|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กะเลิง, วิถีชีวิต, สังคม, เศรษฐกิจ,บ้านบัว, สกลนคร |
Author |
สุรัตน์ วรางค์รัตน์, ธวัชชัย กุณวงษ์, ศิริพร อินธิแสง |
Title |
กะเลิงบ้านบัว |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กะเลิง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
36 หน้า |
Year |
2531 |
Source |
ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมวิทยาวิทยาลัยครูสกลนคร |
Abstract |
งานเขียนกล่าวถึงสภาพความเป็นอยู่สังคม เศรษฐกิจ ของกะเลิงบ้านบัว ตำบลกุดบาก อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร ซึ่งแต่เดิมตั้งรกรากอยู่ในประเทศลาวซึ่งได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเช่นจังหวัดสกลนคร นครพนม และมุกดาหาร เมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้ว โดยอพยพมาเป็นจำนวนมากในสมัยรัชกาลที่ 3 ครั้งปราบปรามศึกเจ้าอนุวงศ์และเมื่อครั้งปราบปราบศึกฮ่อในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงมีกะเลิงได้อพยพหนีภัยสงครามเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากการศึกษาระบุว่าสภาพสังคมเศรษฐกิจของกะเลิงเปลี่ยนไปจากอดีตเนื่องจากกะเลิงมีประชากรมากขึ้นประกอบกับทางการเข้มงวดเรื่องการตัดไม้ในเขตวนอุทยานแห่งชาติ จึงทำให้การหาของป่าและล่าสัตว์ที่กะเลิงเคยทำมาแต่เดิมทำไม่ได้ เนื่องจากป่าไม้ขาดความอุดมสมบูรณ์ดังนั้นจึงทำให้กะเลิงบ้านบัวต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมปัจจุบันที่ต้องใช้เงินซื้อหาแทนวัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนสิ่งของระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในหมู่บ้านต่างๆ เหมือนเช่นที่เคยทำเมื่อในอดีต |
|
Focus |
ศึกษาประวัติความเป็นมาของกะเลิงบ้านบัว การเลือกหลักแหล่งที่ทำกิน การประกอบอาชีพ วัฒนธรรม ศาสนา ความเชื่อ และภาษา (หน้า 2)การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรฐกิจของกะเล่งบ้านบัว (หน้า 10) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเลิง คือกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง ได้แก่ จังหวัดสกลนคร นครพนม และมุกดาหาร ในงานเขียนได้อ้างคำของเชเฟอร์(Schafer) ว่ากะเลิงมีชื่อเรียกในที่ต่างๆ ไม่เหมือนกันเช่น ในภาษาจีนจะเขียนว่า คุณ-ลุน(K” un-lun) หรือ กุรุง(kurung) และต่อมาเพี้ยนเสียงเป็นคำว่า “กะลุง” (klung)ในภาษาจาม ตัวอย่างเช่นชื่อของกษัตริย์โปกะลุง (pokloung) ซึ่งเชเฟอร์คาดการณ์ว่า หลังจากที่คนเขมรได้เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ทางภาคเหนือของเวียดนามก็ยืมคำนี้มาจากพวกจามซึ่งบริเวณที่คนกะเลิงอยู่ก็อยู่ใกล้กับเมืองเง่อานในพื้นที่เทือกเขาอาก ทางทิศตะวันตก (หน้า 2) ผู้เขียนได้กล่าวถึงหลักฐานการสำรวจของ รอ.เดอมาเกลฟ หัวหน้าคณะสำรวจดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงที่ร่วมกับ ม.ปาวี ว่า กะเลิงอยู่เป็นจำนวนมากที่ลุ่มน้ำตะโปน กับต้นน้ำเซบังเหียน โดยยกตัวอย่างให้เห็นว่า หมู่บ้านเล ตง (Le” Ton) เป็นหมู่บ้านที่ยังไม่พัฒนา คนที่อยู่เป็นคนป่ามีลักษณะใสซื่อ (หน้า 2) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากะเลิง จากการสันนิษฐานของ เจมส์ อาร์ เชมเบอร์แลน นักมานุษยวิทายาภาษาศาสตร์ ระบุว่า เมื่อก่อนนี้กะเลิงมีภาษาพูดอยู่ในตระกูลมอญ-เขมร ภายหลังเมื่อย้ายที่อยู่มาอยู่พื้นราบรวมอยู่กับชาติพันธุ์พันธุ์อื่นๆ โย้ย ย้อ นอกจากนี้ยังรับวัฒนธรรมภาษาพูดมาจากกลุ่มไท –ลาว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของภาษาพูดนี้ได้เกิดขึ้นมานานแล้วก่อนที่กะเลิงจะอพยพมาอยู่ที่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร นครพนม และมุกดาหาร เป็นต้น (หน้า 4) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติของหมู่บ้านบัว แต่เดิมกะเลิงตั้งรกรากอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง โดยได้อพยพข้ามแม่น้ำโขงมาหลายครั้งด้วยกัน นับจากการทำสงครามปราบเจ้าอนุวงศ์ในสมัยรัชการที่ 3 ต่อมากะเลิงได้อพยพมาเป็นจำนวนมากในสมัยรัชการที่ 5 ในการปราบปรามจีนฮ่อ ที่ยกกองกำลังมาตีบ้านเมืองในเขตสิบสองจุไท เมื่อ พ.ศ.2416 กลุ่มฮ่อได้ยกกำลังมาตีเมืองเชียงขวาง โดยได้ตั้งกองกำลังอยู่ที่ทุ่งเชียงคำเพื่อเตรียมไปตีหัวเมืองที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ได้แก่เมืองหลวงพระบาง ซึ่งในสมัยนั้นอยู่ในการปกครองของไทย การปราบปรามฮ่อของทางการไทยได้ดำเนินไปหลายครั้งด้วยกัน เช่น ในพ.ศ. 2418, 2426, 2428, และ 2430 ตามลำดับ ซึ่งจากการปราบปรามฮ่อ กลุ่มกะเลิงก็ได้มีการอพยพติดตามแม่ทัพมาอยู่ตามเมืองต่างๆ ในเวลานั้นกะเลิงได้มาตั้งหมู่บ้านใกล้ตัวเมืองสกลนคร ไม่ว่าจะเป็นบ้านโพนงาม บ้านนายก (หน้า 3) สำหรับการตั้งบ้านบัว คาดว่าเป็นหมู่บ้านที่อพยพมาเมื่อ 150 ปีที่ผ่านมา โดยได้อยกตัวมาจากบ้านนายก นามน ที่อยู่ในพื้นที่อำเภอเมืองสกลนคร ซึ่งในเวลานั้นมีนายราชเสนา กับนางวงค์ศรีแก้ว นำครอบครัวมาตั้งหมู่บ้านอยู่ที่ริมฝั่งห้วยทรายซึ่งคาดว่าบริเวณนี้มีพวกข่ามาอยู่ก้อนแล้ว เนื่องจากมีคนพบไหกระดูกที่อยู่ในบริเวณวัด (หน้า 5) หลังจากนั้นต่อมาเมื่อมีคนมาอยู่ในบ้านบัวมากขึ้น พ.ศ.2470 พ่อจารย์คาน ที่เป็นผู้ใหญ่บ้านในสมัยนั้น จึงได้ขอให้กะเลิงทั้งนามสกุลราชเสนา และวงค์ศรีแก้ว ได้เปลี่ยนมาใช้นามสกุล กุดวงศ์แก้ว ให้เป็นนามสกุลเดียวกันเพื่อความแน่นแฟ้นและเอกลักษณ์ของคนกะเลิงบ้านบัว (หน้า 3) |
|
Settlement Pattern |
สภาพบ้านเรือนของกะเลิงในอดีต งานเขียนกล่าวถึงการสำรวจของ รอ.เดอมาเกลฟ หัวหน้าคณะสำรวจดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ระบุถึงสภาพบ้านเรือนของกะเลิงในอดีตว่า กะเลิงอยู่เป็นจำนวนมากที่ลุ่มน้ำตะโปน กับต้นน้ำเซบังเหียน โดยยกตัวอย่างให้เห็นว่า หมู่บ้านเล ตง (Le” Ton) เป็นหมู่บ้านที่ยังไม่พัฒนา ส่วนกะเลิงที่อยู่บ้านท่าชา (Ta-Tcha) ที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์เหมือนกับบ้านท่าเรียบ(Ta-Riep) ที่นี่ปลูกบ้านหลังใหญ่โตมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และสร้างรั้วรอบหมู่บ้านเพื่อป้องกันอันตรายต่างๆ และหมู่บ้านริมน้ำตะโปน ได้ปลูกไม้ยืนต้น ปลูกผลไม้ ต้นหมาก และพืชผักสวนครัว การเลี้ยงชีพช่วงน้ำลดก็จะปลูกฝ้าย ยาสูบ ต้นหม่อน และอื่นๆ (หน้า 2) บ้าน บ้านของกะเลิงประกอบด้วย 2 ส่วนคือส่วนที่เป็นที่นอน โดยจะกั้นเป็นห้องขนาดเล็กซึ่งเรียกว่า “ส่วม” หรือ “ซ่วม” โดยจะแบ่งเป็นห้องนอนของพ่อแม่ 1 ห้องส่วนห้องนอนของลูกเขยก็จะกั้นอีก 1 ห้องและอีกส่วนจะเปิดโล่ง ในส่วนนี้ในบางครั้งก็ใช้เป็นที่นอนและเป็นทางผ่านหน้าห้อง “ซ่วม”ในส่วนที่เป็นห้องโล่ง ด้านซ้ายมือหากเดินเข้ามาในบริเวณตัวบ้านก็ถือว่าเป็นมุมผีเนือน (แจ) โดยจะทำเป็นหิ้งบูชาผี พ่อ-แม่ ในวันธรรมสวนะ โดยการจัดขัน 5 ขัน 8 และในกรณีลูกหลานจะแต่งงาน อย่างไรก็ดีในบริเวณหิ้งบูชาผีเรือนจะให้เฉพาะลูกหลานแท้ๆนอนได้เท่านั้น ส่วนคนนอกครอบครัวจะไม่ให้เข้าพื้นที่ตรงนี้ เพราะถือว่าจะเป็นการ “ขลำ” (สิ่งต้องห้าม) ถ้าไม่เชื่อคนในครอบครัวจะเจ็บไข้ได้ป้วยได้รับความเดือดร้อน ฯลฯ (หน้า 16) |
|
Demography |
บ้านบัว มีประชากร 455 ครอบครัว ส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์กะเลิงกว่า 90 % นอกจากนี้ก็ประกอบด้วย ผู้ไทย และไทลาว (หน้า 26) |
|
Economy |
เศรษฐกิจ กะเลิงบ้านบัวมีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักและหาของป่า 1) การหาของป่า ในช่วงเช้าจะเป็นช่วงทำนา เพาะปลูก ในช่วงบ่ายจะออกไปหาพืชผักผลไม้ในป่าบริเวณเทือกเขาภูพานทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่บ้านเพื่อนำมาเป็นอาหาร ซึ่งได้แก่ พืชป่าต่างๆ เช่น หวาย หน่อไม้ ผักเลา ผักหวาน ดอกระเจียว เห็ด ฯลฯ สมุนไพร น้ำผึ้ง หรือสัตว์อื่นๆ เช่น กระรอก กระแต หากมีการหาได้มากก็จะมีการแลกเปลี่ยนในหมู่บ้าน (หน้า 6) 2) การล่าสัตว์ สัตว์ป่าที่เริ่มเป็นที่นิยมเมื่อ 50-60 ปีที่ผ่านมาได้แก่ วัวป่า ควายป่า กวาง ฟาน(เก้ง) และหมูป่า โดยมีการนัดหมายล่าเป็นหมู่คณะ ประกอบไปด้วยผู้คนหลายวัย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ การไล่สัตว์เรียกว่า “เปาะ” หรือ “เปยเปาะ” โดยมีความเชื่อว่าจะต้องพูดคำหยาบ คำลามกเพื่อให้ผีป่าพอใจ อำนวยความสะดวกในการล่าสัตว์ เมื่อได้สัตว์มาแล้วจะมีการแบ่งปันกัน (หน้า 6-7) 3) การเพาะปลูก - ข้าวไร่ นิยมปลูกในเดือน 5-6 มี 2 ชนิดคือ ข้าวฮูดและข้าฮ้าว กรรมวิธีการเพาะปลูกคือ เดือน 3-4 เป็นช่วงเตรียมพื้นที่โดยเป็นป่าเชิงเขา ใช้ “หมากจิ้ก” เพื่องัดรากไม้และสิ่งกีดขวาง จากนั้นขุดหลุม ยอดเมล็ดข้าว กลบหลุม รอจนกว่าข้าวสุกจึงเก็บเกี่ยว - ข้าวนาหว่าน มีหลายพันธุ์ ข้าวหนอนนา ข้าวหางฮี ข้าวกาบยาง ข้าวขี้ตมหลวง ข้าวเหลืองแก้ว ข้าวดอญวน ข้าวงาช้าง เป็นต้น นิยมปลูกเมื่อหยอดเมล็ดข้าวไร่เสร็จแล้ว ยังคงใช้เครื่องมืออุปกรณ์แบบพื้นบ้าน ในเวลาว่างจากการทำงานในไร่นาก็จะทำเครื่องจักสาน เช่น กระบุง กะติ๊บข้าว กะด้ง ฯลฯ (หน้า 7-8) - พริกและฝ้าย เป็นพืชที่ปลูกเพื่อเพิ่มรายได้นอกเหนือจากการปลูกข้าว เริ่มปลูกในช่วงฝนตกหลังจากไถนาหว่านกล้า จะเก็บเกี่ยวหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเรียบร้อยแล้ว แล้วจึงนำผลผลิตมาทอเป็นเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ส่วนที่เหลือจะนำไปแลกเปลี่ยนสินค้าที่จำเป็นซึ่งจะมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่น 4) การแลกเปลี่ยนผลผลิต ชาวกะเลิงบ้านบัวไม่นิยมนำข้าวไปขายเนื่องจากต้องสะสมไว้รับประทานตลอดทั้งปี และใช้ในการทำบุญ สิ่งที่นิยมนำไปแลกเปลี่ยนกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นคือพริกและฝ้าย โดยมีการซื้อขายแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นลักษณะพึ่งพามากกว่าหาผลกำไร และผ่านระบบเครือญาติที่เรียกว่า “เสี่ยว” เช่น ไทย้อ ไทลาว ที่อยู่บ้านสามผง บ้านดงน้อย อำเภอศรีสงคราม นำปลาแดก ปลาย่าง มาแลกพริก นอกจากนี้ก็มีกลุ่มไทย้อ ผู้ไทย บ้านม่ว บ้านขมิ้น บ้านเชียงเครือ นำเครื่องปั้นดินเผามาแลกเปลี่ยนสินค้า เป็นต้น ซึ่งการแลกเปลี่ยนสินค้าด้วยกองเกวียนนี้ใช้เวลานาน ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆได้ติดต่อพบปะพูดคุยทำให้เกิดความสนิทสนม เป็นเพื่อนกัน บางส่วนในกลุ่มคนหนุ่มสาวบชางส่วนก็แต่งงานกันก็มี (หน้า 8-9) 5) การเปลี่ยนแปลงการเพาะปลูก เมื่อชาวบ้านหาทางออกในการเพิ่มรายได้ควบคู่กับการปลูกข้าว ทำให้มีการนำพืชชนิดต่างๆ มาทดลองปลูกในพื้นที่ได้แก่ ฝ้ายพันธุ์ ได้มีการนำเข้ามาสู่หมู่บ้านในปี พ.ศ.2505 จาก จ.เลย แต่ก็ประสบปัญหาโรคและแมลงรบกวน ปอ ได้มีการนำเมล็ดจากอ.บัวขาว จ.กาฬสินธุ์ มาทดลองปลูก ในปี พ.ศ.2508 โดยเริ่มมีการจ้างค่าแรงวันละ 5 บาท แต่ด้วยค่าลงทุนที่สูง จึงประสบปัญหาขาดทุน มันสำปะหลัง เริ่มปลูกในหมู่บ้านบัว ในพ.ศ. 2513 โดยเริ่มปลูกเพียง 4 ครอบครัว เมื่อราคามันสำปะหลังราคาสูงขึ้น ชาวบ้านจึงได้เริ่มสนใจปลูกมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น เกิดการลงทุนไถ่พื้นที่ พรวนดิน จ้างคนด้ายหญ้า เร่งหาแหล่งเงินกู้ต่างๆ จึงเกิดการเปิดสหกรณ์การเกษตรที่อ.กุดบากเพื่อให้กู้เงินในดอกเบี้ยต่ำ แม้มันสำปะหลังจะสร้างรายได้แก่ชาวบ้านดีกว่าพืชชนิดอื่นๆ แต่ก็ได้ส่งผลกระทบหลายด้านเช่น ทำให้ดินเสื่อมสภาพ ทำลายพืชที่เป็นอาหารตามธรรมชาติ เสี่ยงต่อการประสบภาวะขาดทุน (หน้า 11-13) |
|
Social Organization |
การแต่งงาน หนุ่มสาวกะเลิงในอดีตจะมีโอกาสเกี้ยวพาราสีกันในช่วง ประเพณีลงข่วง ในเดือนอ้าย เดือนยี่ ซึ่งในตอนกลางคืนหนุมกะเลิงจะเป่าแคนไปจีบสาว บางครั้งก็จะร้องผญาเพื่อถามความในใจกับหญิงคนรัก นอกจากนี้หนุ่มสาวจะมีโอกาสพบกันช่วงไปเลี้ยงควายที่ทุ่งนา รวมทั้งตอนไปอาบน้ำที่หนองน้ำเป็นต้น (หน้า 26) เมื่อหนุ่มสาวตกลงใจที่จะแต่งงานกัน ฝ่ายชายก็จะให้หมอสื่อไปสู่ขอเพื่อตกลงค่าสินสอดและกำหนดวันแต่งงาน โดยเจ้าบ่าวจะเตรียมค่าไขคำปาก ซึ่งประกอบด้วย เหล้า 1 ไหล และเงินให้กับหมอสื่อ เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว พ่อ แม่ของเจ้าสาวก็จะทำพิธีบอกผีเรือนว่าลูกสาวจะแต่งงานมีคู่ครอง สำหรับสิ่งของที่ใช้ในการประกอบพิธีได้แก่ ไข่ต้ม 1 ตัว เหล้า 1 ขวด ยาสูบ 2 มวน หมาก 2 คำ (หน้า 27) สำหรับการแต่งงานกะเลิงชอบจัดพิธีใกล้กับวันสู่ขอคือจะไปขอตอนเย็นวันรุ่งขึ้นก็จะจัดพิธีแต่งงาน สำหรับการทำพิธีก็จะเป็นหน้าที่ของหมอสูตร ในวันแต่งงานเจ้าบ่าวจะเคลื่อนขบวนไปบ้านเจ้าสาว โดยเจ้าบ่าวจะรำไปบ้านเจ้าสาวหรือเรียกว่า “รำเปิดประตูหลวง” ต่อมาก็จะเดินเหยียบหินลับมีดที่คลุมด้วยใบตอง ซึ่งกะเลิงเชื่อว่าจะทำให้เจ้าบ่าวมีภาวะความเป็นผู้นำดูแลครอบครัวให้มีความสุข จากนั้นก็จะล้างเท้าให้เจ้าบ่าวด้วยน้ำอบแล้วก็ขึ้นบ้านเพื่อทำพิธีสู่ขวัญ นอกจากนี้ก็ต้องจัดคายพิธี เพื่อเลี้ยงผีเรือน พิธีนี้จะเป็นหน้าที่ของญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงหรือเรียกว่า “จุ้มผี” สิ่งของที่นำมาประกอบพิธีได้แก่ หมู่ 1 ตัว ไก้ 6 ตัว เหล้า 6 ไห กรณีที่ฝ่ายชายอยากให้เจ้าสาวมาอยู่ที่บ้านตน ก็จะเพิ่มหมูอีก 1 ตัว อย่างไรก็ดีจากการศึกษาพบว่าโดยมากแล้วกะเลิงมักจะแต่งงานกับคนในหมู่บ้านด้วยกันเพราะได้รู้จักนิสัยใจคอกัน ประกอบกับกะเลิงไม่ค่อยได้เดินทางไปทำงานนอกบ้านและมีความผูกพันกับบ้านเกิด ส่วนคนที่แต่งงานกับคนภายนอกหมู่บ้านก็มีจำนวนน้อยคือมีจำนวน 19 คน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 455 หลังคาเรือน (หน้า 27) |
|
Political Organization |
ผู้นำชุมชน นับตั้งแต่กะเลิงมาตั้งรกรากที่บ้านบัวนั้น เมื่อก่อนมีการปกครองโดยผู้อาวุโส หรือ “สถาบันผู้เฒ่า” ได้แก่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมและเป็นผู้ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ (หน้า 24) จะคอยตัดสินและไกล่เกลี่ยถ้าหากมีคนในหมู่บ้านมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งไม่ลงรอยกัน โดยผู้สูงอายุทั้งหลายจะเกลี้ยกล่อม ให้เลิกบาดหมางกันและให้มาสามัคคีกันเช่นเดิม (หน้า 25) สำหรับผู้นำอย่างเป็นทางการนำโดยผู้ใหญ่บ้านหรือพ่อบ้าน มีขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชการที่ 6 ใน พ.ศ.2465 ผู้ใหญ่บ้านมีหน้าที่ติดต่อประสานงานกับทางการและประชุมประจำเดือน สำหรับการเลือกผู้ใหญ่บ้านในสมัยแรกจะเป็นมติของชาวบ้านที่จะเลือกคนที่มีคุณธรรมมาเป็นผู้นำของหมู่บ้าน กระทั่งถึงผู้ใหญ่บ้านคนที่ 11 กะเลิงบ้านบัวจึงได้คัดเลือกผู้นำหมู่บ้านแบบเลือกตั้งเป็นครั้งแรก (หน้า 25) อย่างไรก็ตามหากกะเลิงในหมู่บ้านมีเรื่องราวไม่ใหญ่โตก็จะให้ผู้อาวุโสไกล่เกลี่ยให้เพราะหากมีเรื่องแล้วไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านเรื่องบางอย่างที่ร้ายแรงผู้ใหญ่บ้านก็จะมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนซึ่งกะเลิงเห็นว่าเป็นเรื่องเสียเวลาและเสียดายเงินทองหากมีเรื่องจนถึงโรงพัก ดังนั้นถ้าหากมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆน้อยๆ ก็จะให้ผู้สูงอายุไกล่เกลี่ยให้เหมือนเช่นในอดีตที่เคยทำมา(หน้า 26) |
|
Belief System |
ความเชื่อเรื่อง ผี กะเลิงบ้านบัวนับถือศาสนาพุทธและนับถือผี สำหรับผีที่นับถือ ประกอบด้วยผี เรือน ได้แก่วิญญาณของพ่อ แม่หรือบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้วที่มีหน้าที่ปกป้องดูแลลูกหลานในครัวเรือนให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข (หน้า 16)นอกจากนี้ ยังมีผีตาแฮก คือผีที่เฝ้าไร่นา ช่วยคุ้มครองพืชผลที่ปลูกให้ได้ผลผลิตเป็นจำนวนมาก การทำพิธีจะทำก่อนทำนา โดยจะทำพิธีเซ่นไหว้ด้วยสิ่งของต่างๆ เช่น พาหวาน 100 พา ควายนา(คือปูนา) 1 คู่ หมาก 2 คำ ยา 2 มวน เทียน 1 คู่การเซ่นไหว้ก็เพื่อให้ การทำนาได้ผลผลิตจำนวนมากและทำให้วัวควายไม่ป่วยไข้ หลังจากเซ่นไหว้ผีตาแฮกแล้วก็จะนำกล้าปักลงในนา โดยจะแบ่งกล้าเป็น 7 กอ และขณะปักก็จะขอให้มีความโชคดีในชีวิตและการงาน การบูชาผีตาแฮก จะทำอรกครั้งหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว สำหรับสิ่งของที่นำมาเซ่นไหว้นั้นประกอบด้วย เหล้า 1 ไห ไก่ 1 ตัว พาหวาน 100 พา เทียน 1 คู่ และอกไม้ 1 คู่ ผีป่าผีภู คือ ผีที่ปกปักรักษาป่ไม้ สัตว์ป่าและพืชสมุนไพรต่างๆ ให้คงความอุดมสมบูรณ์สำหรับการหาอยู่หากินของกะเลิงบ้านบัว ทั้งนี้การจะทำไร่ถางป่ากะเลิงจะบอกกล่าวกับผีป่าผีภูก่อนจึงจะทำไร่ได้ (หน้า 17) สำหรับการทำพิธีเซ่นไหว้ผีป่าผีภู กะเลิงจะทำในช่วงเดือน 6 ต้นฤดูฝน โดยผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านจะพาลูกๆ หลานๆ ไปทำพิธีเซ่นไหว้ผีป่าผีภูที่ดูแลต้นน้ำลำห้วยทรายที่มีต้นน้ำที่ภูถ้ำพระซึ่งอยู่ไกลจากบ้านบัวเพียง 3 กิโลเมตร สำหรับสิ่งของที่นำมาเซ่นไหว้ได้แก่ อาหารคาวหวาน โดยจะตั้งคายขัน 5 ขัน 8 มาทำพิธี (หน้า 18) ผีปู่ตา คือผีที่ทำหน้าที่รักษาป่าไม้ของหมู่บ้านให้คงความอุดมสมบูรณ์ซึ่งตามความเชื่อและประสบการณ์ของกะเลิงเชื่อว่าถ้าใครไปตัดต้นไม้ใกล้กับศาลปู่ตาก็จะทำให้ได้รับความเดือดร้อน เจ็บไข้ไม่สบาย เป็นต้น (หน้า 18) สำหรับการทำพิธีเลี้ยงผีปู้ตาจะทำในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ในวันนี้จะจัดเตรียมอาหารคาว หวาน และสิ่งของต่างๆ ได้แก่ ไก่ต้ม 1 ตัว ไข่ 1 ฟอง เหล้า 1 ไห เทียน 1 คู่ ดอกไม้ 1 คู่ ข้าว 1 กนะติ๊บ เพื่อถวายผีปู่ตา หลังจากถวายแล้วก็จะรับประทานอาหาร ดื่มเหล้า เต้นรำอย่างเบิกบานใจ สำหรับการทำพิธีจะให้เฒ่าจ้ำเป็นผู้นำด้านพิธีกรรมเพื่อบอกกล่าวให้ผีปู่ตาช่วยดูแลคนในหมู่บ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข มีฝนเพียงพอสำหรับการทำนาและขอให้วัวควายไม่เจ็บป่วยในหน้าทำนาอีกด้วย สำหรับคนที่จะมาทำหน้าที่เป็นจ้ำติดต่อกับผีปู้ตานั้น จะทำการสืบทอดติดต่อผ่านสายตระกูลจากป฿ย่าจนถึงรุ่นลูกหลาน เว้นแต่บางครั้งที่ต้องมีการเปลี่ยนจ้ำคนใหม่ ดังนั้นปู่ตาก็จะส่งสัญญาณเพื่อเตือนให้หาจ้ำคนใหม่ที่เหมาะสมมาแทนคนเดิมฯลฯ (หน้า 19) ประเพณีการทำบุญ กะเลิงบ้านบัวปฏิบัติตามความเชื่อของศาสนาพุทธ โดยจะปฏิบัติตามฮีตสิบสอง และสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายซึ่งพิธีกรรมในงานบุญฮีตสิบสองที่กะเลิงถือปฏิบัติมีดังนี้ (หน้า 21) การทำบุญข้าวกรรมในเดือนอ้าย, ทำบุญกองข้าวในเดือนยี่, บุญข้าวจี่ในเดือน 3 ,บุญพระเวศสันดร เดือน 4, บุญสรงน้ำพระและขอพรพระในเดือน 5,บุญบั้งไฟ เดือน 6, บุญชำระบ้านในเดือน 7,บุญเข้าพรรษาในเดือน 8, บุญข้าวประดับดิน เดือน 9, บุญข้าวสาก เดือน 10, บุญออกพนนษาเดือน 11 และบุญกฐินในเดือน 12 (หน้า 21) ในหมู่บ้านบัวมีวัดหนึ่งแห่ง ซึ่งกะเลิงจะมาทำบุญประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่นงานบุญเทศน์มหาชาติชาติในเดือน 4 หนุ่มสาวจะมาช่วยงานด้วยความพร้อมเพรียง นอกจากนี้ก็จะถือโอกาสจีบสาวที่มาเที่ยวงาน สำหรับผู้สูงอายุก็จะฟังเทศน์พระเวศสันดร (หน้า 22) |
|
Education and Socialization |
ในการศึกษาไม่ได้กล่าวถึงการเรียนของกะเลิงโดยตรงแต่บอกผ่านความคิดเห็นที่กะเลิงมองตนเองว่าเป็น “ไทภูหูสั้น” คือเป็นผู้ที่มีความรู้น้อย เนื่องจากกะเลิงไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงของสังคม จึงทำให้ปรับตัวไม่ทันกับความทันสมัยต่างๆ การหาของป่าเหมือนแต่ก่อนก็หายากเพราะป่าหมดความอุดมสมบูรณ์ดังนั้น การกินอยู่จึงต้องใช้เงินซื้อทุกอย่าง เป็นต้น (หน้า 29) |
|
Health and Medicine |
ความเชื่อและการรักษาการเจ็บป่วย กะเลิงเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดจากการกระทำของผีและเกิดจากโรคร้าย จึงทำให้ป่วยไข้ การรักษาจะมีทั้งแบบพื้นบ้านและการักษาแบบการแพทย์แผนปัจจุบัน สำหรับการรักษาการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการกระทำของผีนั้นจะให้แม่หมอ หรือแม่ครู(หรือรู้จักในชื่อ ”หมอเยา” หรือ “ หมอเหยา”)สำหรับคนที่มาเป็นแม่ครูนั้นโดยมากจะเคยป้วยหนักมาก่อน เมื่อแม่ครูมารักษา หลังจากหายป่วยแล้ว ก็จะรับเอาผีเข้ามาในร่างกาย แล้วก็จะกลายเป็นลูกศิษย์ของแม่ครู ครั้นแม่ครูเสียชีวิตแล้ว ลูกศิษย์ก็จะทำหน้าที่เป็นแม่ครูรักษาผู้ป่วยต่อไป (หน้า 20) สำหรับผีที่เข้ามาอยู่ในร่างของแม่ครูก็คือผีฟ้า ซึ่งเป็นผีที่มีอิทธิฤทธิ์มากจึงสามารถต่อสู้หรือตกลงกับผีที่อยู่ในร่างคนป่วยให้ออกไปได้ นอกจากนี้ผีที่เข้าร่างยังประกอบด้วยผีน้ำคือผีที่อยู่กับหนองน้ำหรือลำธาร ดังนั้นในแต่ละปีแม่ครูจะจัดพิธีเลี้ยงผีน้ำเป็นประจำ โดยจะนำภาชนะใส่น้ำเพื่อให้ผีน้ำที่อยู่ในร่างทรงของแม่ครูได้เล่นน้ำอย่างเบิกบานใจด้วย บางครั้งก็จะทำเรือหยอกกล้วยลอยลงแม่น้ำเมื่อทำพิธีเรียบร้อยแล้ว (หน้า 21) ส่วนของปฏิบัติของแม่ครู(หมอเยา) ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดคือไม่กินเนื้อสัตว์ต้องห้ามเช่น ช้าง ม้า เสือ ลิง หมา งู ฯลฯ ไม่กินอาหารในงานที่จัดงานศพและไม่รับคายพิธีเกิน 1 ชุด ส่วนเงินในคายพิธีถูกกำหนดไว้ที่ 1.25 บาท(หนึ่งบาทยี่สิบห้าสตางค์) ซึ่งไม่สามารถเรียกร้องได้มากกว่านี้ นอกจากคนป่วยที่รักษาหายแล้วจะตอบแทน เช่นมอบเงิน หรือซิ่น ไหม ฝ้าย ให้แก่แม่ครูแต่ก็เป็นมูลค่าไม่มากเพราะถือว่าเป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น (หน้า 21) |
|
Folklore |
ตำนานน้ำเต้าปุง กะเลิงคือข่าโซ่ที่เกิดมาจากน้ำเต้าปุง ซึ่งตามตำนานน้ำเต้าปุง หรือพงศาวดารเมืองแถง ระบุว่า ชาติพันธุ์ที่อยู่บริเวณภูมิภาคลุ่มน้ำโขงนั้นเกิดมาจากลูกน้ำเต้ายักษ์ คนที่ออกมาคนแรกคือกะเลิงหรือข่าโซ่ โดยใช้เหล็กเผาไฟเจาะรูออกมา ดังนั้นผิวจึงคล้ำไม่ชวนมอง ส่วนคนที่ออกมาท้ายสุดเป็นน้องสุดท้องคือผู้ไทยซึ่งมีผิวพรรณผุดผาดตา เนื่องจากไม่ถูกเขม่าไฟ สำหรับกะเลิงหรือข่าโซ่ถือว่าเป็นพี่หรืออ้าย(อ้ายกก)ของพี่น้องชาติพันธุ์ต่างๆ ที่เกิดมาจากน้ำเต้าปุงเหมือนกัน(หน้า 26) ผญา เป็นคำร้องโต้ตอบกันระหว่างหนุม สาวกะเลิง เพื่อบอกความในใจของตนกับหญิงที่ตนหมายปองการร้องผญาจะร้องแล้วแต่โอกาสจะเหมาะสมเช่น ในอดีตกลุ่มกองเกวียนที่เดินทางไปแลกเปลี่ยนสินค้า ในช่วงกลางคืนหนุ่มสาวที่มากับกองเกวียนก็จะมาเกี้ยวพาราสีโต้ตอบกันเพื่อแสดงถึงเชาว์ปัญญาว่ามีความสามารถในการร้องผญาสักแค่ไหน (หน้า 9) ส่วนอีกช่วงคือช่วงประเพณีลงข่วง ในเดือนอ้าย เดือนยี่ ซึ่งในตอนกลางคืนหนุมกะเลิงจะเป่าแคนไปจีบสาว บางครั้งก็จะร้องผญาเพื่อถามความในใจกับหญิงคนรัก หากหนุ่มสาวคู่ใดชอบพอกันผู้ชายก็จะให้ผู้หลักผู้ใหญ่ไปสู่ขอหญิงคนรักเพื่อแต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยาต่อไป (ดูที่หน้า 26) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กะเลิงในมุมมองของชาติพันธุ์อื่น ในงานเขียนได้กล่าวถึงกลุ่มกะเลิงและผู้ไทยที่อยู่ในหมู่บ้านบัว ซึ่งกลุ่มผู้ไทยมีครอบครัวที่มีฐานะของหมู่บ้านเนื่องจากมีความขยันและรู้จักทำการค้า มีที่ดินมากและร่ำรวยจากการปลูกพืชเศรษฐกิจ ซึ่งในมุมมองของผู้ไทยแล้ว มองว่ากะเลิงเตี้ยและผิวคล้ำกว่าผู้ไทย คนกะเลิงเป็นคนใสซื้อไม่ค่อยทันคน ขาดความกระตืนรือร้น มีความสนุกสนานครื้นเครง ชอบเข้าป่าล่าสัตว์ ส่วนผู้หญิงกะเลิงขี้อาย กะเลิงมีความเชื่อเรื่องผีจะทำอะไรก็ทำพิธีเซ่นไหว้บอกกล่าวผี (หน้า 28) ส่วนกะเลิงมองผู้ไทยในหมู่บ้านบัวว่า เป็นคนมีปัญญาฉลาดเฉลียวหัวการค้าเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจเช่นเป็นเจ้าของรถโดยสาร เป็นผู้นำในการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ (หน้า 28) รู้จักประหยัดอดออมรู้คุณค่าเงินทอง (หน้า 29) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในบ้านบัวก็คือการเพิ่มของประชากรและความเข้มงวดเรื่องระเบียบการตัดไม้ในเขตวนอุทยานแห่งชาติ (หน้า 10) ดังนั้นจึงทำให้ความเป็นอยู่ของกะเลิงบ้านบัวเปลี่ยนไป คือกะเลิง เลิกล่าสัตว์แบบเปยเปาะ เมื่อ พ.ศ.2525 เพราะการไปแบบหมู่คณะไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป ส่วนการปลูกพริกเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าเหมือนในอดีตก็เปลี่ยนมาปลูกพอใช้ปรุงอาหารในครัวเรือน เท่านั้น ฯลฯ (หน้า 11 ) ส่วนการรักษาแบบพื้นบ้านด้วยสมุนไพรนั้นได้ลดจำนวนลงเนื่องจากกะเลิงเชื่อว่าสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบันได้รับสารเคมีจากอาหารและการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงานในไร่นา (หน้า 32)ดังนั้นจึงเปลี่ยนมารักษาด้วยวิธีการรักษาการแพทย์แผนปัจจุบันโดยไปรักษาที่โรงพยาบาลและคลินิคซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายราคาแพง ฯลฯ (หน้า 33) |
|
Map/Illustration |
แผนที่ อำเภอกุดบาก (หน้า ก) แหล่งทรัพยากรหมู่บ้าน (หน้า ข) แผนผัง หมู่บ้านบัว (หน้า ค) ตาราง 1.1-1.5 ตระกูลกุดวงศ์แก้ว, ตระกูลบริรักษ์ ,ตระกูลพรมหากุล,ตระกูลก้องเวหา,ตระกูลซองศิริ ตระกูลจูมสีสิงห์ (ภาคผนวก) |
|
|