|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ,บ้านแม่หมีใน,วัฒนธรรม,วิถีชีวิตความเป็นอยู่,ลำปาง |
Author |
ชัยศิลป์ คนคล่อง |
Title |
ความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรมของชาวปกาเกอญอบ้านแม่หมีในหมู่ที่ 6 ตำบลหัวเมือง อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง |
Document Type |
ปริญญานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
69 หน้า |
Year |
2543 |
Source |
สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
การศึกษานี้เป็นการศึกษาลักษณะทั่วไปของชุมชน ความเชื่อ ประเพณีและวัฒนธรรมของปกาเกอญอบ้านแม่หมีใน ตำบลหัวเมือง อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง ปกาเกอญอบ้านแม่หมีในเข้ามาตั้งถิ่นฐานนานประมาณ 157 ปี ลักษณะการตั้งบ้านเรือนอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีภูเขาล้อมรอบและลำห้วยไหลผ่าน ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมอยู่ในหมู่บ้านมากกว่าออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน ชาวบ้านยังคงยึดถือความเชื่อประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างเคร่งครัด (บทคัดย่อ) |
|
Focus |
ศึกษาลักษณะทั่วไปของหมู่บ้าน ตลอดจนความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรมของชาวปกาเกอญอบ้านแม่หมีใน (หน้า 2) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
กันยายน พ.ศ. 2542 – มีนาคม พ.ศ.2543 (หน้า ก) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติการตั้งหมู่บ้าน เล่ากันว่า กะเหรี่ยงบ้านแม่หมีในอพยพมาจากบ้านเมืองคอน อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ประมาณปี พ.ศ.2383 เพื่อหาที่ดินทำกินแห่งใหม่ในบริเวณริมห้วยแม่หมี ทางทิศใต้ของที่ตั้งหมู่บ้านปัจจุบัน เรียกว่า บ้านเกอแนโป หลังจากนั้นได้ย้ายหมู่บ้านไปอยู่บริเวณลำห้วยแม่หมีและแม่ต๋อม ต่อมามีกะเหรี่ยงจากแจ้ซ้อนและเวียงป่าเป้าอพยพเข้ามาอยู่ด้วย (หน้า 4) การย้ายที่ตั้งหมู่บ้านแต่ละครั้งมีสาเหตุต่างๆ กัน เช่น ผู้นำเสียชีวิต เกิดโรคระบาด เกิดความขัดแย้งในหมู่บ้าน และย้ายเพื่อให้อยู่ใกล้พื้นที่ทำกิน จนกระทั่งมีการแยกกลุ่มบ้านออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มบ้านแม่หมี และกลุ่มบ้านแม่ต๋อม ทั้งนี้ในกลุ่มบ้านแม่หมีได้แบ่งออกเป็น 2 หย่อม คือ บ้านแม่หมีในและบ้านแม่หมีนอก ต่อมาปีพ.ศ. 2520 นายโคโล่ ยาง ผู้นำในขณะนั้น ได้แยกหมู่บ้านแม่หมีมาตั้งในพื้นที่ปัจจุบัน (หน้า 7) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะบ้านเรือน ตัวบ้านยกพื้นสูงจากพื้นดินประมาณ 1 เมตรเศษ ใต้ถุนใช้เลี้ยงสัตว์ เก็บฟืน เก็บพาหนะ ตากผ้า หรือนึ่งทอผ้า ที่ว่างข้างบ้านมักตั้งครกกระเดื่องซึ่งบางบ้านอาจทำเพิงสำหรับตั้งครกกระเดื่องแยกออกจากตัวบ้าน (หน้า 8) บ้านทุกหลังมุงหลังคาด้วยไม้เกล็ด (ไม้สัก) ใช้ไม้ไผ่สับฟาก หรือไม้ทำฝาบ้าน พื้นบ้านเป็นไม้สักหรือไม้เนื้อแข็ง ภายในบ้านมีห้องนอนมิดชิดสำหรับลูกสาว ส่วนห้องครัวกั้นแยกออกมา มีเตาไฟอยู่ตรงกลาง ห้องครัวซึ่งนอกจากใช้ทำอาหารแล้ว ยังเป็นที่ประกอบพิธีกรรมด้วย (หน้า 9) |
|
Demography |
จำนวนประชากร บ้านแม่หมีในมีบ้านทั้งหมด 21 หลังคาเรือน 23 ครอบครัว มีจำนวนประชากรทั้งหมด 118 คน แบ่งเป็นชาย 59 คน และ หญิง 59 คน (หน้า 9) โดยอยู่ในกลุ่มอายุ 12-17 ปี มากสุดคือ 20 คน รองลงมาคือ 18-23 ปี และ 24-29 ปี จำนวน 15 คน และ 14 คนตามลำดับ (หน้า 10) ทั้งนี้เป็นประชากรวัยแรงงานในหมู่บ้านจำนวน 69 คน และแรงงานนอกหมู่บ้าน 8 คน (หน้า 10) |
|
Economy |
อาชีพ ชาวบ้านบ้านแม่หมีในปลูกข้าว ทำไร่หมุนเวียน ทำสวน และปลูกผักสวนครัวแซมในไร่ บางครอบครัวก็ปลูกกาแฟตามแนวรั้วนำเมล็ดไปขาย นอกจากเพาะปลูกแล้ว ยังเก็บของป่า เช่น น้ำผึ้ง หน่อไม้ เห็ดด้วย ชาวบ้านบางคนก็มีรายได้จำนวนมากจากการขายสัตว์เลี้ยง (หน้า 13, 15) นอกจากนั้น ผู้หญิงในหมู่บ้านยังมีรายได้จากการทอผ้า โดยรวมตัวกันเป็น “กลุ่มสัตรีทอผ้าย้อมสีธรรมชาติ” ซึ่งได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากมูลนิธิการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม (ดูรายละเอียดหน้า 30) การออมทรัพย์ บ้านแม่หมีในมีกลุ่มออมทรัพย์ซึ่งเพิ่งก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2542 โดยเริ่มจากเจ้าหน้าที่โครงการพัฒนาชุมชนชาวเขา มูลนิธิการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม แนะนำให้กลุ่มสัตรีทอผ้าย้อมสีธรรมชาติรู้จักการออม (หน้า 30) |
|
Social Organization |
เครือญาติ ไม่มีรายละเอียดชัดเจน ผู้เขียนกล่าวเพียงว่า สายตระกูลยาง เป็นสายตระกูลเก่าแก่สำคัญในหมู่บ้าน ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงเกิดนามสกุลเพิ่มขึ้นคือ วัฒนาศักดิ์ดำรง ไทยเจริญพัฒนา ปัญญาพนาสิทธิ์ เกษมสันต์ศักดิ์ และบรรพตไพรวัลย์ ทั้งหมดนี้เกี่ยงดองเป็นเครือญาติกัน (หน้า 29)
การแต่งงาน ชาวปกาเกอญอ จะไม่ได้เสียก่อนแต่งงาน เพราะผิดผีและหากท้องจะถูกประจาน การแต่งงานฝ่ายชายจะส่งคนเฒ่าคนแก่ 2 คน ทาบทามหญิงสาว หากฝ่ายหญิงพร้อมจะเตรียมหมูและทอเสื้อสีแดงสำหรับฝ่ายชาย และทอเสื้อดำและผ้าถุงสำหรับตนเอง งานแต่งงานจะจัด 3 วัน 3 คืน ที่บ้านเจ้าสาว และจัดพิธีที่บ้านเจ้าบ่าว เจ้าบ่าวจะอยู่บ้านเจ้าสาวประมาณ 7 วัน แล้วทำพิธีส่งตัวเจ้าสาวอยู่บ้านเจ้าบ่าว 7 วัน หลังจากนั้นเจ้าบ่าวจะอยู่บ้านเจ้าสาวเป็นเวลา 1 ปี จึงแยกออกไปสร้างบ้านเรือนของตนเอง (หน้า 42) ชาวกะเหรี่ยงจะยึดถือเรื่องผัวเดียวเมียเดียว หากภรรยาเสียชีวิต สามีต้องรอ 3 ปีจึงจะแต่งงานใหม่ได้ (หน้า 43) บทบาทชายหญิง ชาวปกากะญอถือว่าบ้านเป็นของผู้หญิง ไร่เป็นของผู้ชาย ผู้ชายจะมีบทบาทในไร่มากกว่าผู้หญิง รวมทั้งเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรม ขณะที่ผู้หญิงมีบทบาทในครัวเรือน ดูแลความเป็นอยู่ของสมาชิกในเรือน ทำอาหาร เลี้ยงลูก ตักน้ำ ตำข้าว ทอผ้า เลี้ยงสัตว์ (หน้า 55-56) |
|
Political Organization |
การจัดระเบียบหมู่บ้าน ประกอบด้วยผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นคนพื้นราบบ้านทุ่งยาง และคณะกรรมการหมู่บ้าน 9 คน กรรมการที่ปรึกษา 3 คน กรรมการตรวจป่า 6 คน กรรมการการศึกษา 5 คน ทั้งนี้การแต่งตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านมาจากความเห็นร่วมของชาวบ้าน นอกจากผู้นำที่รัฐแต่งตั้งแล้วบ้านแม่หมีในยังมีผู้นำดั้งเดิมซึ่งเรียกว่า “ญี่โข่” ด้วย ผู้นำทั้งสองกลุ่มแบ่งบทบาทหน้าที่กัน คือ คณะกรรมการหมู่บ้านดูแลการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานนอกชุมชน ส่วนญี่โข่และผู้อาวุโสของหมู่บ้านดูแลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเพณีวัฒนธรรมในชุมชน (หน้า 27-29) เช่น พิธีมัดมือปีใหม่ พิธีแต่งงาน พิธีเลี้ยงผีไร่ นอกจากนั้นญี่โข่ยังดูแลลูกบ้านไม่ให้ทำผิดข้อห้ามของหมู่บ้านและกฎหมายด้วย (หน้า 53-54) |
|
Belief System |
ชาวบ้านหมู่บ้านแม่หมีในนับถือศาสนาพุทธ คริสต์ และผี โดยมีสัดส่วนการนับถือผีสูงสุดคือ ร้อยละ 78.81 รองลงมาคือศาสนาคริสต์ ร้อยละ 17.80 และศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.39 (หน้า 12) ทั้งนี้การที่ชาวบ้านเปลี่ยนจากนับถือผีมานับถือศาสนาคริสต์นั้นเนื่องจากความขัดสน ไม่มีค่าใช้จ่ายในการประกอบพิธี ส่วนกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธนั้นมีการประกอบพิธีทางศาสนาเป็นระยะๆตามความสะดวกและความจำเป็น (หน้า 13) พิธีกรรม 1) พิธีผูกต้นไม้สายสะดือ เป็นพิธีเกี่ยวกับการเกิด พ่อของเด็กจะนำสายรกเด็กเกิดใหม่ลงในกระบอกไม่ไผ่ที่ใช้ใส่น้ำที่เรียกว่า “ทีเตอะ” แล้วนำไปผูกติดกับต้นไม้ที่มีผลในป่า เพราะเชื่อว่าเมื่อเด็กโตขึ้นจะมีเพื่อนไม่อดอยาก มีลูกหลานสืบต่อไปเหมือนผลของไม้ต้นนั้น วันมัดสายสะดือห้ามคนทั้งหมู่บ้านขึ้นยุ้งข้าว เพราะเชื่อว่าหากไม่ทำตามจะไม่ประสบความสำเร็จในการงานภายภาคหน้า ต้นไม้ที่มัดสายสะดือห้ามตัดโค่นแต่กินลูกได้ยกเว้นเจ้าของสายสะดือ (หน้า 41) เป็นต้น 2) พิธีศพ เมื่อมีคนตายทุกคนในหมู่บ้านต้องเข้าร่วมงาน หากผู้ตายเป็นภรรยาหัวหน้าครอบครัว สัตว์เลี้ยงจะต้องถูกฆ่า รื้อบ้าน และเผาเครื่องใช้ต่างๆ เพราะถือว่าบ้านเรือนและสัตว์เลี้ยงเป็นของผู้หญิง ตอนกลางคืนจะมีการร้องเพลงซอไว้อาลัยแก่ผู้ตาย เป็นเวลา 2 คืน และตอนเช้าวันที่ 3 จึงนำศพไปฝังพร้อมกับสมบัติของผู้ตาย หลังจากฝังศพผู้เข้าร่วมงานจะล้างตัวเพื่อไม่ได้สิ่งไม่ดีติดตัวมา และเสียบมีดพร้าที่นำไปในร่องพื้นบ้าน (หน้า 44) 3) พิธีไหว้ผีเรือน (ผีบรรพบุรุษ) เนื่องด้วยความเชื่อเรื่องดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่วนเวียนดูแลลูกหลาน ดังนั้นทุกคนในครอบครัวจะต้องเข้าร่วมพิธีไหว้ผีเรือนอย่างเคร่งครัด โดยพิธีกรรมเป็นการนั่งล้อมวงรอบสำรับอาหาร(เนื้อไก่ต้มและน้ำเปล่า) สมาชิกในบ้านจะเริ่มกินข้าวและอาหารตามลำดับจนครบ และสุดท้ายเป็นการเชิญดวงวิญญาณมากินเครื่องเซ่นไหว้และอธิฐานขอให้ปกป้องคุ้มครองคนในครอบครัว (หน้า 47) 4) พิธีปีใหม่ กำหนดวันโดยผู้อาวุโสโดยจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง คือเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งใกล้เริ่มทำไร่ และเดือนกันยายนซึ่งสิ้นสุดการทำไร่ ก่อนถึงวันงาน ทุกครัวเรือนจะเตรียมเหล้าไว้สำหรับประกอบพิธี โดยหมักเหล้าจากข้าวสุก ส่วนแป้งเหล้าหรือโกมี่จะทำจากข้าวสารเหนียวแช่ ซึ่งมีความเชื่อว่าแป้งเหล้าเป็นของบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงต้องเตรียมจากหญิงสาวบริสุทธิ์ใส่ชุดขาว ทั้งนี้หญิงสาวจะไม่กินข้าวก่อนตำแป้งแต่สามารถกินกล้วยได้ (หน้า 47) คนในหมู่บ้านอาจร่วมกันลงขันซื้อหมูเพื่อทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน ผู้หญิงจะทำขนมและข้าวปุกเพื่อใช้ประกอบพิธี ช่วงเย็นก่อนวันงานจะมีการทำพิธีที่บ้านญี่โข่ เป็นการดื่มเหล้าพร้อมเวียนไปยังครัวเรือนต่างๆซึ่งมีการเตรียมเหล้าไว้ โดยผู้อาวุโสจะอวยพรให้เจ้าบ้านพร้อมทั้งรินเหล้ารดลงร่องพื้นบ้าน หลังจากนั้นทำพิธีซิดะ คือการเวียนจิบเหล้าส่งต่อไปยังทุกคนที่ร่วมพิธี โดยสมาชิกภายในบ้านจะต้องดื่มทุกคนเพราะเชื่อว่าทำให้สุขสบาย (หน้า 48) เช้าวันรุ่งขึ้นทุกครัวเรือนจะฆ่าไก่ตัวผู้ตัวเมียหรือหมูตัวเล็กทำอาหาร สมาชิกครัวเรือนจะเตรียมขันโตกใส่กับข้าว ขนม ข้าวปุก เหล้า และด้ายผูกข้อมือ ชาวบ้านทุกคนแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า พิธีกรรมเริ่มต้นจากบ้านญี่โข่ ซึ่งเจ้าบ้านจะผูกข้อมือให้แก่สมาชิก ด้วยเชื่อว่าจะอยู่เย็นเป็นสุขผูกพันมัดกันไว้จนชั่วลูกหลาน หลังจากนั้นแม่บ้านจะผูกข้อมือให้ลูกพร้อมอวยพร เมื่อผูกข้อมือเสร็จเจ้าบ้านจะรินเหล้าลงแก้ว สวดอวยพรและเวียนกันดื่ม ตามด้วยการกินขนมในขันโตกพอเป็นพิธีและสุดท้ายร่วมกันรับประทานอาหาร (หน้า 49) ในช่วงสายจะประกอบพิธีคล้ายกับช่วงเย็นเมื่อวานเพียงแต่จะมีการรับประทานอาหารเพิ่มเข้ามา นอกจากนี้ยังมีการขับร้องเพลงปกาเกอญอดังเป็นระยะๆ ตั้งแต่ช่วงสายจนถึงดึก (หน้า 49) ในวันนี้เด็กที่ยังไม่ได้เจาะหูทั้งหญิงชายจะให้คนแก่เจาะหูให้เพราะเชื่อว่าหากใครไม่ได้เจาะหูเมื่อตายไปจะถูกหนอนมาชอนไช ส่วนกลุ่มหนุ่มสาวจะมีการถักด้ายข้อมือเรียกว่า จิเกอเด จับกลุ่มผูกข้อมือกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ (หน้า 50) ทั้งนี้พิธีปีใหม่ ปกาเกอญอจะทำเฉพาะผู้ที่นับถือผีหรือบรรพบุรุษ (หน้า 50) |
|
Education and Socialization |
เยาวชนในหมู่บ้านส่วนใหญ่เรียนที่ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวงบ้านแม่หมีใน จำนวน 17 คน มีเพียง 7 คนศึกษาที่อำเภอแจ้ห่ม และจังหวัดลำปาง (หน้า 10-11) ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวงบ้านหมีใน เปิดสอนวันจันทร์ถึงศุกร์ โดยครูอาสาสมัคร ไม่มีการปิดภาคเรียน แต่จะพักการเรียนช่วงสิ้นเดือนถึงต้นเดือน (หน้า 19) วิชาหลักที่สอนคือภาษาไทยและคณิตศาสตร์ ศึกษาจบได้วุฒิการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งมีการศึกษาต่อในระดับมัธยมหลายสถาบันโดยกรมประชาสงเคราะห์และมูลนิธิการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคมให้การสนับสนุนทุนการศึกษา (หน้า 20) |
|
Health and Medicine |
การเจ็บป่วย เมื่อเจ็บป่วย ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะรักษาด้วยวิธีพื้นบ้านโดยหมอเป่าในหมู่บ้าน หากไม่สบายติดต่อกันหลายวัน ชาวบ้านจะไปหาหมอเป่าที่บ้านจกปกให้ทำพิธีเสี่ยงทายหาสาเหตุการเจ็บป่วย เมื่อกลับบ้านอาจทำพิธีเลี้ยงผีให้คนเจ็บ ถ้ายังไม่หายจึงจะไปรักษาที่สถานีบริการสาธารณสุขชุมชนบ้านแม่หมีนอก ถ้าหากผู้ป่วยอาการหนักจะไปรักษาที่โรงพยาบาลแจ้ห่ม อำเภอแจ้ห่ม ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 46 กิโลเมตร (หน้า 26) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย ผู้ชายโสดหรือแต่งงานแล้วจะใส่เสื้อทรงกระบอก คอวี แขนสั้น สีแดงหรือสีชมพู เรียกว่า เชควอ สวมกางเกงทรงใดก็ได้ ขณะที่หญิงสาวใส่ชุดมีขาวยาวคลุมถึงเข่าหรือตาตุ่ม มีลวดลายทอประดับ เรียกว่า เชวา ทั้งนี้หญิงสาวโสดห้ามสวมเสื้อผ้าสีดำ ดังนั้นจึงมีการ ทอเชวาสีชมพูและสีม่วงไว้สวมใส่ด้วย สำหรับหญิงแต่งงานแล้วจะสวมใส่เสื้อผ้าสีดำหรือน้ำเงินยาวถึงเอว เรียกว่า เชซู ประดับด้วยลูกเดือยปักมือ สวมผ้าถุงสีแดงหรือสีชมพู (หน้า 50) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
สาธารณูปโภค 1) ไฟฟ้า ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ในหมู่บ้าน แต่มีโซล่าเซลล์ใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้าในศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวงบ้านหมีใน (หน้า 18) 2) น้ำประปา ในปี พ.ศ.2533-2535 ชาวบ้านมีระบบประปาภูเขาโดยการสนับสนุนท่อประปาและวัสดุอุปกรณ์จากกรมประชาสงเคราะห์ มีนายมูลแก้ว ยาง เป็นผู้ดูแล การติดตั้งถังกรองน้ำบริเวณโรงเรียนได้รับการสนับสนุนจากโครงการไทย-ออสเตรเลีย โดยมีแทงค์น้ำ 3 แทงก์ เพื่อพักน้ำที่ท่อส่งมาจากประปาภูเขาไปยังบ้านเรือนชาวบ้าน (หน้า 24) อาหารการกิน 1) ข้าว ชาวบ้านตำข้าวกินเอง ผู้หญิงจะตำข้าวเปลือกวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้ามืดและตอนเย็น ปลายข้าวที่ได้จะนำไปเลี้ยงสัตว์ ในการหุงข้าวหากหุงข้าวแฉะจะใช้ใบตองปิดปากหม้อและนำไปตั้งไฟอ่อนๆ อีกครั้ง ข้าวเหนียวนึ่งสุกที่ทานไม่หมดจะนำมาทำข้าวจี่หรือข้าวปิ้งในวันรุ่งขึ้น (หน้า 35) 2) น้ำพริก มีส่วนประกอบคือ พริกสด มะเขือเทศ หอมแดง ที่นำไปย่างไฟจนสุก ปรุงรสด้วยเกลือ (หน้า 36) 3) การกิน ใช้ขันโตกวางอาหาร สมาชิกในบ้านนั่งล้อมลงรอบขันโตก บางคนใช้ช้อนบางคนใช้มือกินข้าว (หน้า 36) |
|
Map/Illustration |
แผนที่ บ้านแม่หมีใน ตำบลหัวเมือง อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง (หน้า 5) แผนที่ อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง (หน้า 6) ตารางที่ 1 แสดงจำนวนประชากรจำแนกตามเพศ (หน้า 9) ตารางที่ 1 แสดงข้อมูลพื้นฐานของประชากรจำแนกตามเพศ (หน้า 10) ตารางที่ 1 แสดงจำนวนประชากรกับการนับถือศาสนาจำแนกตามเพศ (หน้า 12) |
|
|