|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง การท่องเที่ยว การอยู่รอด ดอยปุย เชียงใหม่ |
Author |
ลีศึก ฤทธิ์เนติกุล, ยิ่งยศ หวังธนวัฒน์, ไตรภพ แซ่ย่าง, เสือ แซ่ลี, จักธร วิลาสประภัสสร, อภิชาติ เฟื่องฟูกิจการ, ยาหยี หวังวนวัฒน์, สุทา ฤทธิ์เนติกุล |
Title |
การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์กับการอยู่รอดของชุมชนชาวม้งบ้านดอยปุย อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) |
Total Pages |
187 |
Year |
|
Source |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยชุดโครงการวิจัยเพื่อท้องถิ่น |
Abstract |
ชุมชนบ้านดอยปุยมีประชากร 1,284 คน 109 ครัวเรือน 6 กลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่ ม้ง จีนฮ่อ คนเมือง กะเหรี่ยง เนปาล และญี่ปุ่น ภายในชุมชนมีการจัดตั้งองค์กรต่างๆ ได้แก่ กลุ่มปกครองและพัฒนา กลุ่มกรรมการโรงเรียน กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม กลุ่มท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ กลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์เครดิตยูเนี่ยน และกลุ่มสตรี
ก่อนที่จะมีโครงการวิจัยนี้ แต่ละกลุ่มต่างทำงาน จึงมองไม่เห็นผลการพัฒนาชุมชนในองค์รวม แต่หลังจากการทำวิจัยผ่านพ้นไประยะหนึ่ง พบว่า ทุกกลุ่มต่างร่วมมือกัน โดยวัดได้จากการร่วมกันจัดทำระเบียบชุมชน หลักสูตรท้องถิ่นของโรงเรียน และพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมชุมชนมากขึ้น ผลที่ได้ตามมา อันเป็นเป้าหมายของการวิจัยครั้งนี้คือ มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าไปเที่ยวชุมชนหมู่บ้านดอยปุยอย่างสม่ำเสมอในวันธรรมดาและอย่างคับคั่งในวันหยุดราชการ โดยที่การจัดการรูปแบบการท่องเที่ยวนั้นมีทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไปเองและกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไปกับบริษัทนำเที่ยว ยังไม่ได้มีการจัดรูปแบบที่เป็นเครือข่ายโดยตรง คงมีแต่องค์การเครือข่ายภายในชุมชนเท่านั้นที่หันมาจัดเป็นองค์กรเครือข่ายโดยมีประชาคมชาวบ้านเป็นผู้ประสานงาน
การศึกษาภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ได้แก่ ยาสมุนไพร ยาบำรุงอาหารและยาจากธรรมชาติพันธุ์ม้ง ตลอดจนหน้าไม้ ปืนโบราณและกับดักสัตว์ชนิดต่างๆ
สำหรับการศึกษาทรัพยากรธรรมชาตินั้น มุ่นเน้นทำการศึกษาผืนป่าทางทิศเหนือซึ่งส่วนใหญ่เป็นป่ารุ่นสองที่ฟื้นฟูโดยชาวบ้านในชุมชนดอยปุยและดอยผากอง อันเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ “ฟี่เหย่ง” หรือ “การบน” ของชาวม้งบ้านดอยปุยและหมู่บ้านใกล้เคียง จากการศึกษาพบว่า ผืนป่าได้รับการฟื้นฟูจนอุดมสมบูรณ์เกือบเท่าป่ารุ่นที่หนึ่งแล้ว บริเวณรอบๆดอยผากลองมีก้อนหินต่างๆที่เกิดเองตามธรรมชาติ แต่มีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์จงใจแกะสลักให้เป็นรูปเครื่องใช้ต่างๆ ในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของชาวม้งจากการที่ดอยผากลองเป็นสันเขาแคบๆ และมีดขดหินต่างๆอยู่เรียงราย จึงเป็นจุดชมทิวทัศน์ฝั่งอำเภอแม่ริม มีต้นไม้ประหลาดที่พบได้ต้นเดียวบนเทือกเขานี้ทั้งต้นและใบมีสีเงิน มีดอกสีขาว ชาวบ้านตั้งชื่อว่า “กุหลาบพันปีดอยผากลอง”
ปัญหาและอุปสรรคที่พบจากการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ปัญหาบุคคล อาทิ บุคคลบางคนที่มีกำลังมันสมองและกำลังทรัพย์ แต่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับกิจกรรมส่วนรวมมากนัก ด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของคนในชุมชน เป็นเหตุให้ยากที่จะพัฒนาให้เกิดเอกลักษณ์ความเป็นชุมชนบ้านดอยปุยอย่างเช่นในอดีต ส่วนปัญหาด้านนโยบายคือข้อจำกัดของการที่ชุมชนบ้านดอยปุยอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ
ข้อเสนอแนะของคณะวิจัยคือ ให้มีการกันเขตพื้นที่ใช้สอยทุกประเภทออกจากเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย แบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็นโซนต่างๆแล้วให้เข้าไปพัฒนาอย่างจริงจัง พร้อมทั้งตั้งกฎกติกาชุมชนมาควบคุมการก่อสร้างและการดำเนินกิจการต่างๆของรัฐทั้งส่วนท้องถิ่น ส่วนภูมิภาคและส่วนกลาง ควรจะส่งเสริมด้านงบประมาณเพื่อพัฒนาหมู่บ้านดอยปุยให้เป็นหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลด้านการท่องเที่ยว |
|
Focus |
ศึกษาวิจัยหาองค์ความรู้ในการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรการท่องเที่ยวและการใช้ทรัพยากรการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สร้างกระบวนการในการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรต่างๆภายในชุมชน และองค์กรภายนอกที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการพัฒนาและใช้ทรัพยากรการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชนโดยตรงและต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
1 ม.ค. – 31 ธันวาคม พ.ศ. 2544 |
|
History of the Group and Community |
ชุมชนชาวม้งดอยปุย ตั้งขึ้นราวปี พ.ศ. 2490 – 2492 ตามคำบอกเล่าของนายเล่าปะ แซ่ย่าง และนายจ๊ะ แซ่ลี ขณะที่มนตรา พงษ์นิล กล่าวว่า ม้งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์แรกที่อพยพตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านดอยปุยเมื่อ พ.ศ. 2494 โดยอพยพมาจากเขตอำเภอฝาง อำเภอแม่แตง และอำเภอแม่ริม อันเนื่องมาจากการเดินทัพของกองทัพญี่ปุ่นในระหว่างปี พ.ศ. 2486 – 2488 การอพยพค่อยๆดำเนินการมาตามลำดับ ใช้ระยะเวลาประมาณ 5 ปี จึงรวมตัวเป็นชุมชนถาวรได้ราวปี พ.ศ.2492 ในปี พ.ศ.2496ตำรวจไทยได้กดดันและปราบปรามกลุ่มจีนอ่อค้าฝิ่นที่ดอยป่าคาในเขตอำเภอแม่ริม ทำให้ม้งส่วนหนึ่งที่ตั้งชุมชนอยู่ใกล้เคียงและกลุ่มจีนฮ่อที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบระหว่างตำรวจไทยและทหารจีนฮ่อ จึงได้อพยพมาสมทบที่ชุมชนบ้านดอยปุย ปี พ.ศ.2518 มีกะเหรี่ยงจากอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ และ อำเภอแม่สะเรียงและสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน อพยพเข้ามาเป็นลูกจ้างในไร่ของม้งชุมชนบ้านดอยปุย และในปีเดียวกัน ชาวบ้านตระกูลว่างจากอำเภอฮอด ม้งจากกำแพงเพชรและม้งจากที่อื่นๆทยอยมาสมทบ ปี พ.ศ.2520 มีชาวเนปาล 4 ราย และชาวญี่ปุ่น 1 ราย เข้ามาค้าขาย ในจำนวนนี้มีชาวเนปาล 2 รายและชาวญี่ปุ่น 1 รายค้าขายอยู่อย่างถาวร (หน้า 49 - 51) |
|
Demography |
ประชากรบ้านดอยปุยมีทั้งสิ้น1,391 คน 134 ครัวเรือน จำแนกเป็น ม้ง 1,284 คน 109 ครัวเรือน จีนฮ่อ 49 คน 7 ครัวเรือน คนเมือง 43 คน 13 ครัวเรือน กะเหรี่ยง 11 คน 2 ครัวเรือน เนปาล 2 คน 2 ครัวเรือน และญี่ปุ่น 2 คน 1 ครัวเรือน หากจำแนกประชากรตามตระกูล พบว่า ตระกูลว่าง(บน) มี 169 คน 16 ครัวเรือน ตระกูลลี 194 คน 18 ครัวเรือน ตระกูลย่าง 420 คน 34 ครัวเรือน ตระกูลว่าง(ล่าง) 252 คน 22 ครัวเรือน ตระกูลหาง 135 คน 8 ครัวเรือน ตระกูลซ่ง 19 คน 4 ครัวเรือน ตระกูลมัว 50 คน 4 ครัวเรือน และตระกูลเฒ่า 40 คน 3 ครัวเรือน (หน้า 55) |
|
Economy |
ชุมชนบ้านดอยปุย ส่วนใหญ่มีรายได้จากการดำเนินกิจการร้านขายของที่ระลึก การเกษตร ร้านอาหาร แผงลอย กลุ่มท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม กลุ่มท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เร่ขายของที่ระลึก และเร่ขายพลอย ตาลำดับ (หน้า 79) |
|
Social Organization |
กลุ่มม้งบ้านดอยปุย มีระบบการถือสายตระกูลฝ่ายชายเช่นดียวกับม้งโดยทั่วไป มีระบบการตั้งบ้านเรือนในฝ่ายชายและถือฝ่ายชายเป็นใหญ่ เมื่อหญิงม้งจากตระกูลหนึ่งแต่งงานกับสามีของอีกตระกูลหนึ่ง ถือว่า หญิงคนนั้นเป็นสมาชิกในตระกูลของสามีทั้งร่างกายและจิตวิญญาณโดยสมบูรณ์ ม้งมีการห้ามแต่งงานในตระกูลเดียวกันอย่างเด็ดขาดเพราะถือว่า กลุ่มตระกูลที่ใช้แซ่มีบรรพบุรุษร่วมกัน (หน้า 67) |
|
Political Organization |
การปกครองในชุมชนบ้านดอยปุยมีวิวัฒนาการตามลำดับตั้งแต่ยุคสังคมโบราณ ซึ่งโครงสร้างทางสังคมค่อนข้างแบ่งชนชั้น ยุคต่อมา ผู้นำในชุมชนเริ่มมีการกระจายอำนาจเป็นผู้นำหลายประเภท ได้แก่ ผู้นำทางการ และผู้นำทางธรรมชาติ ผู้นำทางการเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน และได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากนายอำเภอ ผู้ใหญ่บ้านจะเลือกผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจากทุกตระกูลเพื่อเสนอให้นายอำเภอแต่งตั้ง นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการหมู่บ้านที่ได้รับการเลือกสรรจากผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ส่วนผู้นำทางธรรมชาติ แบ่งได้ 2 กลุ่มคือ ผู้อาวุโสและหมอผี ผู้อาวุโสส่วนใหญ่เป็นอดีตผู้นำชุมชน มีบทบาทในการให้คำแนะนำและชี้ขาดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับจารีตประเพณี ส่วนหมอผีเป็นผู้นำหรือที่พึ่งทางจิตวิญญาณของกลุ่มคนที่นับถือผี ยุคปัจจุบันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541เป็นต้นมาชุมชนบ้านดอยปุย มีความเจริญทางโครงสร้างพื้นฐานมีมากจนถือว่าอยู่ในขั้นอุดมโภคา (Stage of High Mass Consumption) มีการกระจายอำนาจอย่างเต็มที่ กล่าวคือ มีผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน กลุ่มแม่บ้าน องค์การบริหารส่วนตำบล กลุ่มสหกรณ์ เครดิตยูเนี่ยน ประชาคมชาวบ้าน กลุ่มกรรมการศึกษา กลุ่มผู้อาวุโส และกลุ่มหมอผี กลุ่มผู้ปกครองมีบทบาทน้อยลงในการจัดการปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การแก้ปัญหาส่วนใหญ่ขึ้นกับทุกองค์กรในชุมชน หากมีปัญหากระทบกระทั่งรุนแรงจะนิยมนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมของบ้านเมือง (หน้า 64 - 66) |
|
Belief System |
ประชากรบ้านดอยปุย ส่วนใหญ่นับถือ ผี พุทธศาสนา คริสต์ศาสนา และศาสนาอิสลาม ตามลำดับ ประชากรม้ง นับถือผี 1,049 คน 89 ครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มตระกูลย่าง ลี และตระกูลว่างล่าง กลุ่มที่นับถือพุทธศาสนา เป็นกลุ่มตระกูลว่างบน 169 คน 14 ครอบครัว ส่วนกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์ 56 คน 6 ครอบครัว เป็นคนส่วนน้อยในตระกูลลี และตระกูลย่าง ประชากรกลุ่มจีนฮ่อ นับถือศาสนาพุทธ 30 คน 4 ครัวเรือน และนับถือศาสนาอิสลาม 19 คน 3 ครัวเรือน ประชากรกลุ่มคนเมือง นับถือศาสนาพุทธ 33 คน 10 ครัวเรือน และนับถือศาสนาอิสลาม 10 คน 3 ครอบครัว (หน้า 56 – 57,63-64)
การรักษาผู้ป่วยด้วยการเข้าทรง สามารถแบ่งย่อยเป็น 2 ประเภทคือ เน้งมัวเด๊อ (เน้งตาขาว) ประกอบพิธีโดยหมอผี เป็นการข่มผู้ให้วิญญาณร้ายออกจากร่างกายผู้ป่วย เนื่องจาก ม้งเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดจากขวัญหายหรือเกิดจากวิญญาณร้ายเข้าสิงในร่างกายผู้ป่วย เน้งม้งดู๊ (เน้งตาดำ) เป็นพิธีกรรมเข้าทรงที่สลับซับซ้อน สำหรับรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง รักษาด้วยวิธีใดก็ไม่หาย หมอผีที่มีอยู่แล้วจะทำการตั้งแท่นบูชาผีและลองเข้าทรง หากผู้ป่วย สามารถเข้าทรงได้ แสดงว่าวิญญาณผู้ทรงได้เลือกและยอมรับให้ผู้ป่วยคนนั้นเป็นหมอผีแล้ว จากนั้นอาการเจ็บป่วยเรื้อรังจะหายและเขาจะกลายเป็นหมอผีโดยสมบูรณ์ และสามารถทำการรักษาคนอื่นต่อไปได้ การเข้าทรงเน้งม้งดู๊ดังกล่าวหมายถึงว่า วิญญาณผู้ป่วยได้ถูกนำไปปรโลกแล้ว การเข้าทรงของหมอผีบนโต๊ะยาว เป็นการขี่ม้าเข้าสู่ปรโลกเพื่อติดตามหรือไถ่วิญญาณผู้ป่วยกลับมา (หน้า 63)
ม้งมีความเชื่อว่า “พืชคร่าวิญญาณ” (Tshuaj noj tuag , Soul Snatcher Plant) มีวิญญาณแห่งความตายแฝงอยู่ ผู้ใดพบและเห็นยอดปลิวไสวตามแรงลม จะมีสิ่งดลใจให้ผู้พบมองเห็นความตาย แล้วเด็ดยอดมากินในที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่ผิดหวังในชีวิต มักจะใช้พืชชนิดนี้แก้ปัญหา (หน้า 83)
ม้งเชื่อว่าหน้าไม้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติ การเจ็บป่วยนั้น มีสาเหตุมาจากวิญญาณร้าย (Wild Spirits) มาจับขวัญหรือวิญญาณผู้ป่วยไป ม้งจึงทำหน้าไม้ที่ง้างไว้เสียบบนหลังคาบ้านเพื่อป้องกันวิญญาณร้ายต่างๆ นอกจากนี้ ม้งมีความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายว่า วิญญาณคนตายจะกลับคืนสู่ถิ่นกำเนิดของม้งทางขั้วโลกเหนือ ในระหว่างเดินทางจะต้องพบกับศัตรูภูตผี และสัตว์ต่างๆ จึงต้องเตรียมหน้าไม้ให้กับศพเพื่อนำไปต่อสู้กับศัตรูต่างๆ ก่อนที่จะไปพบกับวิญญาณ ของบรรพบุรุษที่ได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านั้น(หน้า 102) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาในระบบ มีโรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์ 1 อยู่ในกลุ่มโรงเรียนช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ กระทรวง ศึกษาธิการ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2501 ปัจจุบันทำการสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียน 167 คน ครู 9 คน และนักการภารโรง 1 คน
ส่วนการศึกษานอกระบบ มีการศึกษาทางไกล กลุ่มดอยปุย อันประกอบด้วยนักศึกษาจากบ้านช่างเคี่ยน บ้านดอยสุเทพ และบ้านภูพิงค์ โดยใช้โรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์ 1 เป็นศูนย์กลางในการสอบวัดผล มีจำนวนนักเรียน นักศึกษาทั้งสิ้น 47 คน จำแนกเป็นชั้นประถมศึกษา 14 คน ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 23 ราย และชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 10 ราย (หน้า 58-60) |
|
Health and Medicine |
ด้านการสาธารณสุขของประชากรบ้านดอยปุยมีวีการต่างๆ คือ 1) การใช้บริการจากอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) ให้บริการในระดับยาสามัญประจำบ้าน และการให้คำแนะนำด้านสาธารณะสุขขั้นพื้นฐาน 2) การใช้บริการจากสถานพยาบาล ในเมืองเชียงใหม่ สำหรับในกรณีที่ที่มีอาการเจ็บป่วยหนัก 3)การใช้วิธีการพื้นบ้าน ซึ่งมี 3 วิธีสำคัญคือ ก.ขั้นการวินิจฉัยโรคอาทิ การทำนาย การดูไข่ การตรวจใบหู การเข้าทรง การบน และการคลำท้อง โดยผู้วินิจฉัยจะเป็นผู้แนะนำว่าการเจ็บป่วยมีสาเหตุมาจากอะไร และควรรักษาด้วยวิธีการใด ข. ขั้นการรักษา ได้แก่ การใช้สมุนไพร การนวด การรีดเลือด การเรียกขวัญ ละการเข้าทรง (หน้า 61-63)
พืชสมุนไพรที่สำคัญของม้งอาทิ ฉั้วม่ออั๋ว (Tshuaj nob uav) เป็นพืชใบเถา มีใบคล้ายรูปหัวใจ มีสรรพคุณในการรักษาแผลเรื้อรัง เนื้องอก โรคเกี่ยวกับตับ ปอดและอวัยวะภายในต่างๆ ต้นหญ้าเทวดาสีแดง มีลักษณะคล้ายหญ้าปักกิ่ง ขึ้นตามหินผาที่มีความสูง มีสรรพคุณในทางรักษาโรคร้ายและเป็นยาบำรุง ยาช่วยให้มีลูก(Tshuaj muaj me nyuam) เป็นพืชเถาใบยาวประมาณ 4 นิ้ว กว้างประมาณ 1 นิ้ว มักขึ้นตามต้นน้ำที่มีความชื้นตามป่าดิบเขาที่มีความสูง 1,000 เมตรขึ้นไป การนำเถาตากแห้งชงน้ำร้อนดื่ม มีสรรพคุณช่วยให้สตรีที่มีบุตรยาก มีบุตรง่ายและเชื่อว่าสามารถกำหนดเพศของลูกได้ ไปเด๋ (Paim Dev) เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก มีใบกว้างค่อนข้างกลม ใบมีรอยหยัก มีกลิ่นฉุน ใช้รักษาอาการปวดหัวเป็นไข้ โดยการนำใบมาขยี้ให้เละ นวดบริเวณขมับ ท้ายทอย และกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ปัวต้อ (Pua Toj) ภาษาไทยเรียกว่าว่านเปราะหอม มีใบกว้างติดผิวดิน กลิ่นหอม ใช้รักษาอาการปวดท้องทั่วๆไป อาการอาหารเป็นพิษและจุกเสียดแน่นท้อง (หน้า 85 - 95) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เมื่อราว 30 ปีก่อน บ้านเรือนแบบจารีตประเพณี สร้างด้วยวัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่น สร้างบ้านบนพื้นดิน หลังคามุงด้วยหญ้าคาหรือใบตองตึง ฝาบ้านเป็นไม้เนื้อแข็ง เมื่อความเจริญเข้าถึงหมู่บ้าน รูปแบบสิ่งก่อสร้างเริ่มมีการเปลี่ยน เช่น หลังคามุงสังกะสีหรือกระเบื้องลอนคู่ ฝาบ้านเปลี่ยนจากไม้ผ่ามาเป็นไม้เลื่อย บ้างก็ถูกดัดแปลงจนไร้เอกลักษณ์ (หน้า 57) |
|
Folklore |
ตำนานเกี่ยวกับเรื่องหน้าไม้ Nyiaj Lauj Vaj ได้เล่าว่า ในสมัยโบราณมีกลางวันและกลางคืนที่ยาวนานมาก ม้งจึงมีปัญหาเกี่ยวกับการทำมาหากิน ทั้งนี้เนื่องจากมีดวงอาทิตย์ถึง 9 ดวง และมีดวงจันทร์ 9 ดวงในเวลากลางคืน ม้งจึงคิดทำหน้าไม้ที่มีความยาวของคาน 9 วา ความยาวของตัวหน้าไม้ 9 วา เพื่อยิงดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เมื่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ทราบข่าว จึงไม่กล้าออกมาสู่ท้องฟ้าอีก ทำให้โลกตกอยู่ในความมืดมิดถึง 7 ปี ม้งจึงให้สัตว์ต่างๆ เช่น เสือ วัว และนกเค้าแมวออกร้องเพื่อขอให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ออกมาแต่ก็ไม่ได้ผล ในที่สุดได้ส่งไก่ไปขันร้อง ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จึงออกมา ทำให้มีกลางวันและกลางคืนตามปกติอย่างเช่นทุกวันนี้
นอกจากนี้ยังมีตำนานว่า คนแรกที่ประดิษฐ์หน้าไม้ชื่อ Txiv Nraug Luj TubZ (จี๋ โตร่ ลู่ ตุ๊) และคนแรกที่ยิงหน้าไม้ชื่อ Txoor Siv Yis (จ๊ง สี ยี (หน้า 101-102) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Map/Illustration |
ตาราง
- แสดงจำนวนประชากรทั้งหมดของบ้านดอยปุยแยกตามกลุ่มชาติพันธุ์(หน้า55)
- แสดงจำนวนครัวเรือนและประชากร แยกตามตระกูลต่างๆ(หน้า 55)
- แสดงจำนวนประชากรและครัวเรือนของกลุ่มม้ง แยกตามศาสนา(หน้า 56)
- แสดงจำนวนประชากรและครัวเรือนของกลุ่มจีนฮ่อ แยกตามการนับถือศาสนา (หน้า 56)
- แสดงจำนวนประชากรและครัวเรือนของกลุ่มคนเมือง แยกตามการนับถือศาสนา (หน้า 57)
- รายชื่อคณะกรรมการประชาคมหมู่บ้าน หมู่11 บ้านดอยปุย ตำบลสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. 2543(หน้า 78)
- แสดงอาชีพและรายได้ของชุมชนบ้านดอยปุย(หน้า 79)
แผนที่
- แผนที่สังเขป แสดงเส้นทางเข้าสู่พื้นที่วิจัย(หน้า 52)
- แผนที่หมู่บ้านดอยปุย หมู่ที่ 11 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่(หน้า 53)
- แผนที่สังเขป แสดงชุมชนบ้านดอยปุย เส้นทางเดิสู่ดอยผากลองและสถานที่สำคัญๆในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุยที่เป็นเส้นทางการท่องเที่ยว(หน้า 161)
ภาพ
- ลักษณะของใบอ่อนของพืชคร่าวิญญาณ(หน้า 84)
- ลักษณะเถาและใบแก่ของพืชคร่าวิญญาณ(หน้า 85)
- ลักษณะทรงพุ่มและใบของฉั้วม้ออั๋ว(หน้า 86)
- ต้นหญ้าเทวดาสีแดง(หน้า 87)
- ภาพประกอบตัวหน้าไม้และคานหน้าไม้(หน้า 105)
- ภาพความสัมพันธ์ระหว่างความยาวของลูกดอกกับตัวหน้าไม้(หน้า 106)
- ภาพประกอบจุดทาเลือดและรอยบาก(หน้า 108)
- ภาพเผาะม้งขนาดใหญ่(หน้า 111)
- ภาพเผาะม้งขนาดเล็ก(หน้า 112)
- ภาพกลไกของเผาะม้ง(เมื่อลั่นไก ก้อนหินจะกระทบกับแผ่นเหล็ก ทำให้เกิดประกายไฟเผาไหม้ดินปืนละเอียด ซึ่งอยู่ข้างนอกแล้วปะทุต่อไปยังดินปืนในลำกล้อง) (หน้า 113)
- ภาพอุปกรณ์ประกอบเผาะม้ง(หน้า 113)
- ภาพผืนผ้ามัดลูก Daim Hlab Nyias(หน้า 137)
- ภาพการทอผ้าจากเส้นใยกัญชง(หน้า 140)
- การปักลายปักบนผืนผ้าเส้นใยกัญชงที่ย้อมสีแล้ว(หน้า 141)
- ต้นสีย้อมผ้าใยกัญชงชนิดใบใหญ่ เมื่อย้อมผ้าแล้วจะได้สีน้ำเงินเข้ม(หน้า 142)
- แม่ค้าจากนอกชุมชนกับการแต่งชุดม้ง(หน้า 158) |
|
|