|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,ความเป็นอยู่,ประเพณี,การพัฒนาชนบท,เชียงราย |
Author |
อนุชา มติศิลป์ |
Title |
ธุรกิจเอกชนไทยกับงานพัฒนาชนบท : การเปลี่ยนแปลงและผลกระทบในงานพัฒนาชาวเขาเผ่าม้ง จังหวัดเชียงราย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
141 |
Year |
2536 |
Source |
หลักสูตรปริญญามหาบัณฑิตสาขาวิชามานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
ปัจจุบันการพัฒนาชนบทได้รับความสนใจจากทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมไทยเจริญทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีบริษัทของนักธุรกิจสนใจเข้าร่วมด้วย โดยมีองค์กรพัฒนาเอกชนคอยดูแลประสานงาน โดยเลือกพัฒนาหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย ซึ่งม้งเป็นชนเผ่าที่มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์และแบบแผนการดำเนินชีวิตของตนเอง ดังนั้น เมื่อมีการพัฒนาเข้ามา บางโครงการไม่อาจสำเร็จลุล่วงไปได้ ทั้งนี้เพราะ การวางแผนพัฒนาของบริษัทยังขาดข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมในระดับชุมชน ทำให้งานพัฒนาไม่สอดคล้องกับความต้องการและแบบแผนการดำเนินชีวิตของม้ง |
|
Focus |
สนใจศึกษาแนวทาง การดำเนินงานของบริษัทดีไซน์ (นามสมมติ) ซึ่งเป็นบริษัทธุรกิจภาคเอกชน ที่เข้ามามีบทบาทในการร่วมพัฒนาชาวเขาเผ่าม้งขาว ในหมู่บ้านกิ่วอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อให้ทราบว่าเป็นแนวทางที่สามารถสร้างประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใด มีการคำนึงถึงประเด็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมเพียงใด รวมทั้งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบทางวัฒนธรรมของม้งขาวกลุ่มนี้อย่างไรบ้าง (หน้า 4) |
|
Theoretical Issues |
มีแนวคิดว่าว่าการพัฒนาชาวเขาไม่ว่าจะกระทำ โดยภาครัฐ หรือภาคเอกชน ก็ย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต ของชาวเขาไม่มากก็น้อย ดังนั้น จึงต้องมีการศึกษาวิถีชีวิต เพื่อการวางแผนงานให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้ถูกพัฒนา เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานั้น Francis R. Allen ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับอุปสรรค หรือการต่อต้านการรับของใหม่ว่า เกิดจากปัจจัยหลายๆ อย่าง อาทิ 1. ปัจจัยทางด้านวัฒนธรรม ความเชื่อ และคุณค่า ถ้าของใหม่ขัดกับความเชื่อและคุณค่าที่มีอยู่เดิม ก็ย่อมจะเกิดการต่อต้าน ไม่ยอมรับ 2. ปัจจัยทางด้านจิตวิทยา เกิดจากชาวบ้านชินกับแบบแผนชีวิตอย่างเก่า จึงรู้สึกว่าที่เป็นอยู่ดีแล้ว หรืออาจเนื่องจากความกลัวของใหม่ทำให้ไม่กล้ารับไปใช้ 3. ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ของใหม่บางอย่างแพงเกินกว่าฐานะของชาวบ้านจะซื้อได้ จึงเป็นการยากที่จะรับไปใช้ 4. ปัจจัยทางด้านอุดมการณ์ ถ้าของใหม่ที่แพร่เข้าในชุมชนเกิดขัดกับอุดมการณ์ที่ชาวบ้านยึดถืออยู่ ก็ย่อมเกิดการต่อต้านไม่ยอมรับไปใช้ 5. ด้านผลประโยชน์ขัดแย้งกัน คือการเผยแพร่ของใหม่ถ้าขัดกับผลประโยชน์ของชาวบ้าน หรือชาวบ้านขัดแย้งกันเอง การรับของใหม่ก็เป็นไปได้ยาก (หน้า 6) การพัฒนาวิถีชีวิตของม้งหมู่บ้านกิ่ว โดยบริษัทดีไซน์มีทั้งที่ได้รับความสำเร็จ และที่ไม่ได้รับความสำเร็จ ในส่วนที่ไม่ได้รับความสำเร็จนั้น เกี่ยวกับเงื่อนไขที่ว่า บริษัทดีไซน์ ขาดข้อมูลและความรู้ที่เกี่ยวกับม้งที่หมู่บ้านกิ่ว ในเชิงลึก ทำให้ไม่สามารถวางแผนการพัฒนาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวิถีชีวิตของม้งที่นั่น เพราะว่าม้งบ้านกิ่วได้เปลี่ยนวิถีชีวิตจากการปลูกพืชต่าง ๆ ในการยังชีพ และปลูกฝิ่นเพื่อขาย มาปลูกพืชอื่นแทนฝิ่น ด้วยการทิ้งที่ดินและทุน ตลอดจนระบบการส่งผลผลิตเข้าสู่ตลาด ในขณะเดียวกัน ก็มีปัญหาเรื่องบริโภคนิยม ซึ่งต้องพึ่งสินค้าจากภายนอก จึงมีความจำเป็นในการแสวงหาเงิน เพื่อมาใช้ในการบริโภค และเป็นทุนในการผลิต ทางบริษัทดีไซน์ ได้เพิ่มการพัฒนาไปในทางการให้การศึกษานอกโรงเรียน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีปัญหาด้านการสื่อสาร ครูสอนด้วยภาษาไทยซึ่งนักเรียนฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย และม้งให้ความสำคัญกับการทำไร่ ต้องทำงานในไร่ตั้งแต่เช้าตรู่ จนถึงเย็น และการบริการเกี่ยวกับศูนย์เด็กเล็กก่อนวัยเรียน ซึ่งเปิดเวลา 9.00 น.ถึงเวลาประมาณ 15.30 ก็ไม่เหมาะกับวิถีชีวิตของม้ง นอกจากนี้โครงการที่ให้ทำสวนครัวก็มีปัญหา เพราะม้งนิยมการปลูกผักในไร่มากกว่า จาก หลักฐานดังกล่าว ทำให้ผู้เขียนได้ใช้แนวคิดของ Francis R. Allen อธิบายว่ากิจกรรมในการพัฒนาจะได้รับการต่อต้าน หรือไม่ได้รับความสนใจ หากขัดแย้งกับวิถีชีวิตดั้งเดิม |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวเขาเผ่าม้งขาว ในหมู่บ้านกิ่ว อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีบัตรประชาชนตามกฏหมายไทย (หน้า 5) ในเรื่องของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งนั้น ยังไม่มีนักวิชาการสรุปอย่างแน่ชัดว่าจัดอยู่ในกลุ่มใด บางคนจัดให้อยู่ในพวกธิเบต -พม่า (Tibeto-Burman) บางคนจัดให้อยู่ในกลุ่มพวกมอญ-เขมร (Mon-Khmer) และยังมีการประชุมวิทยาการภาคพื้นแปซิฟิค ครั้งที่ 9 กำหนดให้อยู่ในพวกที่แยกประเภทไม่ได้ (Unclassified) (หน้า 19-20) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้งในประเทศไทย มี หลายกลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มมีลักษณะทางภาษาที่ไม่เหมือนกัน บางกลุ่มอาจจะพูดกันไม่รู้เรื่อง เช่น ม้งขาวกับม้งเขียวจะมีภาษาพูดที่แตกต่างกันมาก แต่มีแบบแผนการแต่งกายคล้ายกัน ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ได้จัดประเภทภาษาม้งว่า เป็นภาษาในตระกูล มอญ-เขมร (ออสโตรเอเชียติก) ไท, ซีนีติค (Sinitic) และอื่นๆ บางท่านถือว่าภาษาแม้ว-เย้า เป็นสาขาหนึ่งของภาษาตระกูลจีน-ธิเบต (มองโกลอยด์) ซึ่งความเห็นต่าง ๆ เหล่านี้ยังไม่ตรงกัน ภาษาม้งเป็นภาษาที่มีเสียงก้องและเป็นคำโดด ๆ ต่างกับภาษาจีนทั้งคำและการออกเสียง คำศัพท์จำนวนมากยืมมาจากภาษาจีน ไทย ลาว และชนชาติอื่น ๆ ที่ม้งมีความสัมพันธ์ด้วย (หน้า22) การสื่อสารกันในหมู่บ้านกิ่วนี้ จะพูดเป็นภาษาม้ง ในการประชุมของหมู่บ้านระหว่างคนม้งด้วยกันเองจะพูดภาษาม้ง แต่ถ้ามีคนภายนอกมาร่วมประชุมด้วย จะมีการสื่อสารด้วยภาษาไทยภาคเหนือ (คำเมือง) ปนกับภาษาไทยภาคกลาง ถ้าหากในที่ประชุมมีการถกเถียงกันระหว่างม้งด้วยกันเอง ก็จะมีหัวหน้าที่ประชุมสรุปเป็นภาษาไทยอีกครั้งหนึ่ง ม้งส่วนใหญ่ในหมู่บ้านยังอ่านหนังสือภาษาไทยไม่ได้ และภาษาม้งไม่มีภาษาเขียน หากจะต้องใช้ภาษาเขียน ม้งจะต้องยืมตัวอักษรภาษาอังกฤษมาใช้ โดยเมื่ออ่านออกเสียงแล้วจะเป็นภาษาม้ง (หน้า 23) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยทำการวิจัยภาคสนามในหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งที่โครงการพัฒนาเข้าไปดำเนินงาน เริ่มในต้นปี พ.ศ. 2534 จนถึงต้นปี พ.ศ. 2536 โดยผู้วิจัยได้เข้าไปร่วมอยู่อาศัยในหมู่บ้าน อย่างต่อเนื่อง (หน้า 7) |
|
History of the Group and Community |
บรรพบุรุษของม้งขาวที่หมู่บ้านกิ่วเล่าต่อ ๆ กันมาว่า พวกม้งสมัยก่อนอยู่ที่ประเทศจีน มีการสู้รบกับชาวจีนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ต้องอพยพเรื่อยมา มีทั้งที่เข้ามาอยู่ในเขตประเทศไทย และส่วนใหญ่ไปอยู่ในประเทศลาว มีการสร้างบ้านเมืองอยู่อย่างถาวร แต่ก็เกิดสงครามในประเทศลาว ม้งที่อยู่บ้านกิ่ว เป็นกลุ่มที่ข้ามฝั่งแม่น้ำโขงมาจากประเทศลาว (หน้า 20) ซึ่งก่อนหน้านี้เคยไปตั้งหมู่บ้านอยู่ที่ดอยหลวง การอพยพลงมาตอนแรกมากันเพียงไม่กี่ครัวเรือน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2515 ก็อพยพลงมาหมดทุกครัวเรือน เมื่อลงมาก่อตั้งเป็นหมู่บ้านใหม่แล้ว ได้เรียกชื่อหมู่บ้านนี้ว่า " บ้านกิ่ว" มีความหมายว่าเป็นการผูกติดต่อ เพราะหมู่บ้านนี้ตั้งอยู่บริเวณที่เป็นกึ่งกลางสันดอยของเส้นทางที่ติดต่อกันระหว่างสองอำเภอ คือ อำเภอเชียงแสนและอำเภอเชียงของ จึงเรียกตามภาษาท้องถิ่นภาคเหนือของคนพื้นราบว่า กิ่ว (หน้า16) |
|
Settlement Pattern |
ม้งที่อพยพมาได้มีการก่อตั้งหมู่บ้านเป็นการถาวร ลักษณะของการตั้งหมู่บ้านอยู่ระหว่างรอยต่อบริเวณเชิงเขา 2 ลูก แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มแรกสร้างบ้านอยู่บริเวณเชิงเขาทางที่จะขึ้นดอยหลวง กลุ่มที่สองอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งถูกกั้นด้วยถนนที่ตัดผ่าน ซึ่งบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญ ๆ ของหมู่บ้าน เช่น โรงเรียน สหกรณ์ เป็นต้น และยังเป็นกลุ่มที่มีถนนสายหลักภายในหมู่บ้านตัดขึ้นไปยังด้านบนของหมู่บ้านที่เป็นบริเวณที่ตั้งของกลุ่มที่สาม ซึ่งกลุ่มนี้มีชาวมูเซอมาอาศัยร่วมอยู่ด้วย (หน้า18) |
|
Demography |
ประชากรในหมู่บ้านเริ่มต้นเพียงไม่กี่หลังคาเรือน ประกอบด้วยกลุ่มแซ่ต่าง ๆ แซ่ใหญ่ ๆ ได้แก่ แซ่ลี แซ่เล่า แซ่ว่า แซ่เฮ่อ เป็นต้น แซ่ที่ใหญ่ที่สุด คือ แซ่ลี สถิติจำนวนประชากรที่สำรวจในปี พ.ศ.2534 มีทั้งหมด 162 หลังคาเรือน มีประชากรทั้งหมด 822 คน กลุ่มอายุที่มีมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 1-10 ปี มีจำนวนร้อยละ 45 ที่มีจำนวนมากเช่นนี้ เพราะเดิมม้งในหมู่บ้านนิยมการมีลูกมาก เพื่อเป็นแรงงานภายในครัวเรือน ซึ่งกำลังเป็นปัญหาในอนาคตที่เกี่ยวเนื่องกับจำนวนที่ทำกินในอนาคต ส่วนกลุ่มอายุที่มีน้อยที่สุด คือ กลุ่มอายุ 61 ปีขึ้นไป คือร้อยละ 3 ประชากรกลุ่มนี้มักจะอยู่อาศัยภายในบ้าน จากจำนวนประชากรของม้ง ชี้ให้เห็นว่าม้งมีช่วงอายุที่ไม่ยืนยาวมากนัก สาเหตุสำคัญได้แก่ เรื่องโภชนาการ และเรื่องโรคภัยต่าง ๆ ที่การรักษาแผนใหม่ยังมีไม่เพียงพอ และม้งยังนิยมรักษาด้วยการลงผีเป็นหลัก (หน้า 20-22) |
|
Economy |
ปัจจัยการผลิต ที่ดิน : เป็นต้นทุนในการผลิตพืชผลทางการเกษตร ซึ่งแต่เดิมเป็นการผลิตเพื่อบริโภคหรือระบบเศรษฐกิจเพื่อการยังชีพ (Subsistant Economy) และมีการใช้ที่ดินอีกส่วนหนึ่งในการปลูกฝิ่นเป็นพืชทางเศรษฐกิจสำหรับขายเพื่อเงินตรา (Cash crops) แรงงานและอุปกรณ์ : แรงงานที่ใช้ในการผลิต นอกจากจะเป็นแรงงานในครอบครัวแล้ว ยังมีการแลกเปลี่ยนแรงงาน ทั้งในระดับเครือญาติและเพื่อนบ้าน เครื่องมือที่ใช้ในการทำงานเป็นเครื่องมืออย่างหยาบ ๆ ไม่มีการตกแต่ง เช่น จอบ ซึ่งจะมีลักษณะหักงอมากกว่าของชาวพื้นราบ ด้ามจับสั้นกว่า ม้งมีอาวุธสำหรับล่าสัตว์ที่ใช้กันประจำคือ หน้าไม้ ทุน: ทุนที่ใช้ในการผลิตได้แก่ เมล็ดพันธุ์ต่างๆ ซึ่งเป็นเมล็ดพืชที่เคยปลูกดั้งเดิมอยู่แล้ว ถ้าเป็นพืชที่ปลูกขึ้นมาเพื่อขายทดแทนฝิ่น ก็จะได้มาจากการซื้อมาจากตลาด การแบ่งงานในการผลิต: แบ่งออกตามอาชีพหลักและอาชีพรอง อาชีพหลักได้แก่ การเพาะปลูกข้าว ข้าวโพด ส้มเขียวหวาน ขิง กระหล่ำปลี อาชีพรอง ได้แก่ การล่าสัตว์ การตัดก๋ง (ก๋ง มีลักษณะคล้ายต้นหญ้า) การดูแลสัตว์เลี้ยง เพื่อใช้ในการทำพิธีกรรม การบริโภค มีการปลูกข้าวเพื่อการบริโภค ส่วนการจับจ่ายซื้อของทั่วไปภายในบ้านมักเป็นหน้าที่ของผู้หญิง แต่ถ้าเป็นของใหญ่หรือมีราคาแพง จะเป็นการตัดสินของพ่อซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว การกระจายผลผลิต : ผลผลิตทางเศรษฐกิจที่กระจายออกสู่ภายนอก คือ ฝิ่น นอกนั้นเป็นการผลิตสำหรับบริโภคภายในหมู่บ้าน แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีการปลูกฝิ่นแล้ว เปลี่ยนมาเป็นการปลูกข้าวโพดเพื่อขายทดแทนฝิ่น ซึ่งมีทั้งกระจายอยู่ในหมู่บ้านและออกสู่ภายนอก เมื่อผู้ชายม้งรวมกลุ่มกันออกไปล่าสัตว์ จะมีการแบ่งสรรสัตว์ที่หามาได้ (หน้า 51-70) การบริโภคอาหารของม้ง : ม้ง จะรับประทานข้าวเป็นอาหารหลักทุกมื้อ ผู้หญิงม้งจะหุงข้าวโดยใช้เตาไฟใหญ่ และใช้เตาไฟเล็กในการทำกับข้าว ที่เตาไฟใหญ่นี้จะตั้งกะทะขนาดใหญ่ซึ่งจะมีอยู่ในทุกครัวเรือน ก่อนต้มน้ำหุงข้าวจะล้างกะทะให้สะอาดก่อน เพราะกะทะนี้ใช้ในการทำอาหารเลี้ยงหมูด้วย จากนั้นก็ใส่น้ำในกะทะต้มให้ร้อน ขณะเดียวกันก็จะนำข้าวสารมาเทใส่ลงกระด้งเพื่อฝัดข้าว จากนั้นจึงนำไปซาวน้ำเพื่อทำความสะอาดอีกครั้ง แล้วเทข้าวทั้งหมดลงไปในกะทะ ม้งจะตักข้าวด้วยขัน ใส่ลงในตระแกรงสานด้วยไม้ไผ่ รองน้ำข้าวด้วยกะละมังขนาดเล็ก จากนั้นนำถังไม้ลงไปตั้งในกะทะที่มีน้ำเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย นำข้าวที่ตักขึ้นมาแล้วใส่ลงในถังไม้นี้อีกครั้ง ปิดฝาด้วยถาดสังกะสี ส่วนกับข้าวแต่ละมื้อจะประกอบกันอย่างง่าย ๆ โดยมากจะต้มผัก (หน้า 25-27) ใส่เกลือเป็นส่วนใหญ่ ม้งจะมีเครื่องปรุงรสเพียงเกลือ และเครื่องชูรสคือพริกมาตำกับสมุนไพรบางอย่าง มีการใช้น้ำมันหมูสำหรับทอดอาหารซึ่งเป็นน้ำมันหมูที่ได้จากการทำพิธีเลี้ยงผีแล้วเก็บถนอมใส่ไหไว้ น้ำปลาก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นในการปรุงอาหาร เด็กนักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นโรคขาดธาตุไอโอดีน (หน้า 65) การตั้งวงรับประทานอาหารจะนั่งกันบนโต๊ะเตี้ยๆ ที่กลางโต๊ะจะวางถาดสังกะสีสำหรับเทข้าวสุก รอบๆ จะมีกับข้าวใส่จานหรือถ้วย ทุกคนจะใช้ช้อนตักข้าวจากถาด โดยมากไม่นิยมตักข้าวใส่จานหรือถ้วยเว้นแต่จะมีแขกมาร่วมรับประทานด้วย (หน้า25-27) |
|
Social Organization |
การแต่งงานของม้งจะมีการนับญาติทางฝ่ายผู้ชายเป็นหลัก ผู้หญิงจะต้องเปลี่ยนมานับถือผีของผู้ชายและอยู่บ้านผู้ชายเป็นแรงงานในครอบครัว การนับญาติของครอบครัวก็จะนับฝ่ายชายเป็นหลัก พ่อแม่เมื่อแก่เฒ่าก็จะยกการเป็นหัวหน้าครอบครัวให้กับลูกชายคนโต ครอบครัวมีลักษณะเป็นครอบครัวใหญ่ การเรียกลุงนั้นชื่อเรียกภาษาม้งจะมีความหมายที่ใหญ่กว่าพ่อ การเรียกป้าและอานั้นจะมีชื่อเรียกภาษาม้งต่างไปจากลุง และไม่มีความหมายดังกล่าว ส่วนการเรียกลุงซึ่งเป็นพี่ชายของแม่ รวมทั้งน้าชายซึ่งเป็นน้องของแม่ จะมีชื่อเรียกในภาษาม้งอย่างเดียวกัน ส่วนการเรียกป้า ซึ่งเป็นพี่สาวแม่และน้าซึ่งเป็นน้องสาวแม่ก็จะมีชื่อเรียกในภาษาม้งอย่างเดียวกัน ครอบครัวและเครือญาติของม้งมีโครงสร้างตามแบบอย่างของตนเอง หน้าที่และบทบาทของผู้ชายที่เป็นหัวหน้า จะมีความสำคัญในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญต่าง ๆ หรือปัญหาภายในครอบครัว ผู้หญิงก็มีสิทธิในการเสนอความคิดเห็น แต่การตัดสินจริง ๆ ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ชายในฐานะผู้นำครอบครัว ม้งบ้านกิ่วทุกคนถือว่าม้งทุกคนเป็นพี่น้องกันหมด ไม่ว่าจะเป็นม้งที่อาศัยที่ใดก็ตาม ดังนั้นไม่ว่าใครจะได้รับเลือกเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ก็ไม่มีความสำคัญและมีอำนาจอะไร เพราะถือว่าแม้จะเป็นคนละแซ่ แต่ก็เป็นพี่น้องกัน ถือว่าการเป็นคนละแซ่นั้นก็คือการมีผีแตกต่างกันเท่านั้น ( หน้า 29-32 ) |
|
Political Organization |
แต่เดิมการปกครองจะมีหัวหน้าที่เป็นผู้อาวุโส ซึ่งม้งเรียกว่า " เหล่าเน่ง" ซึ่งเป็นผู้อาวุโสของแซ่สกุลที่มีมากที่สุดในหมู่บ้านและมีผู้ช่วยอีก 2 คนคอยพิจารณาเรื่องราวต่างๆ แล้วผู้อาวุโสจะเป็นผู้ตัดสิน ในกรณีเกิดกรณีพิพาทในแซ่สกุลเดียวกัน ผู้อาวุโสของแซ่นั้นอาจตัดสินให้เสร็จสิ้นไปได้ แต่หากเป็นกรณีพิพาทระหว่างแซ่สกุล หัวหน้าหมู่บ้านจะต้องเชิญผู้อาวุโสแซ่อื่น ๆ มาร่วมพิจารณาด้วย และหากมีค่าปรับไหมอย่างไร ก็จะแบ่งให้ผู้ร่วมตัดสินทุกคนรวมทั้งผู้ชนะคดีด้วย ต่อมาทางราชการเข้ามามีบทบาทในการปกครอง โดยให้บ้านกิ่วนี้เป็นหมู่บ้านบริวารของหมู่บ้านพื้นราบ จึงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก ระบบการเลือกผู้อาวุโส มาเป็นเลือกตั้งหัวหน้าหมู่บ้าน หรือบางครั้งม้งจะเรียกตามชาวพื้นราบว่าพ่อหลวง ซึ่งผู้ที่ได้รับเลือกระยะแรกยังคงเป็นผู้ที่มีฐานะอาวุโส และมีการตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านแทนตำแหน่งผู้ช่วย ซึ่งแบ่งเป็น 7 ฝ่ายตามการปกครองท้องถิ่นของชาวพื้นราบ ได้แก่ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายการศึกษา ฝ่ายการคลัง ฝ่ายป้องกัน ฝ่ายพัฒนา ฝ่ายสวัสดิการ ฝ่ายสาธารณสุข ปัจจุบันการปกครองของม้งบ้านกิ่วได้กลับมาใช้ระบบผสมผสานระหว่างของเดิมและของใหม่ นอกจากนี้ หัวหน้าหมู่บ้านและคณะกรรมการทุกฝ่าย ยังมีการร่างกฏเกณฑ์ขึ้นมาเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย เช่น การห้ามปล่อยหมูออกจากคอก ห้ามตัดไม้ในบริเวณหมู่บ้าน เป็นต้น ซึ่งได้ประกาศให้ทุกคนรับทราบและได้รับการยอมรับจากม้งในหมู่บ้านแล้ว (หน้า 37-39) |
|
Belief System |
การนับถือผี : ม้งเชื่อว่ามีผีสิงสถิตย์อยู่ทุกหนทุกแห่ง มีผีฟ้า ผีดิน เป็นต้น ซึ่งผีเหล่านี้มีทั้งดีและร้าย ความเชื่อเรื่องผีนี้มีมากมาย แต่ผีที่เป็นหลักของม้ง ได้แก่ ผีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษ จะต้องทำการเลี้ยงผีบรรพบุรุษทุกปีในช่วงเทศกาลปีใหม่ม้ง และร้องเชิญผีที่คุ้มครองบ้านมาด้วย ส่วนผีระดับรองมา ได้แก่ ผีฟ้า เป็นผีที่คุ้มครองฟ้า, ผีดิน คุ้มครองพื้นดิน ฯลฯ การทำพิธีกรรมจะเรียกว่า " การลงผี" หรือ "ทำผี" การทำพิธีลงผีที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับคนแต่ละแซ่ คือการลงผีใหญ่ คนที่นับถือผีเดียวกันก็คือคนแซ่เดียวกันก็จะมารวมตัวกันที่บ้านญาติคนใดคนหนึ่ง หมอผีผู้ทำพิธีจะฆ่าหมู 1 ตัวเพื่อเซ่นผี และใช้ไก่ 1 ตัวเป็นเครื่องมือในการกวาดล้างสิ่งไม่ดี จากนั้นจะนำไก่ผูกไว้ข้างหลังแพะ เพราะเชื่อว่า แพะจะนำพาความชั่วร้ายออกไปนอกหมู่บ้านสัญลักษณ์สำคัญภายหลังการทำพิธีเสร็จคือ การกันบ้านโดย ใช้กิ่งไม้สดๆ เสียบไว้ที่ชายคาบ้าน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าไม่ต้องการติดต่อกับใคร และจะปิดบ้านไว้เป็นระยะเวลาตามที่หมอผีบอก นอกจากการนับถือผีแล้วก็ยังมีความเชื่อรูปแบบอื่น ปนด้วยคือ - ศาสนาคริสต์ ม้งในหมู่บ้านมีทั้งที่นับถือนิกายโปแตสเต็นท์และคาทอลิก ม้งคาทอลิก เชื่อว่าการได้สารภาพบาปเพื่อเข้ารีตเป็นศริสต์นั้น ทำให้พวกเขาสามารถหลุดพ้นจากอำนาจของผีร้าย ในส่วนกิจกรรมของหมอสอนศาสนานิกายโปแตสเต็นท์ จะเข้ามาพบชาวบ้านและมีกิจกรรม ซึ่งก็มักจะเป็นการสวดอ้อนวพระเจ้าและร้องเพลงร่วมกันพร้อมกับมีการละเล่นประกอบเพลง ข้อบังคับหนึ่งของสมาชิก คือต้องเลิกนับถือผีโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกตัดจากการเป็นสมาชิก แต่สมาชิกบางคนก็ยังไม่ตัดขาดจากการนับถือผี และคนส่วนใหญ่ของหมู่บ้านก็ยังคงนับถือผีอยู่เช่นเดิม - วัดในศาสนาพุทธ (มหานิกาย) มีม้งที่หันมานับถือพุทธอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก และก็ยังนับถือผีของตนอยู่เหมือนเดิม มีการเข้าร่วมกิจกรรมกับทางวัดบ้าง แต่ปกติความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับคนทั่วไปในหมู่บ้าน จะเป็นลักษณะต่างคนต่างอยู่ โดยที่ชาวบ้านก็ไม่ได้ปฏิเสธการมีวัดอยู่ใกล้ ๆ หมู่บ้าน (หน้า 44-49) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาของม้ง ในสมัยก่อนไม่มีโรงเรียน ครอบครัวเป็นหน่วยแรกที่เป็นผู้สอน โดยวิธีการปฏิบัติในชีวิตจริง เด็กผู้หญิงม้งอายุราว 4-5 ปี แม่จะสอนให้ปักผ้าลวดลายแบบม้ง เมื่ออายุได้ราว 8-10 ปี ต้องหัดหุงข้าวและทำกับข้าวได้รวมทั้งงานบ้านทุกอย่าง ส่วนเด็กผู้ชายในอายุราว 8-10 ปี มีหน้าที่เลี้ยงม้าต้องออกไปตัดหญ้ามาให้ม้ากิน ต้องไปทำงานในไร่ และทำงานในครอบครัวที่เป็นงานหนักๆ เช่น ตำข้าว เด็กชายคนใดที่พ่อเห็นว่าจะสอนให้เรียนรู้ได้ ก็จะเริ่มสอนให้ยิงหน้าไม้ ล่าหนู ล่านก และจะสอนวิธีดักสัตว์ เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มอายุราว 13-14 ปี พ่อจะหัดให้ยิงปืนแก๊ปเพื่อการล่าสัตว์พวกนก หนู จากนั้นจึงล่าสัตว์ที่อันตรายขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง คือ การล่าหมูป่า หมี เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการเรียนรู้เรื่องการทำไร่ ซึ่งทั้งพ่อและแม่จะเป็นผู้สอนให้ทั้งลูกผู้หญิงและลูกผู้ชาย โดยให้เรียนรู้ทุกอย่างภายในไร่ ได้แก่ การถางไร่ การเพาะปลูกพืชอะไรจึงเหมาะเช่น การทำไร่ข้าวโพด การปลูกข้าว เป็นต้น ในปัจจุบัน การศึกษาของม้งได้เปลี่ยนไป คือ มีโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่หมู่บ้านยังรวมตัวกันอยู่ที่ดอยหลวง คือเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2512 แล้วได้ย้ายตามหมู่บ้านลงมาสร้างยังที่ปัจจุบัน มีนักเรียนประมาณ 140 คน สอนตั้งแต่ชั้นประถมที่1 ถึงชั้นประถมที่ 5 มีตำรวจตระเวนชายแดนทำหน้าที่เป็นครูอยู่ด้วยกัน 6 นาย เมื่อเด็กเรียนชั้นสูงสุดของโรงเรียนแล้ว ถ้าพ่อแม่ส่งเสริมให้เรียนต่อ ก็จะต้องลงไปเรียนร่วมกับเด็กพื้นราบที่หมู่บ้านเชิงเขา นอกจากนี้ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ก็เข้ามามีบทบาทในการสอนหนังสือให้กับผู้ใหญ่ที่ต้องการเรียนรู้ภาษาไทย โดยจะสอนเวลากลางคืน ที่โรงเรียนนี้ นอกจากจะใช้สอนแล้ว ยังเป็นทั้งสนามกีฬาและที่ประชุมของหมู่บ้านด้วย จึงเปรียบเสมือนสถานที่ส่วนกลางแห่งเดียวของชาวบ้าน (หน้า 32-36) |
|
Health and Medicine |
เรื่องการตรวจสุขภาพนั้น ม้งบ้านกิ่วไม่ค่อยมีการตรวจสุขภาพมากนัก (หน้า 117) (ทางบริษัทดีไซน์ (นามสมมติ) ได้มีการจัดการด้านการตรวจสุขภาพให้ชาวเขา ซึ่งชาวบ้านยังไม่มั่นใจกับการรักษาด้วยวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะยังมีความเชื่อเรื่องหมอผี ที่จะเป็นผู้ช่วยในการรักษาความเจ็บป่วยอยู่แล้ว ในหมู่บ้านยังมีการการพัฒนาสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม มีการสร้างห้องส้วม ซึ่งแต่เดิมม้งไม่เคยมีห้องส้วมใช้ ) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย : ผู้ชายจะนุ่งกางเกงสีน้ำเงินหรือดำ ใส่เสื้อสีเดียวกับกางเกง มีผ้าปักลวดลาย ส่วนผู้หญิงจะนุ่งกางเกงสีดำหรือน้ำเงินเช่นกัน มีผ้าปิดด้านหน้าและหลัง ลักษณะเป็นผ้าสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว ขอบผ้าปิดผืนนี้จะเย็บขอบด้วยสีฟ้าหรือขาว ตรงกลางอาจมีลวดลายหัตถกรรม ชายผ้าด้ายที่ผูกมัดกับเอวมักจะต่อด้วยผ้าสีแดง เสื้อของผู้หญิงม้งขาวจะมีลวดลายที่สาปเสื้อ คอเสื้อด้านหลังจะมีผ้าปักลวดลายเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสผืนเล็ก ๆ ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงมักจะมีผ้าโพกศีรษะหรือหมวก เด็กจะสวมหมวกแต่เวลาแต่งชุดเมื่อมีงาน เครื่องประดับเงินในชีวิตประจำวันมักเป็นห่วงคอ การแต่งกายในวันทั่วไปของผู้ชายยังคงนิยมการนุ่งกางเกงขากว้างแบบม้ง และใส่เสื้อแบบคนพื้นราบ หรือใส่เสื้อยืดแล้วสวมทับด้วยเสื้อม้ง ส่วนผู้หญิงยังคงนิยมนุ่งกางเกงและมีผ้าปิดด้านหน้าด้านหลัง สวมเสื้อแบบม้งบ้างเสื้อยืดบ้าง (หน้า 24-25) งานเย็บผ้า ปักผ้า ม้งที่เป็นผู้หญิงจะปักผ้าลวดลายแบบม้งต่าง ๆ เพื่อนำมาประดับบนเสื้อผ้า และมีการตัดเย็บเสื้อผ้า ซึ่งผู้เป็นแม่จะมีหน้าที่ตัดเย็บเสื้อผ้าให้กับลูกชาย ภรรยาต้องปักผ้าและเย็บเสื้อให้สามี พี่สาวก็ต้องทำให้กับน้องสาวและน้องชาย (หน้า 62) งานจักสาน ส่วนมากเป็นคนเฒ่าคนแก่ที่จะสามารถสานตระกร้าได้ (หน้า 64) |
|
Folklore |
ไม่ได้กล่าวถึงในงานวิจัยมากนัก กล่าวเพียงว่า มีการเล่าเรื่องต่อ ๆ กันมาของบรรพบุรุษ ในเรื่องความเป็นมาของม้งสมัยก่อน (หน้า 20) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในหมู่บ้านกิ่วนอกจากจะมีม้งที่ย้ายเข้ามาแล้ว ภายหลังยังมีมูเซอมาร่วมอาศัยอยู่ด้วย เรียกตังเองว่ามูเซอบาหลาและนาเกี่ยว ซึ่งมีสกุลบาหลาเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากมูเซอมาทีหลัง การจับจองที่ทำกินจึงไม่พอ ทำให้ต้องรับจ้างม้งทำไร่ ถางไร่ ทำสวน เป็นรายได้ในการเลี้ยงชีพและรับจ้างไพหญ้าคาขายเป็นตับๆ ตามฤดูกาล ความเป็นอยู่ของมูเซอต้องพึ่งม้งอยู่มาก ทำมีปัญหาในการอยู่ร่วมกันน้อยมาก (หน้า 17) ม้งบ้านกิ่วมักจะเดินทางไปที่อำเภอเชียงของมากกว่าเชียงแสน เพราะต้องติดต่อทางราชการในเรื่องต่าง ๆ หรือการจะไปติดต่อกับพี่น้องม้งในเขตประเทศลาว (หน้า 49) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผลจากการเข้ามาพัฒนาของหน่วยงานทั้งภาครัฐบาลและเอกชนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ดังนี้ คือ - การพัฒนาด้านการศึกษา ได้มีการเปิดสอนหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่เบ็ดเสร็จ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่กี่ยวกับการอ่าน เขียน ฟังและพูดภาษาไทยในขั้นพื้นฐาน เมื่อจบหลักสูตรก็จะเทียบเท่ากับชั้น ประถมปีที่ 4 มีการจัดทำที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้านโดยใช้ที่ที่เคยก่อตั้งเป็นธนาคารยาแต่ไม่ได้รับความนิยม เปลี่ยนมาเป็นที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้านส่วนหนึ่งแบ่งเป็นห้องพักสำหรับครู มีการจัดศูนย์การศึกษาเด็กก่อนวัยเรียนซึ่งโครงการนี้มีส่วนเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของม้ง เพราะปกติม้งจะเลี้ยงดูลูกเล็กๆ ในขณะที่ทำงานในไร่ไปด้วย - การพัฒนาสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม มีการสร้างห้องส้วม ซึ่งแต่เดิมม้งไม่เคยมีห้องส้วมใช้ สถานที่บริเวณบ้านจึงไม่ค่อยพอ และยังมีปัญหาเรื่องการขุดหลุมเพื่อฝังถังส้วมเพราะพื้นที่เป็นภูเขา ทำให้ต้องเสียเวลาในการขุดเพราะมักจะพบกับหินขนาดใหญ่ และยังเกิดการผิดผีบ้านของคนอื่นด้วยเพราะเชื่อว่าห้ามมีการสร้างสิ่งใดตรงกับประตู สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิม คือ ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูดส้วมด้วย นอกจากนี้ ทางบริษัทได้มีการจัดการด้านการตรวจสุขภาพให้ชาวเขา ซึ่งชาวบ้านยังไม่มั่นใจกับการรักษาด้วยวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะยังมีความเชื่อเรื่องหมอผี ที่จะเป็นผู้ช่วยในการรักษาความเจ็บป่วยอยู่แล้ว ในการส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อม ทางโครงการได้จัดถังขยะประจำที่หน้าบ้านของทุกคน แต่ไม่ได้รับสนใจ - การพัฒนาสาธารณูปโภค การสร้างระบบประปาภูเขาทำให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น ทำให้ชาวบ้านไม่ต้องเหนื่อยกับการนำภาชนะไปตักน้ำที่บ่อกลับมาใช้ที่บ้าน - โครงการพัฒนาเศรษฐกิจและการเงิน ทางบริษัทได้ดำเนินการด้านนี้ในหลายเรื่อง มีทั้งที่ได้รับความสนใจและไม่ได้รับความสนใจ ดังนี้คือ การกู้เงินเพื่อซื้อข้าว โดยปกติแล้วการขาดข้าวเพื่อบริโภคมีน้อยมากเพราะสังคมม้งนั้นถือว่าเขาเป็นคนขยันและอดทน การบริโภคข้าวถือเป็นสิ่งสำคัญกว่ากับข้าวเสียอีก ทำให้มีการกู้เงินเพื่อวัตถุประสงค์อื่น มีการสนับสนุนการปลูกกระหล่ำปลีเพื่อสร้างรายได้ แต่ด้วยการขาดความรู้และผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เกิดหนี้สินขึ้น นอกจากนี้ ก็มีการศูนย์สาธิตการเกษตร เป็นศูนย์ที่ส่งเสริมให้รู้จักกับระบบสหกรณ์ และเป็นจุดศูนย์กลางของระบบสหกรณ์ประเภทอื่นที่จะส่งเสริมอีก ที่ศูนย์การเกษตรแห่งนี้เป็นเหมือนสิ่งกระตุ้นให้ม้งพึ่งสังคมภายนอก มากกว่าการผลิตเพื่อการบริโภคตามวิถีชีวิตแบบเดิม เพราะสามารถหาซื้อของได้ง่ายขึ้นทำให้ต้องใช้เงินมากขึ้น ในส่วนของงานหัตถกรรมทางโครงการได้ส่งเสริมงานปักผ้า และตัดเย็บเสื้อผ้า ให้กับผู้หญิงม้งในหมู่บ้าน (หน้า 76-112) |
|
Map/Illustration |
สภาพทั่วไปของหมู่บ้านกิ่ว (หน้า 126) หมอผีกำลังทำพิธีกรรม (หน้า 127) การทำพิธีกรรมรักษาโรคเด็กเล็ก (หน้า 128) การประชุมอย่างไม่เป็นทางการที่บริเวณเตาไฟเล็กภายในบ้าน (หน้า 129) การประชุมแบบเป็นทางการที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน (หน้า 130) การใช้แรงงานของผู้อาวุโสที่ยังสามารถทำงานได้ (หน้า 131) ชายม้งที่ช่วยเลี้ยงดูลูก (หน้า 132) ผู้อาวุโสม้งทำงานจักสาน (หน้า 133) หนุ่มม้งเตรียมตัวไปล่าสัตว์ด้วยปืนแก๊ปและหน้าไม้ (หน้า 134) ผู้หญิงเป็นแรงงานสำคัญภายในไร่ ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลลูกด้วย (หน้า 135) ผู้หญิงม้งต้องทำงานทั้งภายในบ้านและในไร่ด้วย (หน้า 136) ไฟฟ้าช่วยให้ผู้หญิงปักผ้าสะดวกในเวลากลางคืน ( หน้า 137) เด็กสาวนอกจากเป็นแรงงานในไร่แล้ว ยังต้องปักผ้า และช่วยเลี้ยงน้อง (หน้า 138) เด็กผู้หญิงวัยเรียนยังเป็นแรงงานภายในครอบครัวด้วย (หน้า 139) เด็กนักเรียนชายทำหน้าที่พนักงานขายของศูนย์สาธิตการตลาด (สหกรณ์) (หน้า 140) แผนผังหมู่บ้านกิ่ว (หน้า 9 ) กราฟแสดงจำนวนประชากร (หน้า 21) ปฏิทินการเกษตรม้งแบบดั้งเดิม (หน้า 72) ปฏิทินการเกษตรม้งในบัจจุบัน (หน้า 73) กราฟแสดงจำนวนผู้ถือหุ้นศูนย์สาธิตการตลาด (หน้า 109) |
|
|