|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,การจัดการความรู้,การปรับตัว,ระบบเกษตรบนพื้นที่สูง,เชียงใหม่ |
Author |
บัณฑูรย์ วาฤทธิ์, ธีระเดช พรหมวงค์, สุธาลี โนมูล |
Title |
กระบวนการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ด้านเกษตรบนที่สูงอย่างยั่งยืน : กรณีศึกษาชุมชนม้งบ้านสันป่าเกี๊ยะ ตำแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
หอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
67 |
Year |
2543 |
Source |
คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ผู้เขียนได้ค้นพบว่าหลังจากมีการเข้าไปพัฒนาชุมชนบนพื้นที่สูงของรัฐ นับแต่การปลูกพืชทดแทนฝิ่น และการอนุรักษ์พื้นที่ เป็นต้นมา ทำให้ชุมชนได้รับความรู้ทั้งมาจากรัฐหรือภายนอกและสามารถผสมผสานกับภูมิปัญญาของตนเองแล้วสร้างความรู้ขึ้นด้วย การเรียนรู้ หยิบยืม และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือความรู้ใหม่จากรัฐก็ตาม โดยใช้ทุนทางสังคมวัฒนธรรมม้ง เป็นกระบวนการเรียนรู้และสืบทอดที่สำคัญในการปรับตัวและดำรงอยู่ของชีวิตวัฒนธรรมในภาวะที่กำลังเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้ ชุมชนสันป่าเกี๊ยะจึงมีการผสมผสานกันของความรู้ระหว่างความรู้สมัยใหม่และภูมิปัญญาชาวบ้าน เพื่อนำมาใช้ปกครองชุมชนและทำการเกษตรพร้อม ๆ กัน กล่าวคือ ด้วยเงื่อนไขที่ชุมชนสันป่าเกี๊ยะต้องสัมพันธ์กับรัฐ ทำให้มีกลุ่มผู้นำสองประเภท คือ ผู้นำที่มาจากความอาวุโสและเป็นผู้รู้จารีตประเพณี กับกลุ่มผู้นำ ทางการเมืองหรือผู้นำรุ่นใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชการอย่างเป็นทางการ ในทำนองเดียวกันระบบการเกษตรของชุมชนสันป่าเกี๊ยะก็ยังคงมีองค์ความรู้สองระบบอยู่ด้วยกัน คือ ระบบการเกษตรเพื่อยังชีพกับระบบการเกษตรเพื่อการค้าหรือมุ่งแสวงหารายได้ (ข.) |
|
Focus |
ศึกษาการผสมผสานขององค์ความรู้เดิมหรือภูมิปัญญาชาวบ้านกับความรู้ใหม่หรือความรู้จากรัฐ เพื่อการปรับตัวของระบบเกษตรบนพื้นที่สูง |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง (Hmoob) บ้านสันป่าเกี๊ยะ ตำบนแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 3, 14, 26, 58) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กลุ่มชาติพันธุ์ม้งในกรณีศึกษาสามารถพูดภาษาม้งสำเนียงม้งลายหรือม้งน้ำเงิน (แต่พวกเขาเรียกตัวเองว่า "ม๊งจั๊วะ"/Hmoob Ntsuab-ผู้อ่านสังเคราะห์) เป็นภาษาหลัก และสามารถใช้ภาษาไทยกลางกับผู้วิจัย และผู้ช่วยวิจัยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ (หน้า 20-21) |
|
Study Period (Data Collection) |
ปี พ.ศ. 2542- พ.ศ. 2543 และใช้เวลาในการเข้าถึงข้อมูลตามปฏิทินการดำเนินชีวิตของชาวบ้านเป็นสำคัญ (หน้า 4) |
|
History of the Group and Community |
บ้านม้งสันป่าเกี๊ยะตั้งถิ่นฐานมาแล้วกว่า 50 ปี โดยก่อนหน้านั้นบางส่วนได้อพยพมาจากดินแดนประเทศพม่าบริเวณเมืองแหง แล้วเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบ้านหญ้าค่าประมาณปี พ.ศ. 2480 จากนั้นได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่บ้านผาแตกปี พ.ศ. 2510 ซึ่งทั้งสองครั้งได้ตั้งหลักแหล่งประมาณ 10 ปี ก่อนที่จะอพยพเข้ามาอยู่ในที่ปัจจุบัน โดยสาเหตุของการอพยพทั้งสองครั้งมีคือ โรคอหิวาตกโรคและมาลาเรีย และถูกโจร ปล้น จี้ มาตรกรรมคุกคาม (หน้า 26-27, 51) ทั้งนี้ผู้วิจัยได้สรุปเอกสารว่าโดยทั่วไปแล้วมีสาเหตุหลัก คือ ต้องการพื้นที่ทำไร่ฝิ่น (อดีต) เกิดโรคระบาด และต้องการความช่วยเหลือทางสังคมในหมู่เครือญาติ (หน้า 27) |
|
Settlement Pattern |
บ้านม้งสันป่าเกี๊ยะตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณที่รัฐประกาศให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ และเป็นพื้นที่ที่ยังเดินทางไม่สะดวกในฤดูฝน เพราะถนนเป็นดินลูกรัง (หน้า 26) ในตอนแรกตั้งถิ่นฐานกระจายกันอยู่ที่ผาแตก บริเวณต้นน้ำขุนแม่เมิน แต่หลัง พ.ศ. 2515 หน่วยงานต่างๆ ได้เข้าไปปฏิบัติการและพยายามให้มีการตั้งถิ่นฐานแบบอยู่กับที่ ไม่อพยพโยกย้ายไปมา กระทั่งเมื่อเกิดโรคระบาดจึงย้ายถิ่นมารวมที่บ้านสันป่าเกี๊ยะ (หน้า 27) |
|
Demography |
ปี พ.ศ. 2543 บ้านสันป่าเกี๊ยะมีประชากรวม 456 คน เป็น 54 ครัวเรือน ประกอบด้วย 3 ตระกูลแซ่ใหญ่ๆ คือ แซ่ลี แซ่หาง และเริงไม (หน้า 34, 59) |
|
Economy |
เนื่องจากพื้นที่เป็นดินที่เกิดจากหินปูนในยุคเพอร์เมียนตอนปลายของมหายุคพาลีโอโซอิก (หน้า 230-280 ล้านปี) ทำให้พื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ (หน้า 28) มีสภาพป่าดิบแล้งและป่าดิบแล้งผสมไม้ผลัดใบ เช่น ไม้สนเขา และไม้ก่อ เป็นต้น (หน้า 28, 30) แต่ด้วยเงื่อนไขที่รัฐได้ดำเนินนโยบายปลูกพืชอื่นทดแทนฝิ่น และประกาศเป็นพื้นที่อนุรักษ์ทับซ้อน ทำให้ระบบการเกษตรไร่ย้ายที่แบบหมุนเวียนถูกปรับเปลี่ยน ซึ่งมีทั้งเพื่อยังชีพและเพื่อการค้า ซึ่งต้องพึ่งกลไกตลาดอย่างมาก ทำให้ปัจจุบันมีวิถีการผลิตในลักษณะผสมผสานกัน 3 รูปแบบ คือ ไร่หมุนเวียน ปลูกไม้ผลผสมผสานกัน และนาข้าว รวมทั้งเลี้ยงปลา โดยใช้น้ำประชาภูเขาจากลำน้ำเมินและห้วยแม่กอกน้อย ซึ่งได้มีการแบ่งพื้นที่ใช้ประโยชน์ต่าง ๆ คือ ป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ ป่าชุมชน พื้นที่ทำการเกษตร และพื้นที่อยู่อาศัย (หน้า 32-34, 43-44, 56-57, 59-61) เพื่อสร้างอำนาจต่อรองสิทธิกับรัฐเพื่อเข้าถึงทรัพยากร |
|
Social Organization |
ครัวเรือนมีลักษณะเป็นครอบครัวขยายที่ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก รวมทั้งครอบครัวของลูกชายที่แต่งงานแล้ว ทำให้เอื้อต่อการถ่ายทอดความรู้แบบเดิมที่ได้รับจากพ่อแม่ ชุมชน และเครือญาติ ทั้งในรูปพิธีกรรม วิถีชีวิต เนื่องจากมีความสัมพันธ์เชิงเครือญาติที่แน่นแฟ้มเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (หน้า 62-63) โดยในครัวเรือนจะมีพ่อบ้านที่อาวุโสมากที่สุดเป็นหัวหน้าครอบครัวขยายที่อาจมีถึง 3 รุ่นคนอยู่ร่วมกัน (หน้า 35, 59) ในปี พ.ศ. 2543 หมู่บ้านสันป่าเกี๊ยะประกอบด้วยตระกูลใหญ่ 3 ตระกูล คือ แซ่ลี แซ่หาง และเริงไม แต่ละตระกูลมีจำนวนใกล้เคียงกัน และมีตระกูลเล็ก ๆ อีก 3 ตระกูล แต่ละตระกูลมีผู้อาวุโสเป็นหัวหน้า ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อคนในตระกูล ส่วนในชุมชนนั้นหัวหน้าตระกูลเริงไมและลี จะมีอิทธิพล เพราะฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่า และมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านด้วย |
|
Political Organization |
นอกจากบ้านม้งสันป่าเกี๊ยะจะมต้องมีผู้ปกครองตามรูปแบบของรัฐร่วมกับผู้อาวุโสแล้ว (หน้า 35) ชาวบ้านยังได้มีความสัมพันธ์กับรัฐด้านการพัฒนาการเกษตรและการอนุรักษ์ โดยเฉพาะหลังจากการเข้ามาของนิคมสงเคราะห์ชาวเขาในปี พ.ศ. 2515 และอีกหลายหน่วยงานในปีต่อมาซึ่งอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน (หน้า 27) เช่น สำนักงานประถมศึกษา สาธารณสุข โดยการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมบนที่สูง โดยการพัฒนาป่าไม้ที่สูง (แม่ตะมาน) (หน้า 44, 52-54, 64) ซึ่งทำให้ชาวบ้านมีความสัมพันธ์กับกลไกตลาดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (หน้า 61) |
|
Belief System |
ผู้วิจัยได้กล่าวถึงความเชื่อผี วิญญาณและบรรพบุรุษของม้ง (หน้า 37) เพื่อให้นักพัฒนาได้รับรู้และได้พึงระวังในการเข้าไปพัฒนาชุมชน มากกว่าเพื่อทำความเข้าใจวิธีคิดในการจัดการความรู้ท้องถิ่น (หน้า 61) ซึ่งมีทั้งข้อห้ามต่างๆ เช่น การเลือกที่อยู่อาศัย (หน้า 35, 37-38, 45) การแต่งงาน และการเกี้ยวพาราสี (หน้า 41, 46-47) การตาย (หน้า 42-43, 47) อาหารและสุขภาพ (หน้า 47-48) มารยาททางวัฒนธรรม (หน้า 48) และฤกษ์ยาม (หน้า 49) นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังเสนอลักษณะนิสัยและค่านิยม เช่น รักอิสระ เป็นปัจเจกบุคคล สถานภาพทางเพศชายสูงกว่าหญิง มีบุตรมาก (หน้า 38-40) ในขณะที่อีกด้านหนึ่งชุมชนได้มีการกันพื้นที่ป่าชุมชนเพื่อต่อรองสิทธิเข้าถึงทรัพยากรในพื้นที่อนุรักษ์ของรัฐด้วย (หน้า 32) |
|
Education and Socialization |
ผู้เขียนเห็นว่า บ้านม้งสันป่าเกี๊ยะกำลังมีการปรับเปลี่ยนองค์ความรู้ว่าด้วยระบบการเกษตรในลักษณะที่มีการผสมผสานระหว่างระบบการเกษตรเพื่อยังชีพ ซึ่งเป็นองค์ความรู้ท้องถิ่น กับระบบการเกษตรเชิงเดี่ยวเพื่อการค้าและการเกษตรที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่นำเข้าโดยหน่วยงานพัฒนาของรัฐต่าง ๆ ในภาวะที่ต้องปรับเปลี่ยนเช่นนี้ ชาวบ้านได้นำกระบวนการเรียนรู้ที่วางอยู่บนฐานความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ และวัฒนธรรมม้งมาทำการเรียนรู้ และสืบทอดภูมิปัญญา โดยไม่ได้เป็นเพียงฝ่ายรับจากรัฐเท่านั้น (หน้า 25, 49-51, 54) กล่าวคือการเรียนรู้ผ่านความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ พิธีกรรม วิถีชีวิตวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีชุมชน ทั้งในชุมชนและระหว่างชุมชน (เพื่อนบ้าน) (หน้า 49-55, 62-67) ซึ่งส่งผลให้สามารถรับเทคโนโลยีการปลูกพืชพาณิชย์จากรัฐได้อย่างรวดเร็ว นับแต่เริ่มการปลูกพืชทดแทนฝิ่นของโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมบนที่สูง ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดเชียงใหม่ และโรงเรียนในพื้นที่ (หน้า 52-53, 64) ฉะนั้นด้วยทุนทางสังคมวัฒนธรรมม้งที่เข้มแข็ง ผู้เขียนจึงเห็นว่าเป็นเงื่อนไขและหลักประกันในการพัฒนาความรู้ทางการเกษตรอย่างเป็นพลวัตได้ เช่น มีการจัดการทรัพยากรเพื่อพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนควบคู่กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
|
Health and Medicine |
ผู้เขียนเห็นว่าชุมชนม้งบ้านสันป่าเกี๊ยะมีความรู้ท้องถิ่นในเรื่องอาหารการกินเพื่อสุขภาพจากการเรียนรู้ชุดของระบบนิเวศและพรรณพืชท้องถิ่นได้อย่างดี ดังเช่น มีภูมิปัญญาในการใช้ยาสมุนไพรร่วมกับการรักษาอาการเจ็บป่วยอื่นๆ (หน้า 38) นอกจากนี้การดูแลสุขภาพดังกล่าว ยังถูกกำหนดเป็นข้อห้ามสำหรับกลุ่มคนที่มีสุขภาพไม่ปกติ เช่น หญิงมีครรภ์ หญิงหลังคลอด และคนไข้ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นวิธีการสืบทอดองค์ความรู้ท้องถิ่นทางหนึ่ง (หน้า 47-48) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงชุดเสื้อผ้าของชาติพันธุ์ม้งเขียวหรือม้งม้งน้ำเงิน (พวกเขาตัวเองว่า "ม๊งจั๊วะ/Hmoob Ntsuab-ผู้อ่านสังเคราะห์) ในขณะที่ศึกษานั้นเริ่มมีการปรับเปลี่ยนไปบ้าง โดยเฉพาะวัตถุดิบที่มีเทคนิคกรรมวิธีการผลิตใหม่ และเริ่มมีการเปลี่ยนการแต่งกายไปบางแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชาย (หน้า 36-37, 60) ทั้งนี้เป็นเพียงเพื่อความเข้าใจวัฒนธรรมเบื้องต้นเท่านั้น |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวม้งบ้านสันป่าเกี๊ยะมีความสัมพันธ์กับชาติพันธุ์อื่นๆ ในด้านการใช้แรงงานการเกษตร และการค้าขาย เช่น กระเหรี่ยง ลั๊วะ ถิ่น และขมุ โดยเฉพาะหลังจากมีการปลูกพืชพาณิชที่สัมพันธ์กับตลาด ทำให้ได้สัมพันธ์กับกลุ่มคน จีนฮ่อ และไทยพื้นราบหรือไทยพื้นเมืองมากขึ้น ซึ่งทำให้ชาวม้งมีการแลกเปลี่ยนความรู้ เช่น เรียนรู้การใช้ภาษาอื่นได้ เป็นต้น (หน้า 45) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|