สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ความเป็นอยู่,ประเพณี,การพัฒนาชนบท,เชียงราย
Author อนุชา มติศิลป์
Title ธุรกิจเอกชนไทยกับงานพัฒนาชนบท : การเปลี่ยนแปลงและผลกระทบในงานพัฒนาชาวเขาเผ่าม้ง จังหวัดเชียงราย
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 141 Year 2536
Source หลักสูตรปริญญามหาบัณฑิตสาขาวิชามานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร
Abstract

ปัจจุบันการพัฒนาชนบทได้รับความสนใจจากทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมไทยเจริญทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีบริษัทของนักธุรกิจสนใจเข้าร่วมด้วย โดยมีองค์กรพัฒนาเอกชนคอยดูแลประสานงาน โดยเลือกพัฒนาหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย ซึ่งม้งเป็นชนเผ่าที่มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์และแบบแผนการดำเนินชีวิตของตนเอง ดังนั้น เมื่อมีการพัฒนาเข้ามา บางโครงการไม่อาจสำเร็จลุล่วงไปได้ ทั้งนี้เพราะ การวางแผนพัฒนาของบริษัทยังขาดข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมในระดับชุมชน ทำให้งานพัฒนาไม่สอดคล้องกับความต้องการและแบบแผนการดำเนินชีวิตของม้ง

Focus

สนใจศึกษาแนวทาง การดำเนินงานของบริษัทดีไซน์ (นามสมมติ) ซึ่งเป็นบริษัทธุรกิจภาคเอกชน ที่เข้ามามีบทบาทในการร่วมพัฒนาชาวเขาเผ่าม้งขาว ในหมู่บ้านกิ่วอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อให้ทราบว่าเป็นแนวทางที่สามารถสร้างประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใด มีการคำนึงถึงประเด็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมเพียงใด รวมทั้งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบทางวัฒนธรรมของม้งขาวกลุ่มนี้อย่างไรบ้าง (หน้า 4)

Theoretical Issues

มีแนวคิดว่าว่าการพัฒนาชาวเขาไม่ว่าจะกระทำ โดยภาครัฐ หรือภาคเอกชน ก็ย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต ของชาวเขาไม่มากก็น้อย ดังนั้น จึงต้องมีการศึกษาวิถีชีวิต เพื่อการวางแผนงานให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้ถูกพัฒนา เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานั้น Francis R. Allen ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับอุปสรรค หรือการต่อต้านการรับของใหม่ว่า เกิดจากปัจจัยหลายๆ อย่าง อาทิ 1. ปัจจัยทางด้านวัฒนธรรม ความเชื่อ และคุณค่า ถ้าของใหม่ขัดกับความเชื่อและคุณค่าที่มีอยู่เดิม ก็ย่อมจะเกิดการต่อต้าน ไม่ยอมรับ 2. ปัจจัยทางด้านจิตวิทยา เกิดจากชาวบ้านชินกับแบบแผนชีวิตอย่างเก่า จึงรู้สึกว่าที่เป็นอยู่ดีแล้ว หรืออาจเนื่องจากความกลัวของใหม่ทำให้ไม่กล้ารับไปใช้ 3. ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ของใหม่บางอย่างแพงเกินกว่าฐานะของชาวบ้านจะซื้อได้ จึงเป็นการยากที่จะรับไปใช้ 4. ปัจจัยทางด้านอุดมการณ์ ถ้าของใหม่ที่แพร่เข้าในชุมชนเกิดขัดกับอุดมการณ์ที่ชาวบ้านยึดถืออยู่ ก็ย่อมเกิดการต่อต้านไม่ยอมรับไปใช้ 5. ด้านผลประโยชน์ขัดแย้งกัน คือการเผยแพร่ของใหม่ถ้าขัดกับผลประโยชน์ของชาวบ้าน หรือชาวบ้านขัดแย้งกันเอง การรับของใหม่ก็เป็นไปได้ยาก (หน้า 6) การพัฒนาวิถีชีวิตของม้งหมู่บ้านกิ่ว โดยบริษัทดีไซน์มีทั้งที่ได้รับความสำเร็จ และที่ไม่ได้รับความสำเร็จ ในส่วนที่ไม่ได้รับความสำเร็จนั้น เกี่ยวกับเงื่อนไขที่ว่า บริษัทดีไซน์ ขาดข้อมูลและความรู้ที่เกี่ยวกับม้งที่หมู่บ้านกิ่ว ในเชิงลึก ทำให้ไม่สามารถวางแผนการพัฒนาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวิถีชีวิตของม้งที่นั่น เพราะว่าม้งบ้านกิ่วได้เปลี่ยนวิถีชีวิตจากการปลูกพืชต่าง ๆ ในการยังชีพ และปลูกฝิ่นเพื่อขาย มาปลูกพืชอื่นแทนฝิ่น ด้วยการทิ้งที่ดินและทุน ตลอดจนระบบการส่งผลผลิตเข้าสู่ตลาด ในขณะเดียวกัน ก็มีปัญหาเรื่องบริโภคนิยม ซึ่งต้องพึ่งสินค้าจากภายนอก จึงมีความจำเป็นในการแสวงหาเงิน เพื่อมาใช้ในการบริโภค และเป็นทุนในการผลิต ทางบริษัทดีไซน์ ได้เพิ่มการพัฒนาไปในทางการให้การศึกษานอกโรงเรียน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีปัญหาด้านการสื่อสาร ครูสอนด้วยภาษาไทยซึ่งนักเรียนฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย และม้งให้ความสำคัญกับการทำไร่ ต้องทำงานในไร่ตั้งแต่เช้าตรู่ จนถึงเย็น และการบริการเกี่ยวกับศูนย์เด็กเล็กก่อนวัยเรียน ซึ่งเปิดเวลา 9.00 น.ถึงเวลาประมาณ 15.30 ก็ไม่เหมาะกับวิถีชีวิตของม้ง นอกจากนี้โครงการที่ให้ทำสวนครัวก็มีปัญหา เพราะม้งนิยมการปลูกผักในไร่มากกว่า จาก หลักฐานดังกล่าว ทำให้ผู้เขียนได้ใช้แนวคิดของ Francis R. Allen อธิบายว่ากิจกรรมในการพัฒนาจะได้รับการต่อต้าน หรือไม่ได้รับความสนใจ หากขัดแย้งกับวิถีชีวิตดั้งเดิม

Ethnic Group in the Focus

ชาวเขาเผ่าม้งขาว ในหมู่บ้านกิ่ว อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีบัตรประชาชนตามกฏหมายไทย (หน้า 5) ในเรื่องของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งนั้น ยังไม่มีนักวิชาการสรุปอย่างแน่ชัดว่าจัดอยู่ในกลุ่มใด บางคนจัดให้อยู่ในพวกธิเบต -พม่า (Tibeto-Burman) บางคนจัดให้อยู่ในกลุ่มพวกมอญ-เขมร (Mon-Khmer) และยังมีการประชุมวิทยาการภาคพื้นแปซิฟิค ครั้งที่ 9 กำหนดให้อยู่ในพวกที่แยกประเภทไม่ได้ (Unclassified) (หน้า 19-20)

Language and Linguistic Affiliations

ม้งในประเทศไทย มี หลายกลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มมีลักษณะทางภาษาที่ไม่เหมือนกัน บางกลุ่มอาจจะพูดกันไม่รู้เรื่อง เช่น ม้งขาวกับม้งเขียวจะมีภาษาพูดที่แตกต่างกันมาก แต่มีแบบแผนการแต่งกายคล้ายกัน ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ได้จัดประเภทภาษาม้งว่า เป็นภาษาในตระกูล มอญ-เขมร (ออสโตรเอเชียติก) ไท, ซีนีติค (Sinitic) และอื่นๆ บางท่านถือว่าภาษาแม้ว-เย้า เป็นสาขาหนึ่งของภาษาตระกูลจีน-ธิเบต (มองโกลอยด์) ซึ่งความเห็นต่าง ๆ เหล่านี้ยังไม่ตรงกัน ภาษาม้งเป็นภาษาที่มีเสียงก้องและเป็นคำโดด ๆ ต่างกับภาษาจีนทั้งคำและการออกเสียง คำศัพท์จำนวนมากยืมมาจากภาษาจีน ไทย ลาว และชนชาติอื่น ๆ ที่ม้งมีความสัมพันธ์ด้วย (หน้า22) การสื่อสารกันในหมู่บ้านกิ่วนี้ จะพูดเป็นภาษาม้ง ในการประชุมของหมู่บ้านระหว่างคนม้งด้วยกันเองจะพูดภาษาม้ง แต่ถ้ามีคนภายนอกมาร่วมประชุมด้วย จะมีการสื่อสารด้วยภาษาไทยภาคเหนือ (คำเมือง) ปนกับภาษาไทยภาคกลาง ถ้าหากในที่ประชุมมีการถกเถียงกันระหว่างม้งด้วยกันเอง ก็จะมีหัวหน้าที่ประชุมสรุปเป็นภาษาไทยอีกครั้งหนึ่ง ม้งส่วนใหญ่ในหมู่บ้านยังอ่านหนังสือภาษาไทยไม่ได้ และภาษาม้งไม่มีภาษาเขียน หากจะต้องใช้ภาษาเขียน ม้งจะต้องยืมตัวอักษรภาษาอังกฤษมาใช้ โดยเมื่ออ่านออกเสียงแล้วจะเป็นภาษาม้ง (หน้า 23)

Study Period (Data Collection)

ผู้วิจัยทำการวิจัยภาคสนามในหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งที่โครงการพัฒนาเข้าไปดำเนินงาน เริ่มในต้นปี พ.ศ. 2534 จนถึงต้นปี พ.ศ. 2536 โดยผู้วิจัยได้เข้าไปร่วมอยู่อาศัยในหมู่บ้าน อย่างต่อเนื่อง (หน้า 7)

History of the Group and Community

บรรพบุรุษของม้งขาวที่หมู่บ้านกิ่วเล่าต่อ ๆ กันมาว่า พวกม้งสมัยก่อนอยู่ที่ประเทศจีน มีการสู้รบกับชาวจีนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ต้องอพยพเรื่อยมา มีทั้งที่เข้ามาอยู่ในเขตประเทศไทย และส่วนใหญ่ไปอยู่ในประเทศลาว มีการสร้างบ้านเมืองอยู่อย่างถาวร แต่ก็เกิดสงครามในประเทศลาว ม้งที่อยู่บ้านกิ่ว เป็นกลุ่มที่ข้ามฝั่งแม่น้ำโขงมาจากประเทศลาว (หน้า 20) ซึ่งก่อนหน้านี้เคยไปตั้งหมู่บ้านอยู่ที่ดอยหลวง การอพยพลงมาตอนแรกมากันเพียงไม่กี่ครัวเรือน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2515 ก็อพยพลงมาหมดทุกครัวเรือน เมื่อลงมาก่อตั้งเป็นหมู่บ้านใหม่แล้ว ได้เรียกชื่อหมู่บ้านนี้ว่า " บ้านกิ่ว" มีความหมายว่าเป็นการผูกติดต่อ เพราะหมู่บ้านนี้ตั้งอยู่บริเวณที่เป็นกึ่งกลางสันดอยของเส้นทางที่ติดต่อกันระหว่างสองอำเภอ คือ อำเภอเชียงแสนและอำเภอเชียงของ จึงเรียกตามภาษาท้องถิ่นภาคเหนือของคนพื้นราบว่า กิ่ว (หน้า16)

Settlement Pattern

ม้งที่อพยพมาได้มีการก่อตั้งหมู่บ้านเป็นการถาวร ลักษณะของการตั้งหมู่บ้านอยู่ระหว่างรอยต่อบริเวณเชิงเขา 2 ลูก แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มแรกสร้างบ้านอยู่บริเวณเชิงเขาทางที่จะขึ้นดอยหลวง กลุ่มที่สองอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งถูกกั้นด้วยถนนที่ตัดผ่าน ซึ่งบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญ ๆ ของหมู่บ้าน เช่น โรงเรียน สหกรณ์ เป็นต้น และยังเป็นกลุ่มที่มีถนนสายหลักภายในหมู่บ้านตัดขึ้นไปยังด้านบนของหมู่บ้านที่เป็นบริเวณที่ตั้งของกลุ่มที่สาม ซึ่งกลุ่มนี้มีชาวมูเซอมาอาศัยร่วมอยู่ด้วย (หน้า18)

Demography

ประชากรในหมู่บ้านเริ่มต้นเพียงไม่กี่หลังคาเรือน ประกอบด้วยกลุ่มแซ่ต่าง ๆ แซ่ใหญ่ ๆ ได้แก่ แซ่ลี แซ่เล่า แซ่ว่า แซ่เฮ่อ เป็นต้น แซ่ที่ใหญ่ที่สุด คือ แซ่ลี สถิติจำนวนประชากรที่สำรวจในปี พ.ศ.2534 มีทั้งหมด 162 หลังคาเรือน มีประชากรทั้งหมด 822 คน กลุ่มอายุที่มีมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 1-10 ปี มีจำนวนร้อยละ 45 ที่มีจำนวนมากเช่นนี้ เพราะเดิมม้งในหมู่บ้านนิยมการมีลูกมาก เพื่อเป็นแรงงานภายในครัวเรือน ซึ่งกำลังเป็นปัญหาในอนาคตที่เกี่ยวเนื่องกับจำนวนที่ทำกินในอนาคต ส่วนกลุ่มอายุที่มีน้อยที่สุด คือ กลุ่มอายุ 61 ปีขึ้นไป คือร้อยละ 3 ประชากรกลุ่มนี้มักจะอยู่อาศัยภายในบ้าน จากจำนวนประชากรของม้ง ชี้ให้เห็นว่าม้งมีช่วงอายุที่ไม่ยืนยาวมากนัก สาเหตุสำคัญได้แก่ เรื่องโภชนาการ และเรื่องโรคภัยต่าง ๆ ที่การรักษาแผนใหม่ยังมีไม่เพียงพอ และม้งยังนิยมรักษาด้วยการลงผีเป็นหลัก (หน้า 20-22)

Economy

ปัจจัยการผลิต ที่ดิน : เป็นต้นทุนในการผลิตพืชผลทางการเกษตร ซึ่งแต่เดิมเป็นการผลิตเพื่อบริโภคหรือระบบเศรษฐกิจเพื่อการยังชีพ (Subsistant Economy) และมีการใช้ที่ดินอีกส่วนหนึ่งในการปลูกฝิ่นเป็นพืชทางเศรษฐกิจสำหรับขายเพื่อเงินตรา (Cash crops) แรงงานและอุปกรณ์ : แรงงานที่ใช้ในการผลิต นอกจากจะเป็นแรงงานในครอบครัวแล้ว ยังมีการแลกเปลี่ยนแรงงาน ทั้งในระดับเครือญาติและเพื่อนบ้าน เครื่องมือที่ใช้ในการทำงานเป็นเครื่องมืออย่างหยาบ ๆ ไม่มีการตกแต่ง เช่น จอบ ซึ่งจะมีลักษณะหักงอมากกว่าของชาวพื้นราบ ด้ามจับสั้นกว่า ม้งมีอาวุธสำหรับล่าสัตว์ที่ใช้กันประจำคือ หน้าไม้ ทุน: ทุนที่ใช้ในการผลิตได้แก่ เมล็ดพันธุ์ต่างๆ ซึ่งเป็นเมล็ดพืชที่เคยปลูกดั้งเดิมอยู่แล้ว ถ้าเป็นพืชที่ปลูกขึ้นมาเพื่อขายทดแทนฝิ่น ก็จะได้มาจากการซื้อมาจากตลาด การแบ่งงานในการผลิต: แบ่งออกตามอาชีพหลักและอาชีพรอง อาชีพหลักได้แก่ การเพาะปลูกข้าว ข้าวโพด ส้มเขียวหวาน ขิง กระหล่ำปลี อาชีพรอง ได้แก่ การล่าสัตว์ การตัดก๋ง (ก๋ง มีลักษณะคล้ายต้นหญ้า) การดูแลสัตว์เลี้ยง เพื่อใช้ในการทำพิธีกรรม การบริโภค มีการปลูกข้าวเพื่อการบริโภค ส่วนการจับจ่ายซื้อของทั่วไปภายในบ้านมักเป็นหน้าที่ของผู้หญิง แต่ถ้าเป็นของใหญ่หรือมีราคาแพง จะเป็นการตัดสินของพ่อซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว การกระจายผลผลิต : ผลผลิตทางเศรษฐกิจที่กระจายออกสู่ภายนอก คือ ฝิ่น นอกนั้นเป็นการผลิตสำหรับบริโภคภายในหมู่บ้าน แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีการปลูกฝิ่นแล้ว เปลี่ยนมาเป็นการปลูกข้าวโพดเพื่อขายทดแทนฝิ่น ซึ่งมีทั้งกระจายอยู่ในหมู่บ้านและออกสู่ภายนอก เมื่อผู้ชายม้งรวมกลุ่มกันออกไปล่าสัตว์ จะมีการแบ่งสรรสัตว์ที่หามาได้ (หน้า 51-70) การบริโภคอาหารของม้ง : ม้ง จะรับประทานข้าวเป็นอาหารหลักทุกมื้อ ผู้หญิงม้งจะหุงข้าวโดยใช้เตาไฟใหญ่ และใช้เตาไฟเล็กในการทำกับข้าว ที่เตาไฟใหญ่นี้จะตั้งกะทะขนาดใหญ่ซึ่งจะมีอยู่ในทุกครัวเรือน ก่อนต้มน้ำหุงข้าวจะล้างกะทะให้สะอาดก่อน เพราะกะทะนี้ใช้ในการทำอาหารเลี้ยงหมูด้วย จากนั้นก็ใส่น้ำในกะทะต้มให้ร้อน ขณะเดียวกันก็จะนำข้าวสารมาเทใส่ลงกระด้งเพื่อฝัดข้าว จากนั้นจึงนำไปซาวน้ำเพื่อทำความสะอาดอีกครั้ง แล้วเทข้าวทั้งหมดลงไปในกะทะ ม้งจะตักข้าวด้วยขัน ใส่ลงในตระแกรงสานด้วยไม้ไผ่ รองน้ำข้าวด้วยกะละมังขนาดเล็ก จากนั้นนำถังไม้ลงไปตั้งในกะทะที่มีน้ำเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย นำข้าวที่ตักขึ้นมาแล้วใส่ลงในถังไม้นี้อีกครั้ง ปิดฝาด้วยถาดสังกะสี ส่วนกับข้าวแต่ละมื้อจะประกอบกันอย่างง่าย ๆ โดยมากจะต้มผัก (หน้า 25-27) ใส่เกลือเป็นส่วนใหญ่ ม้งจะมีเครื่องปรุงรสเพียงเกลือ และเครื่องชูรสคือพริกมาตำกับสมุนไพรบางอย่าง มีการใช้น้ำมันหมูสำหรับทอดอาหารซึ่งเป็นน้ำมันหมูที่ได้จากการทำพิธีเลี้ยงผีแล้วเก็บถนอมใส่ไหไว้ น้ำปลาก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นในการปรุงอาหาร เด็กนักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นโรคขาดธาตุไอโอดีน (หน้า 65) การตั้งวงรับประทานอาหารจะนั่งกันบนโต๊ะเตี้ยๆ ที่กลางโต๊ะจะวางถาดสังกะสีสำหรับเทข้าวสุก รอบๆ จะมีกับข้าวใส่จานหรือถ้วย ทุกคนจะใช้ช้อนตักข้าวจากถาด โดยมากไม่นิยมตักข้าวใส่จานหรือถ้วยเว้นแต่จะมีแขกมาร่วมรับประทานด้วย (หน้า25-27)

Social Organization

การแต่งงานของม้งจะมีการนับญาติทางฝ่ายผู้ชายเป็นหลัก ผู้หญิงจะต้องเปลี่ยนมานับถือผีของผู้ชายและอยู่บ้านผู้ชายเป็นแรงงานในครอบครัว การนับญาติของครอบครัวก็จะนับฝ่ายชายเป็นหลัก พ่อแม่เมื่อแก่เฒ่าก็จะยกการเป็นหัวหน้าครอบครัวให้กับลูกชายคนโต ครอบครัวมีลักษณะเป็นครอบครัวใหญ่ การเรียกลุงนั้นชื่อเรียกภาษาม้งจะมีความหมายที่ใหญ่กว่าพ่อ การเรียกป้าและอานั้นจะมีชื่อเรียกภาษาม้งต่างไปจากลุง และไม่มีความหมายดังกล่าว ส่วนการเรียกลุงซึ่งเป็นพี่ชายของแม่ รวมทั้งน้าชายซึ่งเป็นน้องของแม่ จะมีชื่อเรียกในภาษาม้งอย่างเดียวกัน ส่วนการเรียกป้า ซึ่งเป็นพี่สาวแม่และน้าซึ่งเป็นน้องสาวแม่ก็จะมีชื่อเรียกในภาษาม้งอย่างเดียวกัน ครอบครัวและเครือญาติของม้งมีโครงสร้างตามแบบอย่างของตนเอง หน้าที่และบทบาทของผู้ชายที่เป็นหัวหน้า จะมีความสำคัญในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญต่าง ๆ หรือปัญหาภายในครอบครัว ผู้หญิงก็มีสิทธิในการเสนอความคิดเห็น แต่การตัดสินจริง ๆ ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ชายในฐานะผู้นำครอบครัว ม้งบ้านกิ่วทุกคนถือว่าม้งทุกคนเป็นพี่น้องกันหมด ไม่ว่าจะเป็นม้งที่อาศัยที่ใดก็ตาม ดังนั้นไม่ว่าใครจะได้รับเลือกเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ก็ไม่มีความสำคัญและมีอำนาจอะไร เพราะถือว่าแม้จะเป็นคนละแซ่ แต่ก็เป็นพี่น้องกัน ถือว่าการเป็นคนละแซ่นั้นก็คือการมีผีแตกต่างกันเท่านั้น ( หน้า 29-32 )

Political Organization

แต่เดิมการปกครองจะมีหัวหน้าที่เป็นผู้อาวุโส ซึ่งม้งเรียกว่า " เหล่าเน่ง" ซึ่งเป็นผู้อาวุโสของแซ่สกุลที่มีมากที่สุดในหมู่บ้านและมีผู้ช่วยอีก 2 คนคอยพิจารณาเรื่องราวต่างๆ แล้วผู้อาวุโสจะเป็นผู้ตัดสิน ในกรณีเกิดกรณีพิพาทในแซ่สกุลเดียวกัน ผู้อาวุโสของแซ่นั้นอาจตัดสินให้เสร็จสิ้นไปได้ แต่หากเป็นกรณีพิพาทระหว่างแซ่สกุล หัวหน้าหมู่บ้านจะต้องเชิญผู้อาวุโสแซ่อื่น ๆ มาร่วมพิจารณาด้วย และหากมีค่าปรับไหมอย่างไร ก็จะแบ่งให้ผู้ร่วมตัดสินทุกคนรวมทั้งผู้ชนะคดีด้วย ต่อมาทางราชการเข้ามามีบทบาทในการปกครอง โดยให้บ้านกิ่วนี้เป็นหมู่บ้านบริวารของหมู่บ้านพื้นราบ จึงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก ระบบการเลือกผู้อาวุโส มาเป็นเลือกตั้งหัวหน้าหมู่บ้าน หรือบางครั้งม้งจะเรียกตามชาวพื้นราบว่าพ่อหลวง ซึ่งผู้ที่ได้รับเลือกระยะแรกยังคงเป็นผู้ที่มีฐานะอาวุโส และมีการตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านแทนตำแหน่งผู้ช่วย ซึ่งแบ่งเป็น 7 ฝ่ายตามการปกครองท้องถิ่นของชาวพื้นราบ ได้แก่ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายการศึกษา ฝ่ายการคลัง ฝ่ายป้องกัน ฝ่ายพัฒนา ฝ่ายสวัสดิการ ฝ่ายสาธารณสุข ปัจจุบันการปกครองของม้งบ้านกิ่วได้กลับมาใช้ระบบผสมผสานระหว่างของเดิมและของใหม่ นอกจากนี้ หัวหน้าหมู่บ้านและคณะกรรมการทุกฝ่าย ยังมีการร่างกฏเกณฑ์ขึ้นมาเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย เช่น การห้ามปล่อยหมูออกจากคอก ห้ามตัดไม้ในบริเวณหมู่บ้าน เป็นต้น ซึ่งได้ประกาศให้ทุกคนรับทราบและได้รับการยอมรับจากม้งในหมู่บ้านแล้ว (หน้า 37-39)

Belief System

การนับถือผี : ม้งเชื่อว่ามีผีสิงสถิตย์อยู่ทุกหนทุกแห่ง มีผีฟ้า ผีดิน เป็นต้น ซึ่งผีเหล่านี้มีทั้งดีและร้าย ความเชื่อเรื่องผีนี้มีมากมาย แต่ผีที่เป็นหลักของม้ง ได้แก่ ผีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษ จะต้องทำการเลี้ยงผีบรรพบุรุษทุกปีในช่วงเทศกาลปีใหม่ม้ง และร้องเชิญผีที่คุ้มครองบ้านมาด้วย ส่วนผีระดับรองมา ได้แก่ ผีฟ้า เป็นผีที่คุ้มครองฟ้า, ผีดิน คุ้มครองพื้นดิน ฯลฯ การทำพิธีกรรมจะเรียกว่า " การลงผี" หรือ "ทำผี" การทำพิธีลงผีที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับคนแต่ละแซ่ คือการลงผีใหญ่ คนที่นับถือผีเดียวกันก็คือคนแซ่เดียวกันก็จะมารวมตัวกันที่บ้านญาติคนใดคนหนึ่ง หมอผีผู้ทำพิธีจะฆ่าหมู 1 ตัวเพื่อเซ่นผี และใช้ไก่ 1 ตัวเป็นเครื่องมือในการกวาดล้างสิ่งไม่ดี จากนั้นจะนำไก่ผูกไว้ข้างหลังแพะ เพราะเชื่อว่า แพะจะนำพาความชั่วร้ายออกไปนอกหมู่บ้านสัญลักษณ์สำคัญภายหลังการทำพิธีเสร็จคือ การกันบ้านโดย ใช้กิ่งไม้สดๆ เสียบไว้ที่ชายคาบ้าน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าไม่ต้องการติดต่อกับใคร และจะปิดบ้านไว้เป็นระยะเวลาตามที่หมอผีบอก นอกจากการนับถือผีแล้วก็ยังมีความเชื่อรูปแบบอื่น ปนด้วยคือ - ศาสนาคริสต์ ม้งในหมู่บ้านมีทั้งที่นับถือนิกายโปแตสเต็นท์และคาทอลิก ม้งคาทอลิก เชื่อว่าการได้สารภาพบาปเพื่อเข้ารีตเป็นศริสต์นั้น ทำให้พวกเขาสามารถหลุดพ้นจากอำนาจของผีร้าย ในส่วนกิจกรรมของหมอสอนศาสนานิกายโปแตสเต็นท์ จะเข้ามาพบชาวบ้านและมีกิจกรรม ซึ่งก็มักจะเป็นการสวดอ้อนวพระเจ้าและร้องเพลงร่วมกันพร้อมกับมีการละเล่นประกอบเพลง ข้อบังคับหนึ่งของสมาชิก คือต้องเลิกนับถือผีโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกตัดจากการเป็นสมาชิก แต่สมาชิกบางคนก็ยังไม่ตัดขาดจากการนับถือผี และคนส่วนใหญ่ของหมู่บ้านก็ยังคงนับถือผีอยู่เช่นเดิม - วัดในศาสนาพุทธ (มหานิกาย) มีม้งที่หันมานับถือพุทธอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก และก็ยังนับถือผีของตนอยู่เหมือนเดิม มีการเข้าร่วมกิจกรรมกับทางวัดบ้าง แต่ปกติความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับคนทั่วไปในหมู่บ้าน จะเป็นลักษณะต่างคนต่างอยู่ โดยที่ชาวบ้านก็ไม่ได้ปฏิเสธการมีวัดอยู่ใกล้ ๆ หมู่บ้าน (หน้า 44-49)

Education and Socialization

การศึกษาของม้ง ในสมัยก่อนไม่มีโรงเรียน ครอบครัวเป็นหน่วยแรกที่เป็นผู้สอน โดยวิธีการปฏิบัติในชีวิตจริง เด็กผู้หญิงม้งอายุราว 4-5 ปี แม่จะสอนให้ปักผ้าลวดลายแบบม้ง เมื่ออายุได้ราว 8-10 ปี ต้องหัดหุงข้าวและทำกับข้าวได้รวมทั้งงานบ้านทุกอย่าง ส่วนเด็กผู้ชายในอายุราว 8-10 ปี มีหน้าที่เลี้ยงม้าต้องออกไปตัดหญ้ามาให้ม้ากิน ต้องไปทำงานในไร่ และทำงานในครอบครัวที่เป็นงานหนักๆ เช่น ตำข้าว เด็กชายคนใดที่พ่อเห็นว่าจะสอนให้เรียนรู้ได้ ก็จะเริ่มสอนให้ยิงหน้าไม้ ล่าหนู ล่านก และจะสอนวิธีดักสัตว์ เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มอายุราว 13-14 ปี พ่อจะหัดให้ยิงปืนแก๊ปเพื่อการล่าสัตว์พวกนก หนู จากนั้นจึงล่าสัตว์ที่อันตรายขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง คือ การล่าหมูป่า หมี เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการเรียนรู้เรื่องการทำไร่ ซึ่งทั้งพ่อและแม่จะเป็นผู้สอนให้ทั้งลูกผู้หญิงและลูกผู้ชาย โดยให้เรียนรู้ทุกอย่างภายในไร่ ได้แก่ การถางไร่ การเพาะปลูกพืชอะไรจึงเหมาะเช่น การทำไร่ข้าวโพด การปลูกข้าว เป็นต้น ในปัจจุบัน การศึกษาของม้งได้เปลี่ยนไป คือ มีโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่หมู่บ้านยังรวมตัวกันอยู่ที่ดอยหลวง คือเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2512 แล้วได้ย้ายตามหมู่บ้านลงมาสร้างยังที่ปัจจุบัน มีนักเรียนประมาณ 140 คน สอนตั้งแต่ชั้นประถมที่1 ถึงชั้นประถมที่ 5 มีตำรวจตระเวนชายแดนทำหน้าที่เป็นครูอยู่ด้วยกัน 6 นาย เมื่อเด็กเรียนชั้นสูงสุดของโรงเรียนแล้ว ถ้าพ่อแม่ส่งเสริมให้เรียนต่อ ก็จะต้องลงไปเรียนร่วมกับเด็กพื้นราบที่หมู่บ้านเชิงเขา นอกจากนี้ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ก็เข้ามามีบทบาทในการสอนหนังสือให้กับผู้ใหญ่ที่ต้องการเรียนรู้ภาษาไทย โดยจะสอนเวลากลางคืน ที่โรงเรียนนี้ นอกจากจะใช้สอนแล้ว ยังเป็นทั้งสนามกีฬาและที่ประชุมของหมู่บ้านด้วย จึงเปรียบเสมือนสถานที่ส่วนกลางแห่งเดียวของชาวบ้าน (หน้า 32-36)

Health and Medicine

เรื่องการตรวจสุขภาพนั้น ม้งบ้านกิ่วไม่ค่อยมีการตรวจสุขภาพมากนัก (หน้า 117) (ทางบริษัทดีไซน์ (นามสมมติ) ได้มีการจัดการด้านการตรวจสุขภาพให้ชาวเขา ซึ่งชาวบ้านยังไม่มั่นใจกับการรักษาด้วยวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะยังมีความเชื่อเรื่องหมอผี ที่จะเป็นผู้ช่วยในการรักษาความเจ็บป่วยอยู่แล้ว ในหมู่บ้านยังมีการการพัฒนาสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม มีการสร้างห้องส้วม ซึ่งแต่เดิมม้งไม่เคยมีห้องส้วมใช้ )

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย : ผู้ชายจะนุ่งกางเกงสีน้ำเงินหรือดำ ใส่เสื้อสีเดียวกับกางเกง มีผ้าปักลวดลาย ส่วนผู้หญิงจะนุ่งกางเกงสีดำหรือน้ำเงินเช่นกัน มีผ้าปิดด้านหน้าและหลัง ลักษณะเป็นผ้าสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว ขอบผ้าปิดผืนนี้จะเย็บขอบด้วยสีฟ้าหรือขาว ตรงกลางอาจมีลวดลายหัตถกรรม ชายผ้าด้ายที่ผูกมัดกับเอวมักจะต่อด้วยผ้าสีแดง เสื้อของผู้หญิงม้งขาวจะมีลวดลายที่สาปเสื้อ คอเสื้อด้านหลังจะมีผ้าปักลวดลายเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสผืนเล็ก ๆ ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงมักจะมีผ้าโพกศีรษะหรือหมวก เด็กจะสวมหมวกแต่เวลาแต่งชุดเมื่อมีงาน เครื่องประดับเงินในชีวิตประจำวันมักเป็นห่วงคอ การแต่งกายในวันทั่วไปของผู้ชายยังคงนิยมการนุ่งกางเกงขากว้างแบบม้ง และใส่เสื้อแบบคนพื้นราบ หรือใส่เสื้อยืดแล้วสวมทับด้วยเสื้อม้ง ส่วนผู้หญิงยังคงนิยมนุ่งกางเกงและมีผ้าปิดด้านหน้าด้านหลัง สวมเสื้อแบบม้งบ้างเสื้อยืดบ้าง (หน้า 24-25) งานเย็บผ้า ปักผ้า ม้งที่เป็นผู้หญิงจะปักผ้าลวดลายแบบม้งต่าง ๆ เพื่อนำมาประดับบนเสื้อผ้า และมีการตัดเย็บเสื้อผ้า ซึ่งผู้เป็นแม่จะมีหน้าที่ตัดเย็บเสื้อผ้าให้กับลูกชาย ภรรยาต้องปักผ้าและเย็บเสื้อให้สามี พี่สาวก็ต้องทำให้กับน้องสาวและน้องชาย (หน้า 62) งานจักสาน ส่วนมากเป็นคนเฒ่าคนแก่ที่จะสามารถสานตระกร้าได้ (หน้า 64)

Folklore

ไม่ได้กล่าวถึงในงานวิจัยมากนัก กล่าวเพียงว่า มีการเล่าเรื่องต่อ ๆ กันมาของบรรพบุรุษ ในเรื่องความเป็นมาของม้งสมัยก่อน (หน้า 20)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ในหมู่บ้านกิ่วนอกจากจะมีม้งที่ย้ายเข้ามาแล้ว ภายหลังยังมีมูเซอมาร่วมอาศัยอยู่ด้วย เรียกตังเองว่ามูเซอบาหลาและนาเกี่ยว ซึ่งมีสกุลบาหลาเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากมูเซอมาทีหลัง การจับจองที่ทำกินจึงไม่พอ ทำให้ต้องรับจ้างม้งทำไร่ ถางไร่ ทำสวน เป็นรายได้ในการเลี้ยงชีพและรับจ้างไพหญ้าคาขายเป็นตับๆ ตามฤดูกาล ความเป็นอยู่ของมูเซอต้องพึ่งม้งอยู่มาก ทำมีปัญหาในการอยู่ร่วมกันน้อยมาก (หน้า 17) ม้งบ้านกิ่วมักจะเดินทางไปที่อำเภอเชียงของมากกว่าเชียงแสน เพราะต้องติดต่อทางราชการในเรื่องต่าง ๆ หรือการจะไปติดต่อกับพี่น้องม้งในเขตประเทศลาว (หน้า 49)

Social Cultural and Identity Change

ผลจากการเข้ามาพัฒนาของหน่วยงานทั้งภาครัฐบาลและเอกชนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ดังนี้ คือ - การพัฒนาด้านการศึกษา ได้มีการเปิดสอนหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่เบ็ดเสร็จ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่กี่ยวกับการอ่าน เขียน ฟังและพูดภาษาไทยในขั้นพื้นฐาน เมื่อจบหลักสูตรก็จะเทียบเท่ากับชั้น ประถมปีที่ 4 มีการจัดทำที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้านโดยใช้ที่ที่เคยก่อตั้งเป็นธนาคารยาแต่ไม่ได้รับความนิยม เปลี่ยนมาเป็นที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้านส่วนหนึ่งแบ่งเป็นห้องพักสำหรับครู มีการจัดศูนย์การศึกษาเด็กก่อนวัยเรียนซึ่งโครงการนี้มีส่วนเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของม้ง เพราะปกติม้งจะเลี้ยงดูลูกเล็กๆ ในขณะที่ทำงานในไร่ไปด้วย - การพัฒนาสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม มีการสร้างห้องส้วม ซึ่งแต่เดิมม้งไม่เคยมีห้องส้วมใช้ สถานที่บริเวณบ้านจึงไม่ค่อยพอ และยังมีปัญหาเรื่องการขุดหลุมเพื่อฝังถังส้วมเพราะพื้นที่เป็นภูเขา ทำให้ต้องเสียเวลาในการขุดเพราะมักจะพบกับหินขนาดใหญ่ และยังเกิดการผิดผีบ้านของคนอื่นด้วยเพราะเชื่อว่าห้ามมีการสร้างสิ่งใดตรงกับประตู สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิม คือ ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูดส้วมด้วย นอกจากนี้ ทางบริษัทได้มีการจัดการด้านการตรวจสุขภาพให้ชาวเขา ซึ่งชาวบ้านยังไม่มั่นใจกับการรักษาด้วยวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะยังมีความเชื่อเรื่องหมอผี ที่จะเป็นผู้ช่วยในการรักษาความเจ็บป่วยอยู่แล้ว ในการส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อม ทางโครงการได้จัดถังขยะประจำที่หน้าบ้านของทุกคน แต่ไม่ได้รับสนใจ - การพัฒนาสาธารณูปโภค การสร้างระบบประปาภูเขาทำให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น ทำให้ชาวบ้านไม่ต้องเหนื่อยกับการนำภาชนะไปตักน้ำที่บ่อกลับมาใช้ที่บ้าน - โครงการพัฒนาเศรษฐกิจและการเงิน ทางบริษัทได้ดำเนินการด้านนี้ในหลายเรื่อง มีทั้งที่ได้รับความสนใจและไม่ได้รับความสนใจ ดังนี้คือ การกู้เงินเพื่อซื้อข้าว โดยปกติแล้วการขาดข้าวเพื่อบริโภคมีน้อยมากเพราะสังคมม้งนั้นถือว่าเขาเป็นคนขยันและอดทน การบริโภคข้าวถือเป็นสิ่งสำคัญกว่ากับข้าวเสียอีก ทำให้มีการกู้เงินเพื่อวัตถุประสงค์อื่น มีการสนับสนุนการปลูกกระหล่ำปลีเพื่อสร้างรายได้ แต่ด้วยการขาดความรู้และผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เกิดหนี้สินขึ้น นอกจากนี้ ก็มีการศูนย์สาธิตการเกษตร เป็นศูนย์ที่ส่งเสริมให้รู้จักกับระบบสหกรณ์ และเป็นจุดศูนย์กลางของระบบสหกรณ์ประเภทอื่นที่จะส่งเสริมอีก ที่ศูนย์การเกษตรแห่งนี้เป็นเหมือนสิ่งกระตุ้นให้ม้งพึ่งสังคมภายนอก มากกว่าการผลิตเพื่อการบริโภคตามวิถีชีวิตแบบเดิม เพราะสามารถหาซื้อของได้ง่ายขึ้นทำให้ต้องใช้เงินมากขึ้น ในส่วนของงานหัตถกรรมทางโครงการได้ส่งเสริมงานปักผ้า และตัดเย็บเสื้อผ้า ให้กับผู้หญิงม้งในหมู่บ้าน (หน้า 76-112)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

สภาพทั่วไปของหมู่บ้านกิ่ว (หน้า 126) หมอผีกำลังทำพิธีกรรม (หน้า 127) การทำพิธีกรรมรักษาโรคเด็กเล็ก (หน้า 128) การประชุมอย่างไม่เป็นทางการที่บริเวณเตาไฟเล็กภายในบ้าน (หน้า 129) การประชุมแบบเป็นทางการที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน (หน้า 130) การใช้แรงงานของผู้อาวุโสที่ยังสามารถทำงานได้ (หน้า 131) ชายม้งที่ช่วยเลี้ยงดูลูก (หน้า 132) ผู้อาวุโสม้งทำงานจักสาน (หน้า 133) หนุ่มม้งเตรียมตัวไปล่าสัตว์ด้วยปืนแก๊ปและหน้าไม้ (หน้า 134) ผู้หญิงเป็นแรงงานสำคัญภายในไร่ ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลลูกด้วย (หน้า 135) ผู้หญิงม้งต้องทำงานทั้งภายในบ้านและในไร่ด้วย (หน้า 136) ไฟฟ้าช่วยให้ผู้หญิงปักผ้าสะดวกในเวลากลางคืน ( หน้า 137) เด็กสาวนอกจากเป็นแรงงานในไร่แล้ว ยังต้องปักผ้า และช่วยเลี้ยงน้อง (หน้า 138) เด็กผู้หญิงวัยเรียนยังเป็นแรงงานภายในครอบครัวด้วย (หน้า 139) เด็กนักเรียนชายทำหน้าที่พนักงานขายของศูนย์สาธิตการตลาด (สหกรณ์) (หน้า 140) แผนผังหมู่บ้านกิ่ว (หน้า 9 ) กราฟแสดงจำนวนประชากร (หน้า 21) ปฏิทินการเกษตรม้งแบบดั้งเดิม (หน้า 72) ปฏิทินการเกษตรม้งในบัจจุบัน (หน้า 73) กราฟแสดงจำนวนผู้ถือหุ้นศูนย์สาธิตการตลาด (หน้า 109)

Text Analyst วิมล เตรียมล้ำเลิศ Date of Report 30 มิ.ย 2560
TAG ม้ง, ความเป็นอยู่, ประเพณี, การพัฒนาชนบท, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง