|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ความหลากหลายทางวัฒนธรรม, อัตลักษณ์, ชาติพันธุ์,กูย กวย, คนอีสาน ลาวอีสาน, ตึ่งนั้ง คนจีน (หมายถึง ไทย-จีนเชื้อสายแต้จิ๋ว), ม้ง, ยวน คนเมือง, ลื้อ |
Author |
Charles F. Keyes |
Title |
Cultural Diversity and National Identity in Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ, ไทยวน ยวน ยวนสีคิ้ว คนเมือง, จีน จีนแต้จิ๋ว จีนฮกเกี้ยน จีนไหหลำ ไหหนำ จีนกวางตุ้ง จีนแคะ, ม้ง, กูย กุย กวย โกย โก็ย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
35 |
Year |
2540 |
Source |
Michael E.Brown Sumit Ganguly,editors. “Cultural Diversity and National Identity in Thailand” in Government Policies and Ethnic Relations in Asia and the Pacific CSIA Studies in International Security, 1997. |
Abstract |
งานศึกษาเรื่องนี้อธิบายประเด็นเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมในประเทศไทยและอัตลักษณ์ของไทย ซึ่งให้ข้อมูลตั้งแต่สภาวะความหลากหลายทางวัฒนธรรมซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยก่อนที่ตะวันตกจะเข้ามาในอาณาจักรสยาม ช่วงรัชกาลที่ 1- รัชกาล7 งานศึกษาแบ่งชาติพันธุ์ในประเทศไทยโดยดูที่ภาษาที่ใช้ มีการอธิบายถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของแต่ละชาติพันธุ์โดยภาพรวม
นอกจากนั้นงานศึกษาอธิบายถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมหลังจากประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยพูดถึงอิทธิพลจากตะวันตกที่เข้ามามีบทบาทและความเป็นมาของลัทธิชาตินิยมของไทย
นอกจากนี้ งานศึกษาได้กล่าวถึงรากฐานและการปลูกฝังชาตินิยมไทย และการทำให้ลัทธิชาตินิยมไทยแพร่หลายซึ่งเป็นผลมาจากการใช้นโยบายของรัฐ มีการอธิบายเกี่ยวกับปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ไม่จะเป็นผู้คนที่อยู่บริเวณภาคเหนือและภาคอีสานของไทย ชาวเขา ชาวไทยมุสลิม ชาวไทยเชื้อสายจีน
งานศึกษายังให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายที่เปลี่ยนไปในการรับผู้ลี้ภัยและผู้อพยพเข้ามาในประเทศ และจบด้วยประเด็นการรื้อฟื้นความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประเทศไทยที่ถูกกลืนไปกับโลกาภิวัตน์ที่ถาโถมเข้ามาซึ่งทำให้มุมมองที่มีต่อวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาติพันธุ์ในไทยเปลี่ยนไป |
|
Focus |
ให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไทยในเรื่องความหลากหลายของชาติพันธุ์ตั้งแต่สมัยที่ไทยยังเป็นสยามไปจนถึงการสถาปนาชาติไทย พร้อมกับอธิบายปัจจัยต่างๆที่มีผลให้ประชากรที่มีความแตกต่างทางชาติพันธุ์สามารถอยู่ร่วมกันภายใต้ อัตลักษณ์ความเป็นชาติไทยได้จนถึงทุกวันนี้ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ความหลากหลายทางเชื้อชาติของประชากรไทยได้ถูกจำแนกตามความแตกต่างของภาษาท้องถิ่นที่ใช้ ประชากรที่อาศัยอยู่บริเวณอาณาจักรสยามในช่วงปลายศตวรรษที่19ส่วนใหญ่พูดภาษาที่จัดอยู่ในกลุ่มภาษาไตซึ่งประกอบไปด้วยมากกว่า 20ภาษา มีรูปแบบการสะกดคำที่พัฒนามาจากอาณาจักรใกล้เคียงซึ่งส่วนมากใช้ในเอกสารทางพุทธศาสนาและใช้ในราชการ และบางส่วนใช้ในกวีนิพนธ์และงานวรรณคดีอื่นๆ
ประชากรที่พูดภาษาไตแบ่งได้3กลุ่มหลัก โดยแบ่งตามวิธีการเขียนทางภาษาที่สำคัญ ได้แก่ ชาวสยาม ชาวลาว ชาวยวน
นักภาษาศาสตร์ระบุว่าชาวสยามในยุคศตวรรษที่19ประกอบไปด้วยประชากรที่พูดภาษาแตกต่างกันไปซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษาที่จัดอยู่ในภาษาไทยภาคกลางและภาษาไทยภาคใต้ แม้ว่าจะใช้ภาษาไม่เหมือนกัน ประชากรเหล่านี้ต่างมองว่าตนเป็นกลุ่มเดียวกันเนื่องจากการใช้ตัวอักษรร่วมกันในเอกสารทางพุทธศาสนา
ชาวลาวเป็นกลุ่มคนพูดภาษาตระกูลไตแต่อยู่ในภาคเหนือและภาคอีสานของสยาม ซึ่งปัจจุบันบางส่วนคือภาคเหนือและภาคอีสานของไทย
ส่วนชาวยวนเป็นกลุ่มคนพูดภาษาตระกูลไตเรียกตนเองว่าคนเมืองอาศัยอยู่ในพื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศไทย
สำหรับประชากรที่อาศัยในประเทศไทยแต่ไม่ได้พูดภาษาตระกูลไตเป็นภาษาแม่ประกอบไปด้วยประชากรที่พูดภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติกประมาณร้อยละ4-5ของประชากร ซึ่งได้แก่ ภาษาเขมรและภาษากุยเป็นส่วนใหญ่
นอกจากนั้นยังมีประชากรมุสลิมที่อาศัยในพื้นที่ที่เป็นของมาเลเซียในปัจจุบัน เกดะห์ กลันตัน ตรังกานู เประ ปัตตานี และพื้นที่ชายแดนของปัตตานีซึ่งเป็นภาคใต้ของไทยในปัจจุบัน
ประชากรซึ่งอาศัยในพื้นที่ประเทศไทยอีกกลุ่มที่ไม่ได้พูดภาษาตระกูลไตได้แก่ ชาวเขา ซึ่งพูดภาษากะเหรี่ยงและภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก และประชากรที่พูดภาษาทิเบตโตเบอร์มาน อันได้แก่ อาข่า ลาหู่ ลีซู |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
งานศึกษาให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นความหลากหลายของวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ในประเทศไทยโดยเริ่มจากอาณาจักรสยามในสมัยรัชกาลที่1ซึ่งได้ทรงสถาปณาราชวงศ์จักรีและย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงเทพฯความหลากหลายของวัฒนธรรมในพื้นที่ประเทศไทยเป็นผลมาจากการปกครองสมัยรัชกาลที่1-3ซึ่งมีการขยายอำนาจไปยังพื้นที่ที่เป็นภาคเหนือของไทยในปัจจุบัน ลาว,ส่วนใต้สุดของยูนนาน,รัฐสุลต่านปัตตานี,เกดะห์,กลันตัน และตรังกานูในมาเลเซีย และอาณาจักรเขมร แต่ทว่าในปลายศตวรรษที่19ไปจนถึงต้นศตวรรษที่21 อาณาจักรสยามจำต้องสละพื้นที่บางส่วนให้อังกฤษและฝรั่งเศส พื้นที่ประเทศไทยในปัจจุบันจึงยังคงมีร่องรอยวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆอยู่ |
|
Political Organization |
หนึ่งในกระบวนการสร้างชาตินิยมความเป็นไทยที่สำคัญ คือ การออกกฏหมายในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ผู้อพยพทุกคนที่ต้องการได้สัญชาติไทยละทิ้งความจงรักภักดีต่อรัฐอื่นๆ และยอมอยู่ใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์ไทยโดยสมบูรณ์
เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับประเทศและขจัดความต้องการแยกตัวเป็นอิสระจากไทยของชาวอีสานในช่วงปี1954จอมพลสฤทธิ์ ธนะรัชต์ มีการบังคับใช้แผนพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยเน้นพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคดังกล่าว
เดิมทีรัฐบาลไทยมีนโยบายที่ไม่เอื้อต่อการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มชาวเขา มีการจัดกลุ่มชาวเขาว่าเป็นผู้อพยพเข้ามาประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย ในช่วงกลางทศวรรษ1960รัฐบาลได้ใช้กำลังทหารจัดการกับชุมชนชาวเขาและมีเงื่อนไขว่าจะให้ความช่วยเหลือกับชุมชนชาวเขาที่ไม่ได้สนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ การกระทำดังกล่าวได้ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลและชุมชนชาวเขาย่ำแย่ลง ชุมชนชาวเขาหันไปสนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์มากขึ้นและรัฐบาลปฏิเสธไม่อนุญาตให้ชาวเขาเป็นผู้พำนักอาศัยถาวรในประเทศไทย
ต่อมาภาพลักษณ์และสถานะของชาวเขาได้เปลี่ยนไป หลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอยผ่านทางการสร้างงานให้กับชาวเขาผ่านโครงการหลวง
สำหรับชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ประมาณช่วงทศวรรษ1980รัฐบาลมีนโยบายผ่อนปรนต่อความคิดที่จะแยกตัวเป็นอิสระจากไทยของชาวไทยมุสลิมซึ่งรุนแรงมากในปัตตานี มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ที่เป็นชาวไทยมาเลย์เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ดังกล่าว และมีการรับสมัครชาวไทยมาเลย์เข้าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยพรรคประชาธิปัตย์
ในส่วนของชาวไทยเชื้อสายจีน นโยบายกีดกันโรงเรียนที่ใช้ภาษาจีนในการสอนและนโยบายการรับผู้อพยพเข้าประเทศที่เข้มงวดขึ้นทำให้ชาวไทยเชื้อสายจีนรับเอาอัตลักษณ์ความเป็นไทยมาผสมผสานกับวัฒนธรรมของตนอย่างเป็นไปด้วยดี |
|
Education and Socialization |
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการออกแผนการศึกษาภาคบังคับที่กีดกันมิให้มีการสอนนักเรียนด้วยภาษาอื่นนอกเหนือจากภาษาไทย เพื่อต่อสู้กับลัทธิชาตินิยมจีนและสร้างความมั่นคงให้กับชาตินิยมไทย
ต่อมาในหลังจากประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลทหารซึ่งปกครองระหว่าง1932-1950ได้เข้ามามีบทบาทในเรื่องการศึกษาภาคบังคับของเด็กไทยซึ่งมีผลให้ภาษาไทยกลายเป็นภาษาประจำชาติอย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้นการศึกษายังช่วยส่งเสริมอัตลักษณ์และชาตินิยมไทยในพื้นที่ห่างไกล การจัดตั้งโรงเรียนในพื้นที่ชุมชนชาวเขาส่งผลให้จำนวนชาวเขาที่สามารถอ่านเขียนภาษาไทยได้และนับถือศาสนาพุทธเพิ่มจำนวนขึ้น
แต่ในทางกลับกันการจัดตั้งโรงเรียนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้เพื่อให้การศึกษาเป็นภาษาไทยไม่มีบทบาทมากนักในการสร้างความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันกับชาวไทยมุสลิมในชายแดนภาคใต้เห็นได้จากการที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เด็กเข้ารับการศึกษาน้อยที่สุด |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
หลังจากรัฐได้ใช้นโยบายชาตินิยมเพื่อสร้างความเป็นอัตลักษณ์และความเป็นปึกแผ่นให้แก่ประเทศ ก่อให้เกิดลัทธิภูมิภาคนิยมในชาวไทยในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือที่เดิมทีมีเชื้อสายลาว ความสัมพันธ์กับชาวไทยในพื้นที่ดังกล่าวเป็นไปด้วยดีแม้ว่าอาจมีข้อขัดแย้งเกิดขึ้นบ้าง แต่รัฐบาลก็สามารถคลี่คลายและถนอมความสัมพันธ์ด้วยนโยบายต่างๆ
สำหรับชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ภาคใต้ สิ่งที่แบ่งแยกคนกลุ่มนี้ออกจากคนส่วนใหญ่คือศาสนาอิสลามที่เป็นอัตลักษณ์ไม่ใช่ชาติพันธุ์ที่แตกต่าง รัฐบาลรับมือกับความต้องการแยกตัวเป็นอิสระด้วยนโยบายโอนอ่อนผ่อนปรน
สำหรับชาวไทยเชื้อสายจีน คนกลุ่มนี้เข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจการเมืองไทยอย่างมาก มีการปรับตัวผสมผสานวัฒนธรรมไทยกับจีนอย่างลงตัว นโยบายที่รัฐใช้กับคนกลุ่มนี้ไม่ได้มุ่งโจมตีแต่พยายามรวมวัฒนธรรมของชาวไทยเชื้อสายจีนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลายทางวัฒนธรรมของไทย |
|
Social Cultural and Identity Change |
ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่1950เป็นต้นมา มีการอพยพของชาวไทยในพื้นที่ชนบทเข้าสู่เมืองอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากการเติบโตของเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัว วัฒนธรรมเมืองของชนชั้นกลางแพร่หลายไปทั่วเป็นผลมาจากโลกาภิวัตน์ซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านสื่อต่างๆ ศาสนาพุทธมีความหลากหลายมากขึ้นแบ่งออกเป็นความเชื่อที่แตกต่างกันไป วัฒนธรรมสมัยก่อนที่เคยถูกมองว่าล้าหลังกลับมาได้รับความสนใจจากคนทั่วไป |
|
Map/Illustration |
Thailand, Ethnic and Ethno regional Composition of Thailand, |
|
|