|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
คะแมร์ลือ, การดูแลสุขภาพ , ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
Author |
ทักษิณา ไกรราช, อุสา กลิ่นหอม, จารุวรรณ ธรรมวัฒน์ |
Title |
The Dynamics of Health Care of the Thai-Khmer Ethnic Group in Northeast Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ขแมร์ลือ คะแมร คนไทยเชื้อสายเขมร เขมรถิ่นไทย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ทักษิณา ไกรราช, อุสา กลิ่นหอม และจารุวรรณ ธรรมวัฒน์. “The Dynamics of Health care of the Thai-Khmer Ethnic Group in Northeast Thailand” วารสารสาธารณสุขและการพัฒนา. ปีที่ 4 ฉบับที่ 3 : 75-88; |
Total Pages |
13 |
Year |
2549 |
Source |
ทักษิณา ไกรราช, อุสา กลิ่นหอม และจารุวรรณ ธรรมวัฒน์. “The Dynamics of Health care of the Thai-Khmer Ethnic Group in Northeast Thailand” วารสารสาธารณสุขและการพัฒนา. ปีที่ 4 ฉบับที่ 3 : 75-88; |
Abstract |
บทความนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของแนวความคิดทางสุขภาพของกลุ่ม ชาติพันธุ์ไทย – เขมรที่อาศัยอยู่ในภาคอีสานของประเทศไทย โดยใช้การศึกษาทั้งจากการอ่านบทความและการลงพื้นที่สัมภาษณ์และสังเกตการณ์ในชุมชน
พบว่ากลุ่มชาติพันธุ์ไทย – เขมรมีแนวความคิดความเชื่อของตนเองที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างการนับถือวิญญาณ ศาสนาพุทธและ ศาสนาพราหมณ์ และมีผู้รักษาอาการเจ็บป่วยในท้องถิ่น แต่เมื่อมีการพัฒนาให้เกิดความทันสมัย แนวความคิดเกี่ยวกับสุขภาพเปลี่ยนแปลงไป เช่น นิยามของสุขภาพ ความเชื่อของสาเหตุการเกิดโรคและการปฏิบัติในการดูแลสุขภาพ ทำให้จากเดิมที่จะไปรักษากับผู้รักษาในชุมชน ชาวบ้านก็ปรับมาเลือกการรักษาที่ผสมผสานกันระหว่างโรงพยาบาลกับผู้รักษาในชุมชน |
|
Focus |
เน้นการศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงของความคิดและแนวทางในการดูแลรักษาสุขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทย – เขมรที่อาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย |
|
Theoretical Issues |
ใช้การศึกษาบทความ เอกสาร, การสัมภาษณ์ผู้คนภายในชุมชนเช่นผู้สูงอายุ คนทั่วไป กลุ่มแม่บ้าน หมอพื้นเมือง เป็นต้น และการลงพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์และเก็บข้อมูล เพื่ออธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับการดูแลรักษาสุขภาพ |
|
Ethnic Group in the Focus |
คะแมร์ลือ(กลุ่มชาติพันธุ์ไทย – เขมร) |
|
Study Period (Data Collection) |
ตุลาคม 2546 – เมษายน 2549 |
|
History of the Group and Community |
|
Demography |
กลุ่มชาติพันธุ์ไทย – เขมร มีจำนวนประชากรมากที่สุดในบริเวณภาคอีสานตอนล่าง |
|
Economy |
กลุ่มชาติพันธุ์ไทย – เขมรส่วนใหญ่รับประทานผักตามฤดูและตามธาตุของแต่ละคน
พบว่าผู้ชายวัยทำงานและที่มีอายุมักจะรับประทานยาสมุนไพรบางอย่างเพื่อปรับธาตุต่างๆในร่างกายให้สมดุลและไม่เกิด “tuea tasai” |
|
Belief System |
ผสมผสานระหว่างการนับถือวิญญาณ ศาสนาพุทธ และศาสนาพราหมณ์
เชื่อว่ามีดวงวิญญาณอยู่รอบๆ ซึ่งมี 2 ประเภท คือดีและไม่ดี
ดวงวิญญาณที่ดีจะลงโทษผู้ที่ทำผิดขนบธรรมเนียมประเพณี และดวงวิญญาณที่ไม่ดีจะทำร้ายคนที่ดวงวิญญาณนั้นไม่พอใจ รวมถึงดวงวิญญาณอาจออกจากร่างกายในขณะที่เกิดอาการเจ็บป่วย
กลุ่มชาติพันธุ์ไทย – เขมรมีความเชื่อในเรื่องมนต์ดำและไสยศาสตร์ ซึ่งต้องใช้ผู้รักษาที่เรียกว่า “Mo mamuat”
เชื่อในเรื่องโชคชะตา ดวงดาวและโหราศาสตร์ คือโชคชะตาขึ้นกับดวงดาวบนท้องฟ้า การจะเสริมโชคชะตานั้น ต้องใช้ “Mo brahmin” เป็นผู้กระทำ
ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาตินั้นทำให้ประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ไทย – เขมรสรรหาวิธีการต่างๆเพื่อให้ตัวเองปลอดภัย เช่น มีการทำพิธีป้องกันให้เด็กแรกเกิด การเป็นผู้ติดตามและรับใช้ของ “mo mamuat” เป็นต้น
ถ้าเกิดว่าอาการเจ็บป่วยต่างๆไม่สามารถหายได้โดยหมอท้องถิ่น ชาวบ้านจะเชื่อในเรื่องของชาตินี้ ชาติหน้า และกฎแห่งกรรมตามหลักศาสนาพุทธ |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
เชื่อว่าร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าเกิดว่าธาตุใดขาดสมดุลไปก็จะส่งผลต่อสุขภาพ สำหรับผู้ที่เข้าใจถึงเรื่องเหล่านี้ลึกซึ้งมักจะเป็นผู้เฒ่าในหมู่บ้าน และผู้รักษาในท้องถิ่น หมอท้องถิ่นที่รักษาเกี่ยวกับสมุนไพรและอาหาร เรียกว่า “motnam”ซึ่งเชื่อว่าร่างกายประกอบด้วยเลือด ของเหลว อากาศ
เลือดมีคุณสมบัติเป็นสารร้อน และอากาศเป็นสารเย็น ซึ่งภาวะร้อน – เย็นเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะว่าโรคต่างๆ สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ โรคทางอากาศ และโรคทางเลือดซึ่งสามารถก่อให้เกิดโรคอื่นตามมาได้
โรคทางเลือดมักจะมีอาการแสดงคือสัมผัสร่างกายแล้วรู้สึกร้อน มีไข้ ต้องรักษาด้วยยาขนานเย็น
โรคที่เกี่ยวกับอากาศมักจะแสดงอาการคือสัมผัสร่างกายแล้วเย็น ต้องใช้ยาขนานร้อนรักษา
หลักการร้อน – เย็นที่ใช้สิ่งตรงข้ามกันรักษา ตรงกับหลักหยิน – หยางของแพทย์แผนจีน
กลุ่มชาติพันธุ์ไทย – เขมรให้ความสำคัญกับโรคที่เกี่ยวกับอากาศเป็นอันดับแรก อันดับที่สองจึงเป็นโรคทางเลือด
โรคที่เกี่ยวกับทางอากาศรวมถึงกลุ่ม “tuea” ซึ่งแบ่งได้เป็น 5 กลุ่ม คือ “tuea chamnaei” เกิดจากการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม
“tuea kaloen” เกิดจากกลิ่นที่ไม่เหมาะสม
“tuea tasai” เกิดจากกล้ามเนื้อและข้อไม่เหมาะสม
“tuea ansoem” เกิดจากการสัมผัสน้ำค้างและ
“tuea tamnek” เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์หลังคลอด โรคส่วนใหญ่มักจะพบในกลุ่มผู้หญิงเพิ่งคลอด และผู้หญิงมีอายุ
ความเชื่อว่าสิ่งแวดล้อมภายนอกมีผลต่อสุขภาพเช่นกัน เช่น อาหาร อากาศ อารมณ์และอายุ
ผู้หญิงหลังคลอดเชื่อว่าจะเสียเลือดและน้ำมากจึงต้องมีการเพิ่มธาตุไฟ โดยการทำ “nophloeng” คือการนอนใกล้ไฟ ดื่มและอาบน้ำ ด้วยน้ำที่ต้มกับสมุนไพรที่ร้อนหรือเผ็ด เพื่อช่วยเพิ่มความร้อนในร่างกายให้กลับมาสู่ระดับปกติ ถ้าไม่ทำผู้หญิงคนนั้นจะเกิดอาการเจ็บป่วยตลอดชีวิต หมอท้องถิ่นที่ดูแลเรื่องการคลอดและหลังคลอดเรียกว่า “chamop buran”เชื่อว่าร่างกายประกอบด้วย 19 ขวัญ อยู่ทั่วร่างกาย โดยขวัญที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ศีรษะ เรียกว่าขวัญหัว เพราะฉะนั้นหัวจึงเป็นส่วนที่สูงและสำคัญที่สุด ซึ่งมีการกระทำต้องห้ามที่อาจจะก่อให้เกิดการเจ็บป่วยได้
เชื่อใน “ครูกำเนิด” คือร่างกายเป็นที่อยู่ของเทพเจ้าตั้งแต่เกิด โดยเฉพาะส่วนศีรษะ การจับหัวกันเล่นอาจส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ถ้าเกิดว่าจิตวิญญาณของผู้ใดเกิดสูญหายไป ก็จะทำให้เจ้าของเกิดอาการเจ็บป่วย
สามารถแบ่งอาการเจ็บป่วยออกได้เป็น 5 ประเภท คือ 1. เกิดจากการเสียจิตวิญญาณ 2. เกิดการการกระทำที่ไปละเมิดประเพณี 3. เกิดจากมนต์ดำและไสยศาสตร์ 4. เกิดจากโชคไม่ดี 5. เกิดการกรรมเก่า
หลังจากการเข้ามาของวัฒนธรรมสมัยใหม่ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดและความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพ คือแต่ก่อนจะขึ้นอยู่กับผู้รักษาในท้องถิ่นเท่านั้น แต่หลังจากการเข้ามาของความเจริญทำให้มีการสร้างสุขศาลา และสถานีอนามัยขึ้น การสาธารณสุขแบบใหม่อธิบายว่าโรคต่างๆ เกิดจากเชื้อโรค และนำหลักการทางชีวการแพทย์เข้ามาอธิบายถึงอวัยวะ และร่างกาย
เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดเรื่องสุขภาพจาก 3 ปัจจัย คือ
1. ความแข็งแรงของร่างกาย
2. ฐานะทางเศรษฐกิจ
3. การเข้าถึงทรัพยากร มีการเปลี่ยนแปลงมากมายเช่นความถี่ในการไปพบแพทย์ที่เพิ่มมากขึ้น เพราะในอดีตจะไปพบเมื่อมีอาการหนัก แต่ในปัจจุบันแม้มีอาการไข้ก็ต้องไปพบแพทย์ หรือการบังคับฝากครรภ์และต้องคลอดที่โรงพยาบาลเป็นต้น
นอกจากนี้ยังพบโรคใหม่เกิดขึ้น เช่นโรคที่เกิดจากการใช้สารเคมี ยาปราบศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี, โรคที่เกิดจากการรับประทานที่เปลี่ยนไป เช่น เบาหวาน โรคที่เกิดจากการมีถนนและโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้น เช่น อุบัติเหตุทางถนนเกิดขึ้น โรคทางจิต เช่น เกิดความเครียดโรคเอดส์ เป็นต้น
การตัดสินใจเข้ารับการรักษากับที่ใดนั้นขึ้นกับระดับความรุนแรงของอาการเป็นหลัก คือรักษาด้วยตนเองก่อน จากนั้นจึงไปปรึกษาหมอท้องถิ่น ถ้าเกิดว่าโรคน่าจะเกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ ชาวบ้านก็จะไปปรึกษาผู้รักษาในชุมชน แต่ถ้าโรคน่าจะเกิดว่าโรคชนิดใหม่ ชาวบ้านจะไปรับการรักษาจากโรงพยาบาล ถ้าเกิดมีอาการของโรคเรื้อรังก็จะกลับมาหาผู้รักษาในชุมชนอีกครั้ง บางคนอาจใช้การรักษาทั้ง 2 แบบควบคู่กันไป หรืออาจจะรักษาแต่ละแบบในช่วงเวลาที่ต่างกัน ขอแค่เพียงจะหายจากอาการเจ็บป่วย |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เด็กหลายคนในกลุ่มชาติพันธุ์ไทย – เขมร จะไว้ผมเป็นจุกโมลีด้านบน และโกนผมที่เหลือ ซึ่งเหมือนกับเทพในศาสนาฮินดู |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
แผนภาพแสดงบริเวณของวัฒนธรรมการรักษาของกลุ่มชาติพันธุ์ไทย – เขมรในจังหวัดสุรินทร์, รูปภาพแสดงเด็กชาติพันธุ์ไทย – เขมรไว้ผมจุกโมลีเหมือนของศาสนาพราหมณ์, รูปภาพแสดงการประกอบพิธีกรรม “liak”, แผนภาพแสดงแนวความคิดเกี่ยวกับสมดุลของร่างกาย, แผนภาพแสดงแนวความคิดเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดโรคหลังจากการเข้ามาของความเจริญและการแพทย์สมัยใหม่ |
|
|