|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไท,วิถีชีวิต,อัตลักษณ์,สกลนคร |
Author |
สพสันติ์ เพชรคำ |
Title |
กลุ่มชาติพันธุ์ภูไท อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
22 |
Year |
2544 |
Source |
การประชุมสัมมนาทางวิชาการโครงการเมธีวิจัยอาวุโส สกว. รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม เรื่อง สำนึกทางชาติพันธุ์ (Ethnicity). |
Abstract |
"ภูไท" เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพมาจากสิบสองจุไท ดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง มายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ นครพนม มุกดาหาร และสกลนคร ส่วนคนภูไทที่ได้ทำการศึกษาในครั้งนี้ เป็นคนภูไท "กะป๋อง" ที่อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ที่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ของตนเองได้อย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี ความสัมพันธ์ทางเครือญาติที่นิยมแต่งงานกันภายในกลุ่ม ความกตัญญู ความเคารพในผู้อาวุโส และบรรพบุรุษอย่างสูง ประวัติความเป็นมาในการตั้งถิ่นฐาน และตอกย้ำด้วยความเชื่อในผีบรรพบุรุษ รวมทั้งการจัดงาน "ภูไทรำลึก" ก่อให้เกิดสำนึกของความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน เกิดระบบและโครงสร้างของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้มแข็ง อันเป็นเหตุให้ยังคงรักษาอัตลักษณ์ของคนภูไท "กะป๋อง" วาริชภูมิได้เป็นอย่างดี (หน้า 7, 24-25) |
|
Focus |
วิถีชีวิตในด้านต่าง ๆ และการดำรงอัตลักษณ์ของคนภูไท "กะป๋อง" (หน้า 21) |
|
Theoretical Issues |
ไม่มีข้อเสนอทางทฤษฎีที่ชัดเจน เพราะเป็นงานชาติพันธุ์วรรณนา ได้นำเสนองานเกี่ยวกับวิถีชีวิตของภูไทกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า ภูไท "กระป๋อง" ในด้านต่าง ๆ เช่น ประวัติความเป็นมา สภาพเศรษฐกิจ การเมือง โครงสร้างทางสังคม ศาสนา ความเชื่อ ประเพณี อัตลักษณ์และความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 8,12,13 ,21) ในการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษามีประเด็นคำถามอยู่สองประการ คือ ระบบความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ (Ethnicity) ของกลุ่มภูไท "กะป๋อง" ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีความสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นอย่างไร ประการที่สอง ผู้ศึกษาอยากทราบว่า กลุ่มภูไท "กะป๋อง" มีการกำหนดและรวมกลุ่มทางชาติพันธุ์เพื่อแสดง "อัตลักษณ์" (Identity) ของเผ่าพันธุ์ตนไว้อย่างไร (หน้า 7) ดูหัวข้อ "ethnicity" ประกอบ |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ "ภูไท" ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คนภูไทส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดสกลนคร ในจังหวัดสกลนครมีกลุ่มชาติพันธุ์ภูไทกลุ่มใหญ่อาศัยอยู่ใน 2 อำเภอ คือ อำเภอวาริชภูมิและอำเภอพรรณานิคม ผู้ศึกษาเลือกศึกษาคนภูไทที่อำเภอวาริชภูมิ ซึ่งเรียกตนเองว่า "ภูไทกะป๋อง" เพราะอพยพมาจาก "เมืองกะป๋อง" ส่วนคนภูไทที่อำเภอพรรณานิคม เรียกตนเองว่า "ภูไทวัง เพราะอพยพมาจาก "เมืองวัง" ในดินแดนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (หน้า 7) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
พูด "ภาษาภูไท" ลักษณะเด่นของภาษาภูไท คือ ไม่มีการใช้สระ เ -ื อ , เ -ี ย และสระ -ั ว ส่วนพยัญชนะที่ไม่ใช้ ได้แก่ ร และพยัญชนะบางคำต้องทำเสียงขึ้นจมูก ได้แก่ ญ , ย เป็นต้น คนภูไท "กะป๋อง" จะให้ความสำคัญแก่ภาษามาก เมื่อคนภูไทพบกันจะไม่ใช้ภาษาอื่น และปลูกฝังให้ลูกหลานใช้ภาษาภูไท จนสามารถสืบทอด "ภาษาภูไท" มาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 21) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
คนภูไทอำเภอวาริชภูมิยืนยันว่า พวกตนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ "ภูไทกะป๋อง" คำว่า "กะป๋อง" ของภาษาภูไทหมายถึง "สมอง" หรือ "ฉลาดมีสติปัญญา" ถิ่นฐานเดิมของคน "ภูไทกะป๋อง" สันนิษฐานว่ามาจาก "เมืองแถง" หรือ "เมืองน้ำน้อยอ้อยหนู" ในเขตสิบสองจุไทยเช่นเดียวกับกลุ่มภูไทอื่น ๆ โดยมีต้นตระกูลร่วมกัน คือ "ขุนเพายาว" ต่อมาสันนิษฐานว่า "เจ้าหาญ" บุตรชายของขุนเพายาวคงขัดเคืองกับบิดา จึงของแยกไปตั้งเมืองใหม่ที่เมือง "กะป๋อง" เจ้าหาญมีบุตรชาย 2 คน คือ "ท้าวคำผง" และ "ท้าวคำเขื่อน (พระยาเขื่อนขันธ์) เมื่อครั้งไทยทำสงครามกับเวียงจันทน์ คนภูไทกะป๋องต้องอพยพหนีภัยสงคราม ระหว่างนั้น "พระยาเขื่อนขันธ์" ได้ถึงแก่กรรม "ท้าวราชนิกูล" ผู้เป็นบุตรจึงพาครอบครัวและบ่าวไพร่อพยพข้ามแม่น้ำโขงขึ้นฝั่งไทยที่เมืองนครพนมเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2387 ผู้คนที่อพยพมาในครั้งนั้นประมาณ 400 ครัวเรือนอพยพมุ่งหน้ามาจนถึงเมืองสกลนคร มาหยุดพักบริเวณ หนองสองห้อง จวนข้าหลวงหลังเก่า และบริเวณวัดสะพานคำ (หนองสองห้องในปัจจุบัน คือ สถานีประมงน้ำจืด จังหวัดสกลนคร ส่วนจวนข้าหลวงเก่าอยู่ทางทิศตะวันตกของสนามมิ่งเมือง) ท้าวราชนิกูลเห็นว่า หากคนภูไทอาศัยอยู่ในเมืองสกลนครจะทำให้เมืองแออัดและขัดสนที่ทำกิน เพราะมีคนเมืองสกลนครอาศัยอยู่ก่อนแล้ว และคนภูไทบางส่วนคงได้รับการบีบคั้นทางจิตใจจากผู้ที่อาศัยอยู่เดิมจึงนัดหมายกันอพยพออกจากเมืองสกลนครมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก จนไปถึงเมืองพรรณานิคม ด้วยความเคยชินของคนภูไทที่เคยอาศัยอยู่บนภูเขาจึงเดินทางมุ่งหน้าสู่เทือกเขาภูพาน พบที่เหมาะสมมีลำน้ำไหลผ่าน จึงหยุดและตั้งบ้านขึ้นชื่อว่า " บ้านพุ่ม" ปัจจุบันเรียก "บ้านพุ่มหนองปิง" และ "ห้วยบ้านพุ่ม" ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอนิคมน้ำอูน ต่อมาท้าวราชนิกูลและคนภูไทบ้านพุ่ม ได้หาทำเลที่เหมาะแก่การทำกิน ได้รับคำแนะนำให้เดินทางต่อไปทางทิศตะวันออกจึงพบที่ราบลุ่มอยู่ทางทิศเหนือของห้วยปลาหาง เหมาะสมกับการตั้งถิ่นฐานและอุอุดมสมบูรณ์ไปด้วยกุ้งหอยปูปลา คนภูไทจึงตั้งบ้านเมืองขึ้น ณ ที่แห่งนี้ และเรียกชื่อว่า "บ้านหนองหอย" เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2390 และตั้งถิ่นฐานมั่นคงมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 10) ประมาณปี พ.ศ. 2440 ได้เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นบริเวณชุมชนคนภูไท ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนภูไทกะป๋องต้องขยายชุมชนออกไปตั้งครัวเรือนใหม่ในบริเวณบ้านธาตุ บ้านกุดพร้าว บ้านดงเชียงเครือ บ้านโนนอุดมและบ้านไฮ่ (หน้า 11) |
|
Settlement Pattern |
ชุมชนส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานหนาแน่นอยู่ตามริมเส้นทางของห้วยปลาหาง ต่อมาจึงขยายตัวไปตามเส้นทางคมนาคมภายในตัวอำเภอ ถนนสายสำคัญของชุมชนมีเพียง 2-3 สาย คือ ถนนศรีทัณฑกิจ ถนนผดุงวารีย์และถนนสุรินทร์บำรุง บริเวณสี่แยกของถนนจึงกลายเป็นศูนย์กลางของตัวอำเภอ ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าปู่มเหสักข์ ศูนย์ราชการ ตลาดสด ร้านค้าพาณิชย์และธนาคาร บ้านเรือนตั้งเรียงรายอยู่ติดถนนจนยากที่จะขยาย บ้านเรือนส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเรือนสองชั้นทรงเล้า ชั้นล่างมักก่อด้วยอิฐแล้วฉาบปูนส่วนชั้นบนสร้างด้วยไม้ ส่วนบริเวณรอบนอกตัวอำเภอเป็นพื้นที่ทำนาและทำไร่ (หน้า 8) |
|
Economy |
คนภูไทวาริชภูมิมีวิถีการดำรงชีวิตหาอยู่หากินอย่างเรียบง่าย มีอาชีพทำไร่เลื่อนลอย และเก็บของป่าในเขตเทือกเขาภูพาน ของป่าที่เก็บหา ได้แก่ หน่อไม้ ผักหวาน เห็ด ไข่มดแดง และหวาย ต่อมาภายหลังเมื่อมีพ่อค้าคนจีนเข้ามารับซื้อของป่า คนภูไทจึงออกหายางบง (ใช้ทำธูป) และขี้สูด (ชัน) เพื่อขาย คนภูไทวาริชภูมิ ทำมาหากินโดยอาศัยธรรมชาติเป็นหลัก เริ่มมีการค้าโดยกลุ่ม "นายฮ้อย" ซึ่งรับซื้อของป่าและวัวควาย ไปขายถึงจังหวัดนครราชสีมา พอขากลับก็ซื้อสินค้าเบ็ดเตล็ดกลับมาขาย ได้แก่ ไม้ขีด เทียน ยารักษาโรค อ้อย น้ำตาล โสร่ง และผ้าซิ่น ในปี พ.ศ.2480 มีร้านขายของเบ็ดเตล็ดอยู่ 2 ร้าน ซึ่งขายยา สินค้าเบ็ดเตล็ด และของกินของใช้ โดยรับมาจากพ่อค้าคนจีนจากจังหวัดอุดรธานี และเมื่อปี พ.ศ. 2503 จึงมีรถยนต์โดยสารรับส่งผู้คนจากอำเภอวาริชภูมิกับจังหวัดสกลนครเป็นครั้งแรก (หน้า 11-12) |
|
Social Organization |
การจัดระเบียบความสัมพันธ์ทางสังคมในส่วนที่เล็กที่สุด ได้แก่ ครอบครัว ครอบครัวของคนภูไทเป็นครอบครัวขยายมีพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย รวมทั้งลูกเขยลูกสะใภ้และลูกหลานอาศัยอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน นับถือญาติทางฝ่ายชายมากกว่าฝ่ายหญิง เห็นได้จากเมื่อแต่งงานฝ่ายผู้หญิงต้องไปอยู่กับสามี ยกเว้นหากฝ่ายผู้หญิงเป็นลูกสาวคนเดียว ฝ่ายชายจำเป็นต้องไปอยู่บ้านพ่อตาแม่ยายเรียกว่า "เขยซู" (เขยสู่) และเป็นผู้ได้รับมรดกของพ่อตาแม่ยายในภายหลัง คนภูไทมีความกตัญญูและให้ความเคารพต่อบรรพบุรุษสูง เพราะมีความผูกพันกันทางเครือญาติอย่างสูง นิยมให้ลูกหลานแต่งงานในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันมากกว่าแต่งข้ามกลุ่ม ทำให้คนในชุมชนเป็นญาติสนิทและใกล้ชิดกัน (หน้า 12) พิธีแต่งงานจะจัดขึ้นที่บ้านฝ่ายหญิง โดยญาติพี่น้องของคู่สมรสจะไปรวมกันจัดเตรียมอาหารและช่วยกันทำ "พานบายศรี" ทำด้ายฝ้ายผูกแขน ทำเทียนขอขมาให้เพียงพอกับจำนวนของญาติผู้ใหญ่ เมื่อถึงวันงานฝ่ายเจ้าบ่าวจะยกขันหมากมายังบ้านเจ้าสาว และขึ้นเรือนเพื่อทำพิธีบายศรีสู่ขวัญโดยมีล่ามเป็นผู้ทำพิธี (หน้า 15-16) ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษยังมีบทบาทสูงในการควบคุมสังคมของคนภูไท โดยพ่อแม่จะอบรมสั่งสอนลูกหลานให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ไม่ให้เกิดการผิดผีบรรพบุรุษ รวมทั้งมีข้อห้าม หรือ "ขะลำ" ให้ถือปฏิบัติสืบทอดกันมา (หน้า 14) |
|
Political Organization |
ผู้ชายภูไทมีบทบาทสูงในการเป็นผู้นำทั้งในครอบครัวและในชุมชน แม้ว่าการตัดสินใจภายในครอบครัวส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายหญิง แต่ต้องปรึกษาหารือกันก่อน ฝ่ายหญิงจะทำก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากฝ่ายชาย สำหรับในเครือญาติ คนภูไทจะให้ความสำคัญแก่คนเฒ่าคนแก่หรือผู้อาวุโสของตระกูล ในแต่ละตระกูลจะมี "เจ้าโคตร" ทำหน้าที่คอยประสานดูแลลูกหลานและไกล่เกลี่ยปัญหาความขัดแย้ง หากเกิดกรณีขัดแย้งระหว่างคุ้มหรือระหว่างบ้าน จะมีตัวแทนของผู้ใหญ่แต่ละฝ่ายมาพูดคุยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและเมื่อผู้อาวุโสเหล่านั้นตกลงกันแล้วชาวบ้านจะถือปฏิบัติตาม (หน้า 12) |
|
Belief System |
คนภูไทวาริชภูมิ มีความเชื่อใน "ผีบรรพบุรุษ" หรือ "ผีด้าม" ซึ่งหมายถึง ผีบิดามารดาหรือผีปู่ย่าตายายที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นความเชื่อที่ฝังลึกในจิตใจของคนภูไททุกคน คนภูไททุกครัวเรือนจะใช้มุมหัวนอนมุมใดมุมหนึ่งเป็นที่อยู่ของผีบรรพบุรุษ ทำเป็นหิ้งไว้บูชา บางครั้งจึงเรียกว่า "ผีแจ" ที่คอยปกป้องคุ้มครองดูแลอยู่ตลอดเวลา (หน้า 13-14) นอกจากผีบรรพบุรุษแล้ว คนภูไทยังนับถือ "ผีตาแฮก" หรือ "ผีตาแฮะ" ซึ่งเป็นความเชื่อเกี่ยวกับปราสาทเสาเดียวในลัทธิพราหมณ์ จนกลายเป็นศาลพระภูมิเจ้าที่ในปัจจุบัน ในอดีตชาวบ้านมักสร้างบ้านหรือศาลาเสาเดียวขนาดเล็กตั้งไว้ในนา เพื่อเป็นที่อยู่ของผีตาแฮะ ก่อนที่จะทำนาทุกครั้งจะมีพิธีเลี้ยงเซ่นสังเวยบวงสรวง เพื่อบอกกล่าวให้ผีตาแฮะคุ้มครองดูแลข้าวกล้า และให้การทำนาได้ผลดี และเมื่อจะนำข้าวขึ้นเล้าก็ต้องทำพิธีเซ่นสังเวยผีอีกครั้ง การนับถือผีอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ "ผีปู่ตา" ซึ่งเป็นที่นับถือของคนทั้งหมู่บ้าน "ผีปู่ตา" ได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น เรียกว่า "มเหศักดิ์" หมายถึง ผีที่เคยเป็นเจ้าเมืองหรือผีปู่ย่าตายาย และได้ปลูกศาลขึ้นใกล้หมู่บ้าน เรียกว่า "หอปู่ตา" หรือ "หอมเหศักดิ์" มีการทำพิธีเลี้ยงผีในทุกปี โดยมี "เจ้าจ้ำ" ผู้รักษาหอปู่ตาและเป็นผู้นำทางพิธีกรรม ทั้งนี้เพื่อขอบุญขอคุณ "ผีปู่ตา" ที่มาคุ้มครองปกป้องรักษาลูกหลานในหมู่บ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข คนภูไท "กะป๋อง" นับถือ "ผีปู่ตา" เป็นเทพยดาคู่บ้านคู่เมือง และพากันเรียกว่า "เจ้าปู่มเหสักข์" (มเหสักข์ ที่หมายถึง เทวดาผู้ใหญ่ - ผู้เขียน ) เป็นที่พึ่งพาทางใจ เมื่อมีทุกข์ร้อนหรือมีความประสงค์ใด ก็จะไป "บะบน" เมื่อได้สมตามต้องการก็มีการแก้บน คนภูไทวาริชภูมิมีงานเลี้ยง "ศาลเจ้าปู่มเหสักข์" ในวันที่ 6 เมษายนของทุกปี คนภูไทวาริชภูมิทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ มีการถือปฏิบัติตาม "ฮีตสิบสอง" (ประเพณีสิบสองเดือน) ได้สืบทอดตามประเพณีและลัทธิความเชื่อทางพุทธศาสนา ที่สังคมคนภูไทให้ความยอมรับนับถือมาช้านาน ประเพณี "ฮีตสิบสอง" ของคนภูไทโดยทั่วไปมีลักษณะเหมือนกับฮีตสิบสองของคนไทยในภาคอีสาน (หน้า 15) |
|
Education and Socialization |
คนภูไทวาริชภูมิมีค่านิยมให้ลูกหลานเรียนหนังสือสูงเพื่อจะได้เป็นเจ้าคนนายคนและเป็นข้าราชการ การศึกษาในสมัยก่อนอาศัยเรียนหนังสือตามวัด จนกระทั่ง พ.ศ.2471 จึงตั้ง "โรงเรียนประชาบาลวาริชภูมิ" ขึ้น โรงเรียนแห่งนี้เปิดรับนักเรียนทั่วไปจากชุมชนหมู่บ้านใกล้เคียงให้มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน ต่อมา พ.ศ.2490 จึงมีการแยกโรงเรียนประชาบาลไปตั้งตามหมู่บ้านมากขึ้น และในวาริชภูมิก็ได้ตั้ง "โรงเรียนวาริชภูมิพิทยาคาร" เป็นโรงเรียนประถมศึกษาประจำอำเภอ (หน้า 13) การอบรมสั่งสอนภายในครอบครัว พ่อแม่จะสอนให้ลูกนอนตื่นแต่เช้า ไม่ให้เป็นคนขี้เกียจ จึงทำให้คนภูไทเป็นคนขยัน ไม่ค่อยอยู่นิ่งเฉย หางานทำตลอดเวลา (หน้า 11) |
|
Health and Medicine |
ในอดีตเมื่อเจ็บป่วยต้องทำ "พิธีเหยา" โดยมี "หมอเหยา" เป็นผู้ประกอบพิธี เพราะเชื่อว่าสาเหตุที่เจ็บป่วยเพราะทำ "ผิดผี" จึงต้อง "แก้ผี" เพื่อให้หายเจ็บป่วย การเหยาเป็นพิธีกรรมที่ก่อให้เกิดขวัญและกำลังใจให้คนป่วย "สมุนไพร" เป็นสิ่งที่ชาวบ้านต้องพึ่งพามากที่สุดยามเจ็บป่วย โดยอาศัย "หมอฮากไม้" (หมอยารากไม้) ด้วยการนำสมุนไพรมาฝนกับหิน ละลายน้ำให้กับคนป่วยดื่มกิน และบางครั้งก็ทำเป็น "น้ำมนต์" เป่าให้ชาวบ้าน ปัจจุบันการแพทย์แผนปัจจุบันเข้ามามีบทบาท ชาวบ้านหาซื้อหาได้ตามร้านขายยาทั่วไป รวมทั้งมี "สุขศาลา" หรือ สถานีอนามัยที่ตั้งอยู่ไม่ไกลหมู่บ้าน ปัจจุบันวาริชภูมิมีโรงพยาบาล 1 แห่ง คือ โรงพยาบาลวาริชภูมิ และสถานีอนามัยอยู่ในหมู่บ้านอีกจำนวน 8 แห่ง (หน้า 13) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับท้าวราชนิกูลที่เป็นผู้นำคนภูไทมาตั้งถิ่นฐานยัง "บ้านหนองหอย" อำเภอวาริชภูมิปัจจุบัน ที่ได้กล่าวถึงมาแล้วในเรื่องของประวัติความเป็นมาของการตั้งชุมชน และมีตำนานเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของคนภูไท "กะป๋อง" ที่อธิบายถึงรูปพรรณลักษณะของกลุ่มชาติพันธุ์ เกี่ยวกับการกำเนิดเผ่าพันธุ์ของคนภูไทโดยมีเรื่องเล่าว่า เดิมเมืองแถงมีแต่ที่โล่งว่างเปล่า ไม่มีผู้คน ในครั้งนั้นมีเทพเทวดา 5 องค์ได้ปรึกษากันว่าควรพากันจุติลงไปเกิดในโลกมนุษย์ จึงพากันอธิษฐานอยู่ในผลน้ำเต้าลอยตกลงมาจากฟ้า ครั้นแตกออกมาก็เป็นมนุษย์รูปกายแปลก ๆ คือ ข่าออกมาก่อน ภูไทออกมาที่สอง ลาวพุงขาวออกมาที่สาม ฮ่อออกมาที่สี่ แกว (ญวน) ออกมาที่ห้า แล้วมีผู้หญิงออกมาด้วย 5 คน จากนั้นพากันไปอาบน้ำในหนองน้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่ข่าที่ออกมาก่อนกลัวหนาวจึงไม่ลงน้ำอาบ รูปกายจึงหมองคล้ำ ฝ่ายภูไท ลาว ฮ่อ และญวน ทั้งหญิงชายลงอาบน้ำทำให้ผิวพรรณสันฐานขาวผ่องใส จากนิทานดังกล่าวคนภูไทอธิบายว่า ทำให้ตนเองมีผิวพรรณขาวเนียนคล้ายคลึงกับคนญวนหรือคนจีน (หน้า 21) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การธำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของคนภูไท "กะป๋อง" ที่วาริชภูมิ มีระบบการกำหนดความแตกต่างและรวมกลุ่มกันเพื่อแสดง "อัตลักษณ์" เห็นได้จากการสร้างประวัติกลุ่มภูไท "กะป๋อง" ตำนานและเรื่องเล่าของกลุ่มที่แตกต่างจากกลุ่มอื่น รวมทั้งการสร้างระบบความสัมพันธ์และการสืบสกุลที่ไม่นิยมให้ลูกหลานคนภูไทแต่งงานข้ามชาติพันธุ์กับกลุ่มอื่น มีการปลูกฝังและสร้างความเข้มเข็งทางวัฒนธรรมภายในของตนโดยเฉพาะเรื่อง "ภาษาพูด" และประเพณีการ "สู่ขวัญ" ที่ยังเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของคนภูไท (หน้า 24) นอกจากนี้ความเชื่อในการบวงสรวง "ผีปู่ตา" หรือ "เจ้าปู่มเหศักดิ์" ในงาน "ภูไทรำลึก" ที่จัดขึ้นวันที่ 6 เมษายนของทุกปี เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงสำนึกในความเป็นภูไทวาริชภูมิ แม้แต่คนภูไทวาริชภูมิที่ไปทำงานยังถิ่นอื่นต้องกลับมาร่วมงานนี้ สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างคนภูไทกะป๋องวาริชภูมิกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่อาศัยอยู่ในวาริชภูมิที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้แก่ ไทลาว โย้ย ญ้อ ญวน และคนจีน ความสัมพันธ์กับ "ไทลาว" ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีจำนวนมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในอดีตคนไทลาวมัก "อพยพ" เคลื่อนย้ายเพื่อแสวงหาแหล่งทำมาหากินที่อุดมสมบูรณ์ ลักษณะของการอพยพย้ายถิ่นอยู่เสมอของกลุ่มไทลาว ทำให้ได้รับสมญานามว่า "ไทครัว" คนไทลาวที่วาริชภูมิส่วนใหญ่ย้ายมากจากจังหวัดอุบลราชธานี คนไทลาวจะเก็บของป่ามาขาย พวกเขาไม่นิยมค้าขายเพราะไม่มีทุน ได้แค่ไหนแค่นั้น และพูดถึงคนวาริชภูมิว่าเป็นคนมีเงิน ขยันและขี้เหนียวมาก หาไม่รู้จักพอ มีที่ดินมาก ความสัมพันธ์กับ "ไทญ้อ" ซึ่งมีความสัมพันธ์ในด้านความขัดแย้งกันมาตั้งแต่สมัย "ท้าวราชนิกูล" คนไทญ้อ เป็นกลุ่มคนเดิมที่มาอยู่ในเมืองสกลนครก่อนที่คนภูไทจะอพยพเข้ามา แต่ "ไทญ้อ" ไม่พอใจ ทำให้คนภูไทต้องอพยพต่อไปยังบ้านหนองหอย จากความขัดแย้งทำให้คนภูไทมีทัศนคติไม่ดีต่อคนไทญ้อจนมาถึงปัจจุบัน กลุ่มไทญ้อมองคนภูไทว่าเป็นคน "หัวแหลม" ไม่เชื่อคนง่าย มีความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 กลุ่ม มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเห็นได้จากมีการแต่งงานระหว่างกันมากขึ้น ความสัมพันธ์กับ "ไทโย้ย" ไทโย้ยในวาริชภูมิได้อพยพมาอยู่เพียงหมู่บ้านเดียวที่บ้านผักตบ เข้ามาทำนา ทำไร่ ปลูกพริกปลูกฝ้ายตามไหล่เทือกเขาภูพาน จับปลาตามแหล่งน้ำและปลูกผักไปขายที่ตลาดวาริชภูมิ คนภูไทกับคนไทโย้ยคบค้าสมาคมด้วยการค้าขายผลผลิตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คนไทโย้ย มองคนภูไทคล้ายกับคนไทลาวมองคนภูไท คือ คนภูไทเป็นคนขยัน มั่นใจในตนเอง ประหยัด "ขี้เหนียว" และขยันเรียนหนังสือ ส่วนคนโย้ย มีเท่าไรก็มีเท่านั้น ความสัมพันธ์กับ "คนจีน" คนจีนเข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐานที่วาริชภูมิเมื่อ ประมาณปี พ.ศ.2475 คนภูไทมีทัศนคติที่ดีต่อพ่อค้าคนจีน อยากจะให้หญิงภูไทแต่งงานกับคนจีน เพราะคนจีนเป็นคนขยัน เก่ง และร่ำรวย ความสัมพันธ์กับ "คนญวน" (เวียดนาม) เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดที่อพยพเข้าในจังหวัดสกลนคร ที่หนีภัยสงครามอินโดจีน ในราวปี พ.ศ.2482-2484 และเข้ามาที่วาริชภูมิเมื่อปี พ.ศ.2488-2483 คนภูไทวาริชภูมิชอบเรียกคนญวนว่า "แกว" ในระยะแรกคนญวนมีอาชีพรับจ้างทั่วไป จนกระทั่งมีทุนจึงทำการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ผลจากการแข่งขันกันทางค้าขาย ทำให้คนภูไทมีอคติต่อคนญวน เห็นคนญวนเป็นคนขี้โกง ชอบเอารัดเอาเปรียบลูกค้า ไม่มีความประนีประนอม (หน้า 17-20) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|