|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เยาวชนชนกลุ่มน้อย , การเมือง, พม่า |
Author |
นฐพร องค์วิศิษฐ์ |
Title |
ความคิดทางการเมืองของเยาวชนชนกลุ่มน้อยจากพม่าในประเทศไทย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มอญ รมัน รามัญ, ไทใหญ่ ไต คนไต, ดาราอาง ดาระอางแดง รูไม ปะเล รูจิง ตะอาง, กะแย กะยา บเว, กะยัน แลเคอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
158 |
Year |
2547 |
Source |
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภูมิภาคศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
วิทยานิพนธ์นี้เป็นการทำความเข้าใจความคิดทางการเมืองของเยาวชนชนกลุ่มน้อยจากประเทศพม่าที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ในฐานะที่เยาวชนกลุ่มนี้เป็นผลพวงของความขัดแย้งทาง
การเมืองและความแตกต่างทางชาติพันธุ์ในประเทศพม่า
จากการศึกษาพบว่าความคิดทางการเมืองของยาวชนชนกลุ่มน้อยจากพม่า เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขหลายประการ ได้แก่
1) เงื่อนไขทางการเมือง เพราะเยาวชนเหล่านี้เกิดและเติบโตท่ามกลางความขัดแย้งและสภาพสงครามกลางเมืองของประเทศพม่า
2) เงื่อนไขด้านชาติพันธุ์ คือความแตกต่างทางชาติพันธุ์เป็นปัญหารากเหง้าของพม่ามานับศตวรรษและพัฒนาเป็นความเกลียดชังและการเลือกปฏิบัติกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ
3) เงื่อนไขทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลที่แสดงออกมาในรูปแบบของการกดขี่ เช่น การบังคับใช้แรงงาน การขูดรีดผลผลิต การห้ามการเรียนการสอนในภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นต้น
เยาวชนชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ได้มีการหล่อหลอมทางความคิด โดยเริ่มจากการเกิดคำถามจากภาพความกดขี่ที่ได้รับจากทหารพม่าและพยายามแสวงหาคำตอบจากนั้นได้เข้าร่วมกลุ่มการเคลื่อนไหวทางการเมือง
ในระดับสังคม พบว่าเยาวชนชนกลุ่มน้อยได้รับการซึมซับเรื่องการเมืองผ่านสิ่งแวดล้อมทางการเมืองของประเทศพม่า เช่น การถูกกดขี่และการเลือกปฏิบัติ ทำให้เยาวชนเกิดความรู้สึกที่ต่อต้านกับรัฐบาลพม่า ส่วนในระดับปัจเจก พบว่าเยาวชนชนกลุ่มน้อยแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันในเรื่องประวัติความเป็นมาและประสบการณ์ชีวิต เช่น ชาติพันธุ์ การศึกษา และการทำงาน แต่เยาวชนกลุ่มนี้ก็ได้แสดงเห็นถึงสิ่งที่เหมือนกัน คือเป็นคนรุ่นใหม่ที่พร้อมสำหับการเปลี่ยนแปลงและการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิและความเท่าเทียมกัน ต้องการเห็นความสงบสุขของประเทศพม่า แสวงหาความร่วมมือและความสามัคคีในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ |
|
Focus |
ความคิดเรื่องการเมืองของกลุ่มเยาวชนชนกลุ่มน้อยพม่าในประเทศไทย |
|
Theoretical Issues |
- แนวคิดและทฤษฎีการเมืองและการเรียนรู้ทางการเมือง
- แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อย
- แนวคิดและทฤษฎีการศึกษาประวัติชีวิต
- ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องเรื่องความเป็นมาและความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ รวมถึงสถานภาพของผู้อพยพจากพม่าและผลกระทบต่อประเทศไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชนกลุ่มน้อยจากพม่าในประเทศไทย ได้แก่
- กะเหรี่ยง (Karen)
- มอญ (Mon)
- อาระกัน (Arakan)
- คะเรนนี (Karenni)
- คะฉิ่น (Kachin)
- ไทยใหญ่ (Tai Yai)
- คะยาน(Kayan)
- ปะหล่อง (Palaung) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
การใช้ภาษาของชนกลุ่มน้อยในค่ายผู้ลี้ภัยกะเหรี่ยง ใช้ภาษากะเหรี่ยงเป็นภาษากลางทั้งพูดและเขียน และมีการสอนเพิ่มในภาษาอังกฤษ ภาษาพม่า ภาษาไทย แต่ในค่ายผู้ลี้ภัยชาวคะเรนนี ไม่มีการเรียนการสอนภาษาไทย ส่วนค่ายผู้ลี้ภัยที่มีประชากรหลากหลาย จะใช้ภาษาพม่าเป็นภาษากลางทั้งพูดและเขียน และตำราเรียนจะเป็นภาษาอังกฤษ |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ในการศึกษาครั้งนี้ ได้ปรากฏประวัติการต่อสู้ของกลุ่มชนกลุ่มน้อยในพม่า ดังนี้
1) กะเหรี่ยง (Karen) เป็นกลุ่มแรกที่ต้อสู้กับรัฐบาลพม่าเนื่องจากไม่ได้ร่วมลงนามในสัญญาปางหลวง และรัฐบาลพม่าไม่นับหมู่บ้านกะเหรี่ยงอยู่ในการปกครอง ชาวกะเหรี่ยงก็เรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเองและรวมตัวกันจัดตั้งองค์กรเพื่อปลุกจิตสำนึกให้รักเผ่าพันธุ์ เช่น KNA, , BKNA , KNU จนกระทั้งปี ค.ศ.1995 เกิดความแตกแยกและสู้รบกันเองระหว่าง DKBA กับ KNU ที่มีฐานอยู่ที่ค่ายมาเนอร์ปลอว์ ชายแดนไทย-พม่า อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน แตก จึงมีผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยโดยเฉพาะชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน และตาก
2) มอญ (Mon) เริ่มต้นเคลื่อนไหวช่วงปี ค.ศ.1947 และต่อมาก็มารวมกันกับกลุ่มกะเหรี่ยงเพื่อต่อต้านกับรัฐบาลพม่า เพื่อต้องการแยกตัวเป็นอิสระจากพม่าร่วมมือกับกลุ่มกะเหรี่ยงและพรรคคอมมิวนิสต์พม่าในปี ค.ศ.1957 และปี.ค.ศ.1958 มีการตั้งกลุ่มชื่อ พรรคมอญใหญ่และมีกองกำลัง MNDO
3) อาระกัน (Arakan)หรือชาวยะไข่ อาศัยอยู่ทางชายฝั่งทิศตะวันตกของพม่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด ช่วงเวลาเดียวกับชาวมอญ มีการเรียกร้องให้ดินแดนอารกันแยกตนเป็นอิสระ แต่รัฐบาลพม่าไม่ให้ความสนใจและปฏิเสธกลุ่มอารกันไม่ให้เข้าร่วมการทำสนธิสัญญาปางหลวง
4) คะเรนนี (Karenni)คะยาห์หรือกะเหรี่ยงแดง เมื่อพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษเดือนมกราคม ค.ศ.1948 รัฐคะเรนนีได้ถูกรวมเข้าไว้ในสหภาพพม่า จึงเริ่มมีการต่อต้านโดยจัดตั้งกองทัพแห่งชาติชาวคะเรนหรือ KNA จนเกิดการสู้รบและความขัดแย้งกันเรื่อยมา
5) คะฉิ่น (Kachin) อพยพเข้ามาพม่าราวศตวรรษที่ 16 อาศัยอยู่บริเวณรัฐคะฉิ่น ทางทิศเหนือติดกับชายแดนจีน คะฉิ่นเข้าร่วมสนธิสัญญาปางหลวงในปี ค.ศ.1947 กลายเป็นรัฐหนึ่งในสหภาพพม่า แต่พม่าพยายามแทรกแซงการบริหารงานของรัฐ จึงเกิดกลุ่มองค์กรคะฉิ่นอิสระ (KIO) เพื่อต่อต้านรัฐบาลพม่า แต่ได้มีการลงนามในข้อตกลงหยุดยิงในปี ค.ศ.1994 เพื่อแลกกับการพัฒนารัฐ และการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิยังคงดำเนินอยู่
6) ไทยใหญ่ (Thai Yai) หรือฉาน อยู่บริเวณที่ราบสูงฉาน ทิศตะวันออกของพม่า อพยพมาจากทางตอนใต้ของจีนเมื่อประมาณศตวรรษที่ 7 ต่อมาปี ค.ศ.1958 ซึ่งเป็นปีที่สิบของสนธิสัญญาปางหลวง รัฐบาลพม่าไม่ยอมให้อิสระและพยายามครอบครองรัฐฉาน จึงเกิดการรวมกลุ่มเพื่อต่อสู้กับพม่า ซึ่งปัจจุบันมี 2 องค์กร คือ องค์กรรัฐฉาน (SSO) เคลื่อนไหวเรื่องรัฐฉานระดับนานาชาติ และพรรคสันนิบาตประชาธิปไตย (SSNLD) เคลื่อนไหวตามรัฐธรรมนูญพม่าเพื่อต่อสู้ทางการเมืองและเรียกร้องสิทธิชาวไทยใหญ่
7) คะยาน (Kayan) ในปี ค.ศ.1964 ชาวคะยานเคลื่อนไหวต่อต้านพม่าในบริเวณทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐฉาน ต่อมากลุ่มนักศึกษาชาวคะยานได้ก่อตั้งกลุ่ม (KNLP) วันที่ 8 ส.ค. 1994 เกิดขึ้นเป็นพรรคเพื่อเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิ แม้ว่าจะลงนามในข้อตกลงหยุดยิงกับรัฐบาลพม่าในปี ค.ศ.1944 แล้วก็ตาม
8) ปะหล่อง (Palaung) หรือ ดาระอั้ง อาศัยอยู่ในรัฐฉาน ชาวปะหล่องเรียกร้องสิทธิ การแยกดินแดน และการปกครองรูปแบบสหสัมพันธ์ แต่ไม่ได้รับการตอบรับจึงเกิดการรวมกลุ่มกันขึ้น (PSLO/PSLP) เพื่อป้องกันตนเองจากการถูกบังคับไปเป็นทหาร แม้ปัจจุบันได้ลงนามในข้อตกลงหยุดยิงกับรัฐบาลพม่า แต่การเคลื่อนไหวให้ได้มาซึ่งสิทธิของชาวปะหล่องก็ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง |
|
Social Organization |
ในค่ายผู้ลี้ภัยจะมีทั้ง ค่ายผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยง ค่ายผู้ลี้ภัยชาวคะเรนนี และค่ายผู้ลี้ภัยที่มีประชาชนหลากหลายชาติพันธุ์ซึ่งอพยพมาจากรัฐเดียวกัน เช่น ค่ายผู้ลี้ภัยชาวคะเรนนี ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น กะเหรี่ยง คะยาน ปะโอ คะเรนนี ฯลฯ |
|
Political Organization |
การอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยเป็นลักษณะการจำกัดอิสรภาพในการดำเนินชีวิตภายใต้กฎระเบียบที่เคร่งครัด ไม่สามารถเดินทางเข้าออกได้หากไม่มีความจำเป็นเพียงพอ แต่มีเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร มีสิทธิแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และได้รับโอกาสทางการศึกษาภายในค่ายผู้ลี้ภัย ซึ่งจะมีการคัดเลือกคณะกรรมการจากสมาชิกเพื่อทำหน้าที่ประสานหน่วยงานภายนอกและดูแลความเรียบร้อยของผู้ลี้ภัย |
|
Education and Socialization |
เยาวชนชนกลุ่มน้อยเรียนรู้ความคิดทางการเมืองผ่านกระบวนการหล่อหลอมของสถาบันต่างๆ ได้แก่ โรงเรียนในค่ายผู้ลี้ภัย การทำงาน การร่วมกิจกรรม และการเข้าอบรมจากองค์กรทาง
การเมือง และองค์กรเอกชนต่างๆ กล่าวคือ
1) โรงเรียนในค่ายผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดนประเทศไทย มีระบบการเรียนการสอนที่หล่อหลอมความคิดเกี่ยวกับ ความเป็นชาติแบบใหม่ ที่แตกต่างจากความเป็นชาติในพม่า และเนื้อหา
การเรียนที่มีอิทธิพลทางความคิดทางการเมืองจะปรากฏในรายวิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์
2) การเข้าร่วมพรรค/องค์กรทางการเมือง เป็นการเรียนรู้ที่เข้มข้นมากเพราะมีเป้าหมายและการปฏิบัติงานที่ชัดเจน คือ การปลดปล่อยชาติและประชาชน จากการปกครองโดยรัฐบาลทหารพม่า ซึ่งการเข้าร่วมกิจกรรมทำให้เยาวชนมีอุดมการณ์ชาตินิยม เพราะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่รัฐบาลพม่าใช้ความรุนแรง กดขี่ชนกลุ่มน้อย ทั้งในเชิงนโยบายการกระทำ
3) การร่วมกิจกรรม หรือร่วมทำงานกับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่เน้นเรื่องการเคลื่อนไหวทางการเมือง เรียกร้องสิทธิการมีส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อมุ่งหวังการเปลี่ยนแปลงทาง
การเมืองในระยะยาว ซึ่งเยาวชนชนกลุ่มน้อยมีส่วนร่วมในกิจกรรม 2 ลักษณะ คือ เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรต่างๆ ที่องค์กรจัดขึ้น และการเป็นอาสาสมัคร หรือเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน |
|
Health and Medicine |
ภายในค่ายผู้ลี้ภัยจะมีสถานพยาบาลให้บริการ ซึ่งผู้ทำหน้าที่ให้บริการดูแลรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน ก็คือผู้ลี้ภัยที่เรียนจบหลักสูตรสาธารณสุขมูลฐาน (Medoc School) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การธำรงวัฒนธรรมและความเป็นชาติของชนกลุ่มน้อยจากพม่าในสังคมไทย คือ การใช้ภาษากลางในระบบการเรียนการสอน เช่น ค่ายผู้ลี้ภัยกะเหรี่ยง ใช้ภาษากะเหรี่ยงเป็นภาษากลาง
ทั้งการพูดและการเขียน รวมทั้งใช้ตัวอักษรกะเหรี่ยงในแบบเรียน ส่วนในในค่ายผู้ลี้ภัยที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ก็จะใช้ภาษาพม่าเป็นภาษากลางทั้งภาษาพูดและเขียน |
|
Social Cultural and Identity Change |
เยาวชนชนกลุ่มน้อยที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง ในช่วงเหตุการณ์ปี ค.ศ.1988 เยาวชนส่วนใหญ่มีอายุน้อยที่จะเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง แต่การมีส่วนรู้เห็นหรือเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์จึงมีอิทธิพลทางความคิดทางการเมือง ซึ่งการเข้ามาในประเทศไทยของเยาวชน เพื่อหลบหนีการสู้รบและกลายมาเป็นผู้ลี้ภัย บางคนหนีจากการถูกละเมิดสิทธิ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้แรงงาน บังคับย้ายถิ่น และการถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร บางคนรู้สึกทนไม่ไหวกับสภาพสังคมที่มีแต่การกดขี่และเลือกปฏิบัติในฐานะที่พวกเขาเป็นชนกลุ่มน้อย รวมทั้งการถูกปิดกั้นเสรีภาพทางการเมือง เมื่อเข้ามาอยู่ในประเทศไทยชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะการได้มีโอกาสทางการศึกษามากขึ้น มีอิสรภาพและเสรีภาพในการดำเนินชีวิตและการแสดงออกทางการเมือง |
|
Other Issues |
ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์
- การถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนของกลุ่มชนกลุ่มน้อยจากพม่า |
|
|