สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,การจัดการความรู้,การปรับตัว,ระบบเกษตรบนพื้นที่สูง,เชียงใหม่
Author บัณฑูรย์ วาฤทธิ์, ธีระเดช พรหมวงค์, สุธาลี โนมูล
Title กระบวนการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ด้านเกษตรบนที่สูงอย่างยั่งยืน : กรณีศึกษาชุมชนม้งบ้านสันป่าเกี๊ยะ ตำแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
หอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Total Pages 67 Year 2543
Source คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

ผู้เขียนได้ค้นพบว่าหลังจากมีการเข้าไปพัฒนาชุมชนบนพื้นที่สูงของรัฐ นับแต่การปลูกพืชทดแทนฝิ่น และการอนุรักษ์พื้นที่ เป็นต้นมา ทำให้ชุมชนได้รับความรู้ทั้งมาจากรัฐหรือภายนอกและสามารถผสมผสานกับภูมิปัญญาของตนเองแล้วสร้างความรู้ขึ้นด้วย การเรียนรู้ หยิบยืม และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือความรู้ใหม่จากรัฐก็ตาม โดยใช้ทุนทางสังคมวัฒนธรรมม้ง เป็นกระบวนการเรียนรู้และสืบทอดที่สำคัญในการปรับตัวและดำรงอยู่ของชีวิตวัฒนธรรมในภาวะที่กำลังเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้ ชุมชนสันป่าเกี๊ยะจึงมีการผสมผสานกันของความรู้ระหว่างความรู้สมัยใหม่และภูมิปัญญาชาวบ้าน เพื่อนำมาใช้ปกครองชุมชนและทำการเกษตรพร้อม ๆ กัน กล่าวคือ ด้วยเงื่อนไขที่ชุมชนสันป่าเกี๊ยะต้องสัมพันธ์กับรัฐ ทำให้มีกลุ่มผู้นำสองประเภท คือ ผู้นำที่มาจากความอาวุโสและเป็นผู้รู้จารีตประเพณี กับกลุ่มผู้นำ ทางการเมืองหรือผู้นำรุ่นใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชการอย่างเป็นทางการ ในทำนองเดียวกันระบบการเกษตรของชุมชนสันป่าเกี๊ยะก็ยังคงมีองค์ความรู้สองระบบอยู่ด้วยกัน คือ ระบบการเกษตรเพื่อยังชีพกับระบบการเกษตรเพื่อการค้าหรือมุ่งแสวงหารายได้ (ข.)

Focus

ศึกษาการผสมผสานขององค์ความรู้เดิมหรือภูมิปัญญาชาวบ้านกับความรู้ใหม่หรือความรู้จากรัฐ เพื่อการปรับตัวของระบบเกษตรบนพื้นที่สูง

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง (Hmoob) บ้านสันป่าเกี๊ยะ ตำบนแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 3, 14, 26, 58)

Language and Linguistic Affiliations

กลุ่มชาติพันธุ์ม้งในกรณีศึกษาสามารถพูดภาษาม้งสำเนียงม้งลายหรือม้งน้ำเงิน (แต่พวกเขาเรียกตัวเองว่า "ม๊งจั๊วะ"/Hmoob Ntsuab-ผู้อ่านสังเคราะห์) เป็นภาษาหลัก และสามารถใช้ภาษาไทยกลางกับผู้วิจัย และผู้ช่วยวิจัยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ (หน้า 20-21)

Study Period (Data Collection)

ปี พ.ศ. 2542- พ.ศ. 2543 และใช้เวลาในการเข้าถึงข้อมูลตามปฏิทินการดำเนินชีวิตของชาวบ้านเป็นสำคัญ (หน้า 4)

History of the Group and Community

บ้านม้งสันป่าเกี๊ยะตั้งถิ่นฐานมาแล้วกว่า 50 ปี โดยก่อนหน้านั้นบางส่วนได้อพยพมาจากดินแดนประเทศพม่าบริเวณเมืองแหง แล้วเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบ้านหญ้าค่าประมาณปี พ.ศ. 2480 จากนั้นได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่บ้านผาแตกปี พ.ศ. 2510 ซึ่งทั้งสองครั้งได้ตั้งหลักแหล่งประมาณ 10 ปี ก่อนที่จะอพยพเข้ามาอยู่ในที่ปัจจุบัน โดยสาเหตุของการอพยพทั้งสองครั้งมีคือ โรคอหิวาตกโรคและมาลาเรีย และถูกโจร ปล้น จี้ มาตรกรรมคุกคาม (หน้า 26-27, 51) ทั้งนี้ผู้วิจัยได้สรุปเอกสารว่าโดยทั่วไปแล้วมีสาเหตุหลัก คือ ต้องการพื้นที่ทำไร่ฝิ่น (อดีต) เกิดโรคระบาด และต้องการความช่วยเหลือทางสังคมในหมู่เครือญาติ (หน้า 27)

Settlement Pattern

บ้านม้งสันป่าเกี๊ยะตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณที่รัฐประกาศให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ และเป็นพื้นที่ที่ยังเดินทางไม่สะดวกในฤดูฝน เพราะถนนเป็นดินลูกรัง (หน้า 26) ในตอนแรกตั้งถิ่นฐานกระจายกันอยู่ที่ผาแตก บริเวณต้นน้ำขุนแม่เมิน แต่หลัง พ.ศ. 2515 หน่วยงานต่างๆ ได้เข้าไปปฏิบัติการและพยายามให้มีการตั้งถิ่นฐานแบบอยู่กับที่ ไม่อพยพโยกย้ายไปมา กระทั่งเมื่อเกิดโรคระบาดจึงย้ายถิ่นมารวมที่บ้านสันป่าเกี๊ยะ (หน้า 27)

Demography

ปี พ.ศ. 2543 บ้านสันป่าเกี๊ยะมีประชากรวม 456 คน เป็น 54 ครัวเรือน ประกอบด้วย 3 ตระกูลแซ่ใหญ่ๆ คือ แซ่ลี แซ่หาง และเริงไม (หน้า 34, 59)

Economy

เนื่องจากพื้นที่เป็นดินที่เกิดจากหินปูนในยุคเพอร์เมียนตอนปลายของมหายุคพาลีโอโซอิก (หน้า 230-280 ล้านปี) ทำให้พื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ (หน้า 28) มีสภาพป่าดิบแล้งและป่าดิบแล้งผสมไม้ผลัดใบ เช่น ไม้สนเขา และไม้ก่อ เป็นต้น (หน้า 28, 30) แต่ด้วยเงื่อนไขที่รัฐได้ดำเนินนโยบายปลูกพืชอื่นทดแทนฝิ่น และประกาศเป็นพื้นที่อนุรักษ์ทับซ้อน ทำให้ระบบการเกษตรไร่ย้ายที่แบบหมุนเวียนถูกปรับเปลี่ยน ซึ่งมีทั้งเพื่อยังชีพและเพื่อการค้า ซึ่งต้องพึ่งกลไกตลาดอย่างมาก ทำให้ปัจจุบันมีวิถีการผลิตในลักษณะผสมผสานกัน 3 รูปแบบ คือ ไร่หมุนเวียน ปลูกไม้ผลผสมผสานกัน และนาข้าว รวมทั้งเลี้ยงปลา โดยใช้น้ำประชาภูเขาจากลำน้ำเมินและห้วยแม่กอกน้อย ซึ่งได้มีการแบ่งพื้นที่ใช้ประโยชน์ต่าง ๆ คือ ป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ ป่าชุมชน พื้นที่ทำการเกษตร และพื้นที่อยู่อาศัย (หน้า 32-34, 43-44, 56-57, 59-61) เพื่อสร้างอำนาจต่อรองสิทธิกับรัฐเพื่อเข้าถึงทรัพยากร

Social Organization

ครัวเรือนมีลักษณะเป็นครอบครัวขยายที่ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก รวมทั้งครอบครัวของลูกชายที่แต่งงานแล้ว ทำให้เอื้อต่อการถ่ายทอดความรู้แบบเดิมที่ได้รับจากพ่อแม่ ชุมชน และเครือญาติ ทั้งในรูปพิธีกรรม วิถีชีวิต เนื่องจากมีความสัมพันธ์เชิงเครือญาติที่แน่นแฟ้มเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (หน้า 62-63) โดยในครัวเรือนจะมีพ่อบ้านที่อาวุโสมากที่สุดเป็นหัวหน้าครอบครัวขยายที่อาจมีถึง 3 รุ่นคนอยู่ร่วมกัน (หน้า 35, 59) ในปี พ.ศ. 2543 หมู่บ้านสันป่าเกี๊ยะประกอบด้วยตระกูลใหญ่ 3 ตระกูล คือ แซ่ลี แซ่หาง และเริงไม แต่ละตระกูลมีจำนวนใกล้เคียงกัน และมีตระกูลเล็ก ๆ อีก 3 ตระกูล แต่ละตระกูลมีผู้อาวุโสเป็นหัวหน้า ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อคนในตระกูล ส่วนในชุมชนนั้นหัวหน้าตระกูลเริงไมและลี จะมีอิทธิพล เพราะฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่า และมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านด้วย

Political Organization

นอกจากบ้านม้งสันป่าเกี๊ยะจะมต้องมีผู้ปกครองตามรูปแบบของรัฐร่วมกับผู้อาวุโสแล้ว (หน้า 35) ชาวบ้านยังได้มีความสัมพันธ์กับรัฐด้านการพัฒนาการเกษตรและการอนุรักษ์ โดยเฉพาะหลังจากการเข้ามาของนิคมสงเคราะห์ชาวเขาในปี พ.ศ. 2515 และอีกหลายหน่วยงานในปีต่อมาซึ่งอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน (หน้า 27) เช่น สำนักงานประถมศึกษา สาธารณสุข โดยการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมบนที่สูง โดยการพัฒนาป่าไม้ที่สูง (แม่ตะมาน) (หน้า 44, 52-54, 64) ซึ่งทำให้ชาวบ้านมีความสัมพันธ์กับกลไกตลาดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (หน้า 61)

Belief System

ผู้วิจัยได้กล่าวถึงความเชื่อผี วิญญาณและบรรพบุรุษของม้ง (หน้า 37) เพื่อให้นักพัฒนาได้รับรู้และได้พึงระวังในการเข้าไปพัฒนาชุมชน มากกว่าเพื่อทำความเข้าใจวิธีคิดในการจัดการความรู้ท้องถิ่น (หน้า 61) ซึ่งมีทั้งข้อห้ามต่างๆ เช่น การเลือกที่อยู่อาศัย (หน้า 35, 37-38, 45) การแต่งงาน และการเกี้ยวพาราสี (หน้า 41, 46-47) การตาย (หน้า 42-43, 47) อาหารและสุขภาพ (หน้า 47-48) มารยาททางวัฒนธรรม (หน้า 48) และฤกษ์ยาม (หน้า 49) นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังเสนอลักษณะนิสัยและค่านิยม เช่น รักอิสระ เป็นปัจเจกบุคคล สถานภาพทางเพศชายสูงกว่าหญิง มีบุตรมาก (หน้า 38-40) ในขณะที่อีกด้านหนึ่งชุมชนได้มีการกันพื้นที่ป่าชุมชนเพื่อต่อรองสิทธิเข้าถึงทรัพยากรในพื้นที่อนุรักษ์ของรัฐด้วย (หน้า 32)

Education and Socialization

ผู้เขียนเห็นว่า บ้านม้งสันป่าเกี๊ยะกำลังมีการปรับเปลี่ยนองค์ความรู้ว่าด้วยระบบการเกษตรในลักษณะที่มีการผสมผสานระหว่างระบบการเกษตรเพื่อยังชีพ ซึ่งเป็นองค์ความรู้ท้องถิ่น กับระบบการเกษตรเชิงเดี่ยวเพื่อการค้าและการเกษตรที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่นำเข้าโดยหน่วยงานพัฒนาของรัฐต่าง ๆ ในภาวะที่ต้องปรับเปลี่ยนเช่นนี้ ชาวบ้านได้นำกระบวนการเรียนรู้ที่วางอยู่บนฐานความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ และวัฒนธรรมม้งมาทำการเรียนรู้ และสืบทอดภูมิปัญญา โดยไม่ได้เป็นเพียงฝ่ายรับจากรัฐเท่านั้น (หน้า 25, 49-51, 54) กล่าวคือการเรียนรู้ผ่านความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ พิธีกรรม วิถีชีวิตวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีชุมชน ทั้งในชุมชนและระหว่างชุมชน (เพื่อนบ้าน) (หน้า 49-55, 62-67) ซึ่งส่งผลให้สามารถรับเทคโนโลยีการปลูกพืชพาณิชย์จากรัฐได้อย่างรวดเร็ว นับแต่เริ่มการปลูกพืชทดแทนฝิ่นของโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมบนที่สูง ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดเชียงใหม่ และโรงเรียนในพื้นที่ (หน้า 52-53, 64) ฉะนั้นด้วยทุนทางสังคมวัฒนธรรมม้งที่เข้มแข็ง ผู้เขียนจึงเห็นว่าเป็นเงื่อนไขและหลักประกันในการพัฒนาความรู้ทางการเกษตรอย่างเป็นพลวัตได้ เช่น มีการจัดการทรัพยากรเพื่อพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนควบคู่กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Health and Medicine

ผู้เขียนเห็นว่าชุมชนม้งบ้านสันป่าเกี๊ยะมีความรู้ท้องถิ่นในเรื่องอาหารการกินเพื่อสุขภาพจากการเรียนรู้ชุดของระบบนิเวศและพรรณพืชท้องถิ่นได้อย่างดี ดังเช่น มีภูมิปัญญาในการใช้ยาสมุนไพรร่วมกับการรักษาอาการเจ็บป่วยอื่นๆ (หน้า 38) นอกจากนี้การดูแลสุขภาพดังกล่าว ยังถูกกำหนดเป็นข้อห้ามสำหรับกลุ่มคนที่มีสุขภาพไม่ปกติ เช่น หญิงมีครรภ์ หญิงหลังคลอด และคนไข้ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นวิธีการสืบทอดองค์ความรู้ท้องถิ่นทางหนึ่ง (หน้า 47-48)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ผู้เขียนได้กล่าวถึงชุดเสื้อผ้าของชาติพันธุ์ม้งเขียวหรือม้งม้งน้ำเงิน (พวกเขาตัวเองว่า "ม๊งจั๊วะ/Hmoob Ntsuab-ผู้อ่านสังเคราะห์) ในขณะที่ศึกษานั้นเริ่มมีการปรับเปลี่ยนไปบ้าง โดยเฉพาะวัตถุดิบที่มีเทคนิคกรรมวิธีการผลิตใหม่ และเริ่มมีการเปลี่ยนการแต่งกายไปบางแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชาย (หน้า 36-37, 60) ทั้งนี้เป็นเพียงเพื่อความเข้าใจวัฒนธรรมเบื้องต้นเท่านั้น

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ชาวม้งบ้านสันป่าเกี๊ยะมีความสัมพันธ์กับชาติพันธุ์อื่นๆ ในด้านการใช้แรงงานการเกษตร และการค้าขาย เช่น กระเหรี่ยง ลั๊วะ ถิ่น และขมุ โดยเฉพาะหลังจากมีการปลูกพืชพาณิชที่สัมพันธ์กับตลาด ทำให้ได้สัมพันธ์กับกลุ่มคน จีนฮ่อ และไทยพื้นราบหรือไทยพื้นเมืองมากขึ้น ซึ่งทำให้ชาวม้งมีการแลกเปลี่ยนความรู้ เช่น เรียนรู้การใช้ภาษาอื่นได้ เป็นต้น (หน้า 45)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst อะภัย วาณิชประดิษฐ์ Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG ม้ง, การจัดการความรู้, การปรับตัว, ระบบเกษตรบนพื้นที่สูง, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง