|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไท,ผ้าแพรวา,ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม,กาฬสินธุ์ |
Author |
สุรศักดิ์ พิมพ์เสน |
Title |
ศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของชุมชนผู้ไทบ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
18 |
Year |
2546 |
Source |
รวมบทความทางวิชาการไทศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม |
Abstract |
ชุมชนผู้ไทบ้านโพนเป็นชุมชนที่ยังมีความเข้มแข็งทางด้านประเพณี วัฒนธรรม มีภาษาพูดที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง นับถือศาสนาพุทธมีการทำบุญตามจารีตประเพณี 12 เดือน ประเพณีสำคัญคือบุญบั้งไฟ มีงานศิลปหัตถกรรมการผลิตผ้าไหมแพรวาที่มีชื่อเสียงจนได้รับฉายาว่าผ้าไหมแพรวาเป็นราชินีไหมไทย ชื่อเสียงของผ้าไหมแพรวาทำให้ชาวบ้านโพนมีรายได้เพิ่มขึ้น ฐานะครอบครัวมั่นคง ถือเป็นจุดเริ่มแรกของการนำนักท่องเที่ยวเข้าสู่หมู่บ้าน นำเงินตราเข้าสู่หมู่บ้านและนำเรื่องราวของชุมชนออกสู่โลกภายนอกเป็นที่รู้จัก ดังนั้นชุมชนผู้ไทบ้านโพนจึงมีความพร้อมในด้านวัฒนธรรม อันเกิดจากการสั่งสมภูมิปัญญาของชาวบ้าน มีศักยภาพเพียงพอที่จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้ |
|
Focus |
เน้นการศึกษาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของชุมชนผู้ไทบ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่มีชื่อเสียงด้านขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมและการผลิตผ้าไหมแพรวา เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวให้เกิดประโยชน์ต่อชุนชมอย่างเป็นธรรม (หน้า 174) |
|
Theoretical Issues |
แนวคิดเกิดจากการตั้งคำถามว่าชุมชนผู้ไทบ้านโพนซึ่งมีความโดดเด่นของวัฒนธรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตผ้าไหมแพรวาที่มีชื่อเสียง มีศักยภาพพอที่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้หรือไม่ เพียงใดและหากเป็นไปได้ในรูปแบบใด (หน้า 174) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้ไท เป็นกลุ่มชนที่มีความเหนียวแน่นในการรักษาจารีตประเพณีของตนเอง มีความกลมเกลียวรักพวกพ้อง ซึ่งจะเห็นได้จากผู้ไทในอดีตจะไม่แต่งงานกับคนนอกกลุ่มชาติพันธุ์และเชื่อฟังผู้นำเป็นอย่างมาก (หน้า 171) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจน แค่เพียงกล่าวว่า ชุมชนผู้ไทบ้านโพนมีภาษาพูดที่เป็นเอกลักษณ์เป็นของตนเอง (หน้า 174) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
" ชาวผู้ไทในจังหวัดกาฬสินธุ์มีประวัติศาสตร์การอพยพยาวนาน ซึ่งเป็นชาวผู้ไทกลุ่มเดียวกับชาวผู้ไทที่อาศัยอยู่ในแคว้นสิบสองจุไท มีเมืองแถง เมืองไล เป็นถิ่นที่อยู่เดิม แค้วนสิบสองจุไทเป็นดินแดนปลายสุดของราชอาณาจักรสยาม" ในราว พ.ศ.2321 ดินแดนสิบสองจุไทได้ตกเป็นของประเทศไทยในรัชกาลของพระเจ้ากรุงธนบุรี ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีและรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ไทยได้ยกกองทัพไปตีเมืองลานช้างแล้วกวาดต้อนผู้ไทมาอยู่แถบภาคกลางของไทยคือจังหวัดเพชรบุรี จนต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้ยกกองทัพไปปราบกบฎเจ้าอนุวงศ์แล้วกวาดต้อนครอบครัวผู้ไทจากเมืองต่าง ๆ ในประเทศลาวให้มาอยู่ในภาคอีสานที่จังหวัดนครพนม สกลนคร และกาฬสินธุ์ (หน้า 171-172) |
|
Settlement Pattern |
ชาวบ้านโพน ใช้น้ำประปาและน้ำบาดาล มีไฟฟ้าและโทรศัพท์ใช้ทั่วถึงทุกหมู่บ้าน ถนนในหมู่บ้านเป็นถนนลาดยางและถนนคอนกรีตมีสถานีอนามัย 1 แห่ง ร้านอาหาร 6 ร้าน (หน้า 183) |
|
Demography |
จังหวัดกาฬสินธุ์มีผู้ไทอาศัยอยู่หนาแน่นทั้งหมด 5 อำเภอ คือ อำเภอเขาวง อำเภอกุฉินารายณ์ อำเภอสหัสขันธ์ และอำเภอคำม่วง (หน้า 172) |
|
Economy |
ผู้ไทบ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ มีการผลิตผ้าไหมแพรวาโดยมีวัตถุประสงค์ดั้งเดิมเพื่อใช้สอยในครัวเรือน ใช้เป็นของกำนัลแก่แขกผู้มาเยือนและใช้ในงานสำคัญ การผลิตผ้าไหมแพรวามีปรากฏอยู่ในทุกหลังคาเรือน ปัจจุบันผลิตผ้าไหมแพรวาเพื่อออกจำหน่ายทำให้ชาวบ้านโพนมีรายได้ จากการขายผ้าไหมแพรวาและจากการท่องเที่ยว ทำให้ฐานะครอบครัวมั่นคงขึ้น ในเรื่องการบริโภคนั้นอาหารที่ชาวบ้านโพนรับประทานเป็นอาหารพื้นบ้านอีสานทั่วไป (หน้า 172-173, 183-184) |
|
Social Organization |
สตรีชาวบ้านโพนเป็นผู้ที่มีบทบาทในการต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยกลุ่มแม่บ้านมีประมาณ 300 ครอบครัว มีศูนย์วิจิตรแพรวาเป็นที่จัดแสดงผ้าไหมแพรวา ในการต้อนรับกลุ่มแม่บ้านจะรวมกันมาต้อนรับตามความเหมาะสม จะแบ่งหน้าที่มาดูแลวันละ 5 คนต่อหมู่บ้านสลับสับเปลี่ยนกันไปหมู่บ้านละ 1 วันต่อสัปดาห์ (หน้า 175, 176) |
|
Political Organization |
ปัจจุบันมีองค์กรต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกชุมชนพยายามสร้างบทบาทส่งเสริมสนับสนุนการท่องเที่ยวในชุมชนบ้านโพน เช่น อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ สำนักงานจังหวัดกาฬสินธุ์ เหล่ากาชาดจังหวัดกาฬสินธุ์รวมทั้งสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเขต 3 และหน่วยงานราชการอื่น ๆ ภายนอกจังหวัดกาฬสินธุ์ที่จัดทัวร์และเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ผ้าไหมแพรวา โดยการเข้ามาช่วยเหลือของหน่วยงานในจังหวัดกาฬสินธุ์ก่อให้เกิดประโยชน์และปัญหาต่อการจัดการท่องเที่ยวในชุมชนบ้านโพน (หน้า 183) |
|
Belief System |
ชุมชนบ้านโพนนับถือพุทธศาสนามีการทำบุญตามจารีตประเพณี 12 เดือน ประเพณีบุญที่สำคัญที่สุด คือ บุญเดือน 6 หรือบุญบั้งไฟ ซึ่งจะจัดขึ้นประมาณกลางเดือนพฤษภาคมของทุกปี ด้วยความเชื่อที่ว่าเป็นการทำบุญเพื่อสื่อสารกับผีบรรพบุรุษ และเทพเจ้าแห่งผีสูงสุดคือพระยาแถน ผู้สามารถดลบันดาลน้ำและฝนให้กับมนุษย์โลกได้ ส่วนประเพณีอื่น ๆ ได้แก่ บุญปีใหม่เดือนมกราคม บุญพระเวสในเดือนมีนาคม บุญสงกรานต์เดือนเมษายน (หน้า 174, 175, 179) |
|
Education and Socialization |
ชุมชนผู้ไทบ้านโพนเน้นการให้ความรู้ในการผลิตผ้าไหมแพรวา ซึ่งพบว่าสตรีผู้ไทตั้งแต่อายุ 8 ปีขึ้นไปสามารถทอผ้าไหมแพรวาได้ทุกคน (หน้า 175) |
|
Health and Medicine |
ในหมู่บ้านชาวบ้านโพนมีสถานีอนามัย 1 แห่ง (หน้า 183) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ชุมชนผู้ไทบ้านโพน อำเภอคำม่วง เป็นชุมชนที่มีความโดดเด่นในด้านการรักษาประเพณีและมีศิลปะหัตถกรรมการผลิตผ้าไหมแพรวาที่ลือชื่อจนได้รับฉายาว่า ผ้าไหมแพรวาเป็นราชินีไหมไทย และชาวบ้านโพนก็เป็นผู้ไทกลุ่มแรกที่ผลิตผ้าไหมแพรวาในประเทศไทย ความหมายของแพรวา หมายถึง ผ้าสไบของหญิงสาว ผู้ไทที่ใช้ห่มเฉียงไหล่ซึ่งมีความยาวประมาณ 1 วา กว้างประมาณครึ่งวา ภายหลังได้พัฒนาความยาวตามความต้องการของผู้ใช้ สำหรับความหมายเชิงซ้อนของแพรวาย่อมหมายถึงคุณค่าอันแสดงศิลปะการทอลวดลายดั้งเดิม ประมาณ 60 ลาบ ลงไปในผืนผ้าอันเกิดจากผู้หญิงผู้ไทที่มีความสามารถ และเป็นที่ชื่นชมเป็นที่ยอมรับของสังคมในกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไท ความงดงามและหลากหลายลวดลายที่ถูกถ่ายทอดลงบนผ้าไหม จะเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงฝีมือและความชาญฉลาดของหญิงสาวคนนั้น ผ้าที่จัดอยู่ในระดับวิจิตรพิสดารจะมีลายผ้าประมาณ 9 ลายไปจนถึง 14 ลาย ซึ่งศิลปะการถักทอเหล่านี้จะสามารถพบได้ตามบ้านเรือนต่าง ๆ ในชุมชนผู้ไทโดยเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคม การแต่งกายของผู้ไทนั้นในการไปทำบุญผู้ไทจะแต่งกายด้วยชุดผู้ไทเป็นสำคัญ โดยเฉพาะในส่วนของผู้หญิงและคนชราจะแต่งกายด้วยผ้าสีขาว สะพานตะกร้าอาหารไปทำบุญ นอกจากนี้ ยังมีการละเล่นขบวนแห่บั้งไฟทั้งที่เป็นขบวนแห่เพื่อการประกวดและขบวนแห่ที่เป็นอิสระทั่วไป ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของผู้ไทในชุมชน ตั้งแต่หมู่ที่ 1 - หมู่ที่ 5 ทั้งเด็กคนหนุ่มสาว คนแก่ทุกเพศวัย ต่างเข้าร่วมขบวนแห่แต่งตัวหลากหลายตามรูปแบบวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน (หน้า 172, 174, 175, 179) |
|
Folklore |
"กาฬสินธุ์คำดินดำน้ำชุ่ม ปลากุ่มบ้อนคือแข้แกว่งหาง ปลานางบ้อนคือขางฟ้าลั่น จักจั่นฮ้องคือฟ้าล่วงบน แตกจันจ้นคนปีบโฮแซว มีซุแนวเมืองนี้แอ่นระบำรำฟ้อน" ผญาโบราณบทนี้แสดงให้เห็นว่า จังหวัดกาฬสินธุ์ในอดีตมีความอุดมสมบูรณ์มาก ดินมีแร่ธาตุและมีน้ำชุ่มดินอยู่ตลอด ในน้ำก็มีความอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยพันธุ์ปลาต่างๆ มีความสุนกสานในวิถีชีวิต ซึ่งเป็นผญาที่แสดงวัฒนธรรมของผู้คนบนแผ่นดินนี้ นอกจากนี้ผญาแล้ว ชาวบ้านโพนยังมีกิจกรรมเกี่ยวกับภาษา การทายปัญหาแบบพื้นบ้าน การเล่านิทานก้อม (นิทานเรื่องสั้นๆ) อีกด้วย (หน้า 170, 186) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ตามประวัติศาสตร์ความเป็นมาของจังหวัดกาฬสินธุ์ ดินแดนแห่งนี้เป็นที่อยู่ของหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ละว้า ขอม ลาว ย้อ และผู้ไท (หน้า 171) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การที่ชุมชนผู้ไทได้เข้ามาอยู่ในโครงการศิลปาชีพ ทำให้มีการพัฒนาผ้าแพรวา จากเดิมมีเฉพาะสีแดงเข้มให้มีสีพื้นหลากหลายส่วนลายดอกสลับสอดสีไหมให้กลมกลืนสวยงาม และโปรดฯ ให้ความช่วยเหลือหาตลาดทำให้ชื่อเสียงผ้าไหมแพรวาเป็นที่รู้จัก เป็นจุดแรกของการท่องเที่ยวเข้าสู่หมู่บ้าน นอกจากนี้ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมยุคโลกาภิวัตน์ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมดั้งเดิมไป นำวัฒนธรรมภายนอกเข้ามาประยุกต์ใช้ เช่น การแต่งกายแบบภาคกลางในขบวนแห่บุญบั้งไฟในบางส่วน หรือขบวนแห่บุญบั้งไฟให้ความสำคัญกับการประกวดมากเกินไป ใช้ภาษาภาคกลางมากเกินไป (หน้า 173, 185) |
|
|