|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู, มลายูมุสลิม, มุสลิมมลายู,วาทกรรมการพัฒนา,จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
Author |
มูฮัมหมาด ยังหะสัน |
Title |
วาทกรรมว่าด้วยการพัฒนาระหว่างรัฐกับประชาชน: กรณีศึกษาหมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
319 |
Year |
2547 |
Source |
วิทยานิพนธ์ รัฐศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาการเมืองและการปกครอง,บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
เป็นศึกษาถึงระบบและกระบวนการสร้างความหมายและเอกลักษณ์ให้กับสิ่งที่เรียกว่า“การพัฒนา” ของฝ่ายรัฐและฝ่ายชาวบ้านในบริบทพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงการนำเสนอข้อมูลทางเลือกในการเปลี่ยนแปลงสังคมจากฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่กรณีศึกษา หมู่บ้านหนึ่งชื่อ “บ้านทุ่งพัฒนา” จังหวัดสตูล ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยประยุกต์แนวคิดเกี่ยวกับวาทกรรม แนวคิดรัฐกับสังคม และแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนามาอธิบายปรากฏการณ์ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐกับชาวบ้านผ่านประเด็นทางการพัฒนา(หน้า ง-จ, 39-40) ผู้วิจัยเปรียบเทียบแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อชี้ให้เห็นถึงความเหมือนและความต่างกับงานวิจัยชิ้นอื่นๆ ใน 5 ประเด็น คือ ตัวตนของหมู่บ้านทุ่งพัฒนา ในเชิงวาทกรรมความหมายของสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนา การขยายอำนาจรัฐเข้าสู่ชุมชน และการสถาปนาวาทกรรมของรัฐ การปรับตัวและการต่อสู้ของชุมชน และการพัฒนาทางเลือก(หน้า 315-319) |
|
Focus |
ผู้วิจัยศึกษาเกี่ยวกับช่องว่างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทยกับสังคมมุสลิมที่มีความห่างไกลกันมาก (หน้า1-2) โดยให้ความสำคัญกับการต่อสู้และความขัดแย้งทางวัฒนธรรมในลักษณะศึกษาปรากฏการณ์การแย่งชิงอำนาจในการนิยามความหมาย ที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้าน รัฐ และทุนในกระบวนการพัฒนาที่เกิดขึ้นผ่านทางแผนงานหรือโครงการพัฒนาของรัฐ มีประเด็นการพัฒนาที่พูดถึงในงานนี้ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านการเมืองการบริหาร ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองเพียงอย่างเดียว แต่การพัฒนายังเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับอำนาจและแฝงไว้ด้วยเรื่องของความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย (หน้า39-40) |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยใช้แนวคิดเกี่ยวกับวาทกรรม ทฤษฎีเกี่ยวกับรัฐ และทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนา ศึกษาวาทกรรมว่าด้วยการพัฒนาระหว่างรัฐกับประชาชน โดยใช้กรณีศึกษาหมู่บ้านจังหวัดชายแดนภาคใต้ ชื่อหมู่บ้าน”บ้านทุ่งพัฒนา” หมู่ที่ 10 ต.ควนสตอ อ.ควนโดน จ.สตูล อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านในรูปแบบวาทกรรมของการพัฒนา หรือการวิเคราะห์วาทกรรมการพัฒนา (Discourse Analysis) ภายใต้แนวคิด “ไตรลักษณ์รัฐ” (Three-dimensional State) ซึ่งมองว่าการพัฒนาเป็นหนึ่งในไตรภาคเหตุผลแห่งรัฐที่คอยผลักดันการใช้อำนาจรัฐ โดยแบ่งการศึกษาออกเป็นส่วนการให้นิยาม/ตีความหมาย ทรรศนะและอุดมการณ์ของการพัฒนาฝ่ายรัฐ และส่วนที่เป็นการมองวาทกรรมของฝ่ายชาวบ้าน เพื่อทำความเข้าใจสัมพันธภาพของสาม มิติ คือ มิติด้านความมั่นคง การพัฒนา และการมีส่วนร่วม รวมถึงการนำปัจจัยด้านพื้นฐานที่มีประเด็นเกี่ยวข้องกับความมั่นคง มาอธิบายวาทกรรมการพัฒนาเพิ่มเติม (หน้า 6-37) พร้อมกับเสนอแนวทางในการเปลี่ยนแปลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในรูปแบบที่ฝ่ายรัฐควรมองเห็นความเป็นสังคมพหุลักษณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกทั้งควรส่งเสริมให้นำหลักคำสอนทางศาสนาเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสังคมอย่างจริงจัง (หน้า 314-315) |
|
Ethnic Group in the Focus |
คนมุสลิม หรือคนที่นับถือศาสนาอิสลามในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เรียก “แขก” “แขกตานี “แขกมลายู” “มลายู” หรือ “นายู” |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ด้วยลักษณะชาติพันธุ์แบบคนมลายู ทำให้มีกลุ่มผู้นำศาสนาและคนแก่ในชุมชนสามารถพูดภาษามลายูได้(หน้า 109) ซึ่งดั้งเดิมภาษามาลายูเป็นภาษาพูด ต่อมาเมื่อศาสนาอิสลามได้ใช้ภาษาอาหรับเป็นสื่อแพร่หลายเข้ามาในแถบเกาะสุมาตรา เกาะชวา แหลมมาลายู (เมืองมะลักกาเป็นเมืองแรกในมาเลเซียซึ่งได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามเมื่อปี พ.ศ. 1989) หลังจากนั้นภาษามาลายูเลยเทียบเสียงกับภาษาอาหรับกลายเป็นภาษาเขียน เรียกว่า ภาษายาวี โดยอาศัยพยัญชนะและสระของภาษาอาหรับทั้งสิ้น (หน้า 50)แม้ปัจจุบันคนในชุมชนจะไม่พูดภาษามลายูกันแล้วแต่ยังมีชาวบ้านทุ่งพัฒนาหลายคนที่สามารถพูดภาษามลายูได้ ซึ่งศึกษามาจากปอเนาะ ตามมัสยิดหรือบ้านเรียนของโต๊ะครู (หน้า 224) ในอดีต (ก่อนปี พ.ศ.2501)การเรียนการสอนปฏิบัติศาสนกิจตามหลักศาสนาอิสลามชาวบ้านนิยมใช้ภาษามลายู และภาษาอาหรับ( หน้า 191) ส่วนปัจจุบันคนในชุมชนศึกษา (บ้านทุ่งพัฒนา)จะสื่อสารกันด้วยภาษาไทยสำเนียงใต้ท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ |
|
Study Period (Data Collection) |
กันยายน 2547 (เก็บข้อมูลภาคสนาม ในช่วงพ.ศ. 2545-2546) |
|
History of the Group and Community |
การศึกษาชุมชน“บ้านทุ่งพัฒนา” หมู่ 10 ตำบลควนสตอ อำเภอควนโดน จังหวัดสตูลเก็บข้อมูลภาคสนาม ในช่วง พ.ศ. 2545-2546 พบว่า ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 พื้นที่บริเวณชุมชนเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญในการติดต่อระหว่างคนในชุมชนบริเวณบ้านควนสตอกับชุมชนทางฝั่งมาเลเซียซึ่งเป็นเครือญาติ มีชาวบ้านส่วนหนึ่งเข้าไปจับจองที่ดินฝั่งมาเลเซียซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ทำการเพาะปลูก บริเวณพื้นที่ดังกล่าว ถูกกั้นด้วยแนวภูเขานครศรีธรรมราช มีช่องว่างสำหรับคนเดินผ่านซึ่งเกิดจากระเบิดภูเขาเรียก “เขาเทศยิง” ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นได้ใช้เส้นทางนี้เป็นทางผ่านไปยังมลายูเพื่อสู้รบกับทหารอังกฤษ บ้านทุ่งพัฒนาในอดีต กระทั่งหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่54 ของ กรป.กลางได้เข้ามาจัดตั้งกองอำนวยการที่ชุมชนบ้านทุ่งพัฒนาเมื่อพ.ศ. 2510อันเป็นผลจากนโยบายป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเพื่อความมั่นคง พัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวบ้าน ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชุมชนที่สะดวกสบายมากขึ้น มีการอพยพ เข้ามาตั้งถิ่นฐานระลอกใหม่ ชุมชนจึงขยายใหญ่มากขึ้น (หน้า 88-91,93) ช่วงเวลานั้น ยังมีประชากรอาศัยอยู่ไม่มากจึงเป็นส่วนหนึ่งของหมู่ที่ 5 หมู่บ้านทางงอ ต่อมาในปี พ.ศ. 2510 ถึง 2540 ประชากรในหมู่บ้านเพิ่มจำนวนมากขึ้นพร้อมกับการขยายชุมชนตั้งบ้านเรือน ประกอบกับปัญหาโครงสร้างอำนาจการปกครอง จึงแยกชุมชนออกมาจัดตั้งเป็นอีกหมู่บ้านหนึ่ง ในปี พ.ศ.2541 ชื่อหมู่บ้านบ้านทุ่งพัฒนา หมู่ที่ 10ตำบลควนสตอ อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล (หน้า 105-106) |
|
Settlement Pattern |
ช่วงเวลาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 พื้นที่บริเวณบ้านทุ่งพัฒนายังไม่มีลักษณะเป็นชุมชน เนื่องจากพื้นที่เป็นทุ่งนาสลับกับบึง อีกทั้งยังมีอันตรายจากสัตว์ป่า เมื่อสิ้นสุดสงครามจึงเริ่มมีการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณบ้านทุ่งพัฒนามากขึ้น เป้าหมายคือการเข้ามาจับจองที่ทำกินจากพื้นที่ป่าโป๊ะและพื้นที่ชุ่มน้ำที่ยังว่างเปล่าอยู่ในปี พ.ศ. 2500 มีประชากรตั้งบ้านเรือนอยู่ประมาณ 20 ครัวเรือน (หน้า 88-91,93) โดยนิยมตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ และกลางเรือกสวนไร่นาแต่หลังจากมีหน่วย นพค.สตูล เข้ามาตัดถนน จึงนิยมปลูกบ้านใกล้กับถนนแทน (หน้า 94) |
|
Demography |
ช่วงเวลาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 พื้นที่บริเวณชุมชนบ้านทุ่งพัฒนามีประชากรอาศัยประมาณ6-7 ครัวเรือน หลังจากสิ้นสุดสงครามมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปี พ.ศ. 2500 มีประมาณ 20 ครัวเรือน และผลการสำรวจล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2544 ชุมชนบ้านทุ่งพัฒนามี 99 ครัวเรือน รวมประชากรทั้งสิ้น 489 คน เป็นชุมชนขนาดกลาง เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรมีอายุ 18-49 ปีซึ่งทั้งหมดอยู่ในวัยทำงาน (หน้า 93-94) |
|
Economy |
ช่วงก่อน พ.ศ. 2500 ชุมชนบ้านทุ่งพัฒนา เป็นสังคมชุมชนเกษตรกรรมแบบพึ่งพาธรรมชาติเป็นหลัก เนื่องจากภูมิประเทศเหมาะสมต่อการเพาะปลูก เกือบ 80% ของพื้นที่ชุมชนทั้งหมดถูกใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ชาวบ้านถือครองที่ดินทำกินเป็นของตนเอง มีฐานะไม่แตกต่างกัน ผลผลิตเน้นพื่อบริโภคภายในครัวเรือนโดยส่วนใหญ่ปลูกข้าว และพืชผักผลไม้ตามฤดูกาล ชาวบ้านมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับรัฐไทรบุรี และเกาะหมาก (ปีนัง) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าในสมัยนั้นอยู่บ้างโดยสินค้าที่จังหวัดสตูลมักส่งไปขายมียางพารา แร่ดีบุก แมงกานีส ผลไม้สด ส่วนสินค้าที่นำเข้าจากมาเลเซียได้แก่ เครื่องจักรกล อุปกรณ์ทำเหมืองแร่ อุปกรณ์ก่อสร้าง ผลไม้กระป๋อง ฯลฯ อย่างไรก็ดี การค้าส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของคนไทยเชื้อสายจีน (หน้า 47-49, 99-103, 145-174)
พ.ศ. 2506 หน่วย นพค.สตูล (หน่วยพัฒนาเคลื่อนที่) เข้ามาจัดตั้งในชุมชน ความทันสมัย ของชุมชนจึงค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วงพ.ศ. 2508-2510 รูปแบบการผลิตในชุมชนเปลี่ยนแปลงไป รัฐนำโครงการพัฒนาต่างๆ เข้าสู่ชุมชนและให้การส่งเสริมด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ปรับเปลี่ยนมาเพาะปลูกพืชเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะยางพารา และข้าว วิถีการผลิตของชุมชนจึงเริ่มเชื่อมโยงกับระบบตลาดเป็นต้นมา (หน้า 175-187)ช่วงปี พ.ศ. 2525 มีการสร้างถนนเชื่อมต่อกันหลายจุด และการนำไฟฟ้าเข้ามาในชุมชน ทำให้ให้ชาวบ้านมีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้นและได้รับการยอมรับจากสังคมว่าทันสมัย มีอุปกรณ์เครื่องใช้อำนวยความสะดวก รวมถึงเครื่องมือที่เป็นเทคโนโลยีทางการเกษตร (หน้า 210-216) อันเป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายการพัฒนาชนบทของประเทศในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1-4 ที่เน้นถึงความจำเป็นของการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานในภาคชนบทมาก (หน้า 244-253)
ช่วงปี พ.ศ. 2535-2539 ระบบการเกษตรเชิงพาณิชย์ส่งผลเป็นความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของชุมชน ชาวบ้านมีทางเลือกในการประกอบอาชีพมากขึ้น รู้จักวิธีปรับปรุงรูปแบบวิธีให้เป็นประโยชน์ในไร่นา เปลี่ยนแปลงจากระบบแบ่งงานกันทำของชุมชนเปลี่ยนไปเป็นแยกกันทำงานแบบตัวใครตัวมัน คนหนุ่มสาวมักหันมาทำธุรกิจส่วนตัว หรือไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมต่างจังหวัด หรือที่ประเทศมาเลเซียส่วนเรื่องการถือครองที่ดิน ชาวบ้านมักตัดสินใจขายที่ดินบางส่วนของตนให้เพื่อนบ้านหรือนายทุนเพื่อนำเงินไปใช้จ่าย (หน้า 269-276)
ผู้วิจัยกล่าวถึงเหตุการณ์การเรียกร้องที่ดินทำกินของชาวบ้านทุ่งพัฒนากรณี อุทยานแห่งชาติทะเลบัน ซึ่งเป็นปัญหาเรื่องขอบเขตของพื้นที่ป่าสงวนซึ่งซ้อนทับที่ดินทำกินของชาวบ้านซึ่งไม่มีเอกสารสิทธิ์ (ปัญหาเริ่มต้นช่วงปี พ.ศ. 2504-2504) โดยรัฐใช้อำนาจตามกฎหมาย พ.ร.บ. ป่าสงวน และ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ในการการอนุรักษ์ทรัพยากร ธรรมชาติ ขณะที่ชาวบ้านเรียกร้องความชอบธรรมในที่ดินที่ถือเป็น “สิทธิ” หรือ “กรรมสิทธิ์” (หน้า 276- 283) |
|
Social Organization |
ชุมชนบ้านทุ่งพัฒนาเป็นชุมชนมุสลิมขนาดกลาง มีความเป็นเอกภาพและปรองดองกันภายในสังคมชุมชนเป็นอย่างดี นอกจากฐานะทางเศรษฐกิจจะเป็นเครื่องแบ่ง กลุ่มคนในชุมชนออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มคนที่มีฐานะปานกลางและฐานะยากจนแล้ว ความรู้ทางศาสนาเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะกำหนดให้เป็นกลุ่มคนระดับบนได้ ระบบเครือญาติเป็นปัจจัยที่สะท้อนโครงสร้างของสังคมชุมชนเด่นชัด กล่าวคือ ทุกคนในหมู่บ้านมีความเชื่อมโยงทางเครือญาติต่อกันทั้งระดับใกล้ชิดและที่ห่างออกไป คนที่เป็นเครือญาติจะปลูกเรือนติดๆ กัน ลักษณะเป็นครอบครัวขยายมีความร่วมมือช่วยเหลือกัน (หน้า 92-93)
-ผลจากการเร่งพัฒนาในภาคเกษตรทำให้ระบบเศรษฐกิจภายนอกชุมชนมีอิทธิพลต่อรูปแบบการผลิตในชุมชน จากในอดีตเคยเป็นสังคมชุมชนเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม อาศัยแรงงานในครัวเรือนและญาติๆ เป็นหลัก และชาวชุมชนมีจิตสำนึกของการแบ่งงานกันทำ เช่น การลงแขกเกี่ยวข้าว เปลี่ยนมาเป็นระบบตลาด และแยกกันผลิตแบบตัวใครตัวมัน (หน้า175,188) ผู้วิจัยกล่าวถึงกลุ่มคนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการพัฒนาด้านเกษตรกรรมเพื่อการพาณิชย์ของรัฐว่ามี 2 ระดับ คือระดับบน ได้แก่กลุ่มผู้กุมอำนารัฐ กลุ่มนายทุนและกลุ่มบริษัทข้ามชาติ ส่วนระดับชุมชนได้แก่กลุ่มเครือญาติหรือคนที่มีความสนิทสนมกับแกนนำชุมชนซึ่งมักจะได้รับผลประโยชน์ก่อน (หน้า 189-190) |
|
Political Organization |
ก่อนที่อำนาจรัฐจะเข้ามาในชุมชนราว พ.ศ. 2508 โครงสร้างอำนาจชุมชนในสังคมคนมุสลิม ศาสนามีบทบาทชี้นำและกำหนดบุคคลอยู่มาก ผู้บริหารทางการเมืองกับศาสนามักเป็นบุคคลเดียวกัน (หน้า 103-108)ในขณะที่ภาครัฐพยายามเข้าถึงชุมชนด้วยการวางบทบาทของกลุ่มผู้นำศาสนาให้เสมือนหนึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมการพัฒนา โดยมีโครงสร้างการบริหารที่เรียกว่าคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด การจัดสรรอำนาจของกลุ่มผู้นำทั้งกลุ่มคณะกรรมการหมู่บ้าน และคณะกรรมการประจำมัสยิดมีความประนีประนอมไม่แตกแยก เนื่องจากมีระบบเครือญาติเป็นฐานสำคัญของชุมชน (หน้า 106-108,236-241)
-ก่อนปี พ.ศ. 2540 ชุมชนบ้านทุ่งพัฒนาอยู่รวมกับชุมชนบ้านทางงอ ในพื้นที่หมู่ที่ 5 เป็นหมู่บ้านเดียวกัน การปกครองของผู้ใหญ่บ้านมีความราบรื่นดี โครงสร้างอำนาจชุมชนยังไม่มีกลุ่มการเมืองในชุมชน (หน้า 91-92) กระทั่งเมื่อมีการกำหนดโครงการพัฒนาหมู่บ้านจากทางภาครัฐ ทำให้เริ่มมีปัญหาในการบริหารงานและงบประมาณ นำไปสู่การขออนุมัติจากกรมการปกครองในปี พ.ศ. 2541 แยกบ้านทุ่งพัฒนาเป็น หมู่ที่ 10 ตำบลควนสตอ อำเภอควนโดน (หน้า104-106) ผู้วิจัยกล่าวว่ากรณีนี้ ถือเป็นการช่วงชิงและต่อรองอำนาจทางการเมืองของชาวบ้าน โดยชาวบ้านพยายามเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบแบบแผน มีการศึกษาข้อมูล กฎระเบียบทางราชการ เพื่อสามารถต่อรองภาครัฐจนบรรลุวัตถุประสงค์ในการแยกหมู่บ้าน (หน้า 241-243) |
|
Belief System |
ราวปี พ.ศ. 1989 ศาสนาอิสลามได้แพร่หลายเข้ามาในแถบเกาะสุมาตรา เกาะชวา แหลมมาลายู มะลักกาเป็นเมืองแรกในมาเลเซียที่ประชาชนในเมืองได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม เคารพต่อพระเจ้าองค์เดียว เชื่อฟังคำสอนที่สอนให้ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมความดี และบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม มีมัสยิด ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมซึ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีจำนวนถึง 1,064 แห่ง (หน้า49-50) หลักธรรมปฏิบัติของศาสนาอิสลามถือเป็นธรรมนูญชีวิตของมุสลิมตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้น ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นส่วนใหญ่ของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงคนในชุมชนบ้านทุ่งพัฒนาจึงเป็นการปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลาม มีประเพณีพื้นบ้านซึ่งสะท้อน “วิถีชีวิตแบบชุมชนมุสลิม” เช่น ประเพณีการเกิด การโกนผม ตั้งชื่อ(แบบอิสลาม) การเชือดสัตว์ การเข้าสุนัต การศึกษาศาสนา การแต่งงาน(นิกะห์) ซึ่งฝ่ายหญิงจะไปอาศัยอยู่บ้านฝ่ายชาย (หน้า 93) เป็นต้น ส่วนวันสำคัญทางศาสนาอิสลามมี เช่น วันฮารีรายอ หรือวันวันอีด (วันตรุษ) วันอีดิ้ล วันฟิตรี เป็นต้น และการรวมตัวกันเป็นหมู่บ้านที่เรียกว่า กัมปง (หน้า 109-110) |
|
Education and Socialization |
ชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความเป็นเอกลักษณ์สูงในเรื่องหลักธรรมปฏิบัติของศาสนาอิสลาม โดยมี “ปอเนาะ” ซึ่งถือเป็นสถานศึกษารูปแบบดั้งเดิมที่สำคัญของชุมชน มีการสอนปฏิบัติศาสนกิจตามหลักศาสนาอิสลามจากผู้ได้รับการศึกษามาจากต่างประเทศแถบตะวันออกลาง ที่เรียกโต๊ะครูต่อมาในปี พ.ศ. 2504 มีการวางระเบียบปรับปรุงปอเนาะให้มีการเรียนการสอนสองวิชาศาสนา วิชาสามัญและวิชาชีพไปพร้อม ๆ กัน รัฐมองว่าการเรียนการสอนตามบ้านเรือน ตามมัสยิดและปอเนาะ อาจเป็นภัยต่อความมั่นคง จึงมีนโยบายจัดระเบียบเพื่อควบคุมปอเนาะเมื่อปี พ.ศ. 2504 แปรสภาพเป็น โรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม ในปีพ.ศ. 2508 ต่อมาและได้เปลี่ยนมาเป็น โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เพื่อสอดคล้องกับ พรบ.โรงเรียนเอกชน ในปีพ.ศ. 2528 โดยมีการบริหารกิจการของโรงเรียนอย่างเป็นระบบ พร้อมกับนำเอาหลักสูตรวิชาสามัญมาใช้สอนร่วมกับสูตรศาสนาอิสลาม(หน้า 49,191-194)
ก่อนปี พ.ศ. 2501 เป็นความยากลำบากของชาวบ้านที่ต้องเดินทางไกลเพื่อไปยังโรงเรียนบ้านควนโดนซึ่งเป็นโรงเรียนประชาบาลที่อยู่ใกล้ชุมชนที่สุด ชาวบ้านในชุมชนสมัยนั้นจึงไม่ได้เรียนหนังสือสายสามัญที่เป็นภาษาไทย แม้ภายหลังจะมีการตั้งโรงเรียนบ้านทางงอขึ้นแล้ว ชาวบ้านก็ยังไม่นิยมส่งบุตรหลานไปเรียนหนังสือ เพราะต้องการให้อยู่ช่วยทำงาน ประกอบกับได้รับการปลูกฝังค่านิยมจากผู้อาวุโสในหมู่บ้านว่าการเรียนภาษาไทยนั้นขัดกับหลักศาสนา (หน้า 190-192) ปี พ.ศ. 2519 เด็กในชุมชนบ้านทุ่งพัฒนาได้เข้าเรียนในโรงเรียนระดับประถมศึกษาที่หน่วย นพค.สตูล ได้มาจัดสร้างขึ้นในชุมชน (ปัจจุบันชื่อโรงเรียนบ้านทุ่งพัฒนา)
การติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัฐในยุคสมัยแห่งการพัฒนา (พ.ศ.2500 เป็นต้นมา) ทำให้เกิดค่านิยมใหม่ที่ว่าการเรียนจะทำให้ได้เป็นเจ้าคนนายคน ไม่ต้องมีอาชีพทำนาทำสวน และชาวบ้านเริ่มเห็นว่าการเรียนในโรงเรียนสามัญเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตอยู่ในสังคม จึงให้ความร่วมมือกับรัฐส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียน อีกทั้งเป็นการปฏิบัติข้อกฎหมายใน พ.ร.บ. การประถมศึกษา พ.ศ.2523 (หน้า 195-196 ) ต่อมาชาวบ้านเริ่มให้ความสำคัญกับการศึกษาในปอเนาะควบคู่กับการศึกษาสายสามัญ ในชุมชนบ้านทุ่งพัฒนามีโรงเรียนที่เปิดสอนในระดับอนุบาล ประถมศึกษา ส่วนในระดับที่สูงขึ้นต้องไปเรียนในตัวอำเภอ ข้อมูลด้านการศึกษา (ปี พ.ศ. 2544) พบว่าประชาชนในหมู่บ้านทุ่งพัฒนาส่วนใหญ่จบในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (หน้า 95-96)
ผู้วิจัยสรุปว่าการที่รัฐได้เข้ามาจัดระบบ ควบคุม ดูแลการศึกษาในชุมชน นับเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษา จากการศึกษาศาสนามาสู่การศึกษาเพื่อให้สามารถออกไปสู่ระบบการทำงานในภาคธุรกิจ นับเป็นกลไกการใช้อำนาจของรัฐในการครอบงำความคิดและวัฒนธรรมของสังคมมุสลิม (หน้า 199-200) |
|
Health and Medicine |
รัฐได้ส่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขตำบลเข้ามาประจำการที่ตำบลควนสตอ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2506 เพื่อดูแลงานอนามัยและรักษาพยาบาลคนในชุมชน ซึ่งก่อนหน้านั้น ราวปี พ.ศ. 2501 เป็นต้นมา รัฐบาลมีความต้องการที่จะลดจำนวนประชากรเพื่อให้มีทรัพยากรใช้ในจำนวนที่พอเพียงและการมีแรงงานในระบบเศรษฐกิจ-อุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกับการขยายตัวของระบบและมีคุณภาพ โดยใน ปีพ.ศ. 2513 ได้ประกาศใช้นโยบายเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว หรือ โครงการคุมกำหนด กรณีชุมชนบ้านทุ่งพัฒนามีสถานีอนามัยประจำตำบล โรงพยาบาลชุมชน ทำหน้าที่เป็นแกนหลักในการถ่ายทอดความรู้ให้ชาวบ้านหันมาวางแผนครอบครัว ในระยะแรกชาวบ้านไม่เห็นด้วยและแสดงท่าทีต่อต้าน ไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งเป็นผลมาจากหลักคำสอนของศาสนาอิสลามไม่ส่งเสริมการคุมกำเนิด (หน้า 200-210 ) ต่อมาปี พ.ศ. 2541 นโยบายดังกล่าวประสบความสำเร็จ ชาวบ้านหันมาวางแผนครอบครัวกันมากขึ้นโดยอสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) มีบทบาทสำคัญ (หน้า 261-262)
ผู้วิจัยสรุปปัจจัยที่มีผลต่อการการยอมรับการคุมกำเนิดของชาวบ้านทุ่งพัฒนาในระยะต่อมาว่าเกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก คือกลุ่มชาวบ้านที่เข้ารับการวางแผนคุมกำเนิดส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ไม่ได้เคร่งครัดศาสนาในระดับสูงมาก และปัจจัยค่านิยมเกี่ยวกับฐานะของครอบครัว (หน้า 263-265)
นอกจากนั้น ชาวบ้านทุ่งพัฒนาให้ความร่วมมือและสนับสนุนการทำงานของรัฐอย่างเต็มที่จนได้ประกาศเป็นหมู่บ้านปลอดยาเสพติดปี พ.ศ. 2543(หน้า 265-268) ปัจจุบันหมู่บ้านทุ่งพัฒนามีศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชนฯ และโรงพยาบาลขนาด 30 เตียง อย่างละ 1 แห่ง มีบ่อน้ำตื้นทั้งส่วนตัวและสาธารณะ บ่อบาดาล ระบบประปาหมู่บ้าน และสนามกีฬาหมู่บ้าน นับเป็นระบบบริการพื้นฐานที่รัฐจัดให้มีขึ้นตามสิทธิที่ควรจะได้รับ (หน้า 97-98) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ชาวบ้านทุ่งพัฒนามีรูปแบบวัฒนธรรมการแต่งกายเช่นเดียวกับคนมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั่วไป คือผู้ชายนิยมนุ่งผ้าถุงหรือสโหร่ง ใส่เสื้อกุหรง (เสื้อคอกลมแขนยาว) ใส่หมวกขาวที่เรียกว่า กะเปี๊ยะ บางคนใช้ผ้าโพกหัวทับเรียกผ้า “สาระบ่าน”ส่วนใหญ่เป็นโต๊ะครู และผู้อาวุโส โดยเฉพาะผู้ที่ผ่านการไปประกอบพิธีฮัจย์มาแล้ว เรียก “ฮัจยี” ส่วนผู้หญิงมักนุ่งสโหร่งปาเต๊ะ แต่งกายมิดชิดตามหลักศาสนาที่อนุญาตให้เปิดเผยได้เฉพาะใบหน้าและฝ่ามือ หญิงมุสลิมนิยมใช้ผ้าคลุมศรีษะที่เรียก “ฮิญาบ” ช่วงเวลาที่รัฐพยายามสร้างชาติในสังคมพหุนิยมให้มีลักษณะเป็นหนึ่งเดียวกันทางการเมืองและวัฒนธรรม โดยประกาศใช้นโยบายรัฐนิยม 12 ฉบับ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 - 2500 ซึ่งในเรื่องการแต่งกาย ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้ปฏิบัติตามนโยบายนี้ และไม่เปลี่ยนแปลงเรื่องการแต่งกายตามวัฒนธรรมแบบมุสลิมทั่วไป มีบางส่วนเท่านั้นที่หันมานุ่งกางเกง (หน้า 224-234) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพเชื้อสายมาลายู ที่ข้ามฝากมาจากเกาะสุมาตราของอินโดนีเซียราวปี พ.ศ.1024เจ้าของพื้นที่เดิมเป็นพวกซาไก หรือเซมิง (หน้า 50)
-ในอดีตคนมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรียกตัวเองว่า “มลายู” หรือ “นายู”ปัจจุบันคำที่ใช้เรียกคนมุสลิม หรือคนที่นับถือศาสนาอิสลามในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรียก “แขก” “แขกตานี หรือ “แขกมลายู” คนมุสลิมบางคนไม่ชอบชื่อนี้ เพราะสื่อถึงการดูถูกเหยียดหยาม การเรียกชื่อตนเองดังกล่าวของคนในชุมชนศึกษาบ้านทุ่งพัฒนา มีนัยสำคัญในความหมายทั้งในแง่เชื้อชาติมลายู และวัฒนธรรมแบบมลายูมุสลิม รวมถึงความแตกต่างด้านความเชื่อระหว่างพุทธกับอิสลาม ซึ่งผู้วิจัยสรุปว่าคำว่า “แขก” เป็นวาทกรรมเกี่ยวกับเชื้อชาติและวัฒนธรรมที่ถูกสร้างขึ้นแทนที่คำว่า มลายู หรือ นายู (หน้า 227) อย่างไรก็ดี มีความแตกต่างของกลุ่มอายุและการศึกษาของชาวบ้าน ที่ผู้สูงอายุมักจะให้ความสำคัญกับเชื้อชาติ และชาติพันธุ์สูง โดยมองว่าคนมุสลิม เป็นคนมลายูไม่ใช่คนไทย ขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่นิยมเรียกตัวเองว่าแขกและยอมรับว่าตนเองคือคนไทย(หน้า 1-3, 223-225) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้วิจัยกล่าวถึงโครงการพัฒนาที่สำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับชุมชนบ้านทุ่งพัฒนาทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชื่อมโยงในประเด็นต่างๆ กับกระบวนการ พัฒนาหมู่บ้าน โดยมองว่าการพัฒนาคือการแทรกแซงกิจกรรมทางสังคมอย่างหนึ่งของรัฐเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมชนบทให้เป็นไปตามที่รัฐต้องการ โดยเฉพาะโครงการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเคลื่อนที่ (นพค.) อยู่ในชุมชนบ้านทุ่งพัฒนา ในปี พ.ศ. 2510 เป็นรูปแบบหนึ่งของนโยบายแก้ไขปัญหาคอมมิวนิสต์
-ปรากฏว่า เมื่อหน่วย นพค.สตูล มาปฏิบัติงานในพื้นที่ได้ดำเนินกิจกรรมหลายอย่างที่เชื่อมโยงวิถีชีวิตชาวบ้าน ส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับชุมชน ทั้งด้านการใช้ชีวิต ความทันสมัย การเมือง เศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรม (หน้า 145- 160 ) รัฐเริ่มเข้าไปจัดระเบียบชุมชนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2458 ด้วยการใช้ พ.ร.บ. ลักษณะการปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 และต่อมาใช้ พ.ร.บ. สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 (หน้า 160-174) และในระหว่างปี พ.ศ.2482 - พ.ศ. 2585 รัฐบาลประกาศ ใช้นโยบายรัฐนิยม 12 ฉบับ มีเจตนารมณ์เพื่อสร้างสร้างเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมในสังคมพหุลักษณ์ (สังคมไทย) ให้เป็นหนึ่งเดียวทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจและสังคม ส่งเสริมให้ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้หันมาใช้ภาษาไทย และในเรื่องการแต่งกาย (หน้า 232-234) แต่การใช้นโยบายดังกล่าวไม่เป็นผลและกลับเพิ่มความแตกแยกให้กับสังคมมากขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมของกลุ่มคนมุสลิม เนื่องจากผู้มีอำนาจในสังคมชุมชนมีการปลูกฝัง กล่อมเกลา และสร้างความรักชาติ (มลายู/ปัตตานี) เป็นแนวคิดเกี่ยวกับชาติพันธุ์ในลักษณะลัทธิชาตินิยมที่ต่อต้านรัฐซึ่งมีอยู่ในพื้นที่มานาน (หน้า 225-226, 230-232)
ผู้วิจัยอธิบายกรณีการกระทำของรัฐบางเรื่องขัดแย้งกับความรู้สึกของชาวบ้าน เช่น กรณีเปลี่ยนชื่อ ตั้งชื่อเป็นภาษาไทย การแต่งกาย พระพุทธรูปและเครื่องแบบนักเรียน (หน้า 232-234) ประกอบกับสังคมมุสลิมมีระบบความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างที่ชัดเจน มีเอกลักษณ์ และวัฒนธรรมทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก (หน้า 233-235) ขณะเดียวกัน บางเรื่องที่รัฐเข้าไปดำเนินการในพื้นที่ค่อยๆ ได้รับการยอมรับปฏิบัติตามจากชาวบ้านทุ่งพัฒนาและชุมชนใกล้ เช่น การออกกฎหมายเกี่ยวกับสำเนาทะเบียนบ้าน สัญชาติไทย และบัตรประจำตัวประชาชน (หน้า 160-174)
-การปรับตัวด้านการผลิตทั้งทางตรงและทางอ้อมตามเนื้อหาสาระของโครงการ ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตสำนึกการผลิต เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน การครอบครองปัจจัยการผลิต เปลี่ยนแลงรูปแบบการผลิต และการประกอบอาชีพ ค่านิยมของกลุ่มและสถานการณ์ทางสังคม ส่วนด้านเอกลักษณ์/วัฒนธรรม ชาวบ้านไม่ค่อยปรับตัวตามกระแสนิยม ขณะเดียวกัน ชาวบ้านเรียนรู้ที่จะใช้กฎระเบียบของรัฐเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องสิทธิ โดยจะปฎิเสธโครงการที่เห็นว่าตนเอง/ชุมชนเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ เช่น กรณีที่ดินทำกินของชาวบ้านติดเขตอุทยานแห่งชาติทะเลบัน หรือเป็นความขัดแย้งที่เกิดจากการปฏิบัติที่ขัดกับหลักศาสนา เช่น กรณีนโยบายจัดตั้งพระพุทธรูปในโรงเรียน กรณีกฎระเบียบระเทรวงศึกษาธิการในเรื่องการแต่งเครื่องแบบนักเรียน (หน้า 284-285)
อย่างไรก็ดี ผู้วิจัยสรุปว่า กระแสโลกาภิวัตน์เปลี่ยนแปลงของชุมชนไปสู่ลักษณะความเป็นเมืองที่มีความทันสมัย วัตถุนิยม บริโภคนิยม เป็นเรื่องยากที่ชุมชนจะปฏิเสธ และปัจจุบันชุมชนกำลังถูกครอบงำด้วยกระแสวัฒนธรรม ความเชื่อ ความทันสมัย เนื่องจากการปลูกฝังวิธีคิดเหล่านี้สวนหนึ่งเป็นผลมาจากกกระบวนการรับรู้และเลียนแบบผ่านสื่อต่างๆ ทำให้อาณาเขตทางพื้นที่มีความสำคัญน้อยลงไป เป็นผลทั้งด้านดีและไม่ดีต่อชุมชน (หน้า 217-220) |
|
Other Issues |
1. ผู้วิจัยให้ข้อมูลการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐในอดีตที่ผ่านมาเพื่อเชื่อมโยงการศึกษารายละเอียดการพัฒนาหมู่บ้านกรณีศึกษา (หน้า44-50) โดยการปกครองพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นรูปแบบมณฑลมาเป็นจังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูลน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงสังคมในยุคสมัยใหม่มากที่สุด(หน้า50-51) โดยเฉพาะสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ประกาศนโยบายการปฏิวัติทางวัฒนธรรม นโยบายรัฐนิยม (ระหว่างปี พ.ศ. 2482-2485) ส่งผลต่อการเกิดขบวนการแบ่งแยกดินแดนในเวลาต่อมา
การประกาศใช้แผนการบูรณชนบท (พ.ศ.2491) และการออก พรก.ว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลามปี พ.ศ.2488 และ พ.ศ. 2491 เป็นตัวอย่างของนโยบายด้านสังคมที่ภาครัฐนำมาใช้กับจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้วิจัยให้ความเห็นว่า นโยบายดังกล่าวเป็นความพยายามเปลี่ยนแปลงเอกลักษณ์ความเป็นคนมาลายูและความเป็นคนมุสลิมของคนในพื้นที่ และเพื่อจัดระเบียบการบริหารกิจการศาสนาอิสลาม ควบคุมประชาชนชาวมุสลิมในพื้นที่ได้สะดวกยิ่งขึ้น (หน้า52) ดังนั้น ช่วงปี พ.ศ. 2500-2515 จึงเรียกได้ว่า เป็นช่วงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงโดยมีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกออกมาใช้ ช่วงเวลาที่ประเทศกำลังประสบปัญหาลัทธิคอมมิวนิสต์
3.ผู้วิจัยเสนอข้อมูลจากการวิเคราะห์วาทกรรม ในส่วนแรกที่มุ่งเน้นไปที่เรื่องการนิยามความหมายและสัญลักษณ์การพัฒนาของรัฐกับชุมชนบ้านทุ่งพัฒนาจากการเปลี่ยนชื่อชุมชนจากเดิม คือ“บ้านนาบ้านทุ่ง” มาเป็น“บ้านทุ่งพัฒนา” ด้วยเหตุผล ของรัฐด้านความมั่นคง (หน้า 111-118) ขณะที่ชาวชุมชนบ้านทุ่งพัฒนา มีมุมมองในเรื่องความเปลี่ยนแปลงของวิถีชุมชนชาวมุสลิมมากกว่า (หน้า 115-117,125-126,143)และอธิบายถึงความแตกต่างของการให้คำนิยามความหมายของ “การพัฒนา”จากทั้งฝ่ายรัฐและชาวบ้าน (119-141),(หน้า 124-126,142143) โดยสรุปว่ารูปแบบการให้นิยามการพัฒนาของรัฐมักใช้ภาษาโฆษณาชวนเชื่อ สร้างภาพสังคมอุดมการณ์ เพื่อสะท้อนภาพชุมชนอุดมการณ์ของรัฐ ส่วนนิยามการพัฒนาของชาวบ้านจะใช้ภาษาเรียบง่ายไม่ต้องตีความ เสนอภาพความเป็นจริง ติดอยู่กับเรื่องปากท้อง ความเชื่อ ประเพณี (หน้า 144)
4. ผู้วิจัยสรุป เป็น 3 ประเภทรูปแบบวาทกรรมของรัฐที่ใช้เสมือนเป็นเทคนิคในการพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจรัฐเองเพื่อการเข้าแทรกแซงชุมชน ได้แก่ (1) การให้ความหมายและการสร้างภาพเกี่ยวกับการพัฒนาของรัฐ (2) การแบ่งแยกประเภท โดยให้นิยามลักษณะด้อยพัฒนา ล้าหลัง ฯลฯ และ (3) การจัดระเบียบควบคุม ชุมชน เช่น การกำหนดให้มีการสำรวจสำมโนประชากร ให้มีทะเบียนบ้าน และ(4) การปิดกั้น ทำลาย เช่น การใช้นโยบายรัฐนิยมทำลายวัฒนธรรมท้องถิ่น เป็นต้น (หน้า 220-221) และสรุปเป็น 3 แกนหลักทางสังคมที่ชาวบ้านใช้สร้างวาทกรรมเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อต้านนโยบายรัฐที่นำมาสู่พื้นที่โดยผ่านโครงการพัฒนารูปแบบต่างๆ ได้แก่ (1) การอ้างถึงจริยธรรม ศีลธรรมว่าผิดหลักศาสนา (2) อาศัยความเป็นอัตลักษณ์ของตนเองในการสร้างภาพและการแบ่งแยก เช่น ชาวบ้านพยายามกำหนดให้รัฐเป็นความเป็นอื่นทางสังคม โดยอาศัยความแตกต่างทางเชื้อชาติ ภาษา และวัฒนธรรม และ (3) การอาศัยอำนาจศักดิ์สิทธิหรืออำนาจของพระเจ้าโดยมีคำสอน คัมภีร์ และผู้นำศาสนา (หน้า 285-286) |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยได้ใช้แผนที่แสดงที่ตั้ง อาณาเขต ประกอบคำอธิบายประวัติการตั้งถิ่นฐาน ภาษา และสภาพทางภูมิศาสตร์ (หน้า 84-86) ใช้ภาพถ่ายชุมชน ระบบสาสาธรณูปโภคพื้นฐาน สิ่งแวดล้อมสภาพการใช้ชีวิตปัจจุบันของหมู่บ้านกรณีศึกษาประกอบคำอธิบาย (หน้า 95,98,214,216,297 และ 300) และแสดงภาพของสื่อ ภาพกิจกรรมของรัฐ และเอกสารเผยแพร่ เพื่อประชาสัมพันธ์สำหรับโครงการพัฒนาในพื้นที่ (หน้า 151-152,173,206-207,267 และ 283) |
|
|