|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,จริยธรรมขงจื๊อ,ประวัติศาสตร์,การเปลี่ยนแปลงทางศีลธรรม,เชียงใหม่ |
Author |
Nicholas Tapp |
Title |
Hmong Confucian Ethics and Constructions of the Past |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
16 |
Year |
2545 |
Source |
Shigeharu Tanaba & Charles F. Keyes (ed) Cultural Crisis and Social Memory: Modernity and Identity in Thailand and Laos. U of Hawaii Press: Honolulu, pp. 95-110. |
Abstract |
งานชิ้นนี้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงจริยธรรมทางสังคมของม้งซึ่งสัมพัทธ์และผันแปรไปตามบริบทที่ซับซ้อน โดยเฉพาะบริบทการขยายตัวของเมืองและบริบทของท้องถิ่นยุคโลกาภิวัตน์ โดยชี้ให้เห็นว่าคุณค่าและหลักการทางศีลธรรมของม้งเป็นผลิตผลของสังคมและสัมพันธ์กับโครงสร้างสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่ธรรมชาติหรือหลักการที่มีอยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นสำนึกรู้ที่สร้างใหม่ทางประวัติศาสตร์ได้ ไม่ใช่พฤติกรรมความเคยชินที่ปฏิบัติกันมาอย่างไม่สำนึกอัตลักษณ์วัฒนธรรมม้งยืนยันคุณค่าทางศีลธรรมประเพณีที่ดำรงอยู่และปรับเปลี่ยนอย่างสัมพันธ์กับโครงสร้างทางสังคม (หน้า 108) |
|
Focus |
เน้นศึกษาการเปลี่ยนแปลงจริยธรรมทางสังคมของม้งซึ่งสัมพัทธ์และผันแปรไปตามบริบทที่ซับซ้อน โดยเฉพาะบริบทการขยายตัวของเมืองและบริบทของท้องถิ่นยุคโลกาภิวัตน์ |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนงานนี้ต้องการแสดงให้เห็นหลักฐานที่โต้แย้งแนวคิดของ Connerton ที่เสนอว่าความทรงจำทางสังคม (social memory) แยกออกจากกระบวนการสร้างใหม่ทางประวัติศาสตร์ (historical reconstruction) ในแง่ที่ว่าเป็นการเลือกสรรประวัติศาสตร์ นักวิชาการบางท่าน เช่น Fentress และ Wickham ได้ชี้ให้เห็นว่า ไม่ใช่แค่นักประวัติศาสตร์เท่านั้นที่รื้อฟื้นประวัติศาสตร์ได้ คนในสังคมทั้งหมดสามารถสร้างอดีตขึ้นใหม่ได้ และอันที่จริง ประวัติศาสตร์คือกระบวนการลืมอย่างเป็นระเบียบ (หน้า 95-96) ผู้เขียนพยายามชี้ให้เห็นว่า คำถามสำคัญน่าจะเป็นว่าอดีตถูกทำให้ลืมอย่างไร กระบวนการที่ทำให้ลืมจนไม่รู้สึกตัวนี้เองที่มีความสำคัญ ตามแนวคิดของ Halbswachs ความทรงจำส่วนตัวและความทรงจำทางสังคมจะเชื่อมต่อกัน ดังนั้น ประเพณีทางสังคมและคุณธรรมศีลธรรมเองก็นับเป็นการลืมแบบมีระเบียบชนิดหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนมองว่า ความทรงจำทางสังคมอาจจะไปปรากฏในตำนาน นิทาน สำนวนภาษา และการแสดงออกอื่นในภาษาพูดหรืองานเขียนมากพอๆ กับที่ปรากฏในพิธีกรรมและการตกแต่งร่างกาย ดังที่ Connerton ได้เสนอไว้ (หน้า 96-97) ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงจากระบบศีลธรรมเชิงนิสัยที่เรียนรู้อย่างไม่รู้สึกตัว (habitual morality) ไปสู่ระบบศีลธรรมที่ผ่านกระบวนการคิด ดังเช่นกรณีของม้งที่ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่ ภายใต้บริบทของการเคลื่อนย้ายสู่เมืองและเปลี่ยนจากลักษณะท้องถิ่นไปสู่โลกาภิวัตน์ ซึ่งมีนัยยะของกระบวนการทำให้ระบบศีลธรรมเป็นสากลมากขึ้น เกิดการเปลี่ยนรูปของทัศนคติในหมู่อดีตที่สวยงามน่าโหยหา (หน้า 97) ความทรงจำทางสังคมจึงไม่ได้แสดงออกเพียงปฏิบัติการทางกายภาพและไม่ได้เป็นการช่วงชิงเรื่องราวในวรรณกรรมของผู้แข็งแรงกว่า แต่เรื่องราวเหล่านั้นประดิษฐ์อดีตใหม่ในวิถีทางซึ่งเหมาะสมกับภาวะปัจจุบันและอนาคต ดังนั้น มันจึงเป็นการสร้างใหม่ทางประวัติศาสตร์ และความทรงจำทางสังคมจึงเป็นเหมือนการจัดระบบการลืมของอดีตด้วย (หน้า 96-97) สำหรับแนวคิดเรื่องศีลธรรมของผู้เขียน ศีลธรรมไม่ใช่เพียงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่มีมาอยู่แล้ว หรือเป็นศีลธรรมสมบูรณ์ที่สามารถตัดสินว่าอะไรถูกผิด อะไรดีเลวได้อย่างชัดเจน (หน้า 99) แต่สัมพัทธ์และผันแปรไปตามบริบทที่ซับซ้อน ดังจะเห็นได้ว่ามาตรฐานทางจริยธรรมของม้งสัมพัทธ์กับโครงสร้างสังคม และผันแปรอย่างสอดคล้องกับระยะห่างทางสังคมตามจารีตประเพณีด้วย (หน้า 97) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้ง (Hmong) ในเมืองเชียงใหม่ และในสามหมู่บ้าน นอกเมืองเชียงใหม่ ในประเทศไทย (หน้า 108) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุว่าทำการศึกษาช่วงปีใด แต่ระบุว่า มีการให้ข้อมูลปี ค.ศ.1994 (หน้า 98) และงานเขียนชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเกี่ยวกับการสำรวจความเปลี่ยนแปลงของจริยธรรมทางสังคม สนับสนุนโดย National Museum of Ethnology in Osaka รายงานศึกษาเบื้องต้นถูกนำเสนอในที่ประชุมไทศึกษานานาชาติครั้งที่ 6 เชียงใหม่, 14-17 ตุลาคม 1996 (หน้า 108) |
|
History of the Group and Community |
|
Economy |
ลักษณะพื้นฐานของระบบศีลธรรมม้ง ตรงข้ามกับวิถีชีวิตแบบการเพาะปลูกในอดีต ความสำเร็จของพ่อค้าม้งบางคน เชื่อมโยงกับการโกงและการหลอกลวง เพื่อผลกำไรที่มากขึ้นผ่านการค้า ซึ่งขัดแย้งกับความงดงามของศีลธรรมแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยที่ปฏิบัติกันในสังคมดั้งเดิม (หน้า 102,105) พวกเขาแสวงหาผลประโยชน์จากคนภายนอก ตลอดจนม้งด้วยกันเอง ดังนั้น จึงตระหนักถึงความต้องการการศึกษามากกว่าการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมประเพณี (หน้า 103) การขยายตัวของการค้าและการเลิกทำการเพาะปลูก สะท้อนให้เห็นความแตกสลายของประเพณีและลัทธิขงจื๊อ ซึ่งเป็นศีลธรรมที่เชื่อมโยงกับความคิดเรื่องการมีใจบริสุทธิ์และความมั่งคั่งทางจริยธรรม คุณค่า ความเที่ยงธรรม ความซื่อสัตย์ ซึ่งไม่ใช่เพียงเกิดขึ้นกับชีวิตในเมือง แต่ยังส่งผลต่อชีวิตในชนบทสมัยใหม่ด้วย (หน้า 104) ความคิดที่ว่าด้วยการแสวงหาผลกำไร ทำให้เกิดการนินทา ใส่ร้ายป้ายสี การโอ้อวด โกหกหลอกลวง และนำมาสู่ความไม่เท่าเทียมทางสังคมที่ขยายลึกขึ้นจากการรุกของเศรษฐกิจแบบตลาด (หน้า 106-107) |
|
Social Organization |
ศีลธรรมของม้งเป็นจริยธรรมที่ยึดโยงสังคมไว้และเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตอย่างแนบแน่น ม้งจัดองค์กรผ่านโครงสร้างทางสายตระกูลของบิดา จริยธรรมของชนเผ่าสัมพันธ์กับความสัมพันธ์ทางสังคมและพฤติกรรม ความคิดในลัทธิขงจื๊อปรากฏในพิธีการและพฤติกรรมทางสังคม ความคิดเรื่องความกตัญญูและ "ผู้มั่งคั่ง" เป็นหลักการที่นำทางไปสู่การจัดองค์กรรวมศูนย์ พิธีกรรมยังเชื่อมโยงอย่างสลับซับซ้อนกับความคิดว่าด้วยความมั่งคั่งทางศีลธรรม ผู้นำ และการบูชาบรรพบุรุษ (หน้า 100) ยาเสพติดเป็นสิ่งที่คุกคามการอยู่รอดของสังคมวัฒนธรรมม้ง อัตราการเสพเฮโรอีนของม้งทั้งในหมู่บ้านและในเมืองมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเสพยาเสพติดไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของปัจเจก ครอบครัวของผู้เสพจะได้รับการดูถูกเหยียดหยามในหมู่บ้าน นั่นคือพฤติกรรมทางศีลธรรมของปัจเจกไม่ใช่เป็นเรื่องของปัจเจก แต่เป็นผลสะท้อนถึงกลุ่มทางสังคมที่กว้างกว่า โดยเฉพาะครอบครัวและวงศ์ตระกูล (หน้า 103) มาตรฐานทางจริยธรรมของม้งสัมพันธ์กับโครงสร้างสังคมและผันแปรตามระยะห่างทางสังคม ตัวอย่างเช่น การฆ่าคนในสายเลือดถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง ความรุนแรงของการลงโทษผันแปรไปตามความใกล้ชิดทางสังคม (หน้า 97) ด้านบทบาทหญิงชาย ในสังคมม้ง ผู้หญิงถูกกีดกันด้านการศึกษา ด้านกฎหมาย (หน้า 105) ตลอดจนการยอมรับของสังคม เช่น การเป็นชู้ของหญิงที่แต่งงานแล้วไม่ได้รับการยอมรับ ขณะที่ผู้ชายสามารถมีภรรยาคนที่สองได้ (หน้า 97) การเป็นโสเภณีถูกต่อต้านอย่างหนักในสังคมม้ง (หน้า 105) ปัจจุบัน บทบาทของผู้หญิงม้งเริ่มเปลี่ยนไป ผู้หญิงม้งในเมืองได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น มีความพยายามก่อตั้งสมาคมผู้หญิงม้งในเชียงใหม่ ความสัมพันธ์ทางเพศของคนหนุ่มสาวในเมืองมีอิสระมากกว่าในหมู่บ้าน ซึ่งไม่ต้องถูกควบคุมจากพ่อแม่ อันเป็นที่มาของการสร้างครอบครัวในเมืองมากขึ้น (หน้า 105) |
|
Political Organization |
ผู้นำ: ความคิดเกี่ยวกับ "ผู้มั่งคั่ง" (man of worth) ในสังคมม้ง สอดคล้องกับความคิดเรื่อง "ผู้นำ" ของไทย โดยไม่สัมพันธ์กับการมีวัฒนธรรมหรือการศึกษา แต่เป็นผู้อาวุโสในหมู่บ้านที่เป็นที่นับถือ ซึ่งรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นๆ นอกจากครอบครัวของตน การได้มาซึ่งตำแหน่งแห่งที่ของความเคารพและเชื่อถือในชุมชน ต้องผ่านการทำงานอย่างหนัก และการพิจารณาเรื่องราวต่าง ๆ อย่างรอบคอบไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (หน้า 100) ความขัดแย้ง: ความขัดแย้งที่ปรากฏในสังคมม้งปัจจุบันเป็นสิ่งที่คาดคิดไม่ถึงในอดีต กรณีพี่ชายฆ่าน้องชาย การฟ้องร้องเรื่องมรดกที่ดิน เมื่อที่ดินได้รับการสืบมรดก ม้งผู้มั่งคั่งคนหนึ่งปฏิเสธที่จะช่วยเหลือน้องชายของตนยามขัดสน (หน้า 101) |
|
Belief System |
ความเชื่อในลัทธิคำสอนของขงจื๊อ (Confucianism) เป็นสิ่งที่ร้อยรัดความเป็นม้ง ยึดโยงสังคมและเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของม้งอย่างแนบแน่น ความคิดในลัทธิขงจื๊อปรากฏในพิธีการและพฤติกรรมทางสังคมมากมาย ความเชื่อที่สำคัญได้แก่ ความเชื่อเรื่องสวรรค์ สวรรค์และโลกเปรียบเหมือนการกลับสู่ความเก่าแก่ และมีอิทธิพลสูงในการควบคุมดูแลม้ง (หน้า 98) ความศรัทธาและกตัญญูต่อพ่อแม่ (fillial piety) เป็นรูปการที่สำคัญยิ่งของศีลธรรมที่ทำให้ม้งสามารถดำรงชีวิตใหม่ในเมืองและโพ้นทะเลได้ (หน้า 99) มีพิธีกรรมบวงสรวงต่อบรรพบุรุษ โดยเชื่อว่าคนที่นับถือและรักพ่อแม่ปู่ย่าตายาย คนนั้นจะได้รับการปกป้องคุ้มครอง (หน้า 99) ความคิดเกี่ยวกับ "ผู้มั่งคั่ง" (man of worth) ในสังคมม้งเกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งทางศีลธรรมซึ่งต้องสั่งสมจนผู้คนยอมรับนับถือมากกว่าการมีสถานะทางเศรษฐกิจสูง (หน้า 100) ความคิดเรื่องชื่อเสียงและคุณค่า การไม่พูดจาโอ้อวดลำพองใจ และไม่โกหก ปรากฏในคำสั่งสอนของพ่อแม่ (หน้า 106) ความเชื่อเหล่านี้ล้วนชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของลัทธิขงจื๊อที่มีอิทธิพลต่อคุณค่าทางศีลธรรมของม้ง |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
เรื่องเล่าในลัทธิขงจื๊อของม้งเกี่ยวกับศรัทธาและความกตัญญูของบุตรต่อพ่อแม่มีอยู่ว่า ครั้งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งทำการเพาะปลูกบนที่ดินใกล้กับที่ดินของ Khoo Meej และพืช Khoo Meej มาเจริญเติบโตในทุ่งของเขา หลังจากที่เขาเก็บเกี่ยวมันแล้ว จึงนำส่วนหนึ่งไปมอบให้ Khoo Meej เพื่อเป็นของขวัญขอบคุณต่อสิ่งที่มอบให้ แต่ Khoo Meej ปฏิเสธของขวัญ โดยกล่าวว่า พ่อแม่ของชายคนนั้นต่างหากที่ช่วยเหลือเขาในฐานะที่เป็นลูกและสอนเขาทุกสิ่งให้เขารู้ รวมทั้งวิธีเพาะปลูกด้วย (หน้า 99) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จริยธรรมขงจื๊อ แทรกซึมอยู่ในอัตลักษณ์ของม้ง ร้อยรัดความเป็นม้งไว้ด้วยกัน ตลอดจนมีอิทธิพลต่อประเพณีพิธีกรรมและชีวิตประจำวันของม้งอย่างสำคัญ (หน้า 98-100) ความซับซ้อนของอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ปรากฏชัดในบริบทโลกาภิวัตน์ ดังกรณีม้งโพ้นทะเล (หน้า 101) หรือกรณีหนุ่มสาวม้งในเมืองเชียงใหม่ที่อับอายความเป็นม้ง (หน้า 103) เป็นต้น ขณะเดียวกันคุณค่าทางศีลธรรมที่ร้อยรัดความเป็นม้งเริ่มแตกสลายไปตามสภาพการณ์ของสังคมปัจจุบัน (หน้า 100-101) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ภายใต้ผลกระทบจากการขยายตัวของเมือง ขอบเขตทางประเพณีของจักรวาลทางศีลธรรมของม้ง ซึ่งเป็นขอบเขตระหว่างตัวตน ชุมชน และโลก แตกออกจนพร่าเบลอ ศีลธรรมของม้งล่มสลายลงอย่างกว้างขวาง ผู้เขียนยกตัวอย่าง ขอทานที่ดอยปุยทางตะวันตกของเชียงใหม่เป็นตัวอย่างของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และการเพิ่มขึ้นของขโมยในหมู่บ้าน (หน้ 100) ความล่มสลายของระเบียบสังคมแบบจารีตปรากฏในพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นความสุภาพ การต้อนรับแขกผู้มาเยือน ดังคำกล่าวที่ว่า ม้งต้อนรับทักทายคนอื่นที่พบเสมอในฐานะเพื่อน อันเป็นเอกลักษณ์ของม้งในอดีต ซึ่งปัจจุบันไม่ปรากฏแล้ว ตลอดจนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงมรดกที่ดิน พี่น้องทำร้ายกัน ล้วนเป็นสิ่งที่คาดคิดไม่ถึงในอดีต (หน้า 101) ยิ่งไปกว่านั้น ความเปลี่ยนแปลงในอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ปรากฏชัดในการกลับบ้านของม้งอพยพโพ้นทะเลในงานปีใหม่ม้ง ม้งโพ้นทะเลถูกมองว่า "ไม่ใช่ม้ง" ความรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เมื่อพวกเขาไม่ทำในสิ่งที่วัฒนธรรมประเพณีคาดหวังขอบเขตความสัมพันธ์ทางเครือญาติและประเพณีอันเป็นโครงสร้างทางศีลธรรมที่แตกสลายนี้ ได้สร้างความรู้สึกเกี่ยวกับศีลธรรมสากลปรากฏขึ้น (หน้า 101) ขณะเดียวกัน ความรู้สึกที่ว่าชุมชนม้งปัจจุบันกว้างกว่าในอดีตมาก โลกาภิวัตน์ส่งผลให้ชุมชนม้งไม่เพียงมีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านแต่ยังอยู่ในประเทศโพ้นทะเลด้วย ในอเมริกา ฝรั่งเศส แคนาดา และออสเตรเลีย หนุ่มสาวม้งในเมืองเชียงใหม่รู้สึกมีส่วนร่วมกับหนุ่มสาวไทยหรือจีนที่นั่นมากกว่าผู้อาวุโสในหมู่บ้านของตน (หน้า 102) หนุ่มสาวม้งในเมืองอับอายที่เป็นม้ง เพราะรู้สึกว่าม้งล้าหลัง พวกเขาจึงสวมใส่เสื้อผ้าแบบคนเมืองและพยายามพูดภาษาไทย เพื่อให้ได้รับการยอมรับ (หน้า 103) ดังนั้น ความรู้สึกที่ว่าม้งเหล่านี้เป็นเหมือนชาวต่างชาติ หรือความรู้สึกถึงคุณค่าความเป็นชาติพันธุ์ม้งลดน้อยลง มีการทำให้เป็นสากลมากขึ้น ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้ระยะห่างทางสังคมกว้างขึ้น (หน้า 102) อย่างไรก็ตาม ในด้านกลับกัน ศีลธรรมจารีตประเพณีกลายเป็นสาระที่สะท้อนการรับรู้มากกว่าการนำมาใช้ด้วยความเคยชิน นำมาสู่สำนึกและความตระหนักถึงการอบรมสั่งสอนคุณค่าทางศีลธรรมแก่คนรุ่นเยาว์ ผู้เขียนยกตัวอย่าง นักธุรกิจม้งที่พาลูกกลับไปหมู่บ้านทุกปี เพื่อไม่ให้ลืมชีวิตในหมู่บ้าน เราจะเห็นรูปการที่สำคัญของวัฒนธรรมม้งของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สูญเสียความเป็นม้ง แต่สร้างตำแหน่งแห่งที่ของตนในหมู่บ้าน ตัวอย่างเช่น ลัทธิ shamanism บทเพลงแห่งความตาย, พิธีแต่งงาน, บทเพลงเกี้ยวพาราสี หรือการปฏิบัติต่อแขกผู้มาเยือน ล้วนเป็นทักษะพิเศษของม้งที่สะท้อนถึงคุณค่าลัทธิขงจื๊อและคุณลักษณะของผู้มั่งคั่งได้เป็นอย่างดี (หน้า 104) |
|
Map/Illustration |
ภาพประกอบ: The moral universe (หน้า 98) |
|
|