|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การจัดการที่ดิน,เชียงใหม่ |
Author |
เจษฎา โชติกิจภิวาทย์ |
Title |
การจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน : กรณีศึกษาการจัดการไร่หมุนเวียนของชาวปกาเกอญอในจังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
152 |
Year |
2542 |
Source |
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
การศึกษาเรื่องการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน : กรณีศึกษาการจัดการไร่หมุนเวียนของปกาเกอะญอในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่าภายใต้ความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรระหว่างรัฐกับชุมชน ชุมชนได้มีการปรับตัวเพื่อสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากร 3 รูปแบบคือ 1) การทำไร่หมุนเวียนแบบพึ่งพาและไม่ยั่งยืน 2) การทำไร่แบบเปลี่ยนผ่านและไม่ยั่งยืน และ 3) การทำไร่หมุนเวียนแบบทางเลือกและยั่งยืน และการรวมตัวในระดับชุมชนและเครือข่าย เพื่อนำเสนอทางออกในระดับนโยบาย |
|
Focus |
ศึกษาผลกระทบของนโยบายอนุรักษ์ป่าของรัฐ ต่อการจัดการไร่หมุนเวียนของชุมชนปกาเกอะญอ ตลอดจนเงื่อนไขและลักษณะของ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น อันนำไปสู่พลวัตและการปรับตัวของปกาเกอญอในการจัดการไร่หมุนเวียน |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนใช้แนวความคิดว่าด้วย "การพัฒนาอย่างยั่งยืน" โดยใช้แนวความคิดของ Chambers, Redclift, และ Barbier เป็นกรอบคิดการวิจัย ซึ่งได้อธิบายการจัดการของมุนษย์ต่อการเปลี่ยนแปลงบนเงื่อนไข 3 ประเด็น คือ 1) สิทธิ ความมั่นคงในการเข้าถึงทรัพยากร ความมั่นคงในสิทธิ์ของที่ดิน และการผลิตอาหาร 2) การแก้ไขปัญหาความจำเป็นขั้นพื้นฐาน และ 3) ความมั่นคงของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ที่สามารถดำรงอยู่ได้ แนวคิดต่อมาคือแนวความคิดว่าด้วย "ความซับซ้อนของระบบกรรมสิทธิ์" คือระบบการจัดการทรัพยากรบนเงื่อนไขของการเข้าถึง 3 ลักษณะ คือ ระบบกรรมสิทธิ์ของรัฐ, กรรมสิทธิ์เอกชน และ กรรมสิทธิ์ร่วม แนวคิดสุดท้ายคือ แนวคิดว่าด้วย "พลวัตของระบบการจัดการไร่หมุนเวียน หมายถึงระบบการจัดการที่ดินที่มีลักษณะหมุนเวียนและมีพลวัต พร้อมกับความสามารถในการปรับตัวกับเงื่อนไขต่าง ๆ (หน้า 16-17) จากการใช้แนววิเคราะห์ดังกล่าว ผู้วิจัยพบว่า ระบบไร่หมุนเวียนดั้งเดิมของปกาเกอญอ เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบหนึ่งที่มีการจัดการผสมผสานระหว่างสิทธิชุมชน สิทธิการใช้ และการแสดงความเป็นเจ้าของที่สามารถให้หลักประกันความมั่นคงในการยังชีพของปกาเกอญอได้ระยะเวลาอันยาวนาน เพราะเป็นทั้งระบบการผลิตข้าวเสริมจากที่ได้จากนา และระบบการสะสมพันธุกรรมรักษาความหลากหลายทางชีวภาพไม่ใช่การทำลายป่า (หน้า 124) การกดดันของรัฐและตลาดที่อาจทำให้ปกาเกอญอต้องผลิตแบบพึ่งพาแต่ยังไม่มีผลต่อการทำลายป่า เพราะชาวบ้านปรับตัวในระดับครัวเรือน โดยการทำไร่ 3 แบบคือ ไร่หมุนเวียนแบบพึ่งพาไม่ยั่งยืน ไร่หมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน และไร่หมุนเวียนทางเลือกและยั่งยืน (หน้า 124-125) และมีการจัดการในระดับชุมชนที่เพิ่มพื้นที่ส่วนรวมให้ทั้งชุมชน และระบบการผลิตการเกษตรที่ควรเช่นวนเกษตร แทนการทำไร่เชิงพาณิชย์ (หน้า 125) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอญอจัดอยู่ในตระกูลหลัก จีน-ธิเบต (sino-Tibatan)กระจายอยู่ตามภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศไทย เป็นชาวเขาที่มีประชากรมากที่สุด 353,110 คน จากจำนวน 853,274 คน จำนวนหมู่บ้าน 3,446 หมู่บ้าน จำนวนหลังคาเรือน 100,516 หลังคาเรือน มีจำนวนมากในจังหวัดเชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน ซึ่งกระจายตัวอยู่ที่จังหวัดต่าง ๆ คือ ลำพูน แพร่ เชียงราย ลำปาง ตาก กำแพงเพชร กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี อุทัยธานี สุพรรณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และสุโขทัย (หน้า 21) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาพูดจัดอยู่ในตระกูลภาษาธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) หรือกลุ่มภาษาย่อย Karnic คนต่างเผ่าเรียกว่ายาง ยางกะเลอ หรือกะเหรี่ยง (Karen) สามารถแยกเป็น 4 กลุ่มย่อยคือ โปว์ (Pwo) สะกอ (Skaw) บเว (B'ghew) หรือคะเร็นญี หรือคะยา และตองสู (Taung Tsu) (หน้า 21) |
|
Study Period (Data Collection) |
ในการศึกษาวิจัยภาคสนาม ผู้ศึกษาได้เข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับชาวบ้านระหว่างเดือนมกราคม ถึงธันวาคมปี พ.ศ. 2539 ช่วงระยะเวลาการศึกษาเริ่มจากการตั้งถิ่นฐาน ที่มีหลักฐานปรากฏ คือปี พ.ศ. 2447 และมีการอพยพย้ายถิ่นมาตลอด จนช่วงการเข้ามาของรัฐ ในช่วงพ.ศ. 2500 และการใช้นโยบายอนุรักษ์ป่า เช่นโครงการประกาศเขตชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ โครงการปลูกป่า และการเตรียมประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติออบขาน มติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541 และร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน |
|
History of the Group and Community |
ในบริเวณนี้เชื่อกันว่าเป็นที่อยู่ของลัวะมาก่อน เนื่องจากพบเคยพบสร้อยคอ อุปกรณ์หุงหาอาหาร และกล้องยาสูบของลัวะ ยังพบว่าสถานที่หลายแห่งคาดว่าจะเป็นวัดและที่ตั้งหมู่บ้าน ในอดีตปกาเกอะญอจะไม่ตั้งถิ่นฐานถาวรดังเช่นปัจจุบัน จะย้ายไปตามการทำไร่ หรือตามความเชื่อ มีการโยกย้ายถิ่นในบริเวณริมห้วยแถบนี้หลายชั่วอายุคน โดยปรากฏจากหลักฐานแดลอ (ร่องรอบหรือซากหมู่บ้าน) คนกลุ่มแรกที่เข้ามาสร้างบ้านอยู่ในเขตชุมชนบ้านใหม่พัฒนา เป็นเครือญาติเดียวกัน ประกอบด้วย 3 ครอบครัว มีการโยกย้ายกลับไปมาหลายครั้ง นอกจากนี้ยังมีการอพยพย้ายเข้าออกของบางกลุ่มบางครอบครัว จนถึงประมาณปี 2529 จึงรวมกันมาอยู่ในที่ตั้งปัจจุบัน เนื่องจากทางราชการให้ย้ายมาอยู่รวมกัน เพื่อให้ง่ายต่อการปกครอง ปัจจุบันชุมชนมีทั้งหมด 37 หลังคาเรือน เคยอยู่ในการปกครองของอำเภอแม่ริม โดยมีนายพะโพเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก และเมื่อมีการแยกการปกครองจากอำเภอแม่ริม และตั้งอำเภอสะเมิงขึ้น บ้านใหม่พัฒนาเปลี่ยนมาขึ้นกับเขตการปกครองของอำเภอสะเมิงถึงปัจจุบัน ชุมชนได้รับผลกระทบจากนโยบายอนุรักษ์ป่า ทำให้มีโครงการและการควบคุมการทำไร่ของชาวบ้าน จึงมีการปรับตัวเพื่อตอบสนองสำหรับการผลิตเพื่อความมั่นคงในชีวิต รวมถึงการรวมตัวเพื่อตั้งข้อกำหนดการจัดการทรัพยากรของชุมชน และการรวมตัวเรียกร้องเชิงนโยบายในระดับเครือข่าย |
|
Settlement Pattern |
ปกาเกอะญอจะตั้งถิ่นฐานและโยกย้ายตามการทำไร่ ซึ่งจะไม่ทำซ้ำที่เก่า จึงมีการเปลี่ยนพื้นที่ทำไร่ทุกปี แต่ละปีจะยิ่งห่างไกลจากชุมชน ทำให้การเดินทางขนย้ายผลผลิตเป็นเรื่องยากลำบาก จึงย้ายตามไปอยู่ในไร่ หรือหาทำเลที่ใกล้กับไร่ บางครั้งการย้ายถิ่นฐานมาจากความเชื่อที่ว่าหากมีคนในบ้านเจ็บป่วยล้มตาย จะต้องย้ายชุมชน หรือหากมีสัตว์ป่าเข้ามาในหมู่บ้าน เช่น เสือ งู จะต้องย้ายชุมชนไปอยู่แห่งใหม่ หรือเมื่อชุมชนมีสัตว์เลี้ยงเพิ่มมากขึ้นหรือประชากรหนาแน่น อาจทำให้เกิดโรคระบาดได้ง่าย จึงต้องย้ายถิ่นฐาน นอกจากนี้ ความเชื่อเกี่ยวกับผี หากมีเหตุการณ์ไม่ดีเช่นคนเจ็บป่วยหรือตาย หรือมีสัตว์ป่าเข้ามาในหมู่บ้าน ถือว่าผีเจ้าที่เจ้าทางไม่ยอมให้อาศัยอยู่ อีกสาเหตุหนึ่งคือเกิดความขัดแย้งในชุมชน รวมไปถึงความประพฤติปฏิบัติไม่ดี ไม่เป็นไปตามกฎจารีตประเพณี ก็จะต้องย้ายถิ่นแม้ไม่ได้พบเห็นมาก (หน้า 25-27) |
|
Demography |
บ้านใหม่พัฒนามีจำนวน 37 ครัวเรือน มีประชากร 187 คน ผู้ชาย 72 คน ผู้หญิง 58 คน คนเฒ่าคนแก่ 20 คน และเด็ก 37 คน (หน้า 22) |
|
Economy |
การประกอบอาชีพมีทั้งด้านการเกษตร ได้แก่ การเพาะปลูกข้าวนาขั้นบันได ข้าวไร่ ทำสวนเมี่ยง สวนมะแขว่น สวนมะม่วง ทั้งหมดนี้เป็นการเลี้ยงชีพยกเว้นมะแขว่นซึ่งเป็นรายได้ของครัวเรือน นอกจากนี้ยังมีอาหารจากธรรมชาติ พวกเห็ด หน่อไม้ และสมุนไพร หากคิดเป็นตัวเงินประมาณครัวเรือนละ 5,000-10,000 บาทต่อปี การจัดการแรงงานใช้รูปแบบแลกเปลี่ยนแรงงาน มีการเลี้ยงสัตว์ วัวควาย ไก่ การจักรสานกระบุงตะกร้าไว้ใช้สอย และนอกชุมชนเช่นการรับจ้างในตัวอำเภอและตัวเมืองเชียงใหม่ (หน้า 24) การทำไร่หมุนเวียนในอดีตของปกาเกอญอจะมีพื้นที่รองรับการทำไร่ประมาณ 8-10 แปลง โดยหมุนเวียนทำปีละแปลง ทำให้แต่ละแปลงจะถูกพักดินไว้ประมาณถึง 7 ปี การทำไร่จะเริ่มตั้งแต่ตัดฟันไร่ และไม้ใหญ่จะถูกฟันให้เหลือระดับเอว เพื่อให้ไม้ใญ่มีโอกาสเติบโตต่อไปได้ แล้วเผา เพื่อทำลายเศษไม้และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน จากนั้น จึงปลูกผัก ปลูกข้าว ถอนวัชพืช จนเก็บเกี่ยวเสร็จ ปีหน้าจึงย้ายไปทำในแปลงต่อไปจนครบทุกแปลง จึงเป็นการพักหน้าดินให้ฟื้นตัว ไม่ใช้ประโยชน์จากดินหนักเกินไป (หน้า 49) จากการกดดันของรัฐ ทำให้ปกาเกอญอต้องลดพื้นที่เพาะปลูก และลดจำนวนรอบของไร่หมุนเวียน ทำให้ปกาเกอะญอปรับตัวจากการทำไร่หมุนเวียนแบบเดิมมาเป็นรูปแบบใหม่ ซึ่งแบ่งได้ 3 รูปแบบคือ 1) การทำไร่หมุนเวียนแบบพึ่งพาและไม่ยั่งยืน มีการทำไร่หมุนเวียนเพียง 1-2 แปลง มีผลผลิตต่ำ ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลงมาก ไม่สามารถเลี้ยงชีพครัวเรือนได้ ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกเป็นหลัก 2) การทำไร่หมุนเวียนแบบเปลี่ยนผ่านและไม่ยั่งยืน มีการทำไร่หมุนเวียนแบบเดิมผสมกับการเกษตรแบบถาวรเชิงพาณิชย์ และทำเกษตรแบบสวนผลไม้ ซึ่งจำนวนรอบหมุนเวียนมีน้อย ทำให้ชาวบ้านเข้าไปพึ่งพาระบบตลาดมากขึ้น เพียงเพื่อสามารถซื้อข้าวบริโภคได้ตลอดปี 3) การทำไร่แบบทางเลือกและยั่งยืน มีการจัดการไร่แบบผสมผสานได้อย่างมีพลวัต ทั้งการทำไร่หมุนเวียนแบบดั้งเดิมกับการทำสวนผลไม้รักษาไม้ยืนต้นในไร่หมุนเวียน คล้ายกับแบบที่ 2 แต่แบบนี้มีพื้นที่ไร่มากพอสำหรับรองรับการหมุนเวียนได้ (หน้า 26-88) |
|
Social Organization |
ปกาเกอญอ มีความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษ หรือผีปู่ย่าประจำตระกูลฝ่ายมารดา ซึ่งคอยปกป้องคุ้มครองครอบครัว และคอยดลบันดาลให้ลูกหลานประสบความสำเร็จ ปกาเกอญอจึงแสดงความซื่อสัตย์ต่อบรรพบุรุษ ด้วยการประกอบพิธีกรรมเลี้ยงบรรพบุรุษ ทั้งนี้ผู้หญิงที่มีอาวุโสมากที่สุดในตระกูลจะเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมติดต่อบรรพบุรุษ หากผู้หญิงที่เป็นต้นตระกูลเสียชีวิตลง บ้านจะถูกรื้อทำลาย สัตว์เลี้ยงที่เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จะถูกฆ่าเพื่อมาทำพิธี เพราะเชื่อว่า คนในตระกูลที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่มีใครแล้วที่จะสามารถติดต่อกับผีบรรพบุรุษโดยผ่านหมูและไก่ ซึ่งต่อมาลูกหลานที่เป็นผู้หญิงคนโตในตระกูลก็ยังสามารถสืบทอดพิธีกรรมนี้ต่อไปได้ ซึ่งนอกจากเป็นการควบคุมความประพฤติของคนในสายตระกูลแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับการจัดการแรงงานของตระกูลและชุมชนด้วย (หน้า 31) กลุ่มสังคมระดับเครือญาติจะมีบทบาทในการควบคุมแบ่งปันปัจจัยพื้นฐานทางการผลิต และการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน หัวหน้าตระกูลทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะมีบทบาทสำคัญ ควยควบคุมดูแล ให้การช่วยเหลือสมาชิกตระกูล เชื่อมความสัมพันธ์ของคนในตระกูลไว้ด้วยกัน ในกรณีครัวเรือนที่แต่งงานใหม่กลุ่มตระกูลอาจให้ความช่วยเหลือในด้านปัจจัยการผลิตเช่นที่นาหรือสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้ ยังมีการควบคุมทางสังคมในระดับชุมชน ในเรื่องการจัดการทรัพยากรของชุมชน คือคณะกรรมการป่าชุมชนทำหน้าที่รักษาข้อบังคับและกฎเกณฑ์การใช้ประโยชน์จากป่าอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับตัวของปกาเกอญอเพื่อต่อสู้กับอำนาจรัฐ (หน้า 107-110) |
|
Political Organization |
ฮีโข่ หรือผู้นำทางวัฒนธรรม ประเพณีของชุมชน เป็นผู้นำที่สืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษที่เป็นฮีโข่ ที่ตั้งหมู่บ้านนั้นคนแรก เป็นตำแหน่งที่สืบทอดตามสายเลือด และมีตำแหน่งผู้ช่วย ฮีข่อ ซึ่งจะถูกเลือกโดยตรงจากฮีโข่ โดยมีข้อกำหนดคือเป็นคนที่มีความรู้ด้านพิธีกรรมต่าง ๆ คนในชุมชนยอมรับ ฮีโข่ยังทำหน้าที่ตัดสินกรณีพิพาทต่าง ๆ โดยมีสภาผู้อาวุโส หรือ "สุเก๊ะส้าปะ" ที่ได้รับการคัดเลือกจากกลุ่มตระกูลแต่ละกลุ่มคอยให้คำปรึกษา จึงทำให้การตัดสินคดีความมีความเป็นธรรมเป็นที่ยอมรับของคนในชุมชน หากเกิดกรณีไม่ยอมรับคำตัดสินจนนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มตระกูล บางกรณีอาจแยกไปตั้งหมู่บ้านใหม่ (หน้า 32-33) ในช่วงปี พ.ศ.2470 รัฐได้ให้สัมปทานป่าไม้กับบริษัทต่างชาติ จึงเกิดการทำลายป่าไม้อย่างมโหฬารตั้งแต่นั้นมา เริ่มมีองค์กรรัฐเข้ามาปฏิสัมพันธ์กับชุมชนตั้งแต่ปี 2500 เช่นกรมการปกครองเข้ามาตั้งผู้ใหญ่บ้าน จดทะเบียนบ้าน ออกบัตรประจำตัวประชาชน และเก็บภาษีปี พ.ศ.2513 มีการตัดถนนเชื่อมกับตัวอำเภอสะเมิง ต่อมีก็มีการจัดตั้งโรงเรียนและสถานีอนามัยตามลำดับ และการเตรียมประกาศเขตอุทยานแห่งชาติออบขาน ปี พ.ศ. 2538 ทับชุมชนและที่ทำกินของชุมชน การที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องกับชุมชนมากขึ้นทำให้ชุมชนสูญเสียอำนาจการจัดการทรัพยากรของตนเองลงไป (หน้า 36-44) |
|
Belief System |
ระบบความเชื่อที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างปกาเกอญอกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเชื่อว่าธรรมชาติ ทั้งป่า ดิน น้ำ ล้วนมีเจ้าของ หากจำเป็นต้องใช้ประโยชน์ ต้องขออนุญาตจากเจ้าของธรรมชาติเสียก่อน โดยมี ฮีโข่ เป็นผู้มีหน้าที่ทำพิธีกรรมต่าง ๆ ปกาเกอะญอเชื่อว่า "ก่อโข่" มาสร้างสรรพสิ่งบนโลก ก่อนไปได้มอบหมายให้เทพชื่อ "หมื่อคาเขล่อ" ทำหน้าที่คุ้มครองสรรพสิ่ง ในความเข้าใจของปกาเกอญอ เทพเหล่านี้คือ ผีของบรรพบุรุษที่ให้กำเนิดชีวิตแก่มนุษย์ ซึ่งได้แก่ "เส่เก่อจ่า" (เจ้าป่า) "เก่อเจ่อเก่อจ่า" (เจ้าเขา) "ทีเก่อจ่า" (เจ้าน้ำ) และ "ห่อโข่เก่อจ่า" (เจ้าดิน) (หน้า 31) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปกาเกอะญอมีวิถีการผลิตแบบไร่หมุนเวียน และมีการเคลื่อนย้ายไปตามพื้นที่ทำไร่ แต่เมื่อมีรัฐจากส่วนกลางเข้ามาควบคุม จากนโยบายอนุรักษ์ ในรูปของโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการปลูกป่า การเตรียมประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติออบขานทับที่ทำกินของชาวบ้าน การสร้างแรงกดดันต่อการทำไร่หมุนเวียนซึ่งรัฐมองว่าเป็นสาเหตุของการทำลายป่า ตลอดจนระบบตลาดที่เข้ามาสู่ชุมชน ทำให้การผลิตแบบเดิมทำได้ยากมากขึ้น พื้นที่ไร่หมุนเวียนลดน้อยลง ปกาเกอญอจึงต้องปรับตัวแสวงหาทางเลือกใหม่ ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน โดยสามารถแบ่งรูปแบบการปรับตัวได้ 3 แบบ คือ 1) การทำไร่หมุนเวียนแบบพึ่งพาและไม่ยั่งยืน จำนวนไร่หมุนเวียนจำนวนน้อยมาก ผลผลิตไม่เพียงพอ ทำให้เกิดการใช้ที่ดินอย่างเข้มข้น โดยทั้งการใช้การผลิตสมัยใหม่เข้าช่วย และการแบ่งพื้นที่ไร่ใหม่ให้เล็กลง แต่ก็ยังประสบปัญหาความไม่ยั่งยืนของการทำไร่ มีการพึ่งพาตลาดมากขึ้นด้วย (หน้า 59) 2) การทำไร่แบบเปลี่ยนผ่านและไม่ยั่งยืน มีการปรับตัวแสวงหาทางเลือกในการจัดการไร่แบบใหม่หลายอย่าง เช่นการเปลี่ยนไร่เก่าเป็นสวนไม้ผลแบบเกษตรถาวร ทำให้มีการพึ่งพาตลาดมากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีความมั่นคงในการยังชีพ (หน้า 78) 3) การทำไร่หมุนเวียนแบบทางเลือกและยั่งยืน แสดงให้เห็นศักยภาพและพลวัตในการปรับตัวจนสามารถเลี้ยงตัวเองได้ โดยใช้ความรู้ภูมิปัญญาดั้งเดิม และการใช้ที่ดินอย่างผสมผสาน ทำให้สามารถดำรงรักษาความหลากหลายของสายพันธุ์ รวมทั้งการถือครองที่ดินตามสิทธิการใช้ของประเพณีท้องถิ่น และมีการพึ่งพาตลาดภายนอกน้อย (หน้า 78) การเปลี่ยนไร่เป็นนาขั้นบันไดเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ชุมชนเลือกใช้ หากแต่มีข้อจำกัดในเรื่องลักษณะภูมิประเทศ นอกจากการปรับตัวในระดับครัวเรือน ยังมีการปรับตัวในระดับชุมชน และสร้างเป็นเครือข่ายลุ่มน้ำและระหว่างลุ่มน้ำป่าชุมชนโดยร่วมกับอีก 4 หย่อมบ้าน สร้างข้อกำหนดแบ่งเขตการจัดการป่าอย่างยั่งยืน รวมทั้งการเข้าร่วมกับเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือเพื่อต่อสู้ในระดับนโยบาย (หน้า 94) |
|
Map/Illustration |
ตารางการใช้ที่ดินในชุมชนบ้านใหม่พัฒนา (34) ตารางปฏิทินการผลิตของระบบการทำไร่หมุนเวียนในอดีตของชุมชน (52) ตารางลักษณะของการกระจายการถือครองที่ดินประเภทต่างๆ ของครัวเรือน(55) ตารางปฏิทินการทำไร่หมุนเวียนของนายแก้ว ปี พ.ศ. 2532-2536 (61) ตารางปฏิทินการทำไร่หมุนเวียนของพะตี่พะคี่ ปี พ.ศ. 2539 (64) ตารางปฏิทินการทำไร่หมุนเวียนของนายแควา ปี พ.ศ. 2539 (70) ตารางการใช้ที่ดินในการทำไร่หมุนเวียนของนายภิญ ปี พ.ศ. 2536-2539 (76) ตารางการใช้ที่ดินในการทำไร่หมุนเวียนของนายสุนทร ปี พ.ศ. 2536-2539 (80) ตารางการใช้ที่ดินในการทำไร่หมุนเวียนของนายสุนทร ปี พ.ศ. 2536 (82) ตารางการใช้ที่ดินในการทำไร่หมุนเวียนของนายแซะ ปี พ.ศ. 2536-2539 (85) ตารางรายได้จากมะแขว่นของแต่ละครัวเรือน (122) แผนที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ (23) แผนที่รูปแบบการใช้พื้นที่ในหมู่บ้านของชาวบ้านและรัฐ (35) แผนที่ที่ตั้งไร่หมุนเวียนของกรณีศึกษาต่างๆ (60) รูปลักษณะการหมุนของไร่หมุนเวียน (49) รูปภาพจำลองรูปแบบระบบไร่หมุนเวียนของกลุ่มครัวเรือนที่มีพื้นที่หมุนเวียนน้อยไม่เต็มรูปแบบ (จอะชงี่) (54) รูปการปรับตัวโดยการปรับแปลงใหม่มีระยะหมุนเวียนยาวแต่ขนาดพื้นที่เล็กลง (65) รูปการปรับปรุงพื้นที่จากไร่หมุนเวียนไปเป็นสวนผลไม้และสวนมะแขว่น (73) รูปการแบ่งพื้นที่ไร่หมุนเวียนแปลงที่ 4 ปลูกดอกดาวเรือง (81) รูปการจัดการไร่นาป่าบนพื้นฐานของความรู้ท้องถิ่น (103) รูปการปรับปรุงพื้นที่จากไร่หมุนเวียนเป็นนาขั้นบันไดและป่าต้นน้ำ (119) รูปการปรับปรุงพื้นที่จากไร่หมุนเวียนเป็นป่ามะแขว่นและป่าอนุรักษ์ (121) รูปแสดงพลวัตของการจัดการพื้นที่ไร่หมุนเวียนเชิงซ้อนในช่วงเวลาที่ต่างกัน (127) |
|
|