|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
พวน ไทพวน ไทยพวน,วิถีชีวิต,สังคม,วัฒนธรรม,ประวัติศาสตร์,ชุมชนท้องถิ่น,อุดรธานี |
Author |
ฤดีมน ปรีดีสนิท |
Title |
วิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรมประเพณีและประวัติศาสตร์ชุมชนกรณีไทย-พวน อำเภอบ้านผือ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทยพวน ไทพวน คนพวน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
71 |
Year |
2539 |
Source |
ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏอุดรธานี |
Abstract |
ไทพวนบ้านผือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาว ที่มีความสำนึกในเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของตนสูง ทั้งสำนึกในความเป็นพวน สำนึกในประวัติศาสตร์ชนชาติ ตลอดจนสำนึกในภาษาพวน วิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรมประเพณีของไทพวน อำเภอบ้านผือ มีฮีตคองเช่นเดียวกับชาติพันธุ์ไท-ลาวอื่น แต่มีข้อปฏิบัติและความเชื่อแตกต่างกันออกไป สังคมไทพวนบ้านผือเป็นสังคมที่นับถือผี มีพิธีกรรมความเชื่อที่ยังคงปฏิบัติสืบทอดกันมา แม้ปัจจุบันไทพวนเหล่านี้จะนับถือพุทธศาสนาแล้วก็ตามแต่ยังเป็นการนับถือผีคู่ไปกับนับถือพระ งานศึกษานี้มุ่งเน้นด้านประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อและความสำนึกในชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งมีความสำคัญและควรตระหนักถึงการรักษาวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่อย่างมั่นคงและแข็งแรงสืบไป (หน้า 71) |
|
Focus |
เน้นการศึกษาวิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรมประเพณี และประวัติศาสตร์ชุมชนไทพวน อำเภอบ้านผือ ที่มีสำนึกในอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์สูง ภายใต้การปะทะสังสรรค์ทางวัฒนธรรมของไทพวนกับชาติพันธุ์อื่น ๆ |
|
Theoretical Issues |
ชุมชนไทพวน อำเภอบ้านผือ มีสำนึกในเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของตนสูง ไม่ว่าจะเป็นสำนึกในความเป็นพวน สำนึกในประวัติศาสตร์ชนชาติ ตลอดจนสำนึกในภาษาพวน ผู้วิจัยมองว่าการพบปะสังสรรค์ของไทพวนกับชาติพันธุ์อื่น ๆ ในอำเภอบ้านผือ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม (หน้า 20, 69) อันเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนไทพวนบ้านผือ ด้วยเหตุนี้ คนรุ่นหลังจึงควรตระหนักถึงรากเหง้าทางวัฒนธรรมภูมิปัญญาในท้องถิ่นของตนก่อนที่จะสูญหายไปกับการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาในชุมชน (หน้า 1,71) |
|
Ethnic Group in the Focus |
พวนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาว (หน้า 10) ที่อพยพมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทยมาเป็นเวลานานกว่า 200 ปี (หน้า 7) อาศัยอยู่กระจัดกระจายในภาคอีสานบริเวณใกล้แม่น้ำโขง เช่น จังหวัดเลย หนองคาย อุดรธานี หนองบัวลำภู เป็นต้น (หน้า 17) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ในงานศึกษาระบุเพียงว่า ภาษาพวนเป็นภาษาหลักของบ้านผือ สามารถสื่อสารได้กับทุกกลุ่ม ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ จะปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมไทพวน (หน้า 20) ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ภาษาเริ่มเปลี่ยนแปลงปะทะสังสรรค์ระหว่างไท-ลาว ไทพวน ไทอีสาน ศัพท์ต่างๆ จะใช้ร่วมกัน เช่น คนพวนรุ่นเก่าใช้ว่า "จะไปกะเหลอมา" แต่คนรุ่นใหม่จะพูดว่า "ไปไสมา" แม้ว่าสำเนียงจะเป็นพวนอยู่แต่คำศัพท์เปลี่ยนไปใช้คำไท-ลาว กลาง หรือใช้ไทยอีสานมากขึ้น (ภาคผนวก คำศัพท์ภาษาพวน) |
|
Study Period (Data Collection) |
สัมภาษณ์ระหว่างเดือนตุลาคม - ธันวาคม พ.ศ. 2538 ผู้วิจัยใช้วิธีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ โดยสัมภาษณ์ผู้สูงอายุในหมู่บ้านไทพวน 3 ตำบลจาก 6 ตำบล ในเขตอำเภอบ้านผือ (หน้า 2) |
|
History of the Group and Community |
พวนมีประวัติศาสตร์อันยาวนานของตนเอง ปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์และงานศึกษาหลายชิ้น (หน้า 3-7) "พวน" เป็นคำเรียกกลุ่มชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแคว้นเชียงขวางซึ่งอยู่ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้ชื่อว่า พวน เพราะเชียงขวางมีแม่น้ำสายสำคัญชื่อแม่น้ำพวนไหลผ่าน เชียงขวางเป็นแดนกั้นระหว่างลาวและญวนจึงเป็นดินแดนที่มีการทำสงครามของทั้งสองฝ่ายเสมอ ทำให้พวนต้องอพยพไปอยู่ที่อื่น (หน้า 10) พวนเชียงขวางอพยพเข้ามาอยู่ในไทยเมื่อ 200 ปีมาแล้ว ตั้งแต่รัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อไทยยกทัพไปตีเวียงจันทน์ ได้กวาดต้อนผู้คนในเวียงจันทน์มากรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก ทั้งลาวเวียง ลาวพวน และผู้ไทลาวโซ่ง โดยให้ไปอยู่ตามหัวเมืองชั้นใน เช่น เมืองสระบุรี ลพบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา ต่อมาปี พ.ศ.2325 เจ้าเมืองแถงเจ้าเมืองพวน ได้แข็งเมืองต่อเวียงจันทน์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ยกกองทัพไปตีเมืองและกวดเอาลาวทรงดำ (ผู้ไท) และลาวพวนลงมากรุงเทพฯ จำนวนมาก ในสมัยรัชกาลที่ 2 โปรดฯ ให้ครัวลาวที่ถูกเกณฑ์มาเป็นแรงงานซึ่งเป็นลาวพวนทั้งสิ้น ตั้งบ้านเรือนที่บางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ในปี พ.ศ. 2370 ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ก่อกบฏต่อกรุงเทพฯ กองทัพไทยส่งกำลังไปทำลายเวียงจันทน์และกวาดต้อนครัวลาวเวียงและลาวพวนลงมากรุงเทพฯ จำนวนมาก โดยรัชกาลที่ 3 โปรดฯ ให้อยู่บริเวณภาคกลาง เช่น สระบุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี ปราจีนบุรี ทางเหนือจะอยู่ที่กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิจิตร และทางภาคอีสาน อยุ่ที่เลย หนองคาย อุดรธานี หนองบัวลำภู ต่อมาเกิดศึกฮ่อ ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 พวนอพยพหนีฮ่อเข้าไปอยู่ในเวียงจันทน์ หลวงพระบาง และอพยพมาอยู่ในไทย บ้างก็ไปอยู่กับพี่น้องที่อพยพเข้ามาอยู่ก่อนแล้ว (หน้า 12-16) ชุมชนไทพวนอำเภอบ้านผือ เป็นลาวพวนที่อพยพและถูกกวาดต้อนมาจากเชียงขวาง และหัวพันทั้งห้าทั้งหก ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เข้ามาตั้งถิ่นฐานในอำเภอบ้านผือ โดยแบ่งตามช่วงเวลา ดังนี้ ไทพวนบ้านกลางใหญ่ เป็นลาวพวนที่เข้ามาอยู่ในอำเภอบ้านผือ ตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อครั้งที่ไทยยกทัพไปปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทน์ เมื่อปี พ.ศ. 2370 ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้กวาดต้อนครัวลาวเวียงและลาวพวนลงไปกรุงเทพฯ แต่ลาวพวนจากบ้านหนองแก้ว หาดเดือย เชียงขวาง 11 ครัว ขออนุญาตกองทัพยั้งอยู่ที่กลางใหญ่ ซึ่งเป็นที่ราบเชิงเขาภูพานและได้ตั้งบ้านเรือนกระจายไปในละแวกใกล้เคียง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดศึกฮ่อราว พ.ศ. 2428-2436 พวกฮ่อได้ยกกำลังเข้ารุกรานปล้นสะดมลาวพวนที่เชียงขวางและหัวพันทั้งห้าทั้งหก ลาวพวนที่อพยพหนีศึกฮ่อจากทุ่งเชียงคำได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณบ้านผือ ส่วนลาวพวนจากเมืองแมด เมืองกาสี ที่อพยพหนีฮ่อมาในคราวเดียวกัน ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านเมืองพาน บ้านกาลึม บ้านหนองกาลึม และบางส่วนอพยพลงไปภาคกลางเพื่อหาญาติพี่น้องที่ถูกกวาดต้อนลงไปตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ เมื่อไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงแก่ฝรั่งเศส ประกอบกับรัชกาลที่ 5 ประกาศเลิกทาสและให้อิสระแก่ครัวลาวโยกย้ายถิ่นฐานได้แต่ไม่ให้ข้ามแม่น้ำโขงไป พวนจากบ้านหมี่ ลพบุรี และเสาไห้ จังหวัดสระบุรี จังหวัดปราจีนบุรี จึงอพยพไปหาญาติพี่น้องและหาที่ทำกินใหม่ที่บ้านผือ อนึ่ง พวนกลุ่มนี้เป็นพวกที่ถูกกวาดต้อนไปอยู่ภาคกลางเมื่อต้นรัตนโกสินทร์จากการแตกศึกฮ่อมา ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกกดขี่ ดูถูกเหยียดหยามจากคนไทยที่อยู่ล้อมรอบและละแวกใกล้เคียง (หน้า 11-17, 20) |
|
Settlement Pattern |
บ้านเรือนของไทพวนจะปลูกสร้างตามคติความเชื่อเป็นสำคัญ รูปแบบโครงสร้างเฮือนพวนแต่เดิมเป็นรูปสี่เหลี่ยมทำด้วยไม้ไผ่ ฝาทำด้วยฟากมีการสลักลิ่มแทนการตอกตะปู เป็นเฮือนเครื่องผูก หลังคามุงหญ้าคาหรือแป้นเกล็ด หน้าจั่ว หรือที่หน้าเฮือนนิยมสลักด้วยไม้เป็นรูปต่าง ๆ ประดับ เช่น สิงห์ นาค จระเข้ บัวเถา ตัวเฮือน ประกอบด้วย 2 ส่วนคือเฮือนกับชาน ตัวเฮือนแบ่งเป็น 3 ห้อง ได้แก่ ห้องเปิง เป็นห้องสำหรับพ่อแม่ อยู่ทางขวาของเฮือน ห้องกลาง เป็นห้องโถงอยู่กลางเฮือนสำหรับลูกเต้านอนรวมกัน และห้องกลอย เป็นห้องสำหรับลูกสาว อยู่ทางซ้ายของเฮือน ส่วนชานมี 2 ประเภทคือ ชานฝน ใช้นั่งพักผ่อนหรือรับประทานอาหาร และชานน้ำ ใช้เป็นห้องอาบน้ำหรือเตรียมประกอบอาหาร บริเวณบ้าน มีศาลหรือหอผี ตั้งไว้ทางทิศตะวันตกหรือท้ายบ้าน ใต้ถุนเฮือน นิยมทำใต้ถุนสูง ไว้ผูกสัตว์เลี้ยง วัวควาย และใช้ทอหูก เข็นฝ้าย ตลอดจนเป็นที่เก็บเครื่องมือเครื่องใช้ในการเกษตร ยุ้งข้าวหรือเล้าข้าว นิยมตั้งทางทิศตะวันออกของตัวเฮือน (หน้า 61-63) การปลูกเฮือนพวน คติความเชื่อของไทพวนจะปลูกสร้างบ้านเรือนต้องเลือกให้ได้ลักษณะที่ดีเป็นมงคล โดยมีผู้รู้ ผู้เฒ่าผู้แก่ดูที่ทางให้ มีพิธีกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับการปลูกเฮือน (หน้า 60-63) |
|
Demography |
ไม่ได้ระบุไว้ ระบุเพียงว่าประชากรที่เข้ามาอาศัยอยู่ในอำเภอบ้านผือมีหลายชาติพันธุ์ เช่น ลาวพวน ลาวเวียง ลาวภูคัง จีน ญวน และคนอีสาน แต่ลาวพวนเป็นประชากรที่มีจำนวนมากที่สุดของอำเภอ (หน้า 19-20) จากข้อมูลเชิงปริมาณที่ผู้วิจัยแนบมาท้ายเล่ม พอจะประมาณได้ว่า จำนวนประชากรในบ้านผือมี 126 ครัวเรือน ประกอบอาชีพเกษตรกรรม 62 ครัวเรือน (ตารางที่ 2) |
|
Economy |
การผลิต : ไทพวนบ้านผือดำรงชีพด้วยการทำนาเป็นหลัก มีความเชื่อและพิธีกรรมมากมายในการทำนา และยังคงใช้การขอแรงเพื่อนบ้านมาลงแขกเกี่ยวข้าว (หน้า 48-53) นอกจากทำนาแล้ว ก็มีการทำไร่มันสำปะหลัง ไร่อ้อย เก็บของป่า ฯลฯ (หน้า 23) ปัจจุบันหนุ่มสาวออกไปทำงานก่อสร้างในเมือง ทำงานในโรงงานที่กรุงเทพฯ และขายแรงงานที่ต่างประเทศ (หน้า 24) การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ : ไทพวนมีความเชื่อเรื่องผีอย่างมาก มีศาลปู่ตาประจำหมู่บ้าน ผู้วิจัยระบุว่า การมีศาลปู่ตาเป็นการรักษาทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้ เพราะสัตว์ป่าที่อยู่บริเวณศาลปู่ตานั้นผู้ใดจะล่วงละเมิดไม่ได้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากปู่ตาก่อน การเข้าไปทำลายป่าล่าสัตว์ในบริเวณนั้นจึงเป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้เป็นอันขาด เพราะจะก่อให้เกิดภัยอันตรายร้ายแรงต่อผู้กระทำและชุมชน (หน้า 66) นอกจากนี้ ผู้วิจัยระบุว่า การที่ลาวพวนเป็นผู้ควบคุมเศรษฐกิจของอำเภอบ้านผือไว้ได้ก็ด้วยการแต่งงานกับคนจีนหรือพวนด้วยกันเอง และเนื่องด้วยอุปนิสัยขยันหมั่นเพียร ประหยัด อดออม และรู้จักทำมาหากิน ค้าขาย การอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานก่อน จึงเลือกจับจองที่ทำกินได้มาก และมีความยึดมั่นในวัฒนธรรม ภาษา และชาติพันธุ์ของตน จึงกลืนชนกลุ่มอื่นได้มาก (หน้า 20) |
|
Social Organization |
สังคมไทพวนบ้านผือเป็นสังคมระบบเครือญาติที่พึ่งพาอาศัยกัน ดังจะเห็นได้จากการสร้างบ้าน การลงแขกเกี่ยวข้าวนวดข้าว และการกระทำพิธีกรรมต่าง ๆ ในฮีตของชุมชน (หน้า 51, 65) นอกจากนี้ ไทพวนบ้านผือยังคงเคารพนับถือผี วิญญาณ เทวดา อย่างมั่นคง ผู้วิจัยระบุว่า ไทพวนสร้างภูมิคุ้มกันสังคมโดยใช้อำนาจผีเป็นเครื่องควบคุมพฤติกรรมทางสังคมไว้ได้ โดยเฉพาะการเลี้ยงปู่ตา เป็นการจัดระเบียบชุมชนอย่างชาญฉลาด ก่อให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความเสมอภาค การแก้ปัญหาของชุมชนเป็นปัญหาที่ทุกคนมีส่วนร่วมแก้ไข และประเพณีต่าง ๆ ในวิถีชีวิตของไทพวนล้วนยอมรับว่าทุกคนเป็นเจ้าของพิธีกรรม (หน้า 66) การแต่งงาน : ไทพวนช่วงอายุตั้งแต่ 40-50 ปีขึ้นไป จะแต่งงานในพวกเดียวกันมากกว่าแต่งงานกับชาติพันธุ์อื่น ปัจจุบันการปะทะสังสรรค์ทางวัฒนธรรมกับชุมชนอื่นมีมากขึ้น ไทพวนบ้านผือจะแต่งงานกับคนต่างเผ่า เช่น ไทลาว จีน ญวน และข้าราชการในท้องถิ่นมากขึ้น (หน้า 65) ประเพณีที่เกี่ยวกับการแต่งงานของไทพวน ได้แก่ ประเพณีการลงข่วง (หน้า 54-56) ประเพณีกินดองไทพวน (หน้า 56-59) ซึ่งควบคุมพฤติกรรมทางสังคมโดยใช้ความเชื่อและประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา เช่น ถ้ามีการทำผิดผี (การล่วงเกินฝ่ายหญิงโดยฝ่ายหญิงไม่ยินยอม หรือพ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่ยินยอม) ฝ่ายชายจะต้องเสียผี ทำการขอขมา จ่ายค่าเสียหายตามจะตกลงกัน ผู้วิจัยระบุว่า การเสียผีไทพวนในเรื่องชู้สาวนับเป็นความเฉลียวฉลาด เป็นภูมิปัญญาในการควบคุมพฤติกรรมการล่วงละเมิดทางเพศของสังคม ควบคุมพฤติกรรมทางเพศของสมาชิกให้อยู่ในกรอบและกฎเกณฑ์ด้วยการเสียผี อันเป็นการประกาศและประนามผู้ล่วงละเมิดกติกาของสังคมให้สังคมลงโทษ (หน้า 56) บทบาทหญิงชาย : ไทพวนให้ความยกย่องเพศชายว่า เป็นใหญ่กว่าเพศหญิง และเป็นผู้นำครอบครัว ดังนั้นสถานภาพของเพศชายจึงสูงกว่าเพศหญิง ดังจะเห็นได้จากประเพณีการแต่งงาน ฝ่ายหญิงต้องหมอบกราบฝ่ายชาย ก่อนนอนฝ่ายหญิงต้องกราบสามี การรับมรดกลูกคนเล็กหรือคนสุดท้องที่อยู่ปรนนิบัติพ่อแม่จะเป็นผู้ได้รับ การแต่งงานจะเอาลูกเขยเข้าไปอยู่ในบ้าน เป็นต้น (หน้า 66) การรวมกลุ่มทางสังคม ไทพวนบ้านผือรวมตัวกันตั้งชมรมไทพวนบ้านผือ และมีการประสานสัมพันธ์กับไทพวนกลุ่มอื่น ๆ ร่วมทำกิจกรรมและมีการสังสรรค์กันอย่างใกล้ชิด โดยเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพงานสังสรรค์ทุกปี (หน้า 70) |
|
Political Organization |
ไม่ได้ระบุถึงโครงสร้างอำนาจทางการเมืองหรือความขัดแย้งไว้ชัดเจน เพียงกล่าวถึงผู้นำทางประเพณี โดยระบุว่า พ่อตู้ตัน พั่วแพง เป็นจ้ำประจำศาลปู่ตาของอำเภอบ้านผือและเป็นผู้นำกระทำพิธีเลี้ยงบ้าน (หน้า 38) พิธีเลี้ยงบ้านจะต้องมีจ้ำและนางเทียม จ้ำ คือผู้ที่มีหน้าที่ติดต่อกับเทพและผี เป็นผู้ดูแลรักษาหอบ้าน เป็นผู้ทำหน้าที่เซ่นไหว้ผี เชิญผีเข้าทรงนางเทียม ผู้ชายเท่านั้นที่เป็นจ้ำได้และมักเป็นผู้สูงอายุ มีศีลธรรม ประพฤติตนเป็นที่ยอมรับของหมู่บ้าน การเป็นจ้ำมักจะสืบสายพันธุ์จากพ่อไปลูก จากลูกไปหลาน ต่อ ๆ กันไป หากลูกไม่รับสายพันธุ์ก็จะมีการสรรหาจ้ำใหม่ โดยทดสอบให้เชิญแถนหรือผีมารักษาคนป่วย ถ้าติดต่อกับแถนกับผีได้ก็จะได้รับเลือกเป็นจ้ำ ส่วนนางเทียม คือ หญิงที่ทรงเจ้าหรือผีเข้า มักเป็นหญิงหม้ายวัยกลางคน เป็นเพศหญิงเท่านั้น และต้องเป็นผู้ที่ผีแถน ผีปู่ตาเลือกให้เป็นโดยออกปากผ่านนางเทียมคนอื่นหรือบอกเหตุให้รู้ เช่น ฝันหรือสัญญาณเครื่องหมายเป็นที่รู้ว่าผีแถนเลือกให้เป็น ถ้าไม่ยอมรับก็จะมีอันเป็นไป (หน้า 36) |
|
Belief System |
ความเชื่อดั้งเดิมของไทพวน เชื่อในเรื่องผี นับถือผี การไหว้ผี ลงผี เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตประจำวัน ไทพวนมีพิธีกรรมความเชื่อเกี่ยวกับผีมากและมั่นคง แม้ว่าปัจจุบันไทพวนบ้านผือจะได้รับการศึกษาสูงขึ้นและหันมานับถือพุทธศาสนา แต่ส่วนใหญ่ยังคงรับนับถือผี ทั้งผีบ้าน ผีบรรพบุรุษ ผีป่า ผีเขา เทพยดาอารักษ์ (หน้า 70) ความเชื่อ ขนบประเพณี และพิธีกรรมของไทพวน อยู่ในวิถีชีวิตตามฮีตคองของอีสาน คือ ฮีต 12 คอง 14 ไทพวนบ้านผือมีฮีตคองที่ปฏิบัติมาแต่บรรพบุรุษ โดยฮีต 12 ของไทพวนบ้านผือ มีพิธีกรรมต่าง ๆ ได้แก่ - บุญกำฟ้า เป็นบุญเดือนอ้ายของไทพวน โดยเชื่อว่าการทำบุญกำฟ้านั้นเป็นการป้องกันมิให้ฟ้าผ่าเมื่อเวลาออกไปไถนา (หน้า 27-28) - บุญเดือน 4 หรือบุญพระเวส เป็นประเพณีการเทศน์มหาชาติซึ่งมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตชุมชนไทพวนอย่างยิ่ง โดยมีความเชื่อว่าการได้ฟังเทศน์มหาชาติครบ 13 กัณฑ์ในวันเดียวถือเป็นบุญกุศลยิ่งใหญ่ เมื่อเสียชีวิตไปแล้วเกิดในชาติหน้าจะได้พบพระศรีอาริย์ (หน้า 29) - บุญเดือน 5 หรือบุญสงกรานต์ บุญสังขารของไทพวนจะเริ่มวันที่ 13-15 เมษายน มีการเชิญพระพุทธรูปลงสรงน้ำและฮดสรงพระภิกษุ ฮดน้ำผู้เฒ่าผู้แก่ นอกจากนี้ ยังมีประเพณีแห่ดอกไม้ในบุญสงกรานต์ โดยแต่ละหมู่บ้านแห่ดอกไม้เยี่ยมเยือนกันเป็นการประสานสัมพันธ์กัน (หน้า 34) - บุญเลี้ยงบ้านหรือบุญเลี้ยงผีปู่ตา กระทำกันในเดือน 6 เป็นประเพณีสำคัญและถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยเชื่อว่าหากไม่เลี้ยงบ้านก่อนก็จะทำนาไม่ได้จะเกิดทุพภิกขภัยแก่บ้าน นาจะล่มจะแล้ง จะเป็นอัปมงคลต่างๆ และเกิดภัยพิบัติแก่หมู่บ้าน (หน้า 35, 37,40) ปัจจุบันไทพวนบ้านกลางใหญ่เลิกพิธีกรรมนี้แล้ว เพราะเลิกนับถือผี แต่ชุมชนไทพวนอื่นในอำเภอบ้านผือยังคงยึดมั่นในประเพณีและพิธีกรรมดั้งเดิมของบรรพบุรุษ (หน้า 38-43) - บุญเดือน 9 หรือบุญห่อข้าวของไทพวน เป็นความเชื่อตามฮีตคองที่ต้องทำบุญอุทิศผลแรก ได้แก่ เปรต อสุรกาย เพื่อป้องกันไม่ให้ภูติผีเหล่านั้นมารบกวนทำร้าย กระทำในวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า (หน้า 43) - บุญเดือน 10 หรือบุญข้าวสาก ไทพวนจะมีพิธีกรรมเกี่ยวกับข้าว อันเป็นความเชื่อตามฮีตคองของตนว่า จะต้องทำบุญอุทิศผลแรก ได้แก่ บรรพบุรุษ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยการกวนข้าวกระยาสารท หรือทำข้าวสากไปทำบุญแล้วอุทิศผลบุญถึงบุคคลเหล่านั้น การทำบุญข้าวสากในเดือนสิบ เพราะมีความเชื่อว่าในวันขึ้น 15 ค่ำเดือนสิบ เป็นวันที่ยมบาลปล่อยภูติผีปีศาจจากนรกขึ้นมาโลกมนุษย์ ภูติผีเหล่านี้หิวโหย เมื่อขึ้นมาแล้วไม่มีอาหารกินเพราะไม่มีญาติทำบุญอุทิศให้ ก็จะโกรธ สาปแช่งลูกหลานให้ได้รับภัยพิบัติต่าง ๆ (หน้า 44-45) - บุญเดือน 11 หรือบุญปราสาทผึ้ง เป็นการทำบุญในเดือน 11 อันถือเป็นฮีตสำคัญฮีตหนึ่งของไทพวน บุญปราสาทผึ้งทำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 อันเป็นวันออกพรรษา ชาวบ้านจะทำปราสาทผึ้งไปถวายวัด (หน้า 45) - บุญคูนลาน หรือการทำบุญกองข้าวใหญ่ของไทพวน ทำกันในเดือน 12 หรือเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว และนวดข้าวจนได้กองข้าวก็จะทำบุญกองข้าวเป็นการสู่ขวัญข้าว (หน้า 53) ความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรมเกี่ยวกับการทำนา ไทพวนบ้านผือจะเริ่มทำนาได้เมื่อทำพิธีเลี้ยงบ้านและทำบุญบั้งไฟแล้ว มีฝนฟ้าตกก็จะเริ่มทำนา ก่อนทำนาต้องทำพิธีเลี้ยงผีตาแฮกหรือผีนาก่อน เป็นการขออนุญาตผีนาทำนา ให้ผีนาปกปักรักษานา รักษาข้าว ให้ข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ เมื่อเลี้ยงผีนาแล้วก็จะเริ่มไถนาและตกกล้า ก่อนจะนำไปปักดำ ต้องทำพิธีขออภัยผีนาหรือแม่ธรณี การไถนาจะดูเดือนที่ไถ แต่ละเดือนพญานาคผู้ให้น้ำจะนอนหันหัวไปยังทิศต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน การไถนาต้องไถตามเกล็ดพญานาค ไม่ไถย้อนเกล็ดเพราะจะทำให้พญานาคเจ็บปวด จะโกรธ มีวิธีการนับเดือนเพื่อหาทิศทางการไถนาคือ เดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสาม หัวเหนือท้องแดด หมายถึงพญานาคจะนอนเอาหัวไปทางทิศเหนือ หางอยู่ทิศใต้ ดังนั้นจะไถจากเหนือไปใต้ เดือนสี่ ห้า หก หัวตกท้องแดด จะต้องไถจากทิศใต้เฉียงไปทางทิศตะวันตก เดือนเจ็ด แปด เก้า หัวเหนือท้องตก จะต้องไถจากทิศใต้เฉียงไปทางทิศเหนือ เมื่อปักดำครบทุกแปลงแล้วจะต้องเลี้ยงผีนาอีก เรียกว่า เลี้ยงปลงโดยทำในเดือน 9 หลังจากเลี้ยงปลงแล้วจะมีพิธีฮ้องขวัญควาย ขวัญคราด และขวัญไถ การฮ้องขวัญควายคือการขอขมาควายที่ได้ใช้แรงงานทำข้าวมานาน พอถึงเดือน 9 แรม 14 ค่ำ จะมีพิธีห่อข้าวประดับดิน อุทิศบุญแก่ผีเร่ร่อนไม่ให้ทำลายข้าว และเมื่อข้าวตั้งท้องเดือน 10 จะมีพิธีห่อข้าวสาก อุทิศแก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ก่อนนวดข้าวจะมีพิธีปลงคาย คือสู่ขวัญข้าวหรือบุญคูนลาน เมื่อนวดข้าวเสร็จ ก่อนจะขนข้าวขึ้นเล้าจะมีพิธีปิดประตูเล้า เป็นการบอกกล่าวผีเล้า เมื่อข้าวขึ้นเล้าแล้วจะปิดประตูเล้าโดยเอากิ่งหนามพุทรามาปิดประตูเล้าเพื่อป้องกันภูติผีปีศาจเข้ามาทำลายข้าว หลังจากนั้นจะไม่เปิดประตูเล้าจนกว่าจะถึงเวลา หากเปิดก่อนเอาข้าวออกมากินเป็นขะลำจะเกิดอัปมงคลร้ายแรงเกิดภัยพิบัติทำนาไม่ได้ผล ไทพวนเคร่งครัดเรื่องนี้มาก (หน้า 48-53) ประเพณีการลงข่วง เป็นประเพณีที่ปฏิบัติมาแต่โบราณของไทพวน กระทำหลังการเก็บเกี่ยวข้าวจนหมดฤดูฝ้าย ปัจจุบันการลงข่วงไม่มีแล้ว การลงข่วงคือการที่ผู้หญิงที่เริ่มเป็นสาวจะลงมาที่ลานบ้าน (ข่วง) มาทำงานบ้าน เช่น ปั่นด้าย ทอผ้า หีบฝ้าย ในตอนค่ำคืนเพื่อทำเครื่องนุ่งห่มให้แก่สมาชิกในบ้าน อันเป็นโอกาสที่จะได้พูดคุยวิสาสะกับชายหนุ่มที่มาพูดคุยเกี้ยวพาราสี เป็นการเลือกคู่ของหนุ่มสาว อันเป็นวิถีชีวิตก่อนไปสู่การแต่งงาน ถ้ามีการผิดผี ฝ่ายชายต้องเสียผีหรือทำการขอขมาผีบ้านฝ่ายหญิง จ่ายค่าเสียหายตามจะตกลงกัน ถ้าตกลงไม่ได้ ฝ่ายชายจะถูกประนามจากสังคมหมู่บ้าน (หน้า 54-56) ประเพณีกินดองไทพวน หรือประเพณีการแต่งงาน เมื่อหนุ่มสาวรักชอบกันแล้วให้พ่อแม่มาสู่ขอ มีการหาฤกษ์แต่งงานโดยพระผู้ใหญ่หรือจารย์ผู้รู้ฤกษ์ยามของหมู่บ้าน ในวันแต่งงานมีการแห่เจ้าบ่าวมาที่บ้านเจ้าสาว หมอพรจะทำการสูดขวัญ และมีการรับศีลรับพรจากผู้เฒ่าผู้แก่ ในพิธีแต่งงานจะมีการไขว่ผี คือ ฝ่ายเจ้าบ่าวจะสอบถามเรื่องผีบ้านเจ้าสาวว่าชอบให้เซ่นด้วยอะไร ฝ่ายเจ้าสาวก็จะทำเช่นเดีวกัน เมื่อแห่ขันหมากไปบ้านเจ้าสาว ญาติฝ่ายเจ้าบ่าวจะทำการไหว้ผีบ้านเจ้าสาว (หน้า 56-59) ประเพณีการทำศพของไทพวน เมื่อมีการตายเกิดขึ้น จะมีการดอยศพ (ตราสังศพ) ตั้งศพมีผ้าปกโลง หลังจากเผาศพหรือฝังแล้ว ผ้าปกโลงจะนำไปถวายพระ ขณะที่ตั้งศพอยู่ที่บ้าน คนในบ้านจะไม่ทำงานบ้านใด ๆ เมื่อถึงเวลาเผาหรือฝัง การเอาศพลงจากบ้านไปป่าช้าจะหว่านข้าวตอกนำหน้าศพเพื่อป้องกันผีตายอดตายอยากไม่ให้ขึ้นไปหาศพ อันถือเป็นอัปมงคล นอกจากนี้ยังต้องพลิกบันไดบ้านกลับข้าง เมื่อศพลงพ้นก็พลิกกลับเป็นการกันไม่ให้ผีกลับบ้านได้ถูก การเลือกที่เผาหรือฝังต้องเสี่ยงไข่โดยโยนไข่ถามทางว่าผู้ตายชอบที่ตรงไหนก็เผาหรือฝังตรงนั้น หากเป็นการตายโหงหรือตายทั้งกลม จะนำศพไปฝังต่างหากไม่ร่วมป่าช้าและศพที่ตายโหงไม่มีการเผา (หน้า 63-64) |
|
Education and Socialization |
ไม่ได้ระบุไว้ ระบุเพียงว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่นกำลังเปลี่ยนแปลง โดยถูกละเลยจนอาจสูญหายไปในไม่ช้า ส่วนหนึ่งเพราะการศึกษาที่มุ่งเน้นการแข่งขันและรวมศูนย์ โดยไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของท้องถิ่น การไม่ยอมรับความหลากหลายของวัฒนธรรมท้องถิ่นเท่ากับปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์และการยอมรับซึ่งกันและกัน (หน้า 67) |
|
Health and Medicine |
สังคมไทพวนบ้านผือเป็นสังคมที่นับถือผี โดยต้องเซ่นไหว้เพื่อขอความคุ้มครองและรักษาการเจ็บไข้ จะเห็นได้ว่าการรักษาโรคยังคงใช้การลงผีอยู่ (หน้า 70) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ศาลปู่ตาหรือหอบ้าน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สิงสถิตของผีปู่ตา ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษของชุมชน หมู่บ้าน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกไปจากหมู่บ้านพอประมาณ หอบ้านมักนิยมตั้งอยู่ในที่สูงหรือที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง จึงเรียกว่า ดอนปู่ตา และมักตั้งอยู่บริเวณที่มีต้นไม้หนาแน่น สร้างเป็นศาลขนาดย่อม สูงจากพื้นดินประมาณ 1 เมตร บางแห่งสร้างเป็นหอขนาดใหญ่ ขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจของหมู่บ้าน (หน้า 35) |
|
Folklore |
ตำนาน : จากพงศาวดารล้านช้างกล่าวไว้ว่า พวนได้อพยพมาแต่นาน้อย อ้อยหนู หรือเมืองแถงหรือแถน บ้านเมืองทุกข์ยากเพราะทำไร่ทำนาไม่ได้ และเจ้าเมืองไม่เอาใจใส่ทำนุบำรุงบ้านเมือง พญาแถนจึงส่งขุนบูลมมาครอง ขุนบูลมมีโอรส 7 คน เมื่อเติบใหญ่ขุนบูลมส่งโอรสไปครองดินแดนต่างๆ ขุนลอ ไปสร้างเมืองเซาหรือหลวงพระบาง ขุนยีผาลาน ไปสร้างเมืองหอแต หรือหนองแส ขุนสามจูสง ไปสร้างเมืองแกว ช่องบัว ขุนไสผง ไปสร้างเมืองยวนโยนก ขุนงั่วอิน ไปสร้างเมืองอโยธยา ขุนลกกลม ไปสร้างเมืองเชียงคม ขอม ขุนเจ็ดเจือง ไปสร้างเมืองพวน และขุนบูลมได้สาปแช่งไว้ว่า ถ้าหากพี่น้องทั้งเจ็ดแก่งแย่ง รบราชิงดินแดนกัน จงให้ผู้กระทำประสบความหายนะและวินาศ (หน้า 10-11) ตำนานเมืองพวน กล่าวไว้ว่า พระคำเกิดเจ้าเมืองคำเกิดคำม่วน ซึ่งเป็นดินแดนของขุนลกกลมให้เจ้าเมืองน้องเจ้าเมืองพวนเพื่อเป็นค่าปรับไหม อาณาเขตของพวนจึงกว้างใหญ่และขยายออกมาจรดเวียงจันทน์ตอนใต้ พวนกับผู้ไทจึงใกล้ชิดสนิทสนมกันแต่นั้นมา เพราะเมืองคำเกิดคำม่วนและมหาชัยเป็นเมืองของพวกผู้ไท (หน้า 11) เรื่องเล่า : จากคำบอกเล่าของพ่อตู้แสง เชื้อกลางใหญ่ บ้านนากลางใหญ่ เป็นชุมชนลาวพวนถูกกวาดต้อนมาจากบ้านหนองแก้ว หาดเดือย เมืองเชียงขวางในสมัยกบฏเจ้าอนุวงศ์ ต้นตระกูลของพ่อตู้แสงสองคนคือ จารย์อินผู้พี่และจารย์รินผู้น้อง เป็นผู้มีความรู้ได้บวชเรียนจนเป็นจารย์ พ่อแม่พาหนีสงครามไทย-ลาว ไทย-ญวน จากเชียงขวางมาอยู่เวียงจันทน์ จารย์อิน จารย์ริน และครัวพวน 11 ครัวถูกกองทัพไทยกวาดต้อนจากเวียงจันทน์จะให้ไปอยู่กรุงเทพฯ ต้องเดินทางข้ามแม่น้ำโขงจนมาถึงบ้านกลางใหญ่ ซึ่งเป็นบ้านร้าง 3 หมู่บ้านคือ บ้านลา บ้านเทือน และบ้านไซ ที่ถูกกองทัพไทยกวาดไปอยู่กรุงเทพฯ เมื่อครั้งสงครามไทย-ลาว จารย์อิน จารย์รินไม่อยากไปกรุงเทพฯ กับกองทัพไทย จึงใช้ความรู้ ด้าน สมุนไพรเอามาผสมอาหารให้ครัวพวนกินจนเกิดโรคท้องร่วง กองทัพไทยคิดว่าเป็นโรคห่า จึงไม่กล้ากวาดครัวพวนลงไปกรุงเทพฯ จารย์อิน จารย์ริน ได้ติดสินบนพนักงานขอให้ครัวพวนได้อยู่ที่นั่น ตั้งแต่นั้นมาครัวพวนทั้ง 11 ครัวเรือนและจารย์อิน จารย์ริน จึงตั้งถิ่นฐานอยู่กลางใหญ่ และเรียกชุมชนที่ตั้งขึ้นใหม่ว่าบ้านกลางใหญ่ เพราะตั้งอยู่ท่ามกลาง 3 หมู่บ้านร้าง (หน้า 24-25) นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับหอบ้านหรือศาลปู่ตา ของบ้านกาลึม ที่เรียกว่า ศาลญาครูเสือ ญาครูเสือผู้นี้ถูกเสือขบตายในป่า ชาวบ้านจึงตั้งศาลให้เรียกว่า ศาลญาครูเสือ ญาครูเสือเป็นผู้นำชุมชนลาวพวนที่อพยพมาและเป็นนักรบด้วย จึงได้รับยกย่องเป็นปู่ตาของบ้าน เป็นเจ้าแห่งผีทั้งปวงของหมู่บ้าน ญาครูเสือมีบริวารมากมาย (หน้า 40) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของไทพวนบ้านผือ ได้แก่ ความเชื่อดั้งเดิม, พิธีกรรม, ประเพณี, วัฒนธรรม, วิถีชีวิตที่ปฏิบัติในชีวิตประจำวันของไทพวน โดยชี้ให้เห็นว่าเอกลักษณ์ที่สำคัญของไทพวนบ้านผือคือมีการปะทะสังสรรค์ทางวัฒนธรรมจากกลุ่มที่อพยพมาต่างที่ต่างช่วงเวลากัน โดยระบุว่า พวนบ้านเมืองพานปะทะสังสรรค์ทางวัฒนธรรมกับพวกลาวที่อพยพมาจากอำเภอวังสะพุงและเชียงคาน ในขณะที่บ้านผือปะทะสังสรรค์ทางวัฒนธรรมกับพวกลาวเวียง ไทย-อีสาน จีนและญวน แต่ในส่วนของบ้านกลางใหญ่ปะทะสังสรรค์ทางวัฒนธรรมกับลาวภูคังจากเชียงคาน และลาวเวียงจากอำเภอท่าบ่อ อำเภอศรีเชียงใหม่ และอำเภอสังคม (หน้า 69) การพบปะสังสรรค์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทพวนกับชาติพันธุ์อื่นๆ ในบ้านผือ เช่น ลาวเวียง จีน ไทอีสาน ลาวภูคังจากเลย ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เช่น ศาลปู่ตาของไทพวน แต่เดิมยังคงเลี้ยงปู่ตาอยู่ได้กลายเป็นศาลหลักเมืองของบ้านผือ และเป็นศาลปู่ย่า (ศาลเจ้า) ของชาวจีนในบ้านผือด้วย พิธีกรรมการเลี้ยงผีปู่ตาของไทพวนและการไหว้เจ้าของชาวจีนกระทำในสถานที่เดียวกันแต่แตกต่างกันในช่วงเวลา (หน้า 20) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจุบันความเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมที่เห็นชัดคือ วัฒนธรรมประเพณีที่สืบทอดมาแต่ดั้งเดิมสูญหายไป ได้แก่ พิธีเลี้ยงบ้านซึ่งเป็นพิธีกรรมสำคัญของไทพวน ปัจจุบันบ้านกลางใหญ่เลิกพิธีกรรมนี้มากว่า 20 ปีแล้ว เนื่องเพราะไทพวนกลางใหญ่เลิกนับถือผี หันมานับถือพุทธจึงเลิกทำพิธีกรรมเกี่ยวกับผี หอบ้านถูกรื้อและเผาทิ้ง ตั้งแต่นั้นมาไทพวนกลางใหญ่ก็เลิกพิธีเลี้ยงบ้าน อย่างไรก็ตาม ชุมชนไทพวนอื่นในอำเภอบ้านผือ แม้จะรับนับถือพุทธศาสนา แต่ก็ยังยึดมั่นในประเพณีพิธีกรรมดั้งเดิมของบรรพบุรุษอยู่โดยเฉพาะที่บ้านผือ ตำบลบ้านผือ (หน้า 38) นอกจากนี้ประเพณีลงข่วง ปัจจุบันไม่มีแล้ว เหลืออยู่เพียงความทรงจำของผู้เฒ่าผู้แก่ไทพวน (หน้า 54) นอกจากนี้ ยังมีความเปลี่ยนแปลงในภาษาด้วย ระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ตลอดจนคำศัพท์ต่าง ๆ ที่ใช้ร่วมกันระหว่างไท-ลาว ไทพวน ไทยอีสาน แม้ว่าสำเนียงเป็นพวนแต่คำศัพท์เปลี่ยนไปใช้คำไท-ลาว กลาง หรือใช้ไทยอีสานมากขึ้น (ภาคผนวก คำศัพท์ภาษาพวน) |
|
Map/Illustration |
แผนที่: แผนที่ประเทศลาว ,แผนที่ประเทศลาวและภาคอีสาน, แผนที่แสดงถิ่นที่ลาวพวนเข้าไปอาศัยอยู่, แผนที่สังเขปอำเภอบ้านผือ , แผนที่อำเภอบ้านผือ ตาราง: ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับหัวหน้าครัวเรือน, ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ, ด้านสังคมและวัฒนธรรม ภาคผนวก: คำศัพท์ภาษาพวน ,คำสูดขวัญน้อยก่อนแต่งงานของไทพวน, คำสูดขวัญขึ้นบ้านใหม่ไทพวน, ขะลำ ภาพประกอบ: วิถีชีวิต, บ้านเรือน, งานบุญ, ผ้าซิ่นไทพวน |
|
|