|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กูย,การปรับตัว,อีสานใต้ |
Author |
วิลาศ โพธิสาร |
Title |
การปรับตัวของชาวกูยในบริบทพหุวัฒนธรรมในเขตอีสานใต้ |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กูย กุย กวย โกย โก็ย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
37 |
Year |
2546 |
Source |
รวมบทความทางวิชาการไทศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (หน้า 152-189) |
Abstract |
เขตอีสานใต้เป็นดินแดนที่เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และมีการอพยพเคลื่อนย้ายใช้แม่น้ำเป็นเส้นทางคมนาคม ในพื้นที่อีสานใต้ใช้แม่น้ำชี และแม่น้ำมูลที่ไหลลงแม่น้ำโขงที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เกิดชุมชนอาศัยอยู่หนาแน่น เมื่อประมาณ 2,500 ปี ชุมชนก่อร่างจนเกิดอาณาจักรและมีความสัมพันธ์กับพื้นที่ภายนอก เช่น รับอารยธรรมอินเดียราวพุทธศตวรรษที่ 6 มีการปะทะสังสรรค์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มต่าง ๆ ทำให้พื้นที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรรม เป็นพหุวัฒนธรรมที่ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์กูย กลุ่มชาติพันธุ์เขมร กลุ่มชาติพันธุ์ลาว กลุ่มชาติพันธ์กูยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีกระบวนการปรับตัว ทางสังคมวัฒนธรรม กูยพูดภาษากูยต่อมามีการปรับตัวมาพูดภาษาลาวและเขมร ดำรงชีวิตด้วยการปลูกข้าว และมีการเลี้ยงไหม แต่การพัฒนาจากรัฐทำให้กูยเริ่มให้ความสำคัญกับการผลิตเพื่อขาย ใช้รถไถ ใส่ปุ๋ยเคมี นอกจากนี้กระบวนการปรับตัวก็ยังมีการผสมผสานระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น การแต่งงานระหว่างกลุ่มกูยกับคนเขมรหรือลาว แต่ทั้งนี้แม้ว่ากลุ่มชาติพันธุ์จะมีการปรับตัวปรับเปลี่ยนทางอัตลักษณ์ แต่ขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมก็ยังอยู่ กูยยังคงมีความเชื่อในศาลผีปะกำ มีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความเชื่อ ยังมีการจัดระเบียบสังคมที่ผ่านการสั่งสมมายาวนาน ควบคุมสังคมโดยผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งทำให้กลุ่มชาติพันธุ์กูยมีความโดดเด่นในกระบวนการปรับตัวในเขตอีสานใต้ เพราะกูยมีทุนทางวัฒนธรรม ทุนทางสังคม ที่เข้มแข็งที่เป็นรากฐานสำคัญในการปรับตัว |
|
Focus |
เน้นการศึกษาการค้นหาความเป็นตัวตนของกูยในการปรับตัวในพื้นที่เขตอีสานใต้ ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม (หน้า 152) |
|
Theoretical Issues |
ใช้แนวคิดเรื่องกระบวนการปรับตัว เพื่อมองกระบวนการปรับตัวทางสังคม วัฒนธรรมของกูย ว่าเป็นกระบวนการที่มีลักษณะเด่นอะไร เพราะเหตุใด มีความแตกต่างจากคนลาว คนเขมรและเผ่าอื่น ๆ อย่างไร เพราะเหตุใดและเส้นทางการปรับตัวทางสังคม วัฒนธรรมของกูยในเขตอีสานใต้ในประเทศไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร โดยใช้วิธีวิทยาทางมานุษยวิทยา (หน้า 152) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กูย มีรูปร่างลักษณะแข็งแรง กำยำซื่อสัตย์ ขยัน หมั่นเพียร เป็นคนร่าเริง และชอบถ่อมตัว ดังเช่นงานของ Erick Seidenfaden ที่กล่าวถึงกูยที่บ้านสามโรงทาบ (Samrongtap) ว่ามีลักษณะสะอาด ซื่อสัตย์ ขยันขันแข็ง และในงานการศึกษายังศึกษาชาวเยอ ซึ่งพูดภาษาเยอที่เป็นภาษาตระกูลเดียวกับภาษากูย (หน้า 152) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กูยใช้ภาษาเขมรและภาษาลาวได้ดี แต่พูดภาษาลาวได้เร็วกว่าภาษาเขมรโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่นิยมพูดภาษาลาวมากกว่าภาษาเขมร เพราะสำนวนภาษาลาวใกล้เคียงกับภาษาไทยที่ใช้สอนในโรงเรียน จึงสามารถสื่อสารเข้าใจได้เร็ว ส่วนพวกเยอที่บ้านปราสาทเยอ พูดภาษาเยอ เป็นภาษาตระกูลเดียวกันกับภาษากูย (ส่วย) (หน้า 157) |
|
Study Period (Data Collection) |
เป็นการศึกษาเรื่องราวในช่วงหลัง พ.ศ.2488 จนถึงปัจจุบัน (หน้า 152) และเก็บข้อมูลภาคสนามในปี พ.ศ. 2544 (หน้า 169) |
|
History of the Group and Community |
นักมานุษยวิทยาให้ความเห็นว่า กูยสืบเชื้อสายมาจากคนยุคแรกที่อยู่ตามที่ต่าง ๆ ในประเทศกัมพูชาและประเทศไทย ก่อนที่กัมพูชา จาม และไทยเข้ามาอาศัยอยู่ เหตุที่มีความเห็นเช่นนี้เพราะลักษณะรูปร่างหน้าตาของกูยแตกต่างกันมาก บ้างสูงมาก มีแขนขายาว จมูกใหญ่ บ้างก็มีผิวสวยมาก โดยในดินแดนประเทศไทยทุกวันนี้เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และมีการอพยพเคลื่อนย้ายใช้แม่น้ำเป็นเส้นทางคมนาคม ในพื้นที่อีสานใต้ใช้แม่น้ำชี และแม่น้ำมูลที่ไหลลงแม่น้ำโขงที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เกิดชุมชนอาศัยอยู่หนาแน่น เมื่อประมาณ 2,500 ปี ชุมชนก่อร่างจนเกิดอาณาจักรและมีความสัมพันธ์กับพื้นที่ภายนอก เช่น รับอารยธรรมอินเดียราวพุทธศตวรรษที่ 6 ต่อมาเกิดอาณาจักรล้านช้าง และต่อมาอาณาจักรกัมพูชา (พ.ศ.1100-1800) สามารถรวมเผ่าพันธุ์และขยายอำนาจเข้าถึงภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคใต้ของไทย เมื่อเข้าสู่ปลายทศวรรษที่ 18 อาณาจักรขอมได้เสื่อมอำนาจลง อาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ได้สถาปนาเป็นอิสระจากกัมพูชา ในปี พ.ศ.1792 แล้วเกิดอาณาจักรอยุธยาเข้ามามีอำนาจแทนที่อาณาจักรสุโขทัยในปี พ.ศ.1893 หลังจากนั้น 3 ปี อาณาจักรล้านช้างก็ได้อิสระจากเขมร ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อผู้คน ที่เกิดการปะทะสังสรรค์กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมในเขตอีสานใต้ เป็นพหุวัฒนธรรมที่ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์กูย กลุ่มชาติพันธุ์เขมร กลุ่มชาติพันธุ์ลาว เป็นต้น (หน้า 152-154) |
|
Settlement Pattern |
ในช่วง พ.ศ.2496-2501 ฝนไม่ตกต่อเนื่องกันหลายปี กูยในเขตจังหวัดศรีสะเกษย้ายถิ่นฐานไปบุกเบิกที่ทำกินใหม่ที่จังหวัดนครสวรรค์ นอกจากนี้ การตัดถนนหลวงส่งผลให้ชาวบ้านต้องขยายพื้นที่ทำกินใหม่ใกล้เขตแดนของไทยกับกัมพูชา เช่น บ้านม่วงหวาน - โคกเจริญ อำเภอพลับพลาชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ส่วนในจังหวัดอุบลราชธานีมีกูยอาศัยอยู่ที่อำเภอโขงเจียม 3 หมู่บ้าน อำเภอน้ำยืน 10 หมู่บ้าน อำเภอนาจะลวย 4 หมู่บ้าน บ้านที่มีการตั้งถิ่นฐานมานานนับร้อยปีคือบ้านเวินปึก อำเภอโขงเจียม บ้านค้อกับบ้านจันลา อำเภอน้ำยืน ชาวบ้านบอกว่าบรรพบุรุษของเขาอพยพมาจากจังหวัดศรีสะเกษ ส่วนที่บ้านเวินปึกอพยพมาจากประเทศลาว ซึ่งตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2457 นอกจากนี้มีหมู่บ้านกูยในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ตั้งมานาน 100 ปีชื่อบ้านหนองบัว อพยพมาจากตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ส่วนกูยที่ตั้งถิ่นฐานทั่วไปในจังหวัดบุรีรัมย์ได้อพยพมาจากสุรินทร์ และกูยที่บ้านแสนสุข บ้านห้วยแดน บ้านพลวงทอง ตำบลห้องแถลง จังหวัดนครราชสีมา อพยพมาจากจังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ ซึ่งเช่นเดียวกับกูยที่ บ้านโคกแค ตำบลกงรถ เพราะกูยมีนิสัยชอบย้ายถิ่นที่อยู่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งและไม่ชอบอยู่ใต้การปกครองของใคร จะย้ายไปที่ใหม่ ๆ ที่ไม่มีใครจับจองทำให้มีการเคลื่อนย้ายบ่อยครั้ง (หน้า 152, 158-159) |
|
Demography |
พิจารณาจากหมู่บ้านที่วรรณา เทียนมี ได้สำรวจการกระจายของภาษากูยในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2533 ที่กระจายอยู่ใน 4 จังหวัดทางอีสานใต้ คือ จังหวัดสุรินทร์ 119,506 คน จังหวัดศรีสะเกษ 105,852 คน จั งหวัดบุรีรัมย์ 41,296 คน จังหวัดอุบลราชธานี 6,916 คน รวมทั้งสิ้น 273,570 คน อำเภอที่มีจำนวนหมู่บ้านกูยอยู่หนาแน่นที่สุดคือ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ อำเภอศีขรภูมิ อำเภอสำโรงทาบ และอำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ จากการสำรวจในช่วงเดือนมีนาคม 2546 พบว่าจังหวัดสุรินทร์มีการกระจายตัวของคนที่ใช้ภาษากูยมากที่สุด จำนวน 156,504 คน อำเภอที่มีการกระจายความหนาแน่นตามลำดับคือ อำเภอศีขรภูมิ อำเภอสำโรงทาบ อำเภอศรีณรงค์ อำเภอสังขะ อำเภอจอมพระ และอำเภอท่าตูม การกระจายภาษากูยรองลงมาคือ จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 124,938 คน อำเภอที่มีการกระจายความหนาแน่นตามลำดับคือ อำเภอปรางค์กู่ อำเภอน้ำเกลี้ยง อำเภอศรีรัตนะ อำเภอขุนหาญ และอำเภอไพรบึง (หน้า 158) |
|
Economy |
ในอดีตกูยได้พัฒนาทำมาหากินจากการทำไร่เลื่อนลอย มาปลูกข้าว รับเทคนิคการตีเหล็กและถลุงเหล็กตามแบบอินเดียมาตั้งแต่พุทธกาล นอกจากนี้ อาชีพการเลี้ยงไหมจัดว่าเป็นอาชีพสำคัญของกูย ที่บ้านม่วงหวาน-โคกเจริญ อำเภอพลับพลาชัย จังหวัดบุรีรัมย์ กูยที่นี่ใช้หนองน้ำธรรมชาติในการบริโภคและทำการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ ในการบริโภคนั้นกูยบ้านจันลา ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี นิยมบริโภคข้าวเหนียวซึ่งแตกต่างจากกูยในจังหวัดสุรินทร์นิยมบริโภคข้าวเจ้า (หน้า153, 160-161) |
|
Social Organization |
กูยมีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วยการแต่งงานกับคนเขมรและลักษณะวัฒนธรรมทางแม่ของคนเขมรและกูยนั้นคล้ายๆ กัน โดยเฉพาะสถาบันครัวเรือนคือให้ผู้หญิงมีบทบาทเกี่ยวพันกับทรัพย์สินในครัวเรือนมากกว่าชาย โดยในการแต่งงานก็จะมีการทำพิธีกรรมรับลูกเขย ลูกสะใภ้ที่ศาลปะกำแบบกูย หรือกูยที่บ้านม่วงหวาน-โคกเจริญ อำเภอพลับพลาชัย จังหวัดบุรีรัมย์ มีการสร้างเครือข่ายในชุมชน โดยผู้เฒ่าผู้แก่ยังเป็นคตินิยมของชาวบ้านในการสร้างความสัมพันธ์เครือข่ายในชุมชน (หน้า 155,157,160) |
|
Political Organization |
ในสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์ หัวหน้ากูยเขตอีสานใต้ได้ปรับตัวด้วยการช่วยเหลือทหารพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาโดยการออกติดตามจับช้างเผือกที่ได้แตกโรงหนีเข้าป่าทางเขตเมืองพิมายด้านตะวันออกจนสำเร็จ นับได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนถึงบทบาทของผู้นำกูยในเขตอีสานใต้ เพราะผู้นำกูยสามารถสร้างความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นจนได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวง และได้เลื่อนเป็นพระ เช่นยกบ้านคูปะทาย เป็นเมืองสุรินทร์ ให้หลวงสุรินทร์ภักดีเป็นพระสุรินทร์ภักดีศรีนรงค์จางวาง ยกบ้านลำดวนเป็นเมืองขุขันธ์ ให้หลวงแก้วสุวรรณเป็นพระไกรภักดีศรีนครลำดวน บทบาทหน้าที่สำคัญคือ การจัดหาส่วยส่งให้แก่ทางราชการ ได้แก่ ม้า งาช้าง นอแรด ขี้ผึ้ง ผู้นำเมืองกูยยังได้ร่วมกันสร้างรัฐสยามด้านความมั่นคงกับรัฐสยามคราวเกิดกบฎเจ้าอนุวงศ์ในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ผู้นำกูย เช่น กูยบ้านตรึม อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ผู้นำที่มีความเชื่อต่อศาลปู่ตาสามารถแสดงความสัมพันธ์ความเชื่อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวกับพุทธ พราหมณ์ ผี จะได้รับการตั้งเป็นผู้นำหมู่บ้านทั้งทางการและผู้นำแบบธรรมชาติ หรือบ้านม่วงหวาน-โคกเจริญ อำเภอพลับพลาชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ผู้นำของกูยเรียกว่า "โขด" จะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ชรา ที่ถือเป็นคตินิยมของชาวบ้านเพื่อสร้างความสัมพันธ์เครือข่ายในชุมชน (หน้า 154-155, 159-160) |
|
Belief System |
กูยมีความเชื่อในศาลผีปะกำ และบางกลุ่มเชื่อเกี่ยวกับผีปู่ตาตะกวด คือสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ เช่นบ้านตรึม ความเชื่อตะกวดเป็นสัญลักษณ์ผีบรรพบุรุษที่คุ้มครองลูกหลานกูยให้มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน กูยบ้านตรึมเชื่อเกี่ยวกับต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุหลายร้อยปี เชื่อว่าต้นไม้มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงได้ เกิดแก่เจ็บตาย กิ่งก้านสาขาเปรียบเสมือนลูกหลาน ที่ประกอบกันขึ้นเป็นต้นไม้ เมื่อกิ่งไม้แก่ตาย หรือหักลงมาตามธรรมชาติ ชาวบ้านจะทำบุญเผ่ากิ่งไม้แล้วนำขี้เถ้าเผาไปไว้ในพื้นที่วัด (หน้า 153, 159) |
|
Education and Socialization |
ในเอกสารรายงานตรวจราชการมณฑลอีสานและนครราชสีมา รัชสมัยพระบาท สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ทรงครองราชย์สมบัติ พ.ศ. 2467-2475) กล่าวว่า "? พลเมืองแห่งจังหวัดสุรินทร์ เป็นเขมรเป็นพื้น เช่น บุรีรัมย์ นางรอง มีลาวเจือปนเป็นส่วนน้อยกับมีชาติส่วย (กูย) อีกพวกหนึ่งพูดภาษาของตนเองต่างหาก?" ในเรื่องภาษาเขมรสอบสวนได้ความว่า วิชชาหนังสือขอมสูญแล้วไม่มีใครเรียน และไม่มีที่เรียน เพราะโรงเรียนสอนภาษาไทยอย่างเดียว เวลานี้มีแต่คนแก่ ๆ เท่านั้นที่รู้ภาษาขอม (หน้า 156) |
|
Health and Medicine |
เอเจียน แอมอนิเย ชี้ให้เห็นว่ากูยนั้นมีภูมิปัญญาทางด้านสุขภาพ ความเชื่อในเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติ การใช้ทุนทางธรรมชาติ เพื่อประโยชน์ในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ จังหวัดสุรินทร์มีพิธีกรรมการละเล่นเพื่อคุ้มครองคุ้มกันโรคที่เรียกว่า "แกลมออะจีง" (เป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับการเข้าทรง) (หน้า 164) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ภูมิปัญญาของกูยทางด้านเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ขวานสัมฤทธิ์ การจักสาน การทอผ้า ปั้นหม้อ มีวัฒนธรรมพื้นบ้านของกูยที่มีการละเล่นผีมอ มีการละเล่นทุกปีผู้ชายเป่าแคน ตีกลอง ผู้หญิงเล่นเข้าทรง ฟ้อนรำ ผู้ร่วมพิธีกรรมและการละเล่นราว 20 กว่าคน และจะมีชาวบ้านมาร่วมพิธีกรรมอีกหลายคน จุดประสงค์ในการละเล่นคือ "ต้องการให้เห็นเหตุการณ์ที่เหนือธรรมชาติ แสดงออกให้สอดคล้องกับชีวิตความเป็นอยู่อย่างปกติสุข เช่น ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ปลอดภัยจากโจรผู้ร้าย ไม่มีโรคเบียดเบียนชาวบ้าน" (หน้า 161-163) |
|
Folklore |
ไม่ได้ระบุตำนานเรื่องเล่าของพวกกูย แต่ได้กล่าวถึงเรื่องเล่าของพวกเยอ ที่บ้านปราสาทเยอ ตำบลปราสาทเยอ อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ ชาวบ้านมีความเชื่อเกี่ยวกับตำนานของปราสาทเยอที่ตั้งอยู่ในบริเวณวัดปราสาทเยอเชื่อว่าคนแปดศอกเป็นผู้สร้างปราสาท เมื่อสร้างเสร็จแล้วมีการสละเรี่ยไรเงินทำบุญให้กับองค์ปราสาท แต่มีสามีภรรยาครอบครัวหนึ่งไม่มีเงินเสียสละทำบุญ ขณะที่ภรรยาออกไปหาของป่า สามีก็ยกบุตรสาว 2 คน เพื่อให้ทานให้กับองค์ปราสาท และถูกปิดไว้กับอง ๕ ปราสาท ได้กลายเป็นตำนานเล่าขานมาจนทุกวันนี้ นอกจากตำนานแล้วยังมีคำกล่าวที่สะท้อนให้เห็นความเป็นมาของกูย กล่าวคือ "ไทยกินเหล็ก เจ๊ก (ชาวจีน) กินนา คบกับเจ็ก เป็นเด็กเลี้ยงควาย คบกับแกว (เวียตนาน) ว่าวแล้วว่าวอีก คบกับเขมร เวรบอแล้ว คบกับลาว สาวได้สาวเอา คบกับส่วย (กูย) ไม่รวยไม่เลิก" |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กูยเรียกตัวเองว่า "กูย หรือ กวย" แล้วแต่ภาษาถิ่นที่ตนพูด หมายถึงคน ภาษาอังกฤษเขียนว่า KUI หรือ KUY คนไทยโดยทั่วไปจะรู้จักคนกลุ่มนี้ในชื่อ ส่วย หรือเขมรป่าดง กูยต้องส่งส่วยให้เป็นเครื่องราชบรรณาการเป็นประจำทุกปีในรูปของผลผลิตจากป่า จึงทำให้ชาวไทยและชาวลาว เรียกกูยว่า ส่วย กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในเขตอีสานใต้จะมองว่ากูยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ชีวิตค่อนข้างจะสกปรกมาก มีวัฒนธรรมที่ต่ำกว่าลาวและเขมร นอกจากนี้ เจริญ ไวรวัจนกุล ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มชาติพันธุ์ในอีสานใต้เป็นกลุ่มสามสายเลือดที่เคลื่อนย้ายมาอยู่ร่วมกันในอีสานใต้ ได้แก่ สายอัตปือ แสนปาง สายจำปาศักดิ์ และสายนครวัด มาหล่อหลอมเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มสามชาติพันธุ์ ปัจจุบันกูยยังมีความสัมพันธ์ติดต่อกับกลุ่มชาติพันธุ์กูยในกัมพูชาในฐานะพี่น้อง โดยติดต่อกันตามช่องเขาพนมดงรัก (หน้า 152, 157, 162, 164) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การปฏิรูปการปกครองในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2411-2453) ส่งผลต่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในเขตแดนรัฐสยาม เพราะทรงมีนโยบายให้กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เป็นไทย โดยผ่านการศึกษาทำให้เกิดผลกระทบต่ออัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ นอกจากนี้ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการลงนามในความตกลงสมบูรณ์แบบกับอังกฤษที่สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2487 มีสาระสำคัญที่เกี่ยวกับไทยในเรื่องการส่งข้าวจำนวน 1,500,000 ตัน ให้แก่อังกฤษโดยไม่คิดมูลค่า ปริมาณข้าวจำนวนดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจการผลิตแบบการค้าแพร่กระจาย ชาวบ้านเริ่มให้ความสำคัญในเรื่องการผลิตเพื่อการค้าคู่กับการผลิตเพื่อบริโภค มีการสร้างเส้นทางหลวงเชื่อมโยงจังหวัดร้อยเอ็ดกับจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งตัดผ่านชุมชนกูย เขมรและลาวในท้องที่อำเภอเกษตรวิสัย สุวรรณภูมิ การสร้างทางหลวงผ่านก็มีกลุ่มชาวเขมรจากเมืองสุรินทร์และชาวลาวจากอำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์เข้ามาอาศัยอยู่ร่วมกัน กลุ่มกูยได้ปรับตัวด้วยการพุดภาษาลาวและเขมร มีการสร้างความสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานระหว่างกลุ่ม ในขณะเดียวกัน การผลิตแบบค้าขายทำให้กูยปรับเปลี่ยนโลกทัศน์หันมาใช้รถไถในการผลิต ใส่ปุ๋ยเคมี เรื่องเงินเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต โดยการครอบงำของระบบทุนนิยม ได้เข้ามามีส่วนร่วมในประเพณีคล้องช้าง จากวัฒนธรรมกลายมาเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวชมในฐานะคนเลี้ยงช้างและฝึกช้าง (หน้า 155-157, 162-164) |
|
|