สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ความขัดแย้ง,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้
Author อารง สุทธาศาสน์
Title ปัญหาความขัดแย้งในสี่จังหวัดภาคใต้
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 253 Year 2519
Source โครงการทำหนังสือเพื่อเผยแพร่ข้อเท็จจริงในสังคมไทย. กรุงสยามการพิมพ์. กรุงเทพฯ
Abstract

ปัญหาสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน และเป็นปัญหาที่มีลักษณะเฉพาะอันเกิดจากการที่ประชาชนมีศาสนา วัฒนธรรม วิถีการดำรงชีวิตที่แตกต่าง รัฐบาลจึงมีการปกครองพิเศษเฉพาะสี่จังหวัดภาคใต้ การดำเนินนโยบายของรัฐบาล เช่น ส่งข้าราชการที่เป็นไทยพุทธจากภูมิภาคอื่นไปปกครอง หรือกีดกันไม่ให้มุสลิมรับราชการในสี่จังหวัดภาคใต้ทำให้ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลและประชาชนมีความแตกแยกกันมากยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดมาโดยตลอด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนมีความรังเกียจไทยมุสลิมและหาทางกลั่นแกล้ง เช่น โยนความผิดไปให้คนดี หรือไทยพุทธเองก็มีการกระทำที่แสดงถึงการดูถูกมุสลิม ทำให้ประชาชนมองว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจและพยายามกลืนวัฒนธรรมของไทยมุสลิมอยู่ตลอดเวลา ประชาชนมุสลิมจึงไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล ซึ่งเป็นชนวนก่อให้เกิดการประท้วงครั้งนี้ ก่อนเกิดเหตุการณ์การประท้วง ประชาชนมุสลิมมีความไม่พอใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลเท่านั้นแต่หลังจากเหตุการณ์ประท้วงผ่านไปการดำเนินงานของรัฐบาลก่อให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อประชาชน จนส่งผลกระทบถึงความสัมพันธ์มาถึงประชาชนไทยพุทธและไทยมุสลิม ซึ่งไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนแต่ก่อน

Focus

ศึกษากรณีปัญหาความขัดแย้งในสี่จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นชนวนสะสมที่ก่อให้เกิดการประท้วงที่ปัตตานีในปี พ.ศ. 2518 และรายละเอียดในระหว่างการประท้วง ตลอดจนผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากการประท้วง

Theoretical Issues

ผู้เขียนมองในแง่ข้อเท็จจริงที่ว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นได้เกิดจากเรื่องเอกลักษณ์ระหว่างไทยมุสลิมและไทยพุทธ โดยการนำที่มาของประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม และภาษามาตีแผ่ ผู้เขียนหาข้อมูลโดยการเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์การประท้วงและสอบถามข้อมูลผู้อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยตนเอง โดยผู้เขียนได้แสดงให้เห็นว่าการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในการเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาในสี่จังหวัดภาคใต้ รวมทั้งการกระทำของเจ้าหน้าที่นั้นมีความผิดพลาดมาตลอด นอกจากความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐบาลกับประชาชน จะทำให้เกิดผลกระทบให้ไทยมุสลิมและไทยพุทธขัดแย้งกันเองแล้ว ยังมีปัจจัยอีกหลายประการ เช่น กลุ่มผู้มีอิทธิผลทางเศรษฐกิจ บางกลุ่มใช้โจรเป็นเครื่องมือและเข้าหาตำรวจโดยเอาผลประโยชน์เข้าเกี่ยวข้อง เมื่อมีการขัดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจึงมีการใส่ร้ายป้ายสีให้ผู้บริสุทธิ์เป็นโจรแบ่งแยกดินแดน หรือ การสร้างสถานการณ์เพื่อให้เกิดการบาดหมางกันระหว่างศาสนา หรือการปราบปรามของเจ้าหน้ารัฐบาลที่เข้ามาพัวพันกับผู้บริสุทธิ ส่วนผู้กระทำผิดเล็ดรอดจากการปราบปรามมาโดยตลอด (หน้า 24-29)

Ethnic Group in the Focus

ไทยมุสลิมในสี่จังหวัดภาคใต้

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาที่ไทยมุสลิมใช้ในสี่จังหวัดภาคใต้ใช้ คือ ภาษามาเลย์ท้องถิ่นซึ่งแม้จะได้รับอิทธิพลจากภาษาไทย แต่โครงสร้างมาจากภาษามาเลย์ที่ใช้กันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ และเป็นสิ่งที่ผูกพันอยู่กับโครงสร้างของสังคม และวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชน อีกทั้งภาษามาเลย์ยังเป็นสื่อที่ใช้ในการสอนศาสนาอิสลาม ภาษามาเลย์จึงกลายเป็นเอกลักษณ์ที่หวงแหนของมุสลิม ชาวใต้ปัจจุบันแม้จะใช้ภาษาไทยกันมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ใช้ในทุกโอกาส (หน้า 144-148)

Study Period (Data Collection)

เดือนธันวาคม พ.ศ. 2518

History of the Group and Community

ประวัติศาสตร์ของสี่จังหวัดภาคใต้ แบ่งคร่าวๆ ออกเป็น 3 ยุคด้วยกัน คือ ยุคต้น ยุคกลาง และยุคปัจจุบัน - ยุคต้น ได้ค้นพบหลักฐานที่แสดงว่าบริเวณที่ตั้งของสี่จังหวัดภาคใต้ และจังหวัดสงขลา มีชื่อเรียกในปี พ.ศ. 1149-1150 ว่า อาณาจักรฉีตื้อ ส่วนอีกหลักฐานหนึ่งมีชื่อเรียกว่า ลังกาซูกา หรือ ลังยาสิ่ว ซึ่งหลักฐานก็ไม่ได้ปรากฏเป็นที่แน่ชัด ประวัติศาสตร์จึงยังคลุมเครืออยู่ - ยุคกลาง รัฐปัตตานีได้มีบทบาทอย่างมาก เพราะเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและเป็นท่าเรือซึ่งผู้คนมาใช้กันมากมาย - ยุคใหม่นี้รัชกาลที่ 1 ได้ทรงยกทัพไปปราบเมืองปัตตานี และทรงจัดระเบียบการปกครอง โดยแบ่งปัตตานีออกเป็น 7 หัวเมืองเพื่อง่ายต่อการปกครอง (หน้า 109-110, 112, 119-120)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ไม่มีข้อมูล

Social Organization

ลักษณะของมุสลิมมักจะเคารพและยึดถือโต๊ะครูปอเนาะ ซึ่งมีหน้าที่อบรมสั่งสอนทางด้านศาสนา และวัฒนธรรม เมื่อมีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น โต๊ะครูปอเนาะจะช่วยแก้ไขปัญหา ทำให้โต๊ะครูปอเนาะเป็นศูนย์รวมจิตใจของมุสลิม

Political Organization

ในสมัยก่อนมุสลิมจะมีกษัตริย์เป็นของตนเอง ภายหลังอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ไทย และมีการปกครองโดยแบ่งออกเป็นหัวเมือง โดยเจ้าเมืองบางคนมีเชื้อสายมลายู แต่บางคนก็เป็นไทยพุทธ ส่วนในชุมชนจะมีผู้นำท้องถิ่นเป็นผู้คอยช่วยเหลือประชาชน (หน้า 118-120, 188,196)

Belief System

อิสลามเป็นศาสนาที่มีบทกำหนดความเชื่อ และการปฏิบัติตนต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งคำสอนที่เกี่ยวกับโลกนี้และโลกหน้า ดังนั้น ศาสนาอิสลามจึงได้กำหนดขอบข่ายพฤติกรรม รวมทั้งความคิดของมนุษย์เกือบจะโดยทั้งหมด โดยความเชื่อและหลักในการปฏิบัติมาจากทั้งบทบัญญัติคำสอนทางศาสนา และจากจารีตประเพณีที่สืบทอดกันมา ดังนั้น แนวทางการดำรงชีวิตของมุสลิมจึงมีความผูกพันกับศาสนากันอย่างแนบแน่น ถ้ามีการปฏิบัติที่ผิดออกไปแล้วจะถือว่ามีบาป อีกทั้งถ้าสังคมปราศจากหลักปฏิบัติที่ยึดถือแล้วจะเกิดปัญหาทางสังคมขึ้นมากมาย เช่น อาชญากรรม โสเภณี ฯลฯ ดังนั้น คนในสังคมจึงร่วมกันพยายามรักษาวัฒนธรรม ดังที่เราเห็นกันว่า เมื่อทางรัฐบาลมีนโยบายที่จะเปลี่ยนแปลงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาสนาจะได้รับการต่อต้านจากประชาชน ทำให้รัฐบาลมองประชาชนว่าไม่ยอมรับความเป็นไทย และงมงายในศาสนาของตนเอง หน้าที่หลักของมุสลิม คือ ต้องเรียนรู้ และเผยแพร่ศาสนาโดยเฉพาะโต๊ะครูซึ่งเรียนรู้มาทางด้านศาสนาโดยตรงถือว่ามีหน้าที่หลักในการเผยแพร่ศาสนา ถ้าละเลยจะถือว่าเป็นบาป อีกทั้ง วิถีชีวิตของไทยมุสลิมกับไทยพุทธยังมีหลักการที่แตกต่างกัน เช่น การแยกอาหารการกิน พิธีกรรมทางศาสนา ภาษาพูด วันเฉลิมฉลองต่าง ๆ และการแต่งกาย ทำให้ไทยพุทธและไทยมุสลิมมีความรู้สึกถึงความแตกต่างและการแบ่งแยกเป็นกลุ่ม ๆ นอกจากนี้ ภาษามาเลย์ยังเป็นสื่อที่ใช้ในการสอนศาสนาอิสลาม และมีการใช้ภาษามาเลย์กันในสี่จังหวัดภาคใต้มาตั้งแต่บรรพบุรุษ มุสลิมจึงมองภาษามาเลย์ทั้งในด้านศาสนาที่จะต้องปกปักรักษา และในแง่ที่เป็นเอกลักษณ์ของมุสลิม (หน้า 103-144)

Education and Socialization

ไทยมุสลิมมักไม่นิยมส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาล นอกจากเรียนเฉพาะภาคบังคับ เมื่อพ้นภาคบังคับแล้วก็ส่งเข้าโรงเรียนของมุสลิม หรือส่งไปศึกษาต่อในประเทศมุสลิม ส่วนในประเทศไทยแม้ว่าทางรัฐบาลจะมีนโยบายล้มเลิกการสอนภาษามลายูในโรงเรียนก็ตาม บุคคลภายในครอบครัวจะเป็นผู้สอนให้ลูกหลานของตนเอง ส่วนโรงเรียนปอเนาะที่แปรสภาพไปแล้วก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ (หน้า 159-160)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

เรื่องราวของมุสลิมส่วนใหญ่มักจะอยู่ในรูป ตำนาน คติชาวบ้าน นิยายปรัมปราหรือเรื่องเล่า เช่น เรื่องของดาโต๊ะปันยัง (เช็ค อาลี) ได้ถูกประหารชีวิตและศพถูกทิ้งลงแม่น้ำแต่ศพกลับลอยทวนน้ำกระแสน้ำได้ อีกเรื่องหนึ่งเป็นที่มาของการตั้งเรื่องที่ปัตตานี ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่า กษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามว่า พยาตู อันตารา วันหนึ่งได้ออกไปล่าสัตว์แถวป่าชายทะเลแล้วพบกระจงสีขาวตัวใหญ่เกือบเท่าแพะ แต่เมื่อได้ติดตามไปกลับไม่พบ และเมื่อกษัตริย์พิจารณาชายหาดนี้เห็นว่า มีความเหมาะสมต่อการตั้งเมืองหลวง พระองค์จึงได้ย้ายเมืองหลวงจากโกตามะห์ลีกัยมาที่ชายหาดนี้และได้ตั้งชื่อว่า " ปัตตานี" (หน้า 113-115)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ลักษณะของมุสลิมจะมีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตนเอง ซึ่งศาสนาอิสลามจะเป็นตัวกำหนดการกระทำต่าง ๆ ของทั้งระหว่างมุสลิมด้วยกันเอง และมุสลิมกับสิ่งแวดล้อม เช่น สัตว์บางประเภทซึ่งต้องห้ามสำหรับมุสลิม อาหาร และเครื่องดื่มที่ควรละเว้น มีพิธีกรรมเฉพาะชุมชน เดือนถือศีลอด เป็นต้น นอกจากเอกลักษณ์ทางศาสนา และวัฒนธรรมแล้ว ยังมีเอกลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ และเอกลักษณ์ทางภาษา ทำให้มุสลิมแตกต่างจากชุมชนอื่น ซึ่งเป็นสิ่งส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดแรงยึดเหนี่ยวให้ประชาชนมุสลิมมีความผูกพันกันแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น (หน้า 140, 172-173, 156)

Social Cultural and Identity Change

เนื้อหาของศาสนาและวัฒนธรรมอิสลามนั้น มีทั้งคงที่และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้นั้นจะคงอยู่แบบนั้นอยู่ตลอดเวลา ส่วนที่เปลี่ยนแปลงได้จะต้องเป็นไปตามกลไกทางธรรมชาติ ไม่ใช่การฝืนหรือบังคับ แม้ว่าจะมีบุคคลที่ไม่พอใจพยายามให้ประชาชนมุสลิมเปลี่ยนแปลงการกระทำบางอย่างทันที แต่นั่นยิ่งทำให้ประชาชนเกิดความไม่พอใจ แต่ในปัจจุบันประชาชนได้เริ่มนิยมแต่งตัวทันสมัยขึ้น และพูดภาษาไทยได้มากขึ้นแล้ว (หน้า 138-140)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ผู้เขียนได้แนะนำเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาในสี่จังหวัดภาคใต้ โดยประการแรก ต้องสร้างทัศนคติที่ดี และจำเป็นต้องมีความเข้าใจต่อกันและวางใจเป็นกลาง ประการที่สอง สร้างหลักการและแนวความคิดที่เหมาะสม เช่น เรื่องความเป็นไทย กำหนดจากสิทธิและหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด โดยไม่ได้แบ่งคนไทยตามความเป็นมาในประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรมหรือภาษา เป็นต้น ประการสาม คลายภาวะทางจิตวิทยาและความตึงเครียด ที่เกิดจากการกระทบกระทั้งระหว่างไทยพุทธและไทยมุสลิม เช่น การเลิกนโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม ประการสี่ ปรับปรุงภาวะทางศาสนาและส่งเสริมการศึกษา ให้มีโครงสร้างดีเพื่อการแก้ปัญหาที่ง่ายขึ้น (หน้า 216 - 228, 247 - 249)

Map/Illustration

แผนภูมิของราชวงศ์ปัตตานี (หน้า 116) แผนผังปัญหาการขัดแย้ง (หน้า 215)

Text Analyst ชลธิชา โพธิ์ทอง Date of Report 07 พ.ย. 2555
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, มุสลิม, ความขัดแย้ง, สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง