สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง การท่องเที่ยว การอยู่รอด ดอยปุย เชียงใหม่
Author ลีศึก ฤทธิ์เนติกุล, ยิ่งยศ หวังธนวัฒน์, ไตรภพ แซ่ย่าง, เสือ แซ่ลี, จักธร วิลาสประภัสสร, อภิชาติ เฟื่องฟูกิจการ, ยาหยี หวังวนวัฒน์, สุทา ฤทธิ์เนติกุล
Title การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์กับการอยู่รอดของชุมชนชาวม้งบ้านดอยปุย อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย จังหวัดเชียงใหม่
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) Total Pages 187 Year
Source สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยชุดโครงการวิจัยเพื่อท้องถิ่น
Abstract

ชุมชนบ้านดอยปุยมีประชากร 1,284 คน 109 ครัวเรือน 6 กลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่ ม้ง  จีนฮ่อ คนเมือง กะเหรี่ยง เนปาล และญี่ปุ่น ภายในชุมชนมีการจัดตั้งองค์กรต่างๆ ได้แก่ กลุ่มปกครองและพัฒนา กลุ่มกรรมการโรงเรียน   กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม  กลุ่มท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์  กลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์เครดิตยูเนี่ยน และกลุ่มสตรี

ก่อนที่จะมีโครงการวิจัยนี้ แต่ละกลุ่มต่างทำงาน จึงมองไม่เห็นผลการพัฒนาชุมชนในองค์รวม  แต่หลังจากการทำวิจัยผ่านพ้นไประยะหนึ่ง  พบว่า ทุกกลุ่มต่างร่วมมือกัน โดยวัดได้จากการร่วมกันจัดทำระเบียบชุมชน หลักสูตรท้องถิ่นของโรงเรียน  และพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมชุมชนมากขึ้น  ผลที่ได้ตามมา อันเป็นเป้าหมายของการวิจัยครั้งนี้คือ มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าไปเที่ยวชุมชนหมู่บ้านดอยปุยอย่างสม่ำเสมอในวันธรรมดาและอย่างคับคั่งในวันหยุดราชการ  โดยที่การจัดการรูปแบบการท่องเที่ยวนั้นมีทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไปเองและกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไปกับบริษัทนำเที่ยว  ยังไม่ได้มีการจัดรูปแบบที่เป็นเครือข่ายโดยตรง  คงมีแต่องค์การเครือข่ายภายในชุมชนเท่านั้นที่หันมาจัดเป็นองค์กรเครือข่ายโดยมีประชาคมชาวบ้านเป็นผู้ประสานงาน
     

การศึกษาภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ได้แก่ ยาสมุนไพร  ยาบำรุงอาหารและยาจากธรรมชาติพันธุ์ม้ง  ตลอดจนหน้าไม้ ปืนโบราณและกับดักสัตว์ชนิดต่างๆ      
          
สำหรับการศึกษาทรัพยากรธรรมชาตินั้น  มุ่นเน้นทำการศึกษาผืนป่าทางทิศเหนือซึ่งส่วนใหญ่เป็นป่ารุ่นสองที่ฟื้นฟูโดยชาวบ้านในชุมชนดอยปุยและดอยผากอง อันเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ “ฟี่เหย่ง” หรือ “การบน” ของชาวม้งบ้านดอยปุยและหมู่บ้านใกล้เคียง  จากการศึกษาพบว่า  ผืนป่าได้รับการฟื้นฟูจนอุดมสมบูรณ์เกือบเท่าป่ารุ่นที่หนึ่งแล้ว  บริเวณรอบๆดอยผากลองมีก้อนหินต่างๆที่เกิดเองตามธรรมชาติ แต่มีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์จงใจแกะสลักให้เป็นรูปเครื่องใช้ต่างๆ  ในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของชาวม้งจากการที่ดอยผากลองเป็นสันเขาแคบๆ และมีดขดหินต่างๆอยู่เรียงราย จึงเป็นจุดชมทิวทัศน์ฝั่งอำเภอแม่ริม มีต้นไม้ประหลาดที่พบได้ต้นเดียวบนเทือกเขานี้ทั้งต้นและใบมีสีเงิน  มีดอกสีขาว ชาวบ้านตั้งชื่อว่า “กุหลาบพันปีดอยผากลอง” 

ปัญหาและอุปสรรคที่พบจากการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ปัญหาบุคคล อาทิ บุคคลบางคนที่มีกำลังมันสมองและกำลังทรัพย์ แต่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับกิจกรรมส่วนรวมมากนัก  ด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของคนในชุมชน เป็นเหตุให้ยากที่จะพัฒนาให้เกิดเอกลักษณ์ความเป็นชุมชนบ้านดอยปุยอย่างเช่นในอดีต  ส่วนปัญหาด้านนโยบายคือข้อจำกัดของการที่ชุมชนบ้านดอยปุยอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ

ข้อเสนอแนะของคณะวิจัยคือ ให้มีการกันเขตพื้นที่ใช้สอยทุกประเภทออกจากเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย แบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็นโซนต่างๆแล้วให้เข้าไปพัฒนาอย่างจริงจัง  พร้อมทั้งตั้งกฎกติกาชุมชนมาควบคุมการก่อสร้างและการดำเนินกิจการต่างๆของรัฐทั้งส่วนท้องถิ่น  ส่วนภูมิภาคและส่วนกลาง  ควรจะส่งเสริมด้านงบประมาณเพื่อพัฒนาหมู่บ้านดอยปุยให้เป็นหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลด้านการท่องเที่ยว

Focus

ศึกษาวิจัยหาองค์ความรู้ในการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรการท่องเที่ยวและการใช้ทรัพยากรการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน   สร้างกระบวนการในการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรต่างๆภายในชุมชน และองค์กรภายนอกที่เกี่ยวข้อง  เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการพัฒนาและใช้ทรัพยากรการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชนโดยตรงและต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม (หน้า 4)

Theoretical Issues

ไม่มีข้อมูล

Ethnic Group in the Focus

ม้ง

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

1 ม.ค. – 31 ธันวาคม  พ.ศ. 2544 

History of the Group and Community

ชุมชนชาวม้งดอยปุย ตั้งขึ้นราวปี พ.ศ. 2490 – 2492 ตามคำบอกเล่าของนายเล่าปะ  แซ่ย่าง และนายจ๊ะ  แซ่ลี ขณะที่มนตรา  พงษ์นิล กล่าวว่า ม้งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์แรกที่อพยพตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านดอยปุยเมื่อ พ.ศ. 2494  โดยอพยพมาจากเขตอำเภอฝาง  อำเภอแม่แตง และอำเภอแม่ริม  อันเนื่องมาจากการเดินทัพของกองทัพญี่ปุ่นในระหว่างปี พ.ศ. 2486 – 2488  การอพยพค่อยๆดำเนินการมาตามลำดับ ใช้ระยะเวลาประมาณ 5 ปี จึงรวมตัวเป็นชุมชนถาวรได้ราวปี พ.ศ.2492  ในปี พ.ศ.2496ตำรวจไทยได้กดดันและปราบปรามกลุ่มจีนอ่อค้าฝิ่นที่ดอยป่าคาในเขตอำเภอแม่ริม ทำให้ม้งส่วนหนึ่งที่ตั้งชุมชนอยู่ใกล้เคียงและกลุ่มจีนฮ่อที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบระหว่างตำรวจไทยและทหารจีนฮ่อ จึงได้อพยพมาสมทบที่ชุมชนบ้านดอยปุย  ปี พ.ศ.2518 มีกะเหรี่ยงจากอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ และ อำเภอแม่สะเรียงและสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน อพยพเข้ามาเป็นลูกจ้างในไร่ของม้งชุมชนบ้านดอยปุย และในปีเดียวกัน ชาวบ้านตระกูลว่างจากอำเภอฮอด  ม้งจากกำแพงเพชรและม้งจากที่อื่นๆทยอยมาสมทบ ปี พ.ศ.2520 มีชาวเนปาล 4 ราย และชาวญี่ปุ่น 1 ราย เข้ามาค้าขาย ในจำนวนนี้มีชาวเนปาล 2 รายและชาวญี่ปุ่น 1 รายค้าขายอยู่อย่างถาวร (หน้า 49 - 51)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ประชากรบ้านดอยปุยมีทั้งสิ้น1,391 คน 134 ครัวเรือน จำแนกเป็น ม้ง 1,284 คน 109 ครัวเรือน  จีนฮ่อ 49 คน 7 ครัวเรือน คนเมือง 43 คน 13 ครัวเรือน  กะเหรี่ยง 11 คน 2 ครัวเรือน  เนปาล 2 คน 2 ครัวเรือน และญี่ปุ่น 2 คน 1 ครัวเรือน   หากจำแนกประชากรตามตระกูล พบว่า ตระกูลว่าง(บน) มี 169 คน 16 ครัวเรือน  ตระกูลลี 194 คน 18 ครัวเรือน  ตระกูลย่าง 420 คน 34 ครัวเรือน  ตระกูลว่าง(ล่าง) 252 คน 22 ครัวเรือน  ตระกูลหาง 135 คน 8 ครัวเรือน  ตระกูลซ่ง 19 คน 4 ครัวเรือน ตระกูลมัว 50 คน 4 ครัวเรือน และตระกูลเฒ่า 40 คน 3 ครัวเรือน  (หน้า 55)

Economy

ชุมชนบ้านดอยปุย ส่วนใหญ่มีรายได้จากการดำเนินกิจการร้านขายของที่ระลึก การเกษตร   ร้านอาหาร  แผงลอย กลุ่มท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม กลุ่มท่องเที่ยวเชิงนิเวศ  เร่ขายของที่ระลึก และเร่ขายพลอย ตาลำดับ (หน้า 79)

Social Organization

กลุ่มม้งบ้านดอยปุย  มีระบบการถือสายตระกูลฝ่ายชายเช่นดียวกับม้งโดยทั่วไป มีระบบการตั้งบ้านเรือนในฝ่ายชายและถือฝ่ายชายเป็นใหญ่ เมื่อหญิงม้งจากตระกูลหนึ่งแต่งงานกับสามีของอีกตระกูลหนึ่ง ถือว่า หญิงคนนั้นเป็นสมาชิกในตระกูลของสามีทั้งร่างกายและจิตวิญญาณโดยสมบูรณ์  ม้งมีการห้ามแต่งงานในตระกูลเดียวกันอย่างเด็ดขาดเพราะถือว่า กลุ่มตระกูลที่ใช้แซ่มีบรรพบุรุษร่วมกัน  (หน้า 67)

Political Organization

การปกครองในชุมชนบ้านดอยปุยมีวิวัฒนาการตามลำดับตั้งแต่ยุคสังคมโบราณ ซึ่งโครงสร้างทางสังคมค่อนข้างแบ่งชนชั้น   ยุคต่อมา ผู้นำในชุมชนเริ่มมีการกระจายอำนาจเป็นผู้นำหลายประเภท ได้แก่ ผู้นำทางการ และผู้นำทางธรรมชาติ   ผู้นำทางการเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน และได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากนายอำเภอ ผู้ใหญ่บ้านจะเลือกผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจากทุกตระกูลเพื่อเสนอให้นายอำเภอแต่งตั้ง นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการหมู่บ้านที่ได้รับการเลือกสรรจากผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ส่วนผู้นำทางธรรมชาติ แบ่งได้ 2 กลุ่มคือ ผู้อาวุโสและหมอผี  ผู้อาวุโสส่วนใหญ่เป็นอดีตผู้นำชุมชน มีบทบาทในการให้คำแนะนำและชี้ขาดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับจารีตประเพณี ส่วนหมอผีเป็นผู้นำหรือที่พึ่งทางจิตวิญญาณของกลุ่มคนที่นับถือผี  ยุคปัจจุบันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541เป็นต้นมาชุมชนบ้านดอยปุย มีความเจริญทางโครงสร้างพื้นฐานมีมากจนถือว่าอยู่ในขั้นอุดมโภคา (Stage of High Mass Consumption) มีการกระจายอำนาจอย่างเต็มที่ กล่าวคือ  มีผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน กลุ่มแม่บ้าน  องค์การบริหารส่วนตำบล กลุ่มสหกรณ์  เครดิตยูเนี่ยน  ประชาคมชาวบ้าน  กลุ่มกรรมการศึกษา  กลุ่มผู้อาวุโส และกลุ่มหมอผี  กลุ่มผู้ปกครองมีบทบาทน้อยลงในการจัดการปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การแก้ปัญหาส่วนใหญ่ขึ้นกับทุกองค์กรในชุมชน  หากมีปัญหากระทบกระทั่งรุนแรงจะนิยมนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมของบ้านเมือง (หน้า 64 - 66)

Belief System

ประชากรบ้านดอยปุย ส่วนใหญ่นับถือ ผี  พุทธศาสนา  คริสต์ศาสนา และศาสนาอิสลาม ตามลำดับ  ประชากรม้ง นับถือผี 1,049 คน 89 ครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มตระกูลย่าง ลี และตระกูลว่างล่าง   กลุ่มที่นับถือพุทธศาสนา เป็นกลุ่มตระกูลว่างบน 169 คน 14 ครอบครัว  ส่วนกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์ 56 คน 6 ครอบครัว เป็นคนส่วนน้อยในตระกูลลี และตระกูลย่าง    ประชากรกลุ่มจีนฮ่อ นับถือศาสนาพุทธ 30 คน 4 ครัวเรือน และนับถือศาสนาอิสลาม 19 คน 3 ครัวเรือน      ประชากรกลุ่มคนเมือง นับถือศาสนาพุทธ 33 คน 10 ครัวเรือน และนับถือศาสนาอิสลาม 10 คน 3 ครอบครัว (หน้า 56 – 57,63-64)
      
การรักษาผู้ป่วยด้วยการเข้าทรง สามารถแบ่งย่อยเป็น 2 ประเภทคือ เน้งมัวเด๊อ (เน้งตาขาว) ประกอบพิธีโดยหมอผี เป็นการข่มผู้ให้วิญญาณร้ายออกจากร่างกายผู้ป่วย เนื่องจาก ม้งเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดจากขวัญหายหรือเกิดจากวิญญาณร้ายเข้าสิงในร่างกายผู้ป่วย  เน้งม้งดู๊ (เน้งตาดำ)  เป็นพิธีกรรมเข้าทรงที่สลับซับซ้อน สำหรับรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง รักษาด้วยวิธีใดก็ไม่หาย  หมอผีที่มีอยู่แล้วจะทำการตั้งแท่นบูชาผีและลองเข้าทรง  หากผู้ป่วย สามารถเข้าทรงได้ แสดงว่าวิญญาณผู้ทรงได้เลือกและยอมรับให้ผู้ป่วยคนนั้นเป็นหมอผีแล้ว จากนั้นอาการเจ็บป่วยเรื้อรังจะหายและเขาจะกลายเป็นหมอผีโดยสมบูรณ์ และสามารถทำการรักษาคนอื่นต่อไปได้  การเข้าทรงเน้งม้งดู๊ดังกล่าวหมายถึงว่า วิญญาณผู้ป่วยได้ถูกนำไปปรโลกแล้ว        การเข้าทรงของหมอผีบนโต๊ะยาว เป็นการขี่ม้าเข้าสู่ปรโลกเพื่อติดตามหรือไถ่วิญญาณผู้ป่วยกลับมา (หน้า  63)
           
ม้งมีความเชื่อว่า “พืชคร่าวิญญาณ” (Tshuaj noj tuag , Soul Snatcher Plant) มีวิญญาณแห่งความตายแฝงอยู่ ผู้ใดพบและเห็นยอดปลิวไสวตามแรงลม จะมีสิ่งดลใจให้ผู้พบมองเห็นความตาย แล้วเด็ดยอดมากินในที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่ผิดหวังในชีวิต มักจะใช้พืชชนิดนี้แก้ปัญหา (หน้า 83)
           
ม้งเชื่อว่าหน้าไม้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติ การเจ็บป่วยนั้น มีสาเหตุมาจากวิญญาณร้าย (Wild Spirits) มาจับขวัญหรือวิญญาณผู้ป่วยไป ม้งจึงทำหน้าไม้ที่ง้างไว้เสียบบนหลังคาบ้านเพื่อป้องกันวิญญาณร้ายต่างๆ นอกจากนี้ ม้งมีความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายว่า วิญญาณคนตายจะกลับคืนสู่ถิ่นกำเนิดของม้งทางขั้วโลกเหนือ ในระหว่างเดินทางจะต้องพบกับศัตรูภูตผี และสัตว์ต่างๆ จึงต้องเตรียมหน้าไม้ให้กับศพเพื่อนำไปต่อสู้กับศัตรูต่างๆ ก่อนที่จะไปพบกับวิญญาณ ของบรรพบุรุษที่ได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านั้น(หน้า 102)

Education and Socialization

การศึกษาในระบบ มีโรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์ 1 อยู่ในกลุ่มโรงเรียนช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ  กระทรวง ศึกษาธิการ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2501  ปัจจุบันทำการสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียน 167 คน ครู 9 คน และนักการภารโรง 1 คน

ส่วนการศึกษานอกระบบ มีการศึกษาทางไกล กลุ่มดอยปุย อันประกอบด้วยนักศึกษาจากบ้านช่างเคี่ยน บ้านดอยสุเทพ และบ้านภูพิงค์  โดยใช้โรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์ 1 เป็นศูนย์กลางในการสอบวัดผล มีจำนวนนักเรียน นักศึกษาทั้งสิ้น 47 คน จำแนกเป็นชั้นประถมศึกษา 14 คน ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 23 ราย และชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 10 ราย  (หน้า 58-60)

Health and Medicine

ด้านการสาธารณสุขของประชากรบ้านดอยปุยมีวีการต่างๆ คือ 1) การใช้บริการจากอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) ให้บริการในระดับยาสามัญประจำบ้าน และการให้คำแนะนำด้านสาธารณะสุขขั้นพื้นฐาน 2) การใช้บริการจากสถานพยาบาล ในเมืองเชียงใหม่ สำหรับในกรณีที่ที่มีอาการเจ็บป่วยหนัก  3)การใช้วิธีการพื้นบ้าน  ซึ่งมี 3 วิธีสำคัญคือ  .ขั้นการวินิจฉัยโรคอาทิ การทำนาย  การดูไข่  การตรวจใบหู การเข้าทรง การบน และการคลำท้อง โดยผู้วินิจฉัยจะเป็นผู้แนะนำว่าการเจ็บป่วยมีสาเหตุมาจากอะไร และควรรักษาด้วยวิธีการใด  ข. ขั้นการรักษา ได้แก่ การใช้สมุนไพร การนวด  การรีดเลือด การเรียกขวัญ ละการเข้าทรง (หน้า 61-63)

 พืชสมุนไพรที่สำคัญของม้งอาทิ ฉั้วม่ออั๋ว (Tshuaj nob uav) เป็นพืชใบเถา มีใบคล้ายรูปหัวใจ มีสรรพคุณในการรักษาแผลเรื้อรัง  เนื้องอก โรคเกี่ยวกับตับ ปอดและอวัยวะภายในต่างๆ  ต้นหญ้าเทวดาสีแดง มีลักษณะคล้ายหญ้าปักกิ่ง ขึ้นตามหินผาที่มีความสูง มีสรรพคุณในทางรักษาโรคร้ายและเป็นยาบำรุง   ยาช่วยให้มีลูก(Tshuaj muaj me nyuam) เป็นพืชเถาใบยาวประมาณ 4 นิ้ว กว้างประมาณ 1 นิ้ว มักขึ้นตามต้นน้ำที่มีความชื้นตามป่าดิบเขาที่มีความสูง 1,000 เมตรขึ้นไป การนำเถาตากแห้งชงน้ำร้อนดื่ม มีสรรพคุณช่วยให้สตรีที่มีบุตรยาก มีบุตรง่ายและเชื่อว่าสามารถกำหนดเพศของลูกได้  ไปเด๋ (Paim Dev) เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก มีใบกว้างค่อนข้างกลม ใบมีรอยหยัก มีกลิ่นฉุน ใช้รักษาอาการปวดหัวเป็นไข้ โดยการนำใบมาขยี้ให้เละ นวดบริเวณขมับ ท้ายทอย และกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ปัวต้อ (Pua Toj) ภาษาไทยเรียกว่าว่านเปราะหอม  มีใบกว้างติดผิวดิน กลิ่นหอม ใช้รักษาอาการปวดท้องทั่วๆไป อาการอาหารเป็นพิษและจุกเสียดแน่นท้อง (หน้า 85 - 95)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เมื่อราว 30 ปีก่อน บ้านเรือนแบบจารีตประเพณี สร้างด้วยวัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่น  สร้างบ้านบนพื้นดิน หลังคามุงด้วยหญ้าคาหรือใบตองตึง  ฝาบ้านเป็นไม้เนื้อแข็ง เมื่อความเจริญเข้าถึงหมู่บ้าน รูปแบบสิ่งก่อสร้างเริ่มมีการเปลี่ยน เช่น หลังคามุงสังกะสีหรือกระเบื้องลอนคู่ ฝาบ้านเปลี่ยนจากไม้ผ่ามาเป็นไม้เลื่อย บ้างก็ถูกดัดแปลงจนไร้เอกลักษณ์ (หน้า 57)

Folklore

ตำนานเกี่ยวกับเรื่องหน้าไม้  Nyiaj Lauj Vaj ได้เล่าว่า ในสมัยโบราณมีกลางวันและกลางคืนที่ยาวนานมาก ม้งจึงมีปัญหาเกี่ยวกับการทำมาหากิน ทั้งนี้เนื่องจากมีดวงอาทิตย์ถึง 9 ดวง และมีดวงจันทร์ 9 ดวงในเวลากลางคืน  ม้งจึงคิดทำหน้าไม้ที่มีความยาวของคาน 9 วา ความยาวของตัวหน้าไม้ 9 วา เพื่อยิงดวงอาทิตย์และดวงจันทร์  เมื่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ทราบข่าว จึงไม่กล้าออกมาสู่ท้องฟ้าอีก ทำให้โลกตกอยู่ในความมืดมิดถึง 7 ปี   ม้งจึงให้สัตว์ต่างๆ เช่น เสือ วัว และนกเค้าแมวออกร้องเพื่อขอให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ออกมาแต่ก็ไม่ได้ผล ในที่สุดได้ส่งไก่ไปขันร้อง ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จึงออกมา ทำให้มีกลางวันและกลางคืนตามปกติอย่างเช่นทุกวันนี้        

นอกจากนี้ยังมีตำนานว่า คนแรกที่ประดิษฐ์หน้าไม้ชื่อ Txiv Nraug Luj TubZ (จี๋ โตร่ ลู่ ตุ๊) และคนแรกที่ยิงหน้าไม้ชื่อ Txoor Siv Yis (จ๊ง สี ยี  (หน้า 101-102)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

ตาราง
-   แสดงจำนวนประชากรทั้งหมดของบ้านดอยปุยแยกตามกลุ่มชาติพันธุ์(หน้า55)
-   แสดงจำนวนครัวเรือนและประชากร แยกตามตระกูลต่างๆ(หน้า 55)
-   แสดงจำนวนประชากรและครัวเรือนของกลุ่มม้ง แยกตามศาสนา(หน้า 56)
-   แสดงจำนวนประชากรและครัวเรือนของกลุ่มจีนฮ่อ แยกตามการนับถือศาสนา   (หน้า 56)
-   แสดงจำนวนประชากรและครัวเรือนของกลุ่มคนเมือง  แยกตามการนับถือศาสนา   (หน้า 57)
-  รายชื่อคณะกรรมการประชาคมหมู่บ้าน หมู่11 บ้านดอยปุย ตำบลสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. 2543(หน้า 78)
-  แสดงอาชีพและรายได้ของชุมชนบ้านดอยปุย(หน้า 79)
แผนที่
-  แผนที่สังเขป แสดงเส้นทางเข้าสู่พื้นที่วิจัย(หน้า 52)
-  แผนที่หมู่บ้านดอยปุย หมู่ที่ 11 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่(หน้า 53)
-  แผนที่สังเขป แสดงชุมชนบ้านดอยปุย  เส้นทางเดิสู่ดอยผากลองและสถานที่สำคัญๆในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุยที่เป็นเส้นทางการท่องเที่ยว(หน้า 161)
ภาพ
-  ลักษณะของใบอ่อนของพืชคร่าวิญญาณ(หน้า 84)
-  ลักษณะเถาและใบแก่ของพืชคร่าวิญญาณ(หน้า 85)
-  ลักษณะทรงพุ่มและใบของฉั้วม้ออั๋ว(หน้า 86)
-  ต้นหญ้าเทวดาสีแดง(หน้า 87)
-  ภาพประกอบตัวหน้าไม้และคานหน้าไม้(หน้า 105)
-  ภาพความสัมพันธ์ระหว่างความยาวของลูกดอกกับตัวหน้าไม้(หน้า 106)
-  ภาพประกอบจุดทาเลือดและรอยบาก(หน้า 108)
-  ภาพเผาะม้งขนาดใหญ่(หน้า 111)
-  ภาพเผาะม้งขนาดเล็ก(หน้า 112)
-  ภาพกลไกของเผาะม้ง(เมื่อลั่นไก  ก้อนหินจะกระทบกับแผ่นเหล็ก ทำให้เกิดประกายไฟเผาไหม้ดินปืนละเอียด ซึ่งอยู่ข้างนอกแล้วปะทุต่อไปยังดินปืนในลำกล้อง)    (หน้า 113)
-  ภาพอุปกรณ์ประกอบเผาะม้ง(หน้า 113)
-  ภาพผืนผ้ามัดลูก Daim  Hlab Nyias(หน้า 137)
-  ภาพการทอผ้าจากเส้นใยกัญชง(หน้า 140)
-  การปักลายปักบนผืนผ้าเส้นใยกัญชงที่ย้อมสีแล้ว(หน้า 141)
-  ต้นสีย้อมผ้าใยกัญชงชนิดใบใหญ่ เมื่อย้อมผ้าแล้วจะได้สีน้ำเงินเข้ม(หน้า 142)
-  แม่ค้าจากนอกชุมชนกับการแต่งชุดม้ง(หน้า 158)

Text Analyst Date of Report 24 ก.ย. 2567
TAG ม้ง การท่องเที่ยว การอยู่รอด ดอยปุย เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง