|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ความขัดแย้ง,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
Author |
อารง สุทธาศาสน์ |
Title |
ปัญหาความขัดแย้งในสี่จังหวัดภาคใต้ |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
253 |
Year |
2519 |
Source |
โครงการทำหนังสือเพื่อเผยแพร่ข้อเท็จจริงในสังคมไทย. กรุงสยามการพิมพ์. กรุงเทพฯ |
Abstract |
ปัญหาสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน และเป็นปัญหาที่มีลักษณะเฉพาะอันเกิดจากการที่ประชาชนมีศาสนา วัฒนธรรม วิถีการดำรงชีวิตที่แตกต่าง รัฐบาลจึงมีการปกครองพิเศษเฉพาะสี่จังหวัดภาคใต้ การดำเนินนโยบายของรัฐบาล เช่น ส่งข้าราชการที่เป็นไทยพุทธจากภูมิภาคอื่นไปปกครอง หรือกีดกันไม่ให้มุสลิมรับราชการในสี่จังหวัดภาคใต้ทำให้ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลและประชาชนมีความแตกแยกกันมากยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดมาโดยตลอด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนมีความรังเกียจไทยมุสลิมและหาทางกลั่นแกล้ง เช่น โยนความผิดไปให้คนดี หรือไทยพุทธเองก็มีการกระทำที่แสดงถึงการดูถูกมุสลิม ทำให้ประชาชนมองว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจและพยายามกลืนวัฒนธรรมของไทยมุสลิมอยู่ตลอดเวลา ประชาชนมุสลิมจึงไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล ซึ่งเป็นชนวนก่อให้เกิดการประท้วงครั้งนี้ ก่อนเกิดเหตุการณ์การประท้วง ประชาชนมุสลิมมีความไม่พอใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลเท่านั้นแต่หลังจากเหตุการณ์ประท้วงผ่านไปการดำเนินงานของรัฐบาลก่อให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อประชาชน จนส่งผลกระทบถึงความสัมพันธ์มาถึงประชาชนไทยพุทธและไทยมุสลิม ซึ่งไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนแต่ก่อน |
|
Focus |
ศึกษากรณีปัญหาความขัดแย้งในสี่จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นชนวนสะสมที่ก่อให้เกิดการประท้วงที่ปัตตานีในปี พ.ศ. 2518 และรายละเอียดในระหว่างการประท้วง ตลอดจนผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากการประท้วง |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนมองในแง่ข้อเท็จจริงที่ว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นได้เกิดจากเรื่องเอกลักษณ์ระหว่างไทยมุสลิมและไทยพุทธ โดยการนำที่มาของประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม และภาษามาตีแผ่ ผู้เขียนหาข้อมูลโดยการเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์การประท้วงและสอบถามข้อมูลผู้อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยตนเอง โดยผู้เขียนได้แสดงให้เห็นว่าการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในการเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาในสี่จังหวัดภาคใต้ รวมทั้งการกระทำของเจ้าหน้าที่นั้นมีความผิดพลาดมาตลอด นอกจากความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐบาลกับประชาชน จะทำให้เกิดผลกระทบให้ไทยมุสลิมและไทยพุทธขัดแย้งกันเองแล้ว ยังมีปัจจัยอีกหลายประการ เช่น กลุ่มผู้มีอิทธิผลทางเศรษฐกิจ บางกลุ่มใช้โจรเป็นเครื่องมือและเข้าหาตำรวจโดยเอาผลประโยชน์เข้าเกี่ยวข้อง เมื่อมีการขัดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจึงมีการใส่ร้ายป้ายสีให้ผู้บริสุทธิ์เป็นโจรแบ่งแยกดินแดน หรือ การสร้างสถานการณ์เพื่อให้เกิดการบาดหมางกันระหว่างศาสนา หรือการปราบปรามของเจ้าหน้ารัฐบาลที่เข้ามาพัวพันกับผู้บริสุทธิ ส่วนผู้กระทำผิดเล็ดรอดจากการปราบปรามมาโดยตลอด (หน้า 24-29) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยมุสลิมในสี่จังหวัดภาคใต้ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาที่ไทยมุสลิมใช้ในสี่จังหวัดภาคใต้ใช้ คือ ภาษามาเลย์ท้องถิ่นซึ่งแม้จะได้รับอิทธิพลจากภาษาไทย แต่โครงสร้างมาจากภาษามาเลย์ที่ใช้กันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ และเป็นสิ่งที่ผูกพันอยู่กับโครงสร้างของสังคม และวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชน อีกทั้งภาษามาเลย์ยังเป็นสื่อที่ใช้ในการสอนศาสนาอิสลาม ภาษามาเลย์จึงกลายเป็นเอกลักษณ์ที่หวงแหนของมุสลิม ชาวใต้ปัจจุบันแม้จะใช้ภาษาไทยกันมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ใช้ในทุกโอกาส (หน้า 144-148) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์ของสี่จังหวัดภาคใต้ แบ่งคร่าวๆ ออกเป็น 3 ยุคด้วยกัน คือ ยุคต้น ยุคกลาง และยุคปัจจุบัน - ยุคต้น ได้ค้นพบหลักฐานที่แสดงว่าบริเวณที่ตั้งของสี่จังหวัดภาคใต้ และจังหวัดสงขลา มีชื่อเรียกในปี พ.ศ. 1149-1150 ว่า อาณาจักรฉีตื้อ ส่วนอีกหลักฐานหนึ่งมีชื่อเรียกว่า ลังกาซูกา หรือ ลังยาสิ่ว ซึ่งหลักฐานก็ไม่ได้ปรากฏเป็นที่แน่ชัด ประวัติศาสตร์จึงยังคลุมเครืออยู่ - ยุคกลาง รัฐปัตตานีได้มีบทบาทอย่างมาก เพราะเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและเป็นท่าเรือซึ่งผู้คนมาใช้กันมากมาย - ยุคใหม่นี้รัชกาลที่ 1 ได้ทรงยกทัพไปปราบเมืองปัตตานี และทรงจัดระเบียบการปกครอง โดยแบ่งปัตตานีออกเป็น 7 หัวเมืองเพื่อง่ายต่อการปกครอง (หน้า 109-110, 112, 119-120) |
|
Social Organization |
ลักษณะของมุสลิมมักจะเคารพและยึดถือโต๊ะครูปอเนาะ ซึ่งมีหน้าที่อบรมสั่งสอนทางด้านศาสนา และวัฒนธรรม เมื่อมีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น โต๊ะครูปอเนาะจะช่วยแก้ไขปัญหา ทำให้โต๊ะครูปอเนาะเป็นศูนย์รวมจิตใจของมุสลิม |
|
Political Organization |
ในสมัยก่อนมุสลิมจะมีกษัตริย์เป็นของตนเอง ภายหลังอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ไทย และมีการปกครองโดยแบ่งออกเป็นหัวเมือง โดยเจ้าเมืองบางคนมีเชื้อสายมลายู แต่บางคนก็เป็นไทยพุทธ ส่วนในชุมชนจะมีผู้นำท้องถิ่นเป็นผู้คอยช่วยเหลือประชาชน (หน้า 118-120, 188,196) |
|
Belief System |
อิสลามเป็นศาสนาที่มีบทกำหนดความเชื่อ และการปฏิบัติตนต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งคำสอนที่เกี่ยวกับโลกนี้และโลกหน้า ดังนั้น ศาสนาอิสลามจึงได้กำหนดขอบข่ายพฤติกรรม รวมทั้งความคิดของมนุษย์เกือบจะโดยทั้งหมด โดยความเชื่อและหลักในการปฏิบัติมาจากทั้งบทบัญญัติคำสอนทางศาสนา และจากจารีตประเพณีที่สืบทอดกันมา ดังนั้น แนวทางการดำรงชีวิตของมุสลิมจึงมีความผูกพันกับศาสนากันอย่างแนบแน่น ถ้ามีการปฏิบัติที่ผิดออกไปแล้วจะถือว่ามีบาป อีกทั้งถ้าสังคมปราศจากหลักปฏิบัติที่ยึดถือแล้วจะเกิดปัญหาทางสังคมขึ้นมากมาย เช่น อาชญากรรม โสเภณี ฯลฯ ดังนั้น คนในสังคมจึงร่วมกันพยายามรักษาวัฒนธรรม ดังที่เราเห็นกันว่า เมื่อทางรัฐบาลมีนโยบายที่จะเปลี่ยนแปลงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาสนาจะได้รับการต่อต้านจากประชาชน ทำให้รัฐบาลมองประชาชนว่าไม่ยอมรับความเป็นไทย และงมงายในศาสนาของตนเอง หน้าที่หลักของมุสลิม คือ ต้องเรียนรู้ และเผยแพร่ศาสนาโดยเฉพาะโต๊ะครูซึ่งเรียนรู้มาทางด้านศาสนาโดยตรงถือว่ามีหน้าที่หลักในการเผยแพร่ศาสนา ถ้าละเลยจะถือว่าเป็นบาป อีกทั้ง วิถีชีวิตของไทยมุสลิมกับไทยพุทธยังมีหลักการที่แตกต่างกัน เช่น การแยกอาหารการกิน พิธีกรรมทางศาสนา ภาษาพูด วันเฉลิมฉลองต่าง ๆ และการแต่งกาย ทำให้ไทยพุทธและไทยมุสลิมมีความรู้สึกถึงความแตกต่างและการแบ่งแยกเป็นกลุ่ม ๆ นอกจากนี้ ภาษามาเลย์ยังเป็นสื่อที่ใช้ในการสอนศาสนาอิสลาม และมีการใช้ภาษามาเลย์กันในสี่จังหวัดภาคใต้มาตั้งแต่บรรพบุรุษ มุสลิมจึงมองภาษามาเลย์ทั้งในด้านศาสนาที่จะต้องปกปักรักษา และในแง่ที่เป็นเอกลักษณ์ของมุสลิม (หน้า 103-144) |
|
Education and Socialization |
ไทยมุสลิมมักไม่นิยมส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาล นอกจากเรียนเฉพาะภาคบังคับ เมื่อพ้นภาคบังคับแล้วก็ส่งเข้าโรงเรียนของมุสลิม หรือส่งไปศึกษาต่อในประเทศมุสลิม ส่วนในประเทศไทยแม้ว่าทางรัฐบาลจะมีนโยบายล้มเลิกการสอนภาษามลายูในโรงเรียนก็ตาม บุคคลภายในครอบครัวจะเป็นผู้สอนให้ลูกหลานของตนเอง ส่วนโรงเรียนปอเนาะที่แปรสภาพไปแล้วก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ (หน้า 159-160) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
เรื่องราวของมุสลิมส่วนใหญ่มักจะอยู่ในรูป ตำนาน คติชาวบ้าน นิยายปรัมปราหรือเรื่องเล่า เช่น เรื่องของดาโต๊ะปันยัง (เช็ค อาลี) ได้ถูกประหารชีวิตและศพถูกทิ้งลงแม่น้ำแต่ศพกลับลอยทวนน้ำกระแสน้ำได้ อีกเรื่องหนึ่งเป็นที่มาของการตั้งเรื่องที่ปัตตานี ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่า กษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามว่า พยาตู อันตารา วันหนึ่งได้ออกไปล่าสัตว์แถวป่าชายทะเลแล้วพบกระจงสีขาวตัวใหญ่เกือบเท่าแพะ แต่เมื่อได้ติดตามไปกลับไม่พบ และเมื่อกษัตริย์พิจารณาชายหาดนี้เห็นว่า มีความเหมาะสมต่อการตั้งเมืองหลวง พระองค์จึงได้ย้ายเมืองหลวงจากโกตามะห์ลีกัยมาที่ชายหาดนี้และได้ตั้งชื่อว่า " ปัตตานี" (หน้า 113-115) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ลักษณะของมุสลิมจะมีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตนเอง ซึ่งศาสนาอิสลามจะเป็นตัวกำหนดการกระทำต่าง ๆ ของทั้งระหว่างมุสลิมด้วยกันเอง และมุสลิมกับสิ่งแวดล้อม เช่น สัตว์บางประเภทซึ่งต้องห้ามสำหรับมุสลิม อาหาร และเครื่องดื่มที่ควรละเว้น มีพิธีกรรมเฉพาะชุมชน เดือนถือศีลอด เป็นต้น นอกจากเอกลักษณ์ทางศาสนา และวัฒนธรรมแล้ว ยังมีเอกลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ และเอกลักษณ์ทางภาษา ทำให้มุสลิมแตกต่างจากชุมชนอื่น ซึ่งเป็นสิ่งส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดแรงยึดเหนี่ยวให้ประชาชนมุสลิมมีความผูกพันกันแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น (หน้า 140, 172-173, 156) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เนื้อหาของศาสนาและวัฒนธรรมอิสลามนั้น มีทั้งคงที่และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้นั้นจะคงอยู่แบบนั้นอยู่ตลอดเวลา ส่วนที่เปลี่ยนแปลงได้จะต้องเป็นไปตามกลไกทางธรรมชาติ ไม่ใช่การฝืนหรือบังคับ แม้ว่าจะมีบุคคลที่ไม่พอใจพยายามให้ประชาชนมุสลิมเปลี่ยนแปลงการกระทำบางอย่างทันที แต่นั่นยิ่งทำให้ประชาชนเกิดความไม่พอใจ แต่ในปัจจุบันประชาชนได้เริ่มนิยมแต่งตัวทันสมัยขึ้น และพูดภาษาไทยได้มากขึ้นแล้ว (หน้า 138-140) |
|
Other Issues |
ผู้เขียนได้แนะนำเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาในสี่จังหวัดภาคใต้ โดยประการแรก ต้องสร้างทัศนคติที่ดี และจำเป็นต้องมีความเข้าใจต่อกันและวางใจเป็นกลาง ประการที่สอง สร้างหลักการและแนวความคิดที่เหมาะสม เช่น เรื่องความเป็นไทย กำหนดจากสิทธิและหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด โดยไม่ได้แบ่งคนไทยตามความเป็นมาในประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรมหรือภาษา เป็นต้น ประการสาม คลายภาวะทางจิตวิทยาและความตึงเครียด ที่เกิดจากการกระทบกระทั้งระหว่างไทยพุทธและไทยมุสลิม เช่น การเลิกนโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม ประการสี่ ปรับปรุงภาวะทางศาสนาและส่งเสริมการศึกษา ให้มีโครงสร้างดีเพื่อการแก้ปัญหาที่ง่ายขึ้น (หน้า 216 - 228, 247 - 249) |
|
Map/Illustration |
แผนภูมิของราชวงศ์ปัตตานี (หน้า 116) แผนผังปัญหาการขัดแย้ง (หน้า 215) |
|
|