|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โซ่ ทะวืง,ไทยลาว, วิถีชีวิต,ประมง, นครพนม |
Author |
สุรัตน์ วรางรัตน์ |
Title |
วัฒนธรรมการประกอบอาชีพประมง ลำน้ำสงครามของกลุ่มชาติพันธุ์ไทโซ่บ้านปากอูน ไทลาวบ้านปากยาม อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โซ่ ทะวืง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
101 หน้า |
Year |
2538 |
Source |
ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏสกลนคร |
Abstract |
การศึกษาความแตกต่างของกลุ่มชาติพันธุ์ในการประกอบอาชีพประมงในลำน้ำสงครามนั้นแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา ดังนี้
กลุ่มไทโซ่บ้านปากอูน
ช่วงที่1 (พ.ศ. 2436-2495) มีการจับปลาโดยอาศัยเครื่องมือจับปลาอย่างง่ายๆ เช่น แห เบ็ด เผือก โทง มีการแลกเปลี่ยนปลาร้า ปลาย่างกับข้าวเปลือก ต่อมาได้เรียนรู้การหาปลาด้วยเรือแนบจากชาวญวน (หน้า 96)
ช่วงที่2 (พ.ศ. 2495-2520) มีการพัฒนาเครื่องมือจับปลา เช่น สะดุ้ง ซ้อน เสริมด้วยแพไม้ไผ่ เรือแจว ต่อมามีการติดเครื่องยนต์กับเรือหาปลา ราวปี พ.ศ. 2495 ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการหาปลามากขึ้น มีการใช้ไนล่อนแทนการใช้เส้นใยป่านหรือด้ายตราสมอ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านวัสดุและเครื่องยนต์นี้ต้องอาศัยเงินทุน ชาวไทโซ่ซึ่งไม่กล้าเสี่ยงลงทุนจึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าไทลาว ไทญ้อ (หน้า 97)
ช่วงที่ 3 (พ.ศ. 2520-ปัจจุบัน) มีการเปลี่ยนแปลงเครื่องมือจับปลาเป็นเครื่องมือที่สามารถจับปลาได้ครั้งละมากๆ เช่น โต่ง และดางกัด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ชาวไทโซ่ไม่กล้าลงทุน และในช่วงนี้จึงมีชาวไทโซ่อพยพออกจากบ้านปากอูนเป็นระยะๆ (หน้า 97-98)
กลุ่มไทลาวบ้านปากยาม
ช่วงที่ 1 (พ.ศ. 2447-2500) มีการจับปลาโดยใช้เครื่องมืออย่างง่ายๆ เช่น เบ็ด แห โทง มอง ภายหลังรับอิทธิพลเรือแนบมาจากญวน มีการค้าขายข้าวเปลือกกับโรงสีไฟในเมืองหนองคาย นครพนม (หน้า 98-99)
ช่วงที่ 2 (พ.ศ. 2500-2513) เริ่มใช้เครื่องยนต์ติดเรือหาปลา มีการใช้ไนล่อนผลิตมองกวาดแทนเส้นใยป่าน ภายหลังรถยนต์มีบทบาทในการขนข้าวเปลือก ปลาร้า ทำให้การใช้เรือกระแซงหมดไป (หน้า 99-100)
ช่วงที่ 3 (พ.ศ. 2513- ปัจจุบัน) โต่งเข้ามามีบทบาทในการจับปลาถึงแม้จะมีราคาสูง นอกจากโต่งแล้วยังมีการลงกัด ซึ่งมีการพัฒนาจากไม้ไผ่เป็นตาข่ายไนล่อน ทำให้จับปลาได้ง่ายขึ้น (หน้า 100)
จากการศึกษาพบว่าชาวไทลาวมีความอดทน กล้าเสี่ยงจึงทำให้ประสบความสำเร็จในการจับปลาในลำน้ำสงคราม (หน้า 100) แตกต่างจากชาวไทโซ่บ้านปากอูนที่ไม่กล้าเสี่ยง ความอดทนต่ำ จึงทำให้ชาวไทโซ่ส่วนใหญ่อพยพออกจากพื้นที่กลับไปหาพื้นที่ทำนาซึ่งมีความถนัดมากกว่า (หน้า 98) |
|
Focus |
ศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถในการประกอบอาชีพประมงในลำน้ำสงครามของชนกลุ่มชาติพันธุ์ไทโซ่และกลุ่มไทลาว บ้านปากอูน หมู่ 4 และบ้านปากยาม อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม (หน้า 1) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทโซ่ บ้านปากอูนและไทลาว บ้านปากยาม อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม (หน้า 1) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
1 ปีงบประมาณ พ.ศ.2538 (หน้า 4) |
|
History of the Group and Community |
หมู่บ้านปากอูนตั้งเป็นชุมชนโดยกลุ่มชาวโซ่ราวปี พ.ศ. 2436 โดยครอบครัวของนายอินธิสิทธิ์และนายลา ซึ่งอพยพมาจากวังขอนสัก (ริมห้วยอูน) เห็นความอุดสมบูรณ์ของพื้นที่บริเวณนี้ จึงได้มีการชักชวนชาวโซ่ในหมู่บ้านใกล้เคียงให้เข้ามาอยู่อาศัย (หน้า 24) ต่อมาภายหลังชาวโซ่บางส่วนได้มีการอพยพออกจากพื้นที่ตามคำแนะนำของพระครูปริยัติ เนื่องจากพื้นที่นี้เหมาะแก่การจับปลามากกว่าทำนาซึ่งชาวโซ่ไม่ถนัด (หน้า 28-29)
มีการสันนิษฐานว่าบ้านปากยามเริ่มตั้งในช่วงรัชกาลที่ 7 ซึ่งโปรดเกล้าให้พระสุนทรราชวงศา เกลี้ยกล่อมผู้คนฝั่งซ้ายของลำน้ำโขงให้มาตั้งรกรากที่ฝั่งขวา ซึ่งได้มีกลุ่มไทญ้อ อพยพมา แม้เจ้าอนุวงค์จะกวาดต้อนผู้คนกลับเวียงจันทร์ แต่ได้มีกลุ่มไทโย้ยจากเมืองต่างๆอพยพมาทำมาหากินจำนวนมากหลังปี พ.ศ. 2380 (หน้า 47-48) ถึงกระนั้นบ้านปากยามได้ทิ้งร้างไปราว 150 ปี จนพ.ศ. 2447 จึงได้มีการอพยพมาตั้งบ้านเรือนอีกครั้ง โดยครอบครัวของนายบุญมีและนางลอง ซึ่งเป็นชาวลาวบ้านท่าขาม แขวงสุวรรณเขต ซึ่งอพยพมาหาพื้นที่ทำกิน (หน้า 49) |
|
Demography |
บ้านปากอูนมีประชากร 4 เผ่า คือ เผ่าโซ่ เผ่าญ้อ ไทลาว และ กะเลิง สถิติประชากรมีดังนี้
ครัวเรือน 583 ครัวเรือน ประชากรทั้งหมด 3,856 คน ประกอบด้วย ชาย 1,851 คน และ หญิง 2,005 คน (หน้า 22) |
|
Economy |
ลำน้ำสงครามซึ่งมีความยาว 420 กิโลเมตร เกิดจากการรวมตัวของลำน้ำจากเทือกเขาที่ไม่สูงมากหลายแห่งและรับน้ำจากลำห้วยต่างๆ (หน้า 5) เป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญในการปลูกข้าวอายุสั้นตามพื้นที่โคกดอนและการจับปลา รวมไปถึงการนำปลามาทำปลาแห้ง ปลาร้าในฤดูน้ำลดจะมีความอุดมสมบูรณ์มาก มีการปลูกข้าวนาปรัง ปลูกพืชผัก เช่น ปอ ยาสูบ รวมไปถึงการทำเกลือ (หน้า 9) และเนื่องจากตลอดลำน้ำสงครามมีสภาพเป็นป่าบุ่ง ป่าป่าทามซึ่งเป็นแหล่งวางไข่และฟักตัวอ่อน ทำให้เป็นแหล่งน้ำที่มีปลาชุกชุม (หน้า 12) ตลอดจนการที่ลำน้ำสงครามมีระดับน้ำไม่คงที่แปรตามฤดูกาล จึงทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กซึ่งเป็นอาหารของปลา (หน้า 13)
เครื่องมือจับปลาสำคัญๆ ของชาวไทโซ่หมู่บ้านปากอูน ได้แก่
1)เบ็ดทำจากตะปูงอปลาย ใช้เหยื่อเป็นผลไม้ป่า ส่วนใหญ่เป็นหมากไม้ที่แก่จนสุก หรือสัตว์ต่างๆ เช่น หอยเจี้ย ปู กบ เขียด ปลากลีก ปลากดตัวเล็ก ไส้เดือน ตะขาบ เป็นต้น ตลอดจนหยื่อประดิษฐ์จากหนังหมู ไส้สัตว์ ไขสัตว์ หรือปลาเน่าแช่น้ำยา (หน้า30-31)
2)โทงลักษณะคล้ายขวดปากบาน นิยมวางตอนกลางคืน โดยผูกกับหลัก ใส่เหยื่อเช่นมดแดง ข้าวเหนียวย่างไฟคลุกส่าเหล้า (หน้า31)
3)เผียกเป็นเครื่องมือล้อมปลา ทำจากไม้ไผ่ผ่าซีก ผูกด้วยเถาเครือไม้และหวายเส้นเล็กๆล้อมปลาโดยกั้นขวางลำห้วย หรือใช้ล้อมห้วย หนองบึง เป็นระยะๆเพื่อให้สะดวกต่อการหว่านแห่จับปลา (หน้า32)
4)มองหรือตาข่ายตาห่าง ทำจากป่าน ด้านบนใช้ผักตบชวาเป็นทุ่นลอย ส่วนด้านล่างถ่วงด้วยตะกั่วหรือก้อนหิน ใช้จับปลาตัวใหญ่ (หน้า33)
5)แนบเป็นเรือสองลำแนบติดกัน แต่เนื่องจากต้องใช้หาปลาในเวลากลางคืนและช่วงน้ำลดเข้าสู่ฤดูหนาว จึงไม่เป็นที่นิยมนัก (หน้า34)
6)ซ้อนเป็นผืนตาข่าย ปากเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ก้นถุงลึก 4 เมตร ด้ามเป็นไม้ไผ่ ใช้ตักปลาขนาดเล็ก (หน้า34)
7)สะดุ้งหรือยอใหญ่ มีราคาแพง ซึ่งชาวประมงบ้านปากอูนนิยมซื้อดางหรือตาข่ายมาใช้ทำแผ่นสะดุ้งแทนการซื้อผืนสะดุ้งซึ่งมีราคาแพง (หน้า36)
8)มองกวาดหรืออวนลาก การลากอาจใช้เรือพายหรือเรือยนต์ ใช้จับปลาในฤดูน้ำลด (หน้า36-37)
9)โต่งหรือโพงพางมีประสิทธิภาพในการจับปลามากที่สุด คือ สะดวก จับปลาได้มาก ใช้ระยะเวลาสั้น อีกทั้งไม่ยุ่งยากในการจ้างแรงงาน (หน้า40-41) โดยมีการนำปลาที่จับได้บางส่วนมาแลกข้าวเปลือก (หน้า 32)
บ้านปากยามมีการปลูกข้าว ใช้ทั้งเพื่อยังชีพและแลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆ เช่น ปลา หม้อ ไห พริกแห้ง กับหมู่บ้านอื่นๆ (หน้า 50) ต่อมาได้มีกิจการค้าข้าว ในตอนแรกมีการบรรทุกข้าวโดยใช้เรือกระแซง ภายหลังพัฒนาเป็นเรือกลไฟเข้ามารับข้าว ซึ่งในที่สุดกิจการค้าข้าวหมดไปเนื่องจากการมีโรงสีไฟเกิดขึ้น (หน้า 53) สำหรับการจับปลาเนื่องจากบ้านปากยามมีพื้นที่ติดลำน้ำถึง 3 ด้านจึงมีปลาชุกชุม ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วจึงมีการจับปลาไว้บริโภค และแปรรูปเป็นปลาร้า ปลาย่าง เพื่อแลกข้าวเปลือก ข้าวสาร ตลอดจนเกิดกิจการค้าปลาร้าขึ้น มีการนำไปขายในพื้นที่ต่างๆ (หน้า 54-55) พัฒนาการของเรือทำให้ประสิทธิภาพการหาปลาของชาวบ้านดีมากขึ้น (หน้า56)
สำหรับเรือที่ใช้ในบ้านปากยามมีดังนี้
1)เรือโขลนหรือเรือคอ เป็นเรือขุดขนาดใหญ่ใช้บรรทุกสินค้า
2)เรือกระแซงเป็นเรือบรรทุกขนาดใหญ่ บรรทุกข้าวเปลือกไปขายโรงสีข้าวในเมืองนครพนมและหนองคาย (หน้า 57)
3)เรือไฟหรือเรือกลไฟ ใช้ความร้อนจากฟืนเผาน้ำเป็นไอน้ำ รับสินค้าและผู้โดยสารจากหมู่บ้านต่างๆไปยังปากน้ำไชยบุรี (หน้า 58)
4)เรือยนต์ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงขับเคลื่อน รายได้หลักของเรือชนิดนี้มาจากการขนส่งผู้โดยสาร (หน้า 59)
อย่างไรก็ตามเกวียนยังคงเป็นพาหนะหลักในการขนส่งสินค้าระหว่างหมู่บ้าน (หน้า 59)
สำหรับพัฒนาการการจับปลาของบ้านปากยามนั้น สามารถแบ่งออกเป็น 3 ยุค ดังนี้
1)ยุคแรกเริ่ม มีการใช้แหสานจากใยต้นป่านเป็นเครื่องมือจับปลา และเปลี่ยนมาเป็นแหไนล่อน ต่อมาการใช้แหลดลงเนื่องจากมีเครื่องมืออื่นๆเข้ามาแทนที่ นอกจากนี้ชาวไทลาวมีการใช้เบ็ดชนิดต่างๆร่วมถึงการคิดค้นสูตรเหยื่อเทียมขึ้นมาใช้ (หน้า 61-62) ส่วนเรือนั้นมีการใช้เรือแนบซึ่งคาดว่าได้รับอิทธิพลจากชาวญวนมาใช้หาปลาในลำน้ำ (หน้า 64)
2)ยุคการใช้เครื่องยนต์ ราวพ.ศ.2500 เริ่มมีการใช้เครื่องยนต์ในการประมง มีการใช้มองกวาดหรืออวนลากจับปลาในหน้าแล้ง (หน้า 65-66) สะดุ้งเป็นเครื่องมือหาปลาอีกชนิดหนึ่งที่ปัจจุบันยังคงใช้กันอยู่ (หน้า 69) ซ้อนซึ่งเป็นเครื่องมือหาปลาที่คาดว่าดัดแปลงมาจากยอ ชาวไทลาวมีการใช้ซ้อนติดกับเรือยนต์ ทำให้ผืนตาข่ายขยายใหญ่มากขึ้น(หน้า 70)
3)ยุคปัจจุบัน มีการใช้โต่งหรือโพงพางซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่นำมาจากภาคใต้ในการหาปลา นอกจากนี้ยังมีการกัดปลาหรือสกลัดปลาโดยใช้เฝียกหรือหางแดกั้นทางไหลของน้ำ (หน้า 77) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
บ้านปากยามแต่ก่อนเรียกว่าบ้านเสาหลักดิน ที่เป็นชื่อนี้เนื่องจากหมู่บ้านตั้งอยู่ระหว่างเขตแดนเมืองสกลนครกับเมืองนครพนม ซึ่งได้เกิดปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ขึ้น เจ้าเมืองทั้งสองจึงพิธีเสี่ยงทายเผาหลักไม้ที่ปักดิน ผลเสี่ยงทายคือหลักไม้ของเมืองสกลนครไม่ติดไฟ จึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า บ้านเสาหลักดิน (หน้า 47)
ตำนานพงศาวดารเมืองแถงกล่าวว่า คนโซ่เป็นพี่ชายคนโตที่ออกจากน้ำเต้าจึงเปื้อนควันไฟที่เกิดจากการเจาะรูน้ำเต้า เมื่อถึงหนองฮก หนองไฮ ผู้น้องได้อาบน้ำแต่ผู้พี่ซึ่งเป็นไทโซ่ไม่อาบ ดังนั้นชาวไทโซ่จึงมีผิวคล้ำกว่าชาวผู้ไทย (หน้า 83) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ไทโซ่ในทัศนะของไทลาวนั้น เห็นว่าไทโซ่กลุ่มที่ยังยึดอาชีพจับปลา ไม่อพยพออกจากหมู่บ้านเป็นกลุ่มที่สนใจและมีความสามารถในการจับปลาสูง (หน้า 82)
ไทโซ่ในทัศนคติของไทญ้อนั้น เห็นว่า ไทโซ่ส่วนใหญ่ไม่ชอบทำงานหนัก ขาดประสบการณ์การจับปลาและทำอาหารปลา (หน้า 83)
ไทลาวในทัศนคติของผู้ไทยนั้น เห็นว่าแม้จะมีหลากหลายนามสกุล แต่มีความสามัคคีกัน (หน้า 89) ใจกว้าง ไม่อิจฉาริษยา (หน้า 90)
ไทลาวในทัศนคติของไทญ้อนั้น เห็นว่าเป็นคนตรงไปตรงมา (หน้า 90) มีระเบียบ และชำนาญการจับปลามากกว่าไทญ้อ (หน้า 91)
ไทลาวในทัศนคติไทโย้ยนั้น เห็นว่า ไทลาวเรียนรู้อุปกรณ์หาปลาใหม่ๆได้เร็ว (หน้า 92) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|