้ม้งที่เป็นกลุ่มใหญ่ในหมู่บ้านมีการจัดตั้งกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ขึ้นอย่างมากมาย การยอมรับการปกครองของไทยส่งผลให้ม้งบางคนมีตำแหน่งในกลไกของรัฐ (หน้า 173)
การเมืองภายในหมู่บ้าน (หน้า 195-213) : มีการรวมกลุ่มทางอำนาจ 2 กลุ่มที่ผลัดกันมีอำนาจปกครองในหมู่บ้าน คือ
1) กลุ่มม้งย่าง มีสมาชิกในแซ่สกุลมากที่สุดในหมู่บ้าน มีความสัมพันธ์กับกลุ่มม้งแซ่สกุลอื่นอย่างกว้างขวาง และได้รับการสนับสนุนทางสังคมและการเมืองจากม้งแซ่สกุลอื่นๆ โดยเฉพาะจากผู้บริหารสวนน้ำตกภูสวยและจากการเข้าร่วมในพิธีกรรมกับม้งแซ่สกุลต่าง ๆ (ผู้เขียนวิเคราะห์ว่าพิธีกรรมต่าง ๆ เป็นเวทีที่แสดงการรวมกลุ่มม้งด้วยกัน ได้สร้างองค์กรทางการเมืองที่ไม่เป็นทางการขึ้นเพื่อรักษาอำนาจภายในกลุ่มชาติพันธุ์ตนเอง และเข้าไปมีความชอบธรรมในระบบการเมืองการปกครองที่เป็นทางการภายในหมู่บ้านเหนือกลุ่มชาติพันธุ์อื่น - หน้า 175-179)
2) กลุ่มม้งว่างหวังวัฒนา มีจำนวนน้อยกว่ากลุ่มม้งย่าง และมีสายสัมพันธุ์กับม้งแซ่สกุลอื่นเพียง 8 ราย อีกทั้งเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ ยกเลิกการทำพิธีกรรมส่วนใหญ่ จึงไม่ค่อยมีกิจกรรมทางพิธีกรรมร่วมกับม้งแซ่สกุลอื่นๆ แต่สิ่งที่สำคัญคือมีความเหนียวแน่นในระหว่างกลุ่มของตน จากการร่วมกลุ่มบริหารพิพิธภัณฑ์ชาวเขาและมีสหกรณ์ร้านค้าของกลุ่ม ทำให้มีผลประโยชน์ร่วมกันเหนียวแน่น (หน้า 206) (ผู้เขียนวิเคราะห์ว่า การหันมานับถือศาสนาพุทธของม้งว่างหวังวัฒนา เป็นสัญลักษณ์ของการมีอำนาจเหนือกลุ่มม้งแซ่สกุลอื่น ๆ ในหมู่บ้าน โดยอิงเข้ากับการนับถือศาสนาเหมือนกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ ทำให้หน่วยราชการเข้ามาติดต่อสัมพันธ์ด้วย และนำการพัฒนาเข้ามาสู่กลุ่ม ทำให้กลุ่มม้งว่างหวังวัฒนายกฐานะของกลุ่มขึ้นเหนือกว่ากลุ่มอื่นด้วยการประกาศตัวเองว่าเป็นม้งหัวก้าวหน้า - หน้า 185)
ความสัมพันธ์กับรัฐไทย : รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นไปในทำนองที่รัฐไทยกระทำต่อม้งบ้านภูสวย โดยใช้วิธีการพยายามผสมกลมกลืนให้กลุ่มชาติพันธุ์ม้งมีความสำนึกของการเป็นพลเมืองไทย ผ่านนโยบายด้านต่าง ๆ ดังนี้
1) ดำเนินการจดทะเบียนบ้าน ทำบัตรประชาชน ในปี พ.ศ. 2541 ม้งภูสวยมีสมุดทะเบียนบ้านทุกหลังคาเรือน
2) ม้งในหมู่บ้านผ่านการอบรมหลักสูตรต่าง ๆ เช่น อบรมไทยอาสาป้องกันชาติ (ทสปช.) อบรมอาสาสู้ไฟป่า อบรมสมาชิกแจ้งข่าวอาชญากรรม เป็นต้น
3) นโยบายทำให้เป็นไทยของรัฐ (Thai - ization) ก่อให้เกิดการเปลี่ยนชื่อและใช้นามสกุลของม้งส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน เพื่อสะดวกในการติดต่อราชการหรือบุคคลภายนอกชาติพันธุ์ตัวเอง
4) การเผยแพร่ศาสนาสู่ม้งโดยมีสำนักสงฆ์ภูสวยเป็นกลไกในการเผยแพร่ศาสนา แต่ไม่มีความสำคัญในแง่การสร้างสำนึกความเป็นพลเมืองไทยมากนัก ในทางกลับกัน ม้งได้ใช้พุทธศาสนาในการสร้างโอกาสเลื่อนฐานะและมีหน้าที่การงานในสังคมไทยได้ โดยเฉพาะการบวชเรียนของบุตรหลานม้ง (หน้า 227-231)
ปัญหาและความขัดแย้งกับชาวบ้านตำบลใกล้เคียงและอุทยานแห่งชาติ (หน้า 111-132) :
1) ผลจากการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีวังน้ำเขียวของรับบาล ทำให้ราษฎรบ้านภูสวยที่ตั้งถิ่นฐานถาวรในเขตป่าอนุรักษ์ต้นน้ำชั้นสอง ต้องอพยพโยกย้ายออกจากพื้นที่ ซึ่งอยู่ระหว่างการเรียกร้องและเจรจา
2) ห้ามไม่ให้มีการอพยพเข้าเขตอุทยานอีก แต่ในทางพฤตินัยหน่วยราชการยังไม่มีมาตรการควบคุมอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรในหมู่บ้าน
3) ห้ามปรับปรุงอาคารสถานที่ในเขตอุทยาน เช่น บ้าน ที่พักชั่วคราวในสวนลิ้นจี่ และการต่อเติมหรือสร้างร้านค้าใหม่ แต่ทางพฤตินัยยังมีเกิดขึ้น
4) ห้ามไม่ให้มีการขยายพื้นที่ทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติ แต่ยังไม่เคยมีการรังวัดและชี้แนวเขตร่วมกันระหว่างม้งภูสวยและเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้เกิดกรณีพิพาทเกี่ยวกับการบุกรุกและขยายพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน
5) การกล่าวหาจากชาวบ้านตำบลใกล้เคียงและจากอุทยานแห่งชาติว่าม้งบ้านภูสวยทำลายต้นน้ำลำธารจากการทำสวนลิ้นจี่ ทำให้น้ำแห้งขอดก่อนไปถึงตำบลใกล้เคียงและเกิดปัญหามลพิษตกค้างในห้วยน้ำแม่ปานจากการใช้ยากำจัดศัตรูพืชใกล้แหล่งน้ำ
6) การประกาศเก็บค่าธรรมเนียมด่านทางเข้าอุทยานแห่งชาติที่ปากทางเข้าหมู่บ้านภูสวย ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความเป็นอยู่และการค้าขายในหมู่บ้าน (เนื่องจากทำให้นักท่องเที่ยวเข้าหมู่บ้านน้อยลงเพราะต้องเสียเงินค่าเข้า)
7) หมู่บ้านภูสวยยังไม่มีการติดตั้งไฟฟ้าในหมู่บ้าน เนื่องจากอุทยานแห่งชาติไม่มีนโยบายให้มีการติดตั้งไฟฟ้าในเขตอุทยาน แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความลักลั่นในทางปฏิบัติ เพราะหมู่บ้านที่อยู่ใกล้โครงการหลวงหรือสถานที่ราชการที่สำคัญสามารถติดตั้งไฟฟ้าใช้ได้
จากปัญหาและความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ม้งรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้มีอคติและปฏิบัติต่อชาวเขาอย่างไม่เป็นธรรม ในส่วนของหมู่บ้านภูสวย มีการรวมกลุ่มเพื่อเรียกร้องต่อรัฐตามลักษณะผลประโยชน์ของแต่ละกลุ่ม เช่น กลุ่มที่มีผลประโยชน์ด้านการเกษตรซึ่งมีแต่ม้ง กลุ่มที่มีผลประโยชน์ด้านธุรกิจร้านค้าซึ่งครอบคลุมทุกชาติพันธุ์ในหมู่บ้าน หรือกลุ่มปัญหามติ ครม.วังน้ำเขียวเป็นปัญหาของคนทั้งหมู่บ้าน การชุมนุมคัดค้านและเรียกร้องให้มีการยกเลิกมติดังกล่าว มีชาวบ้านจากหมู่บ้านภูสวยเข้าร่วมด้วยทุกชาติพันธุ์ เป็นต้น |
|
Belief System |
ศาสนา : กลุ่มชาติพันธุ์ม้งบ้านภูสวยส่วนใหญ่นับถือผี (animism) (1,049 คน 89 ครัวเรือน) และมีส่วนหนึ่งที่หันไปนับถือศาสนาพุทธ (169 คน 14 ครัวเรือน) และศาสนาคริสต์ (52 คน) โดยภาพรวมนอกเหนือจากม้งที่นับถือผีแล้ว บ้านภูสวยมีผู้นับถือศาสนาพุทธ 28 ครัวเรือน ประกอบด้วยชาติพันธุ์ม้ง จีนฮ่อ และคนไทย/คนเมือง ศาสนาคริสต์เป็นม้งทั้งหมด 5 ครัวเรือน ศาสนาอิสลาม 6 ครัวเรือน ประกอบด้วยชาวจีนฮ่อและคนไทย/คนเมือง (หน้า 59, 61)
ความเชื่อ : โลกของม้งมีสองโลก คือ โลกของมนุษย์และโลกของวิญญาณ "คนทรง" (shaman) หรือที่ม้งเรียกว่า "เน้ง" (neeb) เป็นผู้ติดต่อสื่อสารระหว่างมนุษย์กับวิญญาณ และมี "กั๊ง" (dab) เป็นผู้ทำพิธีกรรมสวดอ้อนวอนบวงสรวง (propitiation the spirit หรือ priest) ม้งเชื่อว่ามีวิญญาณ (spirits) สิงอยู่ตามที่ต่างๆ มากมาย ซึ่งสามารถให้โชคดีโชคร้ายแก่ม้งได้ (dab qus) ส่วนต่าง ๆ ในบ้าน (ประตู ห้องนอน เตาไฟ เสาบ้าน ฯลฯ) ก็เช่นกัน มีวิญญาณที่คอยรักษาขวัญของสมาชิกในบ้านและปกป้อง-ต่อสู้กับวิญญาณภายนอกที่จะทำให้สมาชิกในบ้านเกิดความเจ็บป่วยหรือตาย แต่หากไม่ดูแลเซ่นสรวงตามเวลา (dab qhuas) อาจทำให้สมาชิกในบ้านเกิดอาการเจ็บป่วยได้ ทั้งนี้ จะมีวิญญาณอีกประเภทที่เป็นวิญญาณชั่วร้าย (vij sub vij sw) เป็นวิญญาณแห่งอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นที่รวมของไฟและเลือด ต้องมีพิธีปัดเป่าและกำจัดไป (หน้า 173-174)
คนทรง (shaman, neeb) มีหน้าที่บริการแก่บุคคลทั่วไปที่มาขอคำปรึกษาและให้ทำนายถึงสาเหตุการเจ็บป่วย สับสน ขวัญหาย หรือการทำมาค้าขายไม่ขึ้น ว่าเกิดจากสาเหตุการกระทำของผีตนใด คนทรงเป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่ถูกเลือกจากหัวหน้าวิญญาณ (neeb) เท่านั้น
ส่วนกั๊ง (dab, priest) เป็นผู้รู้บทสวดพิธีในการติดต่อกับวิญญาณให้มารับของเซ่นและคุ้มครองสมาชิกในครอบครัว หัวหน้าครัวเรือนทุกครัวเรือนมักรู้วิธีการทำพิธีและทำหน้าที่นี้ (หน้า 174-176) ในหมู่บ้านภูสวยมีคนทรง 5 คน เป็นผู้ชาย 2 คน ผู้หญิง 3 คน ส่วนกั๊งหรือ dab หัวหน้าครัวเรือนมักจะทำเป็น แต่ที่มีชื่อเสียงและเพื่อนบ้านมักเชิญให้ไปช่วยจัดการควบคุมพิธีกรรมให้ดำเนินไปอย่างเป็นขั้นตอนและถูกต้อง มี 10 คน (หน้า 180)
การติดต่อกับวิญญาณของคนทรงมีขั้นตอนดังนี้
1) คนทรงเข้าสู่โลกของวิญญาณโดยการช่วยเหลือของหัวหน้าวิญญาณ (neeb) ที่มาเข้าร่างของคนทรง
2) เป็นขั้นตอนการหาวิญญาณที่หายไป
3) ตามล่าและไล่จับวิญญาณ
4) นำวิญญาณที่จับได้กลับสู่บ้านโดยขี่ม้า (ใช้เก้าอี้ยาวที่คนทรงนั่งเป็นสัญลักษณ์)
5) ส่งหัวหน้าวิญญาณที่ช่วยเหลือคนทรงกลับคืนสู่หิ้งผีของคนทรงที่ตั้งอยู่ข้างๆ หิ้งผีบรรพบุรุษของบ้าน หลังจากนั้น คนทรงก็กลับสู่สำนึกปกติ ระหว่างการทำพิธีของคนทรงที่หน้าหิ้งผีบรรพบุรุษ สมาชิกในบ้านหรือผู้รู้พิธีกรรมจะฆ่าหมูและไก่เซ่นไหว้วิญญาณที่จับวิญญาณของผู้ป่วยไป เพื่อเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับวิญญาณของผู้ป่วย กระดาษเงินจะถูกเผาไปพร้อมๆ กับการแทงไปที่ลำคอของหมูหรือขณะกำลังเชือดคอไก่
หลังจากนั้น จึงนำหมูหรือไก่ไปประกอบอาหาร เมื่อเสร็จพิธีทรง จึงเชิญแขกร่วมรับประทานอาหารบนโต๊ะพิธี (หน้า 178) ซึ่งมีรูปแบบการจัดลำดับอาวุโสและความสำคัญของบุคคลที่นั่งโต๊ะ (แผนภูมิ 11 หน้า 181, 182-183)
พิธีกรรม : ม้งบ้านภูสวยยังประกอบพิธีกรรม เช่น พิธีกรรมรักษาความเจ็บป่วยและแก้ไขโชคชะตา (ua neeb - หน้า 178, ra dab) พิธีเรียกขวัญและมัดมือ (hu plig, khi hluas หน้า 175-176) พิธีเลี้ยงผีเสาเรือนกลางบ้านประจำตระกูล (npua dab) พิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายประจำตระกูล (lwm tauj, lwm sub) พิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษ (nyuj dab) พิธีบนผีและแก้บน (fev yeem, pauj yeem) พิธีเลี้ยงผีประตู (npua rooj - หน้า 143-145) ฯลฯ (ตารางที่ 9 หน้า 140)
พิธีศพ (หน้า 216-217) : ความเชื่อเรื่องทำเลฝังศพของม้งมีความสำคัญ ม้งห้ามฝังศพผู้ตายไว้ในหมู่บ้าน และไม่มีสุสานที่เป็นพื้นที่ฝังศพร่วมกัน ทำเลฝังศพจะล้อมรอบด้วยภูเขา เขาด้านซ้ายเป็นสัญลักษณ์ของมังกรน้ำเงิน (Azure Dragon) เป็นตัวแทนของศพเพศชาย ด้านขวาเป็นสัญลักษณ์ของเสือขาว (White Tiger) เป็นตัวแทนของเพศหญิง ภูเขาข้างซ้ายจะต่ำกว่าข้างขวา มีความหมายในด้านการนำความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตและครอบครัวเข้ามาทางเพศชาย และภูเขาด้านขวาเป็นเกราะปกป้องกำบังที่สูงกว่าหรือเก็บความเจริญรุ่งเรืองที่เข้ามาจากภูเขาด้านซ้ายให้คงอยู่ ข้างหน้าเป็นพื้นที่ต่ำและมีห้วยน้ำไหลผ่าน เป็นสัญลักษณ์ของสระมังกร (Dragon Pool) ที่ซึ่งจะนำไปสู่การเริ่มต้นและเกิดใหม่ของวิญญาณผู้ตาย ส่วนทิศทางของการหันศีรษะไม่แน่นอน จะแตกต่างกันไปตามธรรมเนียมของแต่ละแซ่สกุล
ม้งเชื่อว่าวิญญาณของผู้ตายจะแบ่งเป็นสามส่วน คือ
1) จะอยู่ที่หลุมฝังศพเพื่อปกป้องดูแลพื้นที่ที่ตนเองเป็นเจ้าของ ม้งบ้านภูสวยจึงมักฝังผู้ตายไว้ในสวนลิ้นจี่หรือพื้นที่การเกษตรของตน (ในกรณีนี้ผู้เขียนวิเคราะห์ว่าเป็นการปรับใช้สัญลักษณ์เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่อันยากที่จะให้ใครมาแย่งชิงไปได้)
2) วิญญาณจะกลับมาอยู่ที่หิ้งบรรพบุรุษในบ้านให้ลูกหลานเซ่นสรวง เพื่อปกป้องสมาชิกในบ้าน
3) กลับไปรวมกับวิญญาณบรรพบุรุษที่ประเทศจีนเพื่อรอการเกิดใหม่ (หน้า 109-110)
ส่วนม้งที่หันมานับถือพุทธศาสนา จะจัดพิธีศพผสมระหว่างศาสนาพุทธและความเชื่อเดิม โดยแต่งกายศพแบบพิธีม้งและวางศพไว้ในบ้าน เชิญแขกมาร่วมรับประทานอาหาร แต่ไม่มีการเป่าแคนม้งหน้าศพตามธรรมเนียม ในช่วงกลางคืนจะนิมนต์พระจากสำนักสงฆ์มาสวดศพ แต่มีการฝังศพไม่ได้เผาตามพิธีพุทธ (หน้า 136)
วันปีใหม่ม้ง (nyob zoo xyoo tshiab) : ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 1 ตามระบบจันทรคติ ก่อนปีใหม่หนึ่งวันมีการทำพิธีเรียกขวัญ (hu plig) เป็นพิธีสำหรับบวงสรวงวิญญาณในครัวเรือน (household spirits/ dab qhuas) เริ่มพิธีโดยผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครัวเรือนเซ่นไหว้วิญญาณที่ป้องกันประตูหน้าบ้านไม่ให้วิญญาณที่อยู่นอกบ้านเข้ามาในบ้านหรือ Txhiaj Meej โดยจัดทำหิ้งผีเล็ก ๆ ขึ้นที่ประตูหน้าบ้าน พร้อมตั้งอ่างน้ำ จอกเหล้าข้าวโพดสองใบ และไก่ต้มหนึ่งตัว หัวหน้าครัวเรือนยืนอยู่ในบ้านเชิญวิญญาณต่าง ๆให้เข้ามารับอาหารในบ้าน ในวันปีใหม่หิ้งบรรพบุรุษในบ้านม้งจะถูกเปลี่ยนโดยหัวหน้าครัวเรือน มีการฆ่าไก่เซ่นสรวงวิญญาณบรรพบุรุษ และจัดทำกระดาษสาใหม่ที่หิ้งผี โดยเอาเลือดไก่สาดไปที่กระดาษสาและติดไว้บนฝาผนังที่หิ้งผีบรรพบุรุษติดตั้งอยู่
หลังจากนั้น สมาชิกในครอบครัวแต่งกายม้งชุดใหม่ที่เย็บปักเตรียมไว้สำหรับใส่ฉลองวันปีใหม่ ซึ่งมีการเลี้ยงฉลองในบ้านและมีกิจกรรมทั้งในระดับหมู่บ้านและระหว่างหมู่บ้าน งานปีใหม่ม้งมีระยะเวลาประมาณห้าถึงสิบห้าวัน (หน้า 217-218) |
|
Education and Socialization |
โดยวัฒนธรรมม้ง ครอบครัวจะให้การฝึกอบรมการดำรงชีพในสังคมแก่ลูกหลาน (หน้า 77) อย่างไรก็ตาม ม้งให้ความสนใจต่อการศึกษาในระบบโรงเรียนมาก อยากให้ลูกได้เรียนรู้หนังสือไทย เพื่อเป็นประโยชน์ในการทำมาหากิน (หน้า 34) หมู่บ้านภูสวยมีโรงเรียนมา 40 ปีแล้ว เริ่มต้นสอนโดยตำรวจตระเวนชายแดน 2 คน โรงเรียนได้รับการขยายขึ้นเป็นระยะๆ จนปัจจุบัน (ปีที่วิจัย - Text Analyst)
มีอาจารย์วุฒิปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1 คนเป็นม้ง และวุฒิปริญญาตรี 9 คน (เป็นม้ง 1 คน) มีคณะกรรมการการศึกษาซึ่งประกอบด้วยชาวบ้านผู้ทรงคุณวุฒิ คณะอาจารย์ และเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ภูสวย ร่วมกันบริหารงานตามหลักการบริหารงานโรงเรียน และร่วมกันจัดกิจกรรมของหมู่บ้านตามเทศกาล เช่น วันพ่อ วันแม่ วันลอยกระทง วันปีใหม่ เป็นต้น
มีการจัดหางบประมาณเพื่อสนับสนุนโรงเรียนเพิ่มเติมจากงบประมาณส่วนกลางในกิจกรรม เช่น การจัดซื้อเครื่องปั่นไฟใช้สำหรับคอมพิวเตอร์ เป็นต้น (หน้า 83-84) และโรงเรียนมีร้านค้าในบริเวณโรงเรียนให้เช่าจำนวน 14 ร้าน มีรายได้จากการให้เช่าร้านเป็นเงิน 55,440 บาทต่อปี (หน้า 96-99)
รัฐไทยและหน่วยงานส่วนพระองค์ต่าง ๆ ได้ให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่ม้ง โดยมีการยกเว้นค่าเล่าเรียนของลูกหลานม้งในการเข้าเรียนโรงเรียนบ้านภูสวย ซึ่งเปิดการศึกษาถึงชั้นประถมปีที่ 6 และยกเว้นค่าเล่าเรียนชั้นสูงขึ้นไปถึงชั้นมัธยม 3 และมัธยม 6 ในโรงเรียนสมเด็จพระบรมราชชนนี (หน้า 228) |
|
Health and Medicine |
ไม่ได้ระบุชัดเจน ผู้เขียนกล่าวถึงม้งส่วนใหญ่ที่มีความเชื่อเรื่องผียังมีการให้หมอผีหรือคนทรง (shaman, neeb) ประกอบพิธีกรรมติดต่อกับวิญญาณเพื่อหาสาเหตุของความเจ็บป่วย และทำพิธีเรียกขวัญเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากสาเหตุต่างๆ กัน (หน้า 173-176) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย : ม้งน้ำเงินผู้ชายสวมกางเกงสีดำ ตัดแบบขาหลวม ขอบขาสามเส้า และเป้ากางเกงจะห้อยยาวลงมา ผู้หญิงจะสวมกระโปรงสีน้ำเงินจีบรอบตัว มีลวดลายในเนื้อผ้า ซึ่งย้อมแบบปาเต๊ะ (แต่ไม่ได้ขัดมันอย่างปาเต๊ะ) และมีการปักลวดลายรอบชายกระโปรง (หน้า 134)
บ้านภูสวยมีพิพิธภัณฑ์หมู่บ้านชาวเขาสร้างขึ้นเพื่ออนุรักษ์และแสดงวัฒนธรรมชาวเขา เป็นที่เก็บภาพประวัติศาสตร์ชาวเขาต่าง ๆ ในประเทศไทย และเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การปั่นผ้าใยกัญชา เครื่องมือโม่ข้าวโพด อาคารบ้านม้งตัวอย่าง เป็นต้น ทั้งนี้ นอกเหนือจากเพื่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมแล้ว ยังเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าชม (หน้า 104 -105)
ม้งบ้านภูสวยได้ร่วมกับม้งในไทยและอเมริกาผลิตภาพยนตร์ที่เป็นภาษาม้ง โดยมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเขียนบท การหาสถานที่ เตรียมอุปกรณ์การถ่ายทำ หาทีมงานและผู้แสดงที่เป็นม้ง ช่วยกำกับ ตัดต่อ บันทึกเสียง และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจนเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งภาพยนตร์ดังกล่าวได้เผยแพร่ทั้งในหมู่บ้านและในต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีตลับเทปเพลงภาษาม้งที่ทำโดยม้ง เป็นที่นิยมกันในบ้านภูสวยและหมู่บ้านม้งอื่น ๆ (หน้า 222-223) |
|
Folklore |
ไม่ได้รุบุชัดเจน ผู้เขียนกล่าวถึง ม้งมีการเล่าตำนานประกอบความเชื่อ เช่น ตำนานการห้ามกินหัวใจหมูของม้งตระกูลย่าง (หน้า 135) ตำนานการเกิดพิธีเลี้ยงผีประตู / ห้องนอนไว้ (หน้า 143) บางครั้งม้งก็นำตัวละครที่เก่งกล้าสามารถในพงศาวดารจีน เช่น ตัวละคร "จูล่ง" ในพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊ก เป็นต้น ม้งมองว่าชื่อ "จูล่ง" เป็นชื่อที่ม้งมีใช้กัน ซึ่งเป็นการแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เคยมีในอดีตครั้งอยู่ประเทศจีน และชนชาติมงโกลก็เช่นกัน ม้งลากคำพ้องเสียงของชื่อชนชาติให้มาเกี่ยวข้องกับม้ง คือคำว่า "มง" "มอง" ม้งกล่าวว่าเป็นคำคำเดียวกับคำว่า "ม้ง" แต่เพี้ยนเสียงไป ทำให้ม้งเกิดความภูมิใจในตัวเองเมื่อได้อ่านพงศาวดารจีนที่เกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของชนชาติมงโกลในอดีตว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน (หน้า 147) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม : ม้งส่วนใหญ่ยังนับถือผีและยังประกอบพิธีกรรมตามวัฒนธรรมม้ง แม้จะแตกต่าง กันในรายละเอียดบ้างก็ตาม ม้งที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปเป็นกลุ่มที่ยังมีบทบาททางความเชื่อดั้งเดิมและมีอิทธิพลในหมู่บ้าน
(หน้า 133)
พิธีกรรมของม้งมี 2 ประเภท คือ
1) พิธีเกี่ยวกับวงจรชีวิต เช่น พิธีแต่งงาน (noj tshoob) พิธีศพ (paam tuaj) พิธีตั้งชื่อใหม่ (tis npe laus) เป็นต้น
2) พิธีเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น พิธีเรียกขวัญผูกข้อมือ (hu plig, khi hluas) พิธีบนผีและแก้บน (fev yeem, pauj yeem) เป็นต้น พิธีกรรมต่าง ๆ สามารถแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ ของการเชื่อมโยงเครือข่ายทางสังคมได้ห้าประเภทคือ 1) พิธีกรรมของครัวเรือนในสายตระกูลย่อย เช่น พิธีเลี้ยงผีบ้าน พิธีเลี้ยงผีประตู พิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษ พิธีเลี้ยงผีเสากลางบ้าน 2) พิธีกรรมรวมสายตระกูลย่อย คือ พิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย (lwm tauj, lwm sub)
3) พิธีของสายตระกูลคือ พิธีศพ (paam taug)
4) พิธีหมู่บ้าน เช่น พิธีปีใหม่
5) พิธีต้อนรับคนต่างหมู่บ้าน (หน้า 174)
ความสัมพันธ์กับต่างชาติพันธุ์ : ม้งบ้านภูสวยมีความสัมพันธุ์กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ หลายกลุ่มในหมู่บ้าน ซึ่งประกอบไปด้วยจีนฮ่อ กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ คนไทยและคนมือง โดยม้งมองไทยใหญ่และชาติพันธุ์กะเหรี่ยงว่ามีฐานะทางชาติพันธุ์และเศรษฐกิจที่ต่ำกว่า และตระหนักว่าคนไทยและคนเมืองมองคนม้งมีสถานภาพทางชาติพันธุ์ที่ต่ำกว่า (หน้า 148)
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ม้งกับรัฐไทย ม้งจะรู้สึกว่าพวกเขาถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมจากทั้งนโยบายและการถูกรีดไถโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ อีกทั้งรู้สึกว่าคนไทย/คนเมือง สื่อมวลชน และตำรวจมีอคติต่อม้ง (หน้า 223-226) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ความเชื่อและพิธีกรรม : กลุ่มม้งบ้านภูสวยที่หันมานับถือศาสนาพุทธละทิ้งพิธีกรรมทางศาสนาม้งทั้งหมด มีหิ้งพระแทนหิ้งบรรพบุรุษ มีพิธีกรรมผสมระหว่างพุทธและม้งอยู่ 2 พิธีกรรม คือ งานแต่งงานและงานศพ และมีการทำพิธีกรรมตามทำเนียมไทย 2 รายการ คือ งานขึ้นบ้านใหม่และวันสงกรานต์ ส่วนม้งคริสต์ทิ้งพิธีกรรมทางศาสนาม้งไปบางส่วน แต่ยังจัดพิธีกรรมตามศาสนาม้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องบรรพบุรุษ (หน้า 139, ตารางที่ 9 หน้า 140)
พิธีกรรมส่วนใหญ่ในหมู่บ้านภูสวยลดรายละเอียด ขั้นตอน และความเคร่งครัดต่าง ๆ ลงไปบ้าง เพราะปัจจุบันบ้านภูสวยเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ซึ่งม้งมักจะใช้เวลาไปกับการค้าขายและดูแลสวนลิ้นจี่มาก (หน้า 220)
จารีตการปกครองหมู่บ้าน : รูปแบบการปกครองท้องที่ของไทย ทำให้กระบวนการในการส่งตัวแทนเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านตามจารีตม้งเปลี่ยนแปลงไป ทำให้การสืบต่ออำนาจการปกครองจากพ่อสู่ลูกชายของแซ่สกุลที่มีอำนาจมากที่สุด (มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด) หมดไป และผู้อาวุโสในแต่ละแซ่ตระกูลถูกลดบทบาททางการปกครองลงเหลือเป็นเพียงที่ปรึกษาและร่วมพิจารณาตัดสินข้อพิพาทร่วมกับคณะกรรมการหมู่บ้าน
การแบ่งเขตการปกครองภายในหมู่บ้านออกเป็น 10 เขตแทนโครงสร้างระบบกลุ่มผู้อาวุโสในแต่ละแสน (กลุ่มตระกูล) เป็นศูนย์กลาง ทำให้คณะกรรมการหมู่บ้านที่ดูแลแต่ละเขตไม่ได้รับความร่วมมือจากม้งในแซ่สกุลต่าง ๆ ในการพัฒนาหมู่บ้านเท่าใดนัก ซึ่งเดิมมีความพร้อมเพียงกันเนื่องจากม้งยึดถือและเชื่อฟังคณะผู้อาวุโสจากแซ่ตระกูลต่าง ๆ ปี พ.ศ. 2541 คณะกรรมการหมู่บ้านได้ร่างข้อบังคับว่าด้วยการปกครองท้องถิ่นหมู่บ้านภูสวยขึ้น เพื่อแก้ปัญหาที่มีกับอุทยานแห่งชาติและปัญหาความไม่มีระเบียบของร้านค้าและในหมู่บ้าน การสร้างระเบียบที่เป็นลายลักษณ์อักษรและการจัดตั้งองค์กรต่าง ๆ ในหมู่บ้านเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏในสังคมม้งในอดีต ระบบเลือกตั้งของทางการทำให้ผู้หญิงม้งมีสิทธิเลือกตั้ง (หน้า 37,160-172, 240) โทรทัศน์ วิทยุ การศึกษา และอิทธิพลจากการท่องเที่ยว ทำให้ผู้หญิงม้งบางกลุ่มได้เปิดโลกทัศน์และมีบทบาทในหมู่บ้านมากขึ้น และเริ่มมีกระแสเรียกร้องสิทธิสตรีโดยสื่อผ่านการแสดงละครในงานปีใหม่ เป็นต้น (หน้า 81-82) |
|
Map/Illustration |
ตาราง ที่ 1.จำนวนประชากร (หน้า 54)
2.จำนวนเครือเรือนและประชากรม้งแซ่ตระกุลต่างๆ (หน้า 56)
3.,4.,5. จำนวนประชากรและครัวเรือนของม้ง ชาวจีนฮ่อ คนไทย/คนเมืองที่นับถือศาสนาต่างๆ (หน้า 60,61,61)
6.การแบ่งงานระหว่างเพศของม้ง (หน้า 79)
7. ประเภทร้านค้าของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ (หน้า 96)
8. แสดงราคาการให้เช่าร้านค้า (หน้า 98)
9. การทำพิธีกรรมของม้งในแซ่สกุลต่างๆ (หน้า 140)
10. บุคคลสำคัญในแซ่สกุลต่าง ๆ ที่เข้าร่วมพิธีกรรมต่างๆ ในหมู่บ้าน (หน้า 142)
11.แสดงการแต่งงานของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในหมู่บ้าน (หน้า 149)
แผนภาพ ที่ 1.แสดงที่ตั้งอุทยานแห่งชาติ (หน้า 48)
2.แสดงสภาพพื้นที่อุทยานฯ (หน้า 49)
3.แสดงที่ตั้งหมู่บ้านในเขตอุทยานฯ (หน้า 50)
4. แสดงการกระจายตัวของแซ่สกุลของม้งบ้านภูสวย (หน้า51)
5.แสดงพื้นที่ทำกินม้งบ้านภูสวย (หน้า 88)
6.แสดงพื้นที่ปลูกป่าและเส้นทางคมนาคม (หน้า 93)
7. แสดงร้านค้าของตนเองและให้เช่าในหมู่บ้านภูสวย (หน้า 97)
8. แสดงแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานฯ (หน้า 131)
9. พื้นที่ดูแลรับผิดชอบของหมู่บ้านภูสวยร่วมกับอุทยานฯ (หน้า 164)
10. แสดงการแบ่งเขตการปกครองทั้ง 10 เขตในหมู่บ้านภูสวย (หน้า 171)
11. แสดงตำแหน่งที่นั่งบุคคลตามสถานภาพและลำดับอาวุโส (หน้า 181)
แผนภูมิ ที่
1. เครือญาติกลุ่มม้งว่างหวังวัฒนา (หน้า 64)
2. เครือญาติกลุ่มม้งย่าง (หน้า 66)
3. เครือญาติกลุ่มม้งลี (หน้า 68)
4. เครือญาติกลุ่มม้งว่าง (หน้า 70)
5. แสดงความสัมพันธ์ระหว่างม้งว่าง (ปกป้องป่า) กับแซ่สกุลอื่น (หน้า 72)
6.ความสัมพันธ์ทางการแต่งงานระหว่างม้งม้า (มนมัย) กับแซ่สกุลอื่น (หน้า 73)
7. กลุ่มม้งว่างหวังวัฒนากับความสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับแซ่สกุลอื่น (หน้า 74)
8. กลุ่มม้งย่างกับความสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับแซ่สกุลอื่น (หน้า 75)
9. ความสัมพันธ์ทางเครือญาติและการแต่งงานในหมู่บ้าน (หน้า 76)
10.แสดงการสืบสายตระกูลฝ่ายผู้ชาย (หน้า 78)
11. การบริหารกลุ่มเกษตรกรสวนลิ้นจี่ภูสวย (หน้า 95)
12. แสดงความสัมพันธ์ทางเครือญาติและการแต่งงานของบุคคลที่ร่วมหุ้นส่วนในการบริหารสวนตกภูสวย (หน้า 106)
13. แสดงการบริหารการปกครองท้องที่หมู่บ้านภูสวย (หน้า 158)
14. ความสัมพันธ์ทางเครือญาติของบุคคลที่มีการฆาตกรรม (หน้า 208)
15. แสดงพลวัตรในการใช้สัญลักษณ์ในการแข่งขันเพื่อทรัพยากรและอำนาจของม้งภูสวย (หน้า 250) |
|
|