สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ,บ้านแม่หมีใน,วัฒนธรรม,วิถีชีวิตความเป็นอยู่,ลำปาง
Author ชัยศิลป์ คนคล่อง
Title ความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรมของชาวปกาเกอญอบ้านแม่หมีในหมู่ที่ 6 ตำบลหัวเมือง อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง
Document Type ปริญญานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) Total Pages 69 หน้า Year 2543
Source สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

การศึกษานี้เป็นการศึกษาลักษณะทั่วไปของชุมชน ความเชื่อ ประเพณีและวัฒนธรรมของปกาเกอญอบ้านแม่หมีใน ตำบลหัวเมือง อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง ปกาเกอญอบ้านแม่หมีในเข้ามาตั้งถิ่นฐานนานประมาณ 157 ปี ลักษณะการตั้งบ้านเรือนอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีภูเขาล้อมรอบและลำห้วยไหลผ่าน ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมอยู่ในหมู่บ้านมากกว่าออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน ชาวบ้านยังคงยึดถือความเชื่อประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างเคร่งครัด (บทคัดย่อ)

Focus

ศึกษาลักษณะทั่วไปของหมู่บ้าน ตลอดจนความเชื่อ ประเพณี และวัฒนธรรมของชาวปกาเกอญอบ้านแม่หมีใน (หน้า 2)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยงสะกอ (หน้า 1)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มี

Study Period (Data Collection)

กันยายน พ.ศ. 2542 – มีนาคม พ.ศ.2543 (หน้า ก)

History of the Group and Community

ประวัติการตั้งหมู่บ้าน เล่ากันว่า กะเหรี่ยงบ้านแม่หมีในอพยพมาจากบ้านเมืองคอน อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ประมาณปี พ.ศ.2383 เพื่อหาที่ดินทำกินแห่งใหม่ในบริเวณริมห้วยแม่หมี ทางทิศใต้ของที่ตั้งหมู่บ้านปัจจุบัน เรียกว่า บ้านเกอแนโป หลังจากนั้นได้ย้ายหมู่บ้านไปอยู่บริเวณลำห้วยแม่หมีและแม่ต๋อม ต่อมามีกะเหรี่ยงจากแจ้ซ้อนและเวียงป่าเป้าอพยพเข้ามาอยู่ด้วย (หน้า 4) การย้ายที่ตั้งหมู่บ้านแต่ละครั้งมีสาเหตุต่างๆ กัน เช่น ผู้นำเสียชีวิต เกิดโรคระบาด เกิดความขัดแย้งในหมู่บ้าน และย้ายเพื่อให้อยู่ใกล้พื้นที่ทำกิน จนกระทั่งมีการแยกกลุ่มบ้านออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มบ้านแม่หมี และกลุ่มบ้านแม่ต๋อม ทั้งนี้ในกลุ่มบ้านแม่หมีได้แบ่งออกเป็น 2 หย่อม คือ บ้านแม่หมีในและบ้านแม่หมีนอก ต่อมาปีพ.ศ. 2520 นายโคโล่ ยาง ผู้นำในขณะนั้น ได้แยกหมู่บ้านแม่หมีมาตั้งในพื้นที่ปัจจุบัน (หน้า 7)

Settlement Pattern

ลักษณะบ้านเรือน ตัวบ้านยกพื้นสูงจากพื้นดินประมาณ 1 เมตรเศษ ใต้ถุนใช้เลี้ยงสัตว์ เก็บฟืน เก็บพาหนะ ตากผ้า หรือนึ่งทอผ้า ที่ว่างข้างบ้านมักตั้งครกกระเดื่องซึ่งบางบ้านอาจทำเพิงสำหรับตั้งครกกระเดื่องแยกออกจากตัวบ้าน (หน้า 8) บ้านทุกหลังมุงหลังคาด้วยไม้เกล็ด (ไม้สัก) ใช้ไม้ไผ่สับฟาก หรือไม้ทำฝาบ้าน พื้นบ้านเป็นไม้สักหรือไม้เนื้อแข็ง ภายในบ้านมีห้องนอนมิดชิดสำหรับลูกสาว ส่วนห้องครัวกั้นแยกออกมา มีเตาไฟอยู่ตรงกลาง ห้องครัวซึ่งนอกจากใช้ทำอาหารแล้ว ยังเป็นที่ประกอบพิธีกรรมด้วย (หน้า 9)

Demography

จำนวนประชากร บ้านแม่หมีในมีบ้านทั้งหมด 21 หลังคาเรือน 23 ครอบครัว มีจำนวนประชากรทั้งหมด 118 คน แบ่งเป็นชาย 59 คน และ หญิง 59 คน (หน้า 9) โดยอยู่ในกลุ่มอายุ 12-17 ปี มากสุดคือ 20 คน รองลงมาคือ 18-23 ปี และ 24-29 ปี จำนวน 15 คน และ 14 คนตามลำดับ (หน้า 10) ทั้งนี้เป็นประชากรวัยแรงงานในหมู่บ้านจำนวน 69 คน และแรงงานนอกหมู่บ้าน 8 คน (หน้า 10)

Economy

อาชีพ ชาวบ้านบ้านแม่หมีในปลูกข้าว ทำไร่หมุนเวียน ทำสวน และปลูกผักสวนครัวแซมในไร่ บางครอบครัวก็ปลูกกาแฟตามแนวรั้วนำเมล็ดไปขาย นอกจากเพาะปลูกแล้ว ยังเก็บของป่า เช่น น้ำผึ้ง หน่อไม้ เห็ดด้วย ชาวบ้านบางคนก็มีรายได้จำนวนมากจากการขายสัตว์เลี้ยง (หน้า 13, 15) นอกจากนั้น ผู้หญิงในหมู่บ้านยังมีรายได้จากการทอผ้า โดยรวมตัวกันเป็น “กลุ่มสัตรีทอผ้าย้อมสีธรรมชาติ” ซึ่งได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากมูลนิธิการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม (ดูรายละเอียดหน้า 30) การออมทรัพย์ บ้านแม่หมีในมีกลุ่มออมทรัพย์ซึ่งเพิ่งก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2542 โดยเริ่มจากเจ้าหน้าที่โครงการพัฒนาชุมชนชาวเขา มูลนิธิการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม แนะนำให้กลุ่มสัตรีทอผ้าย้อมสีธรรมชาติรู้จักการออม (หน้า 30)

Social Organization

เครือญาติ ไม่มีรายละเอียดชัดเจน ผู้เขียนกล่าวเพียงว่า สายตระกูลยาง เป็นสายตระกูลเก่าแก่สำคัญในหมู่บ้าน ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงเกิดนามสกุลเพิ่มขึ้นคือ วัฒนาศักดิ์ดำรง ไทยเจริญพัฒนา ปัญญาพนาสิทธิ์ เกษมสันต์ศักดิ์ และบรรพตไพรวัลย์ ทั้งหมดนี้เกี่ยงดองเป็นเครือญาติกัน (หน้า 29)

การแต่งงาน ชาวปกาเกอญอ จะไม่ได้เสียก่อนแต่งงาน เพราะผิดผีและหากท้องจะถูกประจาน การแต่งงานฝ่ายชายจะส่งคนเฒ่าคนแก่ 2 คน ทาบทามหญิงสาว หากฝ่ายหญิงพร้อมจะเตรียมหมูและทอเสื้อสีแดงสำหรับฝ่ายชาย และทอเสื้อดำและผ้าถุงสำหรับตนเอง งานแต่งงานจะจัด 3 วัน 3 คืน ที่บ้านเจ้าสาว และจัดพิธีที่บ้านเจ้าบ่าว เจ้าบ่าวจะอยู่บ้านเจ้าสาวประมาณ 7 วัน แล้วทำพิธีส่งตัวเจ้าสาวอยู่บ้านเจ้าบ่าว 7 วัน หลังจากนั้นเจ้าบ่าวจะอยู่บ้านเจ้าสาวเป็นเวลา 1 ปี จึงแยกออกไปสร้างบ้านเรือนของตนเอง (หน้า 42) ชาวกะเหรี่ยงจะยึดถือเรื่องผัวเดียวเมียเดียว หากภรรยาเสียชีวิต สามีต้องรอ 3 ปีจึงจะแต่งงานใหม่ได้ (หน้า 43) บทบาทชายหญิง ชาวปกากะญอถือว่าบ้านเป็นของผู้หญิง ไร่เป็นของผู้ชาย ผู้ชายจะมีบทบาทในไร่มากกว่าผู้หญิง รวมทั้งเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรม ขณะที่ผู้หญิงมีบทบาทในครัวเรือน ดูแลความเป็นอยู่ของสมาชิกในเรือน ทำอาหาร เลี้ยงลูก ตักน้ำ ตำข้าว ทอผ้า เลี้ยงสัตว์ (หน้า 55-56)

Political Organization

การจัดระเบียบหมู่บ้าน ประกอบด้วยผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นคนพื้นราบบ้านทุ่งยาง และคณะกรรมการหมู่บ้าน 9 คน กรรมการที่ปรึกษา 3 คน กรรมการตรวจป่า 6 คน กรรมการการศึกษา 5 คน ทั้งนี้การแต่งตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านมาจากความเห็นร่วมของชาวบ้าน นอกจากผู้นำที่รัฐแต่งตั้งแล้วบ้านแม่หมีในยังมีผู้นำดั้งเดิมซึ่งเรียกว่า “ญี่โข่” ด้วย ผู้นำทั้งสองกลุ่มแบ่งบทบาทหน้าที่กัน คือ คณะกรรมการหมู่บ้านดูแลการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานนอกชุมชน ส่วนญี่โข่และผู้อาวุโสของหมู่บ้านดูแลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเพณีวัฒนธรรมในชุมชน (หน้า 27-29) เช่น พิธีมัดมือปีใหม่ พิธีแต่งงาน พิธีเลี้ยงผีไร่ นอกจากนั้นญี่โข่ยังดูแลลูกบ้านไม่ให้ทำผิดข้อห้ามของหมู่บ้านและกฎหมายด้วย (หน้า 53-54)

Belief System

ชาวบ้านหมู่บ้านแม่หมีในนับถือศาสนาพุทธ คริสต์ และผี โดยมีสัดส่วนการนับถือผีสูงสุดคือ ร้อยละ 78.81 รองลงมาคือศาสนาคริสต์ ร้อยละ 17.80 และศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.39 (หน้า 12) ทั้งนี้การที่ชาวบ้านเปลี่ยนจากนับถือผีมานับถือศาสนาคริสต์นั้นเนื่องจากความขัดสน ไม่มีค่าใช้จ่ายในการประกอบพิธี ส่วนกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธนั้นมีการประกอบพิธีทางศาสนาเป็นระยะๆตามความสะดวกและความจำเป็น (หน้า 13) พิธีกรรม 1) พิธีผูกต้นไม้สายสะดือ เป็นพิธีเกี่ยวกับการเกิด พ่อของเด็กจะนำสายรกเด็กเกิดใหม่ลงในกระบอกไม่ไผ่ที่ใช้ใส่น้ำที่เรียกว่า “ทีเตอะ” แล้วนำไปผูกติดกับต้นไม้ที่มีผลในป่า เพราะเชื่อว่าเมื่อเด็กโตขึ้นจะมีเพื่อนไม่อดอยาก มีลูกหลานสืบต่อไปเหมือนผลของไม้ต้นนั้น วันมัดสายสะดือห้ามคนทั้งหมู่บ้านขึ้นยุ้งข้าว เพราะเชื่อว่าหากไม่ทำตามจะไม่ประสบความสำเร็จในการงานภายภาคหน้า ต้นไม้ที่มัดสายสะดือห้ามตัดโค่นแต่กินลูกได้ยกเว้นเจ้าของสายสะดือ (หน้า 41) เป็นต้น 2) พิธีศพ เมื่อมีคนตายทุกคนในหมู่บ้านต้องเข้าร่วมงาน หากผู้ตายเป็นภรรยาหัวหน้าครอบครัว สัตว์เลี้ยงจะต้องถูกฆ่า รื้อบ้าน และเผาเครื่องใช้ต่างๆ เพราะถือว่าบ้านเรือนและสัตว์เลี้ยงเป็นของผู้หญิง ตอนกลางคืนจะมีการร้องเพลงซอไว้อาลัยแก่ผู้ตาย เป็นเวลา 2 คืน และตอนเช้าวันที่ 3 จึงนำศพไปฝังพร้อมกับสมบัติของผู้ตาย หลังจากฝังศพผู้เข้าร่วมงานจะล้างตัวเพื่อไม่ได้สิ่งไม่ดีติดตัวมา และเสียบมีดพร้าที่นำไปในร่องพื้นบ้าน (หน้า 44) 3) พิธีไหว้ผีเรือน (ผีบรรพบุรุษ) เนื่องด้วยความเชื่อเรื่องดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่วนเวียนดูแลลูกหลาน ดังนั้นทุกคนในครอบครัวจะต้องเข้าร่วมพิธีไหว้ผีเรือนอย่างเคร่งครัด โดยพิธีกรรมเป็นการนั่งล้อมวงรอบสำรับอาหาร(เนื้อไก่ต้มและน้ำเปล่า) สมาชิกในบ้านจะเริ่มกินข้าวและอาหารตามลำดับจนครบ และสุดท้ายเป็นการเชิญดวงวิญญาณมากินเครื่องเซ่นไหว้และอธิฐานขอให้ปกป้องคุ้มครองคนในครอบครัว (หน้า 47) 4) พิธีปีใหม่ กำหนดวันโดยผู้อาวุโสโดยจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง คือเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งใกล้เริ่มทำไร่ และเดือนกันยายนซึ่งสิ้นสุดการทำไร่ ก่อนถึงวันงาน ทุกครัวเรือนจะเตรียมเหล้าไว้สำหรับประกอบพิธี โดยหมักเหล้าจากข้าวสุก ส่วนแป้งเหล้าหรือโกมี่จะทำจากข้าวสารเหนียวแช่ ซึ่งมีความเชื่อว่าแป้งเหล้าเป็นของบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงต้องเตรียมจากหญิงสาวบริสุทธิ์ใส่ชุดขาว ทั้งนี้หญิงสาวจะไม่กินข้าวก่อนตำแป้งแต่สามารถกินกล้วยได้ (หน้า 47) คนในหมู่บ้านอาจร่วมกันลงขันซื้อหมูเพื่อทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน ผู้หญิงจะทำขนมและข้าวปุกเพื่อใช้ประกอบพิธี ช่วงเย็นก่อนวันงานจะมีการทำพิธีที่บ้านญี่โข่ เป็นการดื่มเหล้าพร้อมเวียนไปยังครัวเรือนต่างๆซึ่งมีการเตรียมเหล้าไว้ โดยผู้อาวุโสจะอวยพรให้เจ้าบ้านพร้อมทั้งรินเหล้ารดลงร่องพื้นบ้าน หลังจากนั้นทำพิธีซิดะ คือการเวียนจิบเหล้าส่งต่อไปยังทุกคนที่ร่วมพิธี โดยสมาชิกภายในบ้านจะต้องดื่มทุกคนเพราะเชื่อว่าทำให้สุขสบาย (หน้า 48) เช้าวันรุ่งขึ้นทุกครัวเรือนจะฆ่าไก่ตัวผู้ตัวเมียหรือหมูตัวเล็กทำอาหาร สมาชิกครัวเรือนจะเตรียมขันโตกใส่กับข้าว ขนม ข้าวปุก เหล้า และด้ายผูกข้อมือ ชาวบ้านทุกคนแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า พิธีกรรมเริ่มต้นจากบ้านญี่โข่ ซึ่งเจ้าบ้านจะผูกข้อมือให้แก่สมาชิก ด้วยเชื่อว่าจะอยู่เย็นเป็นสุขผูกพันมัดกันไว้จนชั่วลูกหลาน หลังจากนั้นแม่บ้านจะผูกข้อมือให้ลูกพร้อมอวยพร เมื่อผูกข้อมือเสร็จเจ้าบ้านจะรินเหล้าลงแก้ว สวดอวยพรและเวียนกันดื่ม ตามด้วยการกินขนมในขันโตกพอเป็นพิธีและสุดท้ายร่วมกันรับประทานอาหาร (หน้า 49) ในช่วงสายจะประกอบพิธีคล้ายกับช่วงเย็นเมื่อวานเพียงแต่จะมีการรับประทานอาหารเพิ่มเข้ามา นอกจากนี้ยังมีการขับร้องเพลงปกาเกอญอดังเป็นระยะๆ ตั้งแต่ช่วงสายจนถึงดึก (หน้า 49) ในวันนี้เด็กที่ยังไม่ได้เจาะหูทั้งหญิงชายจะให้คนแก่เจาะหูให้เพราะเชื่อว่าหากใครไม่ได้เจาะหูเมื่อตายไปจะถูกหนอนมาชอนไช ส่วนกลุ่มหนุ่มสาวจะมีการถักด้ายข้อมือเรียกว่า จิเกอเด จับกลุ่มผูกข้อมือกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ (หน้า 50) ทั้งนี้พิธีปีใหม่ ปกาเกอญอจะทำเฉพาะผู้ที่นับถือผีหรือบรรพบุรุษ (หน้า 50)

Education and Socialization

เยาวชนในหมู่บ้านส่วนใหญ่เรียนที่ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวงบ้านแม่หมีใน จำนวน 17 คน มีเพียง 7 คนศึกษาที่อำเภอแจ้ห่ม และจังหวัดลำปาง (หน้า 10-11) ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวงบ้านหมีใน เปิดสอนวันจันทร์ถึงศุกร์ โดยครูอาสาสมัคร ไม่มีการปิดภาคเรียน แต่จะพักการเรียนช่วงสิ้นเดือนถึงต้นเดือน (หน้า 19) วิชาหลักที่สอนคือภาษาไทยและคณิตศาสตร์ ศึกษาจบได้วุฒิการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งมีการศึกษาต่อในระดับมัธยมหลายสถาบันโดยกรมประชาสงเคราะห์และมูลนิธิการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคมให้การสนับสนุนทุนการศึกษา (หน้า 20)

Health and Medicine

การเจ็บป่วย เมื่อเจ็บป่วย ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะรักษาด้วยวิธีพื้นบ้านโดยหมอเป่าในหมู่บ้าน หากไม่สบายติดต่อกันหลายวัน ชาวบ้านจะไปหาหมอเป่าที่บ้านจกปกให้ทำพิธีเสี่ยงทายหาสาเหตุการเจ็บป่วย เมื่อกลับบ้านอาจทำพิธีเลี้ยงผีให้คนเจ็บ ถ้ายังไม่หายจึงจะไปรักษาที่สถานีบริการสาธารณสุขชุมชนบ้านแม่หมีนอก ถ้าหากผู้ป่วยอาการหนักจะไปรักษาที่โรงพยาบาลแจ้ห่ม อำเภอแจ้ห่ม ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 46 กิโลเมตร (หน้า 26)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย ผู้ชายโสดหรือแต่งงานแล้วจะใส่เสื้อทรงกระบอก คอวี แขนสั้น สีแดงหรือสีชมพู เรียกว่า เชควอ สวมกางเกงทรงใดก็ได้ ขณะที่หญิงสาวใส่ชุดมีขาวยาวคลุมถึงเข่าหรือตาตุ่ม มีลวดลายทอประดับ เรียกว่า เชวา ทั้งนี้หญิงสาวโสดห้ามสวมเสื้อผ้าสีดำ ดังนั้นจึงมีการ ทอเชวาสีชมพูและสีม่วงไว้สวมใส่ด้วย สำหรับหญิงแต่งงานแล้วจะสวมใส่เสื้อผ้าสีดำหรือน้ำเงินยาวถึงเอว เรียกว่า เชซู ประดับด้วยลูกเดือยปักมือ สวมผ้าถุงสีแดงหรือสีชมพู (หน้า 50)

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Critic Issues

ไม่มี

Other Issues

สาธารณูปโภค 1) ไฟฟ้า ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ในหมู่บ้าน แต่มีโซล่าเซลล์ใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้าในศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวงบ้านหมีใน (หน้า 18) 2) น้ำประปา ในปี พ.ศ.2533-2535 ชาวบ้านมีระบบประปาภูเขาโดยการสนับสนุนท่อประปาและวัสดุอุปกรณ์จากกรมประชาสงเคราะห์ มีนายมูลแก้ว ยาง เป็นผู้ดูแล การติดตั้งถังกรองน้ำบริเวณโรงเรียนได้รับการสนับสนุนจากโครงการไทย-ออสเตรเลีย โดยมีแทงค์น้ำ 3 แทงก์ เพื่อพักน้ำที่ท่อส่งมาจากประปาภูเขาไปยังบ้านเรือนชาวบ้าน (หน้า 24) อาหารการกิน 1) ข้าว ชาวบ้านตำข้าวกินเอง ผู้หญิงจะตำข้าวเปลือกวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้ามืดและตอนเย็น ปลายข้าวที่ได้จะนำไปเลี้ยงสัตว์ ในการหุงข้าวหากหุงข้าวแฉะจะใช้ใบตองปิดปากหม้อและนำไปตั้งไฟอ่อนๆ อีกครั้ง ข้าวเหนียวนึ่งสุกที่ทานไม่หมดจะนำมาทำข้าวจี่หรือข้าวปิ้งในวันรุ่งขึ้น (หน้า 35) 2) น้ำพริก มีส่วนประกอบคือ พริกสด มะเขือเทศ หอมแดง ที่นำไปย่างไฟจนสุก ปรุงรสด้วยเกลือ (หน้า 36) 3) การกิน ใช้ขันโตกวางอาหาร สมาชิกในบ้านนั่งล้อมลงรอบขันโตก บางคนใช้ช้อนบางคนใช้มือกินข้าว (หน้า 36)

Map/Illustration

แผนที่ บ้านแม่หมีใน ตำบลหัวเมือง อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง (หน้า 5) แผนที่ อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง (หน้า 6) ตารางที่ 1 แสดงจำนวนประชากรจำแนกตามเพศ (หน้า 9) ตารางที่ 1 แสดงข้อมูลพื้นฐานของประชากรจำแนกตามเพศ (หน้า 10) ตารางที่ 1 แสดงจำนวนประชากรกับการนับถือศาสนาจำแนกตามเพศ (หน้า 12)

Text Analyst อภิรัตน์ ศุภธนาทรัพย์ Date of Report 23 ก.พ. 2558
TAG ปกาเกอะญอ, บ้านแม่หมีใน, วัฒนธรรม, วิถีชีวิตความเป็นอยู่, ลำปาง, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง