สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู กะเหรี่ยง, สิ่งแวดล้อม, สารตะกั่ว, คลิตี้ล่าง, กาญจนบุรี
Author จีระวรรณ์ บรรเทาทุกข์
Title การรับมือกับปัญหา การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม มิติหญิงชาย กะเหรี่ยง วาทกรรมชายขอบ คนชายขอบทางสังคม
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) Total Pages 290 หน้า Year 2547
Source หลักสูตรมานุษยวิทยามหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยวิทยา ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

ผู้วิจัยได้ศึกษาและทำความเข้าใจองค์ความรู้เรื่องผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่อสุขภาพของชาวกะเหรี่ยงหมู่บ้านคลิตี้ล่าง ที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ตะกั่ว ศึกษาการอธิบายความทุกข์และปัญหาของชาวคลิตี้ล่างผ่านมิติทางเพศ ศึกษาการปรับตัวและรับมือกับปัญหาในระดับปัจเจก ครอบครัวและชุมชน โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ การสังเกตแบบมีส่วนร่วม สัมภาษณ์เจาะลึก และศึกษางานเขียนของผู้ได้รับผลกระทบ ผลการวิจัยพบว่าหญิงชายชาวคลิตี้ล่าง มีองค์ความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเป็นความรู้จากประสบการณ์ตรงและไม่มีความแตกต่างในความรู้ของทั้งสองเพศที่เด่นชัด มีความพยายามอธิบายปัญหาความเจ็บป่วยและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชุมชนในรูปของวาทกรรมจากชายขอบ และสะท้อนตัวตนของผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงมีการวิพากษ์ความรู้และอำนาจจากผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่ปฏิเสธประสบการณ์ของตน ชาวคลิตี้ล่างพัฒนากระบวนการต่อสู้ โดยเริ่มจากความต้องการคำอธิบายสาเหตุของความเจ็บป่วย มาสู่การเปิดพื้นที่ทางสังคมให้กับตนเอง ผ่านเวทีระดับต่างๆ ทำให้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับภาคีเครือข่าย ในสังคมวงกว้างมากขึ้น

Focus

ศึกษาและทำความเข้าใจองค์ความรู้เรื่องผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาพของชาวกะเหรี่ยงบ้านคลิตี้ล่าง ซึ่งเป็นผลมาจากการทำเหมืองแร่ตะกั่ว และอธิบายความเจ็บป่วยของชาวคลิตี้ล่างด้วยมิติหญิงชาย รวมทั้งศึกษาการปรับตัวและรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาพ (หน้า 3)

Theoretical Issues

1.แนวคิดวาทกรรมของความรู้ ความจริง (Discourse on Knowledge and Truth) ผู้วิจัยพบว่าเป็นแนวคิดที่ตั้งคำถามกับชุดของความรู้และความจริงในสังคมที่มีมากมายหลากหลายระดับและมิติ ซึ่งไม่อาจตีความ ความรู้ ความจริงข้ามวัฒนธรรมและเวลาได้ มนุษย์ในสังคมถูกทำให้เชื่อชุดความรู้หนึ่งๆ จากการถ่ายทอด การเรียนรู้ การแพร่กระจายตามช่องทางสื่อต่างๆ รวมถึงสภาพแวดล้อม ทำให้มองความรู้นั้นๆ โดยไม่ตั้งคำถาม ทว่าความรู้ที่ดำรงอยู่ล้วนเกิดจากการสร้าง การตีความและการอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญที่สร้างข้อเท็จจริงเพื่อต้องการให้เป็นความรู้หลักในสังคมและสร้างความชอบธรรมเฉพาะกลุ่ม คุณูปการจากแนวคิดนี้ทำให้รับรู้ถึงกระบวนการใช้ความรู้ ความจริงและอำนาจเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและครอบงำผู้คน โดยผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มมักยึดติดความรู้ พยายามกีดกันความรู้ในมิติและระดับอื่นๆ ว่าไม่เป็นความรู้ ส่งผลให้ความรู้ที่มนุษย์ในสังคมรับรู้เป็นการรับรู้เพียงบางด้านเท่านั้น (หน้า 8)

1.1 แนวคิดวาทกรรมการพัฒนา (Development Discourse) ผู้วิจัยพบว่าแนวคิดวาทกรรมการพัฒนานี้ ได้พยายามทำความเข้าใจและวิพากษ์การพัฒนาในสังคมเป็นอย่างมาก มีการวิพากษ์ผลกระทบจากการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมด้วยมุมมองที่หลากหลาย ทำให้เกิดความเข้าใจวาทกรรมการพัฒนาที่ดำเนินการโดยรัฐและทุน ข้ามชาติ พร้อมกับพยายามรื้อสร้างความคิดเรื่องการพัฒนาด้วยมุมมองใหม่ๆ ที่ไม่ผูกติดกับอำนาจรัฐเพียงฝ่ายเดียว ผู้วิจัยเห็นว่าการมองการพัฒนาแบบขั้วตรงข้าม ย่อมส่งผลให้ไม่สามารถหลุดพ้นจากกรอบคิดเดิมได้ เนื่องด้วยการมองเพียงว่าการพัฒนามีสองฝ่ายคือผู้ได้รับประโยชน์-ผู้เสียประโยชน์ มีผู้ดี-ผู้ร้าย ล้วนเป็นกับดักทางความคิด ควรมองหาทางเลือกใหม่ที่หลากหลาย พร้อมกับเปิดใจยอมรับ เคารพในความคิดและร่วมแลกเปลี่ยนทัศนะของทุกฝ่าย หันมาเจริญสติปัญญาร่วมกัน เคารพในองค์ความรู้ ภูมิปัญญาของกันและกัน ตลอดจน ต้องทำความเข้าใจองค์ความรู้ซึ่งมาจากวัฒนธรรมย่อยที่ยังมิได้รับการยอมรับว่าเป็นความรู้ (หน้า 13-14)

1.2. แนวคิดวาทกรรมชายขอบ (Marginalization Discourse) ผู้วิจัยพบว่าความรู้ในสังคมซึ่งถูกให้คุณค่าว่าเป็นความรู้กระแสหลักนั้น มิได้ถูกครอบครองโดยผู้เชี่ยวชาญอย่างเบ็ดเสร็จ ความรู้ดังกล่าวถูกท้าทายจากพื้นที่ชายขอบได้เช่นกัน โดยมีการใช้วาทกรรมจากชุมชนชายขอบขึ้นมาอธิบายและต่อต้านขัดขืนกับวาทกรรมความรู้กระแสหลัก และพบว่าความรู้ในสังคมมีหลายระดับ ผู้คนในสังคมรับรู้ว่าผู้มีอำนาจมักเข้าถึงผลประโยชน์ ผลิตความรู้และสร้างวาทกรรม ดังเช่นอำนาจทางการเมืองของผู้นำ อำนาจของสื่อมวลชน ทว่าความรู้และอำนาจก็เกิดขึ้นได้ในพื้นที่เล็กๆ (Micro-Space) แต่บ่อยครั้งมักถูกรับรู้แบบมีอคติ ความรู้เหล่านี้ถูกครอบงำโดยระบบโครงสร้างอำนาจ ฉะนั้นต้องมีการรื้อสร้างและผลิตความรู้ใหม่โดยพลังอำนาจจากรากหญ้าที่ใช้ภาษาของตนเอง ผู้วิจัยจึงพยายามเปิด โลกทัศน์ให้แก่สังคม โดยมองหาความรู้ในมิติและระดับอื่นๆ ทั้งนี้เห็นว่าการนำเอาความรู้ในระดับชุมชน วัฒนธรรมชุมชนและการศึกษาผ่านชุดความรู้ ความจริงจากการอธิบายของคนชายขอบจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำให้เข้าใจปรากฏการณ์สังคม อีกทั้งยังได้เห็นถึงความหลากหลายและซับซ้อนแห่งความรู้ในสังคมได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น (หน้า 14,19) 1.3 แนวคิดวาทกรรมความรู้การแพทย์สมัยใหม่ (Discourse on Biomedicine) ผู้วิจัยได้ทบทวนแนวคิดวาทกรรมความรู้การแพทย์สมัยใหม่พบว่า มีงานศึกษาที่วิพากษ์ความรู้เรื่องสุขภาพของระบบการแพทย์สมัยใหม่ ซึ่งเป็นการเปิดมิติใหม่ในการทำความเข้าใจสุขภาพ มีการรักษาพยาบาลโดยนำมิติทางจิตวิญญาณ สังคมและสิ่งแวดล้อมเข้ามาใช้ในการมองปัญหา แนวคิดดังกล่าวพยายามทำความเข้าใจองค์ความรู้และวิพากษ์ปฏิบัติการของการแพทย์สมัยใหม่ ส่งผลให้เกิดการเปิดโลกทัศน์และองค์ความรู้ใหม่ที่พยายามก้าวข้ามการผูกขาด ครอบงำความคิดและนิยามความเจ็บป่วยของการแพทย์สมัยใหม่เพียงฝ่ายเดียว โดยการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มคนชายขอบในสังคมที่ประสบทุกขภาวะทางกาย ใจและจิตวิญญาณ ได้อธิบายปัญหาด้านสุขภาพและความเจ็บป่วย รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์สมัยใหม่อันจะนำไปสู่ความเข้าใจปัญหาของคนชายขอบได้อย่างเข้าถึงลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น (หน้า 19,25)


2.แนวคิดมานุษยวิทยาสตรีนิยม (Feminist Anthropology) ผู้วิจัยพบว่าแนวคิดมานุษยวิทยาสตรีนิยม ได้สะท้อนให้เห็นการปรับกระบวนทัศน์ที่หันมาพิจารณาสถานภาพความเป็นชายหญิงว่าเกิดจากการสร้างทางสังคม จึงควรมีการรื้อสร้างความคิดใหม่ ศึกษากระบวนการของวาทกรรมความเป็นชายที่สร้างขึ้นผ่านความรู้ความเชื่อและสถาบันในสังคม ทุกวาทกรรมที่เกิดขึ้นควรเกิดจากการมีส่วนร่วมสร้างของทั้งหญิงและชาย ซึ่งจะทำให้มองเห็นภาพความเป็นหญิงในกระบวนการที่มีลักษณะเป็นพลวัตร มิได้เป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำอย่างตายตัว และแนวคิดดังกล่าวยังคำนึงถึงความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมของผู้หญิงในแต่ละสังคมมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปิดมิติในการทำความเข้าใจผู้หญิงที่ละเอียดอ่อนมากขึ้น ผู้วิจัยจึงใช้แนวคิดมานุษยวิทยาสตรีนิยม เพื่อทำความเข้าใจความรู้ ความคิดของหญิงชายคลิตี้ล่างผ่านการพิจารณาระดับการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของหญิงชาย คำอธิบายความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาพ และคำอธิบายความทุกข์ทรมานจากภาวะความสูญเสียและความเจ็บป่วย โดยมุ่งหวังให้การเกิดเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึก ประสบการณ์ของแต่ละเพศ ตลอดจนเรียนรู้ถึงการรับมือกับปัญหาของหญิง-ชายทั้งในระดับปัจเจก ครอบครัว ชุมชน (หน้า 25,33)

Ethnic Group in the Focus

ชาวกะเหรี่ยงโปว์บ้านคลิตี้ล่าง ซึ่งตั้งบ้านอยู่ในพื้นที่ปกครองของ 2 อำเภอคือ หมู่ 4 ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิและ หมู่ 3 ต.นาสวน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี (หน้า 4,35)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่ระบุรายละเอียด

Study Period (Data Collection)

มีนาคม 2546-กันยายน 2547

History of the Group and Community

คลิตี้ล่างเป็นคำภาษาไทยที่เพี้ยนมาจากภาษากะเหรี่ยงว่า คี่ตี่ทา (คำว่า คี่ แปลว่า เสือ, ถี่ แปลว่าตัวเดียว และทา แปลว่า ล่าง) มีตำนานเล่าต่อๆ กันมาว่า สมัยก่อนในป่าแถบนี้มีเสือ ชุกชุม และมีเสือโทนตัวใหญ่ที่สุดอาศัยอยู่ลำพังหากินในแถบป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ลำคลองงู แม่น้ำแควใหญ่และแควน้อย ทุกปีจะปรากฏรอยเท้าให้เห็นมีขนาดเท้าเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ฟุต เสือโทนตัวนี้ดุร้ายมาก หากเอ่ยชื่อจะมาปรากฏตัวให้เห็นทันที ต้องเลี่ยงการเรียกชื่อเป็นคี่ตี่ จนกลายมาเป็นคลิตี้ ซึ่งเป็นชื่อเรียกของหมู่บ้านในปัจจุบัน ชาวคลิตี้ล่างทำไร่และเคลื่อนย้ายหมู่บ้านไปมาบริเวณป่าแถบทุ่งใหญ่นเรศวร ลำคลองงูมานับร้อยปี โดยไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาสำรวจประชากร จนกระทั่งได้ตั้งหลักแหล่งแถบลำห้วย คลิตี้ เมื่อประมาณ พ.ศ.2440 นับอายุได้ 107 ปี โดยเริ่มแรกมีเพียง 8 ครอบครัว ลักษณะบ้านเรือนสมัยก่อน ใช้ไม้ไผ่ปูพื้นและทำฝาบ้าน หลังคาใช้ใบหวายหรือหญ้าคาในการมุง มีเตาไฟอยู่กลางบ้านเพื่อประกอบอาหารและให้ความอบอุ่นแก่สมาชิกในครอบครัว โดยสร้างบ้านกระจุกรวมกันอยู่บริเวณใจกลางหมู่บ้าน นั่นคือบริเวณป่ามะพร้าวในปัจจุบัน ต่อมามีญาติและเพื่อนบ้าน ย้ายเข้ามาอยู่เพิ่ม จึงเกิดเป็นหมู่บ้านขยายใหญ่ขึ้น และกระจายการตั้งบ้านเรือนออกไปในเขตรอบนอก สมัยก่อนใช้ไฟจากไต้และตะเกียงน้ำมันก๊าซให้แสงสว่างในเวลากลางคืน (หน้า 86-87)

Settlement Pattern

ไม่ระบุ

Demography

ชุมชนคลิตี้ล่างมีจำนวนประชากรประมาณ 269 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน 2547) มี 53 ครัวเรือน 64 ครอบครัว เป็นชาย 144 คน เป็นหญิง 125 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กชาย 57 คน เด็กหญิง 46 คน มีรายละเอียดแจกแจงตามช่วงอายุและเพศปรากฏอยู่ในตารางที่ 3.1 (หน้า 85) ผู้วิจัยได้สำรวจประชากรผู้ใหญ่ที่เสียชีวิตในช่วงปี 2536-2544 มีจำนวนทั้งสิ้น 8 คน โดยให้ข้อสังเกตว่า ผู้เสียชีวิตมีอาการเจ็บป่วยก่อนเสียชีวิตคล้ายกันคือ ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามร่างกาย บวมปวดท้อง โดยชาวคลิตี้ล่างเห็นตรงกันว่าเป็นอาการป่วยที่ผิดสังเกต มีรายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 4.5 (หน้า 168-169) นอกจากนี้ได้สำรวจจำนวนและอาการเสียชีวิตของเด็กในคลิตี้ล่างช่วงปี 2528-2544 พบว่า มีเด็กเสียชีวิตทั้งหมด 30 ราย โดยอาการของเด็กส่วนใหญ่ก่อนเสียชีวิต คือ เป็นไข้ ตัวร้อน ไอ ถ่ายท้อง ท้องอืด รวมถึงแท้งลูก ชาวคลิตี้ล่างเห็นว่า จำนวนการตายดังกล่าวสูงผิดปกติเมื่อเทียบกับการเกิดของเด็กในสมัยก่อน โดยเฉพาะในช่วงปี 2534 ที่มีเด็กเสียชีวิตถึง 6 ราย ด้วยอาการเจ็บป่วยที่คล้ายกัน มีรายละเอียดตามตาราง ที่ 4.6 และแสดงเป็นแผนภูมิที่ 4.1 (หน้า 170-173)

Economy

ผู้วิจัยพบว่าตั้งแต่ยุคเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านจนถึงปัจจุบันชาวคลิตี้ล่างยังคงดำรงชีวิตด้วยวิถีการผลิตแบบไร่หมุนเวียน อาชีพหลักคือการทำข้าวไร่เพื่อยังชีพ พริกที่ปลูกในไร่ถือเป็นแหล่งรายได้หนึ่ง มีการหาของป่าและล่าสัตว์บ้างเพื่อเป็นแหล่งโปรตีน การทำไร่ข้าวของชาวคลิตี้ล่างส่วนมากจะเพียงพอต่อการบริโภคตลอดทั้งปี แต่ถ้าครอบครัวใดมีข้าวไม่พอบริโภคจะขอยืมญาติพี่น้องแล้วใช้คืนในปีถัดไปโดยมิได้มีการคิดดอกเบี้ยหรือเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ระบบการผลิต การบริโภค การแลกเปลี่ยนและการจำหน่ายของชุมชนคลิตี้ล่าง เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบตลาดมากขึ้น หลังจากการเข้ามาของคนไทยในช่วงทำไม้อบเชย ประมาณ พ.ศ. 2500 ประกอบกับการเข้ามาของโรงแต่งแร่คลิตี้ เมื่อ พ.ศ. 2510 ได้นำความเจริญในด้านคมนาคม ไฟฟ้า สาธารณสุข ร้านค้า อู่ซ่อมรถและอื่นๆ มาไว้ที่บริเวณโรงแต่งแร่คลิตี้ ชาวคลิตี้ล่างเริ่มปรับตัวยอมรับนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นไปจับจ่ายใช้สอยที่บ้านคลิตี้บนอยู่บ่อยครั้ง ในช่วงพ.ศ. 2541-2542 เริ่มมีการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาชีพรองและหันมาเลี้ยงวัวเพื่อเป็นอาชีพเสริม แทนการเลี้ยงควายที่ตายนับร้อยตัวจากพิษสารตะกั่ว ชาวคลิตี้ล่างหลายครัวเรือนมีความต้องการยานพาหนะ และเครื่องทุ่นแรงในการผลิตมากขึ้นทุกขณะ ความสัมพันธ์ในการผลิตมีทั้งการเอาแรง เริ่มมีการจ้างงานระหว่างเพื่อนบ้านและคนนอกหมู่บ้าน วิถีชีวิตกำลังเปลี่ยนแปลงโดยหันมาปลูกพืชเชิงเดี่ยว ได้แก่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ด้วยเหตุผลที่ต้องการเงินไว้ใช้ในการเดินทางไปรักษาอาการเจ็บป่วยจากพิษสารตะกั่ว ประกอบกับอิทธิพลของวัฒนธรรมบริโภคใหม่ๆ ที่เข้ามา เช่น รถกับข้าว รถขายไอศกรีม ตลาดนัดเสื้อผ้าของใช้ หนังกลางแปลง รถขายตู้เสื้อผ้าและที่นอนแบบเงินผ่อน รถสองแถว เหล่านี้ได้สร้างระบบคิดที่ต้องเร่งการผลิตเพื่อเปลี่ยนเป็นเงิน ชาวคลิตี้ล่างส่วนใหญ่จะขายผลผลิตให้แก่พ่อค้าคนกลางที่เข้ามารับซื้อถึงหมู่บ้าน ด้วยเหตุผลในเรื่องการขนส่งเพราะไม่มียานพาหนะ ประกอบกับความรู้ทางการศึกษาและการสื่อสารที่ต้องใช้ภาษาไทยจึงเป็นอุปสรรคในการขายผลผลิตด้วยตนเอง ผู้วิจัยได้ศึกษาความสัมพันธ์หญิงชายในวิถีการผลิตของชาวคลิตี้ล่างว่า การทำงานทั้งในและนอกบ้านนั้นต่างช่วยกัน โดยที่ไม่ยึดติดว่างานใดเป็นงานของหญิงหรือชาย มีการช่วยกันตามความถนัด ความชำนาญ ส่วนใหญ่จะช่วยกันในทุกกิจกรรมและค่อนข้างมีอิสระต่อกันไม่ยึดติดว่าหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งต้องเป็นของใครตายตัว การตัดสินใจต่างๆ ในเรื่องการทำอาชีพนั้น สามีภรรยาจะตกลงกันแล้วแต่งานและข้อตกลงของแต่ละครอบครัว มีข้อสังเกตว่าผู้ชายจะทำงานประเภทใช้แรงงานมากกว่าผู้หญิง เช่น ฟันไร่ รื้อไร่ ฉีดยา ส่วนผู้หญิงจะทำงานที่เบากว่า เช่น เก็บพริก หยอดข้าว ดายหญ้า แต่อย่างไรก็พบว่ามีบางครอบครัวที่ผู้หญิงและผู้ชายช่วยกันฟันไร่ โดยผู้ชายตัดฟันต้นไม้ใหญ่ ส่วนผู้หญิงจะตัดฟันต้นไม้เล็กๆ เช่นไม้ไผ่ นอกจากนี้ยังมีการผลัดเปลี่ยนหน้าที่กัน แล้วแต่เงื่อนไขหลายๆ ด้านของหญิงชาย เช่น ความจำเป็นเร่งด่วนของงานที่ทำอยู่ และ ภาวะทางสุขภาพ เป็นต้น (หน้า 97, 100, 107, 109)

Social Organization

ผู้วิจัยพบว่าชาวคลิตี้ล่างมีความเชื่อที่ผูกพันกับสิ่งเหนือธรรมชาติ เป็นการควบคุมมิให้คนในหมู่บ้านทำผิดศีลธรรมอันดีที่บรรพบุรุษเคยยึดถือปฏิบัติมา เช่น มีความเชื่อเรื่องเจ้าพ่อมาประทับทรง เรื่องพฤติกรรมการดื่มเหล้าในวันพระ การเล่นการพนัน ทั้งที่สมัยก่อนไม่มีคนกินเหล้าและเล่นการพนัน จากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ทำให้ชาวคลิตี้ล่างร่วมกันตั้งกฎของหมู่บ้าน เรื่อง ห้ามขายเหล้าและเล่นการพนันในวันพระ ถ้าฝ่าฝืนปรับ 500 บาท นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อเรื่องการประพฤติผิดลูกเมียผู้อื่น กล่าวคือหากหญิงชายใดมีความสัมพันธ์กับบุคคลที่มิใช่สามีหรือภรรยาตนนั้น จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับบุคคลในครอบครัวและชุมชน โดยมีลางบอกเหตุคือ เสือมากัดวัวควายของครอบครัวและของคนในชุมชน จึงต้องทำพิธีการล้างความผิด โดยให้หญิง-ชายที่ทำผิดประเพณี นำน้ำขมิ้นส้มป่อยมารดเสาหรือฝาบ้านของทุกครัวเรือนในหมู่บ้าน โดยต้องทำให้ครบภายใน 1 วัน และให้ทำหมากพลู เทียน ดอกไม้ เจดีย์ อย่างละ 1,000 ไปปักที่ลานวัด พร้อมกับขอขมาผู้อาวุโสในชุมชน โดยต้องเสียค่าปรับให้แก่ผู้ใหญ่บ้าน 33 บาท (หน้า 89)

Political Organization

บ้านคลิตี้ล่างอยู่ในเขตพื้นที่ปกครองขององค์การบริหารส่วนตำบลชะแลและตำบลนาสวน มีผู้นำหมู่บ้าน 3 คน อยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ฝ่ายปราบปรามหมู่ 3 ต.นาสวน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ฝ่ายปกครองหมู่ 3 ต.นาสวน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 4 ต.ชะแล ภายในชุมชนมีการตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านเพื่อดูแลความสงบของหมู่บ้าน มีแกนนำประสานงานกิจกรรมในชุมชน (หน้า 87)


ผู้วิจัยพบว่าชุมชนคลิตี้ล่างมีกฎระเบียบซึ่งพัฒนามาจากปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งเดิมเป็นเพียงข้อปฏิบัติร่วมกัน เช่น การห้ามประพฤติผิดศีลธรรม ห้ามลักขโมย ห้ามดื่มเหล้า สมัยก่อนชาวคลิตี้ล่างมีวิถีปฏิบัติที่อยู่ในศีลธรรมและยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นอย่างมาก ทว่าภายหลังเมื่อชุมชนเกิดการเปลี่ยนแปลง มีประชากรเพิ่มขึ้น การปกครองมีความยากลำบากมากขึ้น คณะกรรมการหมู่บ้านจึงได้ร่วมกันตั้งกฎหมู่บ้านขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อปี 2543 (หน้า 90-91)


ผู้วิจัยได้วิเคราะห์บทบาทหญิงชายด้านการแสดงออกทางการเมืองและความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาในชุมชน โดยพบว่าบรรดาผู้นำ แกนนำ กรรมการหมู่บ้านและตัวแทนของ แต่ละครัวเรือนจะร่วมประชุมกันทุกวันพระใหญ่ หรือหากมีปัญหาเร่งด่วนก็จะตีเกราะเรียกประชุมทันที ผู้วิจัยพบว่าผู้ชายมีบทบาทสำคัญในการประชุม โดยสามารถถกเถียงปัญหาได้อย่างเต็มที่ ส่วนผู้หญิงเป็นผู้ฟังและอยู่นอกวงการประชุม แต่อย่างไรหากมีประเด็นที่ผู้หญิงไม่เห็นด้วยก็จะเสนอความคิดเห็นทันที ทว่าหากเป็นการประชุมที่มีคนภายนอกร่วมด้วย ผู้หญิงจะมอบให้ผู้ชายเป็นผู้มีบทบาทหลักในการเจรจาต่อรอง โดยทำหน้าที่เป็นผู้ฟังและเป็นมวลชนที่เพิ่มอำนาจการต่อรอง ดังกรณีปัญหาสารตะกั่วนี้ ผู้นำและแกนนำซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายจะประชุมเพื่อหาทางแก้ปัญหา ส่วนผู้หญิงจะมีบทบาทเสริมโดยการให้กำลังใจ กระจายข่าวพูดคุยปัญหากันระหว่างเพื่อนบ้านถึงแนวทางการแก้ปัญหา อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนและร่วมในกิจกรรมทุกอย่างของชุมชน เช่น การร่วมตั้งม้อบที่บ้านคลิตี้บน เพื่อเรียกร้องให้รัฐมนตรีลงพื้นที่บ้านคลิตี้ล่างด้วย โดยผู้หญิงทำหน้าที่ตั้งขบวนอยู่ด้านหน้า และให้ผู้ชายเป็นผู้เจรจาต่อรองกับเจ้าหน้าที่รัฐ ตลอดจนการออกไปร่วมเคลื่อนไหวในเวทีสาธารณะนั้น ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายเสริมกำลังมากกว่าการพูดบนเวที (หน้า 91)

Belief System

ผู้วิจัยพบว่าชาวคลิตี้ล่างนับถือศาสนาพุทธ และผสมผสานกับความเชื่อเรื่องการไหว้ผี มีความเชื่อที่ถ่ายทอดผ่านประเพณีซึ่งมีคุณค่าเชื่อมโยงชีวิตกับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน โดยเชื่อว่าทุกๆ ที่มีผีสิงสถิตอยู่ ผีที่ชาวคลิตี้ล่างกราบไหว้มี 2 ประเภทคือ ผีเรือนกับผีบ้าน ผีเรือนเป็นวิญญาณของพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่เสียชีวิตไปแล้ว จะมาอยู่ประจำเรือนเพื่อดูแลลูกหลานให้อยู่สงบสุข ส่วนผีบ้านคือผีหรือเจ้าป่าเจ้าเขาที่รักษาหมู่บ้าน บางครั้งเรียกผีเจ้าที่ ซึ่งมีความสำคัญมากในพิธีเกี่ยวกับการเกษตร และคอยควบคุมคนให้ประพฤติอยู่ในศีลธรรม ผีนอกเหนือจากสองประเภทดังกล่าวคือผีป่า เป็นผีร้ายที่คอยทำอันตรายผู้คน ถ้าผู้ใดมีเคราะห์อาจถูกผีร้ายเอาวิญญาณไปถึงแก่ชีวิตได้ การเลี้ยงผีของชาวคลิตี้ล่างในอดีต ใช้อ้นเป็นเครื่องเซ่น มีขั้นตอนที่ค่อนข้างเคร่งครัดและยุ่งยากใช้เวลาหลายวัน และหาอ้นได้ยาก ต่อมาจึงหันมาไหว้พระแทน การถือพระถูกปฏิบัติมาประมาณ 40 ปี โดยมีการไหว้ปีละครั้งในช่วงเดือนปีใหม่กะเหรี่ยง (งานสงกรานต์ของไทย) แต่ละครัวเรือนจะให้แม่บ้านเป็นผู้ประกอบพิธีสวดเพื่อระลึกถึงคุณพระคุณเจ้า ผีบ้านผีเรือน ผีพ่อแม่ที่ช่วยคุ้มครองสมาชิกในบ้านให้อยู่สบายไม่มีโรคภัย ในปีหนึ่งๆ จึงมีการนำข้าวปลาอาหาร ดอกไม้ เทียนไปกราบไหว้และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ช่วยปกปักรักษาช่วยดูแลสมาชิกในบ้านอยู่เย็นเป็นสุขต่อไป กล่าวได้ว่าชาวคลิตี้ล่างมีระบบความเชื่อที่ผสมผสานระหว่างพุทธกับผีให้อยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน และตามประเพณีชาวคลิตี้ล่างเชื่อว่าลูกสาวคนสุดท้องต้องอยู่กับพ่อแม่เพื่อสืบต่อพิธีไหว้พระนี้ (หน้า 124-125)

Education and Socialization

ในอดีตการเรียนรู้และการศึกษาของชาวคลิตี้ล่าง เป็นการเรียนภาษากะเหรี่ยงเท่านั้น โดยผู้ชายจะมีโอกาสได้เรียนในช่วงบวชพระ ส่วนผู้หญิงหากมีเวลาว่างจากงานในไร่ อาจให้พ่อหรือพี่ชายช่วยสอนภาษากะเหรี่ยงให้ แต่น้อยคนที่มีเวลาและสามารถอ่านเขียนภาษากะเหรี่ยงได้คล่อง ผู้หญิงบางคนจึงบวชชีเพื่อจะได้มีเวลาในการถือศีลและฝึกอ่านเขียนภาษากะเหรี่ยง พบว่าผู้หญิงอายุ 36 ปีขึ้นไปที่ได้บวชชี จะรู้ภาษากะเหรี่ยง และผู้ชายส่วนใหญ่จะเขียนภาษากะเหรี่ยงได้เกือบทุกคน ส่วนการอ่านเขียนภาษาไทยนั้น ผู้ชายรุ่น 35 ปีขึ้นไป บางคนสามารถอ่านเขียนได้จากการเรียนที่วัด แต่ผู้หญิงไม่สามารถอ่านเขียนได้ ชาวคลิตี้ล่างมีโอกาสเรียนภาษาไทย เมื่อ พ.ศ. 2526 โดยส่งลูกไปเรียนประจำที่โรงเรียนบ้านองหลุโดยอาศัยอยู่กับญาติ แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่นิยมส่งลูกไปเรียนด้วยเงื่อนไขที่ต้องช่วยทำงานในไร่ จากการสำรวจของผู้วิจัยในเรื่องความสามารถในการติดต่อสื่อสารภาษาไทยของชาวคลิตี้ล่างที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปพบว่า ผู้ชายส่วนใหญ่ 90.2 % สามารถพูดสื่อสารภาษาไทยได้เข้าใจ ส่วนผู้หญิง 50 % เท่านั้นที่สามารถพูดสื่อสารภาษาไทยได้เข้าใจ ผู้วิจัยเห็นว่าจากความสามารถด้านการสื่อสารภาษาไทยของผู้ชาย จึงเป็นผลให้พบเห็นผู้ชายในเวทีการประชุมระดับชุมชนและเวทีสาธารณะต่างๆ มากกว่าผู้หญิง (หน้า 92-93)

Health and Medicine

ความเชื่อและการรักษาพยาบาลในชุมชน ผู้วิจัยพบว่าชาวคลิตี้ล่างมีการรักษาอาการเจ็บป่วยเบื้องต้นด้วยหมอพื้นบ้าน ได้แก่หมอสมุนไพร หมอรักษากระดูก หมอตำแย หมอทรง เป็นต้น ประกอบกับการเดินทางที่ไม่สะดวกห่างไกลจากสถานีอนามัย และโรงพยาบาลทำให้ชาวคลิตี้ล่างเลือกที่จะรักษาความเจ็บป่วยด้วยตนเองแทนการรักษากับแพทย์สมัยใหม่ ทว่าหากมีอาการไข้หนักเรื้อรัง รักษาด้วยยาสมุนไพรไม่หายก็จะไปอนามัยและโรงพยาบาล และเชื่อว่าหากมีอาการป่วยแบบผีเข้าหรือถูกทำของ เช่นพูดโดยไม่รู้สึกตัว คุ้มดีคุ้มร้าย ไม่มีไข้หรือตัวร้อน เป็นต้น ก็ต้องรักษากับหมอทรง (หน้า 127-128) การคลอดลูกตามภูมิปัญญากะเหรี่ยงบ้านคลิตี้ล่าง ชาวคลิตี้ล่างมีความเชื่อ ภูมิปัญญาและวิถีปฏิบัติในช่วงก่อนภรรยาคลอดลูก โดยสามีต้องเตรียมสถานที่สำหรับทำคลอด หาฟืน อุปกรณ์สำหรับการอยู่ไฟของภรรยา ส่วนภรรยาเป็นผู้เตรียมเสื้อผ้า และผ้าอ้อม เป็นต้น ชาวคลิตี้ล่างเชื่อว่าเด็กมีเวลาตกฟากของตัวเอง ถ้าไม่ถึงเวลาทำอย่างไรก็จะไม่คลอดออกมา แม้แม่จะเจ็บอย่างไรก็ต้องทน จึงมีพิธีเพื่อให้คลอดง่ายด้วยการนำข้าวสุกปั้น และถ่านอย่างละ 3 ก้อน พร้อมด้วยหมาก พลู บุหรี่และด้ายใส่ไว้ที่กระด้ง แล้วมาฟัดใกล้ๆ ท้องของแม่ แล้วให้แม่ถ่มน้ำลายรด 3 ครั้ง ถัดจากนั้นจึงนำของในกระด้งไปวางไว้ที่ต้นไม้เป็นอันเสร็จพิธี นอกจากนี้ ยังมีพิธีนำข้าวสารมาเคี้ยวแล้วพ่นใส่กองไฟที่แม่จะอยู่ไฟโดยเชื่อว่าเป็นการกันไฟทำให้ร่างกายแม่ไม่บวม ระหว่างภรรยาเจ็บท้องใกล้คลอด สามีจะคอยเป็นลูกมือให้หมอตำแย คอยดูแลและเป็นกำลังใจให้ภรรยา ถ้าสามีคนใดไม่อยู่ในช่วงที่ภรรยาคลอดลูก หากกลับถึงบ้านต้องทำพิธีโดยคนที่อยู่บนบ้านนำขี้เถ้าปาใส่หน้า และปีนขึ้นบ้านทางต้นเสา ห้ามขึ้นทางบันได ผู้วิจัยวิเคราะห์ว่า พิธีนี้เป็นกุศโลบายที่ให้สามีได้ดูแลภรรยาในช่วงกำลังคลอด ได้เข้าใจความเจ็บปวดขณะคลอดของภรรยา ส่วนภรรยาก็มีความรักและผูกพันกับสามีซึ่งคอยช่วยเหลือตลอดช่วงเวลาที่เธอคลอดลูก นอกจากนี้ ชาวคลิตี้ล่างเชื่อว่าต้องเอารกใส่กระบอกไม้ไผ่ พร้อมน้ำขมิ้นส้มป่อยและน้ำจากถ่านโดยเชื่อว่าจะทำให้เด็กอยู่กับพ่อแม่ แล้วให้สามีนำไปแขวนที่ต้นไม้ใหญ่ในป่า เช่น ต้นทองหลาง เชื่อว่าจะทำให้เด็กมีเพื่อนและคนที่รักใคร่มากมาย และให้ขวัญของลูกมีอายุยืนยาวเหมือนต้นไม้ หลังจากสะดือของลูกหลุดแล้ว พ่อแม่จึงตั้งชื่อลูกได้โดยมีพิธีทำขวัญและตั้งชื่อให้ตามวันเกิดเป็นภาษากะเหรี่ยง ด้านการดูแลสุขภาพลูกในขวบปีแรกนั้น ชาวคลิตี้ล่างจะนำยาสมุนไพรแขวนที่แขน คอหรือโปะที่ศีรษะเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัด เป็นไข้หรือท้องเดิน

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่ระบุ

Folklore

ตำนานและเรื่องเล่าที่พบในงานศึกษานี้ เป็นเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิต ธรรมชาติและการทำไร่หมุนเวียนซึ่งเป็นเสมือนกุศโลบายที่เตือนคนรุ่นหลังให้มีสติ มีเนื้อหาพอสังเขปดังนี้ 1.ตำนานเสือโทน : คี่ตี่หรือหม่องบือ ผู้วิจัยได้ศึกษาตำนานเสือโทนมีเนื้อหาว่า สมัยก่อนป่าบริเวณทุ่งใหญ่นเรศวร มีเสือชุกชุม เมื่อเข้าป่าต้องระวังตัวให้มาก ต้องไม่ทำผิดประเพณี และมีตำนานเล่าต่อกันมาว่ามีเสือเจ้าที่เจ้าทางตัวใหญ่และดุร้ายมาก มีรอยเท้าขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ฟุต เวลาเข้าป่าห้ามทุกคนเอ่ยชื่อเรียก คี่ถี่ (แปลว่าเสือโทน) เป็นอันขาดเพราะเสือเจ้าที่จะมาปรากฏตัวทันที ให้เอ่ยคำว่า คี่ตี่ แทน และหากเจอรอยเท้าหรือได้ยินเสียงก็ห้ามทัก เมื่อจะพูดถึงเสือก็ให้เรียกว่า หม่องบือ (น้องคนสุดท้อง) เหตุที่เรียกเสือเป็นน้องคนสุดท้องนั้น ชาวคลิตี้ล่างมีตำนานอีกว่า นานมาแล้วเสือกับแมวเป็นพี่น้องกัน แมวเป็นพี่ เสือเป็นน้อง วันหนึ่งเสือกับแมวล่าหมูป่ามาได้ตัวหนึ่ง ตกลงกันว่าจะมาทำกับข้าวกินกัน แต่เนื่องจากไม่มีไฟ แมวจึงอาสาไปขอไฟที่บ้านยายที่กำลังหุงข้าวอยู่พอดี แมวซึ่งกำลังหิวมากจึงรอกินข้าวจากยายโดยลืมนึกถึงเสือไปทันที เสือรออยู่นานโดยไม่เห็นแมวกลับมา ทั้งหิวและโกรธมากจึงกินหมูป่าดิบๆ และตามขย้ำแมวโดยคิดในใจว่าถ้าเจอแมวแม้กระทั่งขี้ก็จะกินไม่ให้เหลือ จึงเป็นที่มาของพฤติกรรมที่แมวคอยกลบอุจจาระทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เสือตามมาเจอ ผู้วิจัยวิเคราะห์ว่าตำนานดังกล่าวที่มีการเรียกชื่อเสือว่าคี่ตี่หรือหม่องบือนั้น เพื่อเป็นเคล็ดและสร้างกำลังใจในการเข้าป่า เพราะเสือเป็นสัตว์ที่ดุร้าย จึงมีการผูกโยงความสัมพันธ์ของเสือกับแมวเรื่องความเป็นพี่น้อง โดยให้มองเสือมีพฤติกรรมคล้ายกับแมวซึ่งมีความอ่อนโยน ไม่ดุร้าย และยังเป็นกุศโลบายให้ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม ทำให้ชุมชนอยู่อย่างสงบสุขนั่นเอง 2.ชีวิตคนกะเหรี่ยงให้จับกอข้าวไว้ ผู้วิจัยบอกเล่าถึง คำสอนของผู้เฒ่าผู้แก่ชาวกะเหรี่ยงที่เตือนลูกหลานให้มีสติอยู่ตลอดโดยเตือนว่าในอนาคตข้างหน้า หมู่บ้านจะมีเสียงร้องแปลกๆ ดังไม่หยุด ไม่เคยเหน็ดเหนื่อย ต้นไม้จะเลื้อยเป็นงู จะมีพายุฝนลมแรง ถึงขนาดต้นไม้ก็จับไม่อยู่ สิ่งที่จะจับได้และเราจะอยู่รอดก็คือจับกอข้าวไว้ ทั้งนี้ชาวคลิตี้ล่างได้ตีความคำสอนและเห็นว่าเหตุการณ์ที่คนรุ่นก่อนเตือนนั้นได้เกิดขึ้นแล้วเพราะเสียงที่ดังไม่หยุด ไม่รู้จักเหนื่อยก็คือเสียงตัดไม้โดยใช้เครื่องยนต์ และมีการลากไม้ออกไปซึ่งมีลักษณะคล้ายงูเลื้อย และเสียงร้องแปลกๆ ก็คือเสียงเพลงจากตลาดนัดที่เข้ามาในหมู่บ้าน ส่วนพายุฝนลมแรงหมายถึงปัญหาที่ชาวคลิตี้ล่างกำลังประสบอยู่ เช่น ที่ดินทำกิน เจ็บป่วยเป็นโรคพิษสารตะกั่ว ปัญหาหนี้สิน เป็นต้น และการจะทำให้ชีวิตอยู่รอดได้ก็คือจับกอข้าวไว้ นั่นก็หมายถึงให้ลูกหลานดำรงชีวิตด้วยการทำข้าวไร่ ซึ่งจะทำให้มีข้าวกินและพึ่งตนเองได้ 3.เรือสำเภาท่ามกลางพายุคลื่นลมแรง ผู้วิจัยพบความเชื่อที่เตือนสติลูกหลานชาวคลิตี้ล่างว่า ชีวิตขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงนั่งเรือสำเภามากลางแม่น้ำใหญ่ เจอพายุคลื่นลมพัดกระหน่ำ มีปลาเวียนตัวใหญ่อยู่หนึ่งตัว ที่สามารถลากเรือไปไม่ให้คว่ำได้ แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้อะไรเป็นเหยื่อในการเหวี่ยงเบ็ดให้ปลาเวียนนี้งับเพื่อลากเรือไป ชาวคลิตี้ล่างตีความคำเตือนนี้ว่า ชะตากรรมของชาวคลิตี้ล่างเสมือนเรือสำเภาท่ามกลางพายุ ดังที่พบว่ามีปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาที่ดินทำกิน หนี้สิน โรคพิษสารตะกั่ว เป็นต้น ชุมชนต้องมาช่วยกันคิดหาทางออกว่าจะใช้วิธีการใดให้อยู่รอด ซึ่งเห็นตรงกันว่าการทำไร่หมุนเวียนในพื้นที่แปลงรวม จะเป็นหนทางที่ทำให้สามารถพึ่งตัวเองได้ มีข้าวกินและไม่อดตาย ผู้วิจัยวิเคราะห์ว่า ชาวคลิตี้ล่างมีภูมิปัญญาการเตือนสติลูกหลานที่แยบยล มิให้หลงใหลกับความเปลี่ยนแปลงและตั้งรับกับปัญหาต่างๆ โดยนำธรรมชาติเป็นตัวอธิบายเปรียบเทียบและเน้นให้มีวิถีชีวิตแบบพึ่งตนเอง ให้รักษาภูมิปัญญาดั้งเดิมไม่ทิ้งวิถีการผลิตแบบไร่ข้าวหมุนเวียนซึ่งเป็นรากเหง้าของความเป็นกะเหรี่ยง (หน้า 126-127)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่ระบุ

Social Cultural and Identity Change

ไม่ระบุ

Critic Issues

ไม่ระบุ

Other Issues

ผู้วิจัยพบว่าปัญหาผลกระทบจากการปนเปื้อนของพิษสารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ มีผู้เชี่ยวชาญใช้ความรู้เฉพาะอธิบายปัญหา เช่น ความรู้ด้านธรณีเรื่องพื้นที่ศักยภาพแร่ตะกั่ว ความรู้ทางการแพทย์เรื่องการนิยามความเจ็บป่วย ความรู้ทางเทคนิคในการวัดระดับค่ามาตรฐานตะกั่วในเลือด สัตว์น้ำ ดินและตะกอนดิน เป็นต้น โดยความรู้เหล่านี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นความรู้ที่น่าเชื่อถือและเป็นความรู้หลักในสังคม แต่เมื่อพิจารณาในมุมวิพากษ์แล้ว ผู้วิจัยพบว่าองค์ความรู้ดังกล่าวถูกผลิตขึ้นและมีนัยของความสัมพันธ์เชิงอำนาจเพื่อสร้างคำอธิบายที่มีอำนาจเหนือคำอธิบายปัญหาของชุมชนคลิตี้ล่าง และจากงานศึกษาพบว่าในระดับปัจเจก ครอบครัวและชุมชนคลิตี้ล่าง ต่างมีคำอธิบายความรู้เหล่านี้ด้วย ดังข้อมูลต่อไปนี้ วาทกรรมการพัฒนาว่าด้วยเรื่องตะกั่ว ผู้วิจัยพบว่า หญิงชายคลิตี้ล่างมีประสบการณ์การหาและใช้แร่ตะกั่วด้วยภูมิปัญญาดั้งเดิม โดยไม่เบียดเบียนและทำลายธรรมชาติ มีการขุดหาแร่ตะกั่ว นำตะกั่วมาหลอมใช้ด้วยประสบการณ์ที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ ตะกั่วเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชาวกะเหรี่ยง ทว่า วาทกรรมการพัฒนาในรูปของอุตสาหกรรมเหมืองแร่เป็นความพยายามของผู้มีอำนาจในการควบคุมจัดการทรัพยากรแร่ โดยอ้างผลประโยชน์ของประเทศชาติ เช่น การเพิ่มรายได้ การลดการนำเข้า ภายหลังพื้นที่อยู่อาศัยของชาวคลิตี้ล่างถูกประกาศว่าเป็นแหล่งศักยภาพแร่ตะกั่ว พร้อมกับการให้สัมปทานทำเหมืองแร่ ซึ่งมีความรู้ใหม่จากการพัฒนาได้เข้าไปดัดแปลงทำให้ไม่เป็นธรรมชาติ เช่นขั้นตอนการเจาะขุดตะกั่ว การแต่งแร่ การใช้สารเคมีสกัดแร่ จนเกิดพิษตะกั่วปนเปื้อนในธรรมชาติ เหล่านี้ทำให้ชาวคลิตี้ล่างดำรงอยู่ด้วยภาวะแห่งความรู้ไม่เท่าทันภาวะการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ ชาวคลิตี้ล่างต้องการความรู้ชุดใหม่ ที่อธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายถึงขั้นตอนการทำแร่ อันตรายที่เกิดขึ้น และการปฏิบัติตนท่ามกลางความเสี่ยง โดยคาดหวังว่าความรู้เหล่านี้จะทำให้สามารถรับมือกับอันตรายจากพิษตะกั่วได้ (หน้า 213) องค์ความรู้เรื่องด้านผลกระทบทางกายภาพ ชุมชนคลิตี้ล่างช่วยกันดูแลน้ำและใช้ทรัพยากรในห้วยอย่างชาญฉลาด โดยเชื่อว่าในลำห้วยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ จึงใช้น้ำด้วยความเคารพ เช่นไม่ปัสสาวะ อุจจาระลงในห้วย จับปลาแบบพอกิน และไม่ทำไร่ใกล้ลำห้วย เป็นต้น ผู้วิจัยพบความรู้ของหญิง-ชายมีความแตกต่างกันตามบทบาทในชีวิตประจำวัน ทว่าการรับรู้ถึงสิ่งผิดสังเกตจากความเปลี่ยนแปลงในลำห้วยไม่ต่างกัน เช่น สีและกลิ่นของน้ำ ที่มีสีน้ำตาลขุ่นคล้ำ มีกลิ่นสารเคมี ลักษณะและจำนวนของสัตว์น้ำ รวมถึงพืชข้างลำห้วย เช่น ปลาตัวซีด หัวโต ตัวผอม กุ้งมีหินปูนเกาะ หอยสูญพันธุ์ ผักกูดสูญพันธุ์เป็นต้น ผู้วิจัยพบว่า ความรู้เหล่านี้เกิดจากการสังเกตในชีวิตประจำวันของหญิงชายคลิตี้ล่าง ซึ่งเป็นเครื่องมือหนึ่งในการวัดความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ และควรนำมาพิจารณาถึงภาวะความสูญเสียทางสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับความรู้ของนักวิชาการ จะทำให้การมองปัญหามีลักษณะเชื่อมโยงกับความเป็นจริงในชีวิตมนุษย์มากยิ่งขึ้น (หน้า 215-216) องค์ความรู้ด้านผลกระทบทางสุขภาพกาย จิตใจและสังคม ผู้วิจัยศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพกาย จิตใจและสังคม พบว่า ในช่วงปี 2518-2544 ชาวคลิตี้ล่างมีอาการเจ็บป่วยผิดสังเกต เป็นไข้ ถ่ายท้อง ปวดหัว ปวดข้อ ปวดกระดูก ชาตามมือเท้า มีผื่นคันตามร่างกาย เด็กมีพัฒนาการผิดปกติ หลายรายมีอาการเครียด คล้ายโรคประสาท และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคนในชุมชนอย่างรุนแรง มีการกล่าวโทษและหาตัวผู้ที่ทำให้คนในชุมชนเจ็บป่วยด้วยวิธีคิดแบบไสยศาสตร์ ภายหลังชาวคลิตี้ล่างได้นำความรู้การแพทย์สมัยใหม่เข้ามาผสมผสานการอธิบายความเจ็บป่วย ทำให้รับรู้ว่าความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นในชุมชนเป็นผลมาจากพิษสารตะกั่ว แต่อย่างไรก็ตาม ได้เกิดการวิพากษ์จากมุมมองของ ชาวคลิตี้ล่างถึงการรักษาของแพทย์สมัยใหม่ว่าใช้เกณฑ์มาตรฐานในการชี้วัดความเจ็บป่วยโดยมิได้คำนึงถึงความรู้สึก ความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย และผูกขาดคำอธิบายเรื่องความเจ็บป่วย รวมถึงต้องการคำวินิจโรคที่เป็นความจริง ต้องการยาและการรักษาที่ตรงกับอาการป่วยของโรค และขอใช้สิทธิความเป็นผู้ป่วยเพื่อเข้ารับบริการการรักษาจากแพทย์ที่เชื่อมั่นว่าสามารถรักษาอาการนี้ให้หายได้ (หน้า 218,223) การปรับตัว รับมือและต่อสู้กับปัญหา ชาวคลิตี้ล่างได้หาคำอธิบายจากอาการเจ็บป่วยผิดสังเกต และสะท้อนปัญหาให้สังคมภายนอกรับรู้ โดยการสร้างพื้นที่และโอกาสในการวิพากษ์ความรู้กระแสหลัก เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและพัฒนาความคิดความเข้าใจต่อปัญหา ผนวกความรู้แบบเดิมและแบบใหม่เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อนำสู่การอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิด พร้อมทั้งใช้วาทกรรมของชุมชนชายขอบในการตีความ รื้อสร้างวัฒนธรรมประเพณีของชุมชนเพื่อรับมือและต่อสู้กับปัญหา การปรับวิถีชีวิต ตีความและรื้อสร้างใหม่ของประเพณี ผู้วิจัยพบการปรับตัวในระดับปัจเจกและครอบครัวว่า หญิงชายคลิตี้ล่างได้ปรับตัวในการอยู่กับสิ่งแวดล้อมแบบใหม่ที่เต็มไปด้วยพิษสารตะกั่วอันส่งผลให้การทำมาหากินมีความยากลำบากมากขึ้น โดยการเพิ่มวิธีหาปลา เช่นดักตาข่ายและดำปลา เว้นช่วงในการหาปลา ไม่หาบ่อยเหมือนก่อน ยอมหยุดกินปลาในห้วยแล้วหันมากินปลากระป๋องแทนเพราะกลัวพิษตะกั่ว รองน้ำฝนไว้ดื่ม อาบน้ำจากห้วยเล็กแทนห้วยคลิตี้ หันมาเลี้ยงวัวแทนควายที่ตายเพื่อเป็นรายได้เสริม และขยายพื้นที่ทำไร่ข้าวโพดเพื่อเป็นแหล่งรายได้หลักเนื่องด้วยจำเป็นต้องใช้เงินซื้ออาหาร และเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรักษาความเจ็บป่วย ในส่วนของการฟื้นฟูและรื้อสร้างใหม่ของประเพณีระดับชุมชนนั้น ผู้วิจัยพบว่าชาวคลิตี้ล่างได้จัดงานทำบุญให้ผู้เสียชีวิตจากอาการผิดสังเกต โดยเชื่อว่าสาเหตุหนึ่งของการตาย น่าจะมาจากสารตะกั่ว เพราะผู้ตายมีอาการคล้ายกันคือ ตัวบวม ปวดหัว ปวดข้อ หน้ามืดตาลาย ชาตามร่างกายเป็นต้น ทั้งนี้งานทำบุญดังกล่าวเป็นการพยายามใช้พื้นที่สาธารณะของหญิงชายคลิตี้ล่างในการนำเสนอปัญหา ผ่านสื่อมวลชนที่เข้ามาทำข่าวในหมู่บ้าน ถือเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้ชาวคลิตี้ล่างสามารถบอกเล่าความทุกข์จากการสูญเสียได้ นอกจากนี้ยังได้จัดพิธีสืบชะตาห้วยคลิตี้ (กุหลุทิ) ด้วย โดยชาวคลิตี้ล่างได้ร่วมกันสืบชะตาลำห้วย กล่าวขอขมาต่อสายน้ำ รวมถึงเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาลำห้วย พร้อมกับสร้างชุดคำอธิบายที่สะท้อนให้เห็นว่าหญิงชายคลิตี้ล่างเป็นผู้รักษาสายน้ำ ดำรงชีวิตอยู่โดยไม่ทำลายธรรมชาติ และขออ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิช่วยดลบันดาลให้เหมืองแร่หยุดการกระทำที่ทำร้ายธรรมชาติด้วย ผู้วิจัยวิเคราะห์ว่าหญิงชายคลิตี้ล่างได้สร้างตัวตนโดยเปรียบเทียบพฤติกรรมระหว่างตนเองกับเหมืองแร่ ซึ่งปฏิบัติต่อธรรมชาติด้วยวิถีทางที่ต่างกัน และสะท้อนให้สังคมรับรู้ถึงคุณค่าแห่งวิธีคิดแบบกะเหรี่ยงที่เชื่อว่า “น้ำคือชีวิตของคนและสัตว์” และพิธีกรรมนี้ยังมีนัยแห่งการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิชุมชนของผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมและการดำรงอยู่กับธรรมชาติอย่างกลมกลืนด้วย และมีการตีความข้อเตือนสติจากคนรุ่นปู่ย่าตายายในเรื่องต่างๆ เช่น ชีวิตคนกะเหรี่ยงให้จับกอข้าวไว้ เรือสำเภาท่ามกลางพายุคลื่นลมแรง โดยผู้วิจัยวิเคราะห์ว่าข้อเตือนสติข้างต้นเป็นวิธีการหนึ่งที่หญิงชายคลิตี้ล่างได้หยิบยกขึ้นมาอธิบายและตีความเพื่อปรับใช้ในการรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงในชุมชน (หน้า 225) การรับมือ-ลุกขึ้นสู้กับปัญหา ผู้วิจัยพบว่าหญิงชายชาวคลิตี้ล่างมีวิถีทางในการรับมือกับปัญหาด้วยรูปแบบต่างๆ ดังนี้คือ หนึ่ง) รักษาอาการเจ็บป่วยด้วยยาสมุนไพรและยาแผนปัจจุบัน โดยหาหมอทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน ใช้ยาแผนปัจจุบัน ยาสมุนไพร เช่นยาแก้ปวด ยานวด ยาดองและยาต้ม เป็นต้น สอง) ใช้ไสยศาสตร์ในการรักษาและอธิบายความเจ็บป่วย แต่ทั้งนี้หญิงชายคลิตี้ล่างมิได้เหมารวมว่าทุกความเจ็บป่วยสามารถรักษาด้วยไสยศาสตร์ได้ ซึ่งพวกเขาได้พิจารณาจากลักษณะอาการเจ็บป่วยเป็นหลักพร้อมกับตรวจดวงชะตา โดยเชื่อว่าหากมีอาการปวดท้องแบบไม่มีไข้ คุ้มคลั่ง พูดไม่รู้ตัว คุ้มดีคุ้มร้าย ใจสั่น ตกใจง่าย เหล่านี้อาจเกิดจากการกระทำของผี ต้องใช้การรักษากับหมอทรง สาม)การป้องกันสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกาย หญิงชายคลิตี้ล่างส่วนใหญ่กล่าวว่า ทุกคนต้องรักษาตัวเองไม่ควรใช้น้ำและกินปลาในห้วย ต้องดูแลสุขภาพของตัวเองและกินยาสมุนไพร และหากมีการช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายช่วงที่กินปลาในห้วยไม่ได้ประมาณ 4-5 ปี ก็จะทำให้สารตะกั่วไม่เข้าไปในตัวชาวบ้าน และเสนอให้หมอมารักษาความเจ็บป่วยอย่างจริงจังด้วย สี่) การทำใจต่อสภาพความเจ็บป่วย หญิงชายคลิตี้ล่างมีความทุกข์จากอาการเจ็บป่วยจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ จึงยอมจำนนและทำใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยคิดว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดาของชีวิตมนุษย์ ห้า)การวิพากษ์การรักษาโรคของแพทย์ ทั้งหญิงชายชาว คลิตี้ล่างต่างเห็นว่าการรักษาของแพทย์เป็นการรักษาที่ไม่ถูกโรค แพทย์ไม่ทำหน้าที่อย่างจริงจังและไม่จริงใจในการรักษา เป็นผู้กำหนดและชี้ขาดว่าใครคือผู้ป่วยเพียงฝ่ายเดียว แต่กลับไม่สร้างความมั่นใจว่าพวกเขาจะหายจากอาการเจ็บป่วยผิดสังเกตได้อย่างไร และต่างเห็นว่าแพทย์สาธารณสุขจังหวัดมีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าของเหมืองแร่ จึงไม่อยากรักษาหญิงชายคลิตี้ล่างเหล่านี้จึงนำไปสู่ความเบื่อหน่ายและไม่ให้ความร่วมมือกับทีมแพทย์ที่มาออกหน่วยเคลื่อนที่ในระยะหลัง ผู้วิจัยพบว่าการต่อสู้ด้วยวิถีของหญิงชายคลิตี้ล่าง มีพัฒนาการคือ 1) สังเกตเห็นสิ่งแวดล้อมผิดปกติ แต่ยังไม่คิดเรียกร้องหาผู้รับผิดชอบ เป็นลักษณะของการเห็นความผิดปกติในลำห้วย แต่พยายามอดทนดื่มกินใช้น้ำในห้วย มิได้เรียกร้องหรือหาผู้รับผิดชอบ และคิดไม่ออกว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร 2) รับรู้ถึงอันตรายและลุกขึ้นสู้ในระดับชุมชน โดยพบว่าผู้ชายได้ต่อรองกับผู้จัดการเหมืองและแจ้งเจ้าหน้าที่รัฐให้แก้ไขปัญหา ส่วนผู้หญิงมีบทบาทเสริมในการสนับสนุนการต่อสู้โดยเข้าร่วมการประชุมเพื่อให้เกิดพลังมวลชน พร้อมทั้งร่วมเสนอประเด็นที่ผู้ชายมองข้าม 3)การนำเสนอปัญหาสู่สาธารณะ โดยกลุ่มผู้นำ-แกนนำได้ออกมาเคลื่อนไหวโดยประสานความช่วยเหลือจากเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนและสื่อมวลชน มีการทำหนังสือร้องเรียนถึงหน่วยงานรัฐ เข้าร่วมเวทีสัมมนา และให้สัมภาษณ์นักข่าวหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์หลายช่อง ส่วนกลุ่มผู้หญิงเห็นว่าชาวคลิตี้ล่างต้องร่วมมือกันและให้เครือข่ายนักพัฒนาเอกชนและสื่อมวลชนเข้ามาช่วย พวกเธอมองว่าควรให้เหมืองมาแก้ปัญหา ฟื้นฟูลำห้วยให้น้ำเหมือนเดิม เหมืองต้องรับผิดชอบต่อความเจ็บป่วยของชาวบ้านและจ่ายเงินค่ารักษา และไม่ควรมีการทำเหมืองแร่อีกต่อไป ผู้หญิงมีบทบาทในการกระตุ้นคนในหมู่บ้านให้รวมตัวกันแก้ปัญหาดังกล่าว โดยเห็นว่าหญิง-ชายสามารถช่วยกันแก้ปัญหาหมู่บ้านได้ ทั้งนี้ผู้หญิงจะแสดงบทบาททั้งการประจันหน้าและการเป็นผู้ให้กำลังใจอยู่เบื้องหลังตามเวลาและโอกาส (หน้า 227-228) ผู้วิจัยตั้งสมมุติฐานไว้ว่าหญิงชายคลิตี้ล่างมีวิธีการในการรับมือกับปัญหาในวิถีทางที่ต่างกัน และองค์ความรู้เรื่องผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมที่มีต่อสุขภาพในมิติทางเพศ สามารถเพิ่มพูนความเข้าใจต่อความซับซ้อนในปัญหาของชาวคลิตี้ล่างได้ ทั้งนี้ผู้วิจัยพบว่าหญิงชายคลิตี้ล่างได้จัดการปัญหาตามประสบการณ์ บทบาทและหน้าที่ด้วยวิถีทางที่ต่างกันออกไป และสามารถปรับเปลี่ยนบทบาทตามโอกาสและภาวะที่เผชิญ โดยผู้หญิงสามารถลุกขึ้นสู้และทำงานไปพร้อมกับผู้ชายได้ และผู้หญิงเห็นว่าการทำงานอยู่เบื้องหลัง การเป็นผู้ตาม การร่วมฟังการประชุม การคัดค้านในบางโอกาส การเป็นผู้ให้กำลังใจก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การต่อสู้ประสบความสำเร็จได้ นอกจากนี้ หญิงคลิตี้ล่างยังสามารถเป็นผู้นำและตามได้ในคนคนเดียวกัน ผู้หญิงสามารถลุกขึ้นมานำได้ในสถานการณ์และโอกาสที่ต่างกัน เช่นเมื่ออยู่ในม้อบ ก็สามารถลุกขึ้นเผชิญหน้าได้อย่างไม่เกรงกลัว หรือเป็นผู้นำประเพณีในครัวเรือนและวิถีการผลิต และผู้วิจัยได้วิเคราะห์ถึงปัจจัยที่ทำให้หญิงชายคลิตี้ล่างมีวิธีการต่อสู้ที่แตกต่างกัน ได้แก่ ความสามารถด้านการใช้ภาษาไทย ความสามารถในการสื่อสาร ทักษะการพูด ประสบการณ์ในการต่อสู้ บุคลิกภาพส่วนตัว และวัฒนธรรมชุมชน ผู้วิจัยได้สรุปทิ้งท้ายว่า สมมุติฐานที่ตั้งไว้ มีความเป็นจริง และเห็นว่าการมองปรากฏการณ์ปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นด้วยมิติความสัมพันธ์หญิงชายนั้น ส่งผลให้มีความเข้าใจชุมชนและเข้าใจความซับซ้อนของปัญหาได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น (หน้า 229-230)

Map/Illustration

ผู้วิจัยได้ใช้วิธีการเขียนงานมานุษยวิทยาเชิงพรรณนา และใช้ตาราง แผนที่ แผนภูมิและรูปภาพประกอบทำให้เห็นภาพและสถิติตัวเลขเชิงประจักษ์ โดยมีรายละเอียดดังนี้ ตาราง ประกอบด้วยตารางลำดับเหตุการณ์ปัญหาและการลงพื้นที่ของหน่วยงานภาครัฐ (หน้า 53) ตารางแสดงปริมาณตะกั่วในตัวอย่างน้ำในลำห้วยคลิตี้ (หน้า 58) ตารางแสดงปริมาณตะกั่วในดินท้องน้ำในลำห้วยคลิตี้ (หน้า 58) ตารางแสดงการตรวจวัดปริมาณสารตะกั่วในสัตว์น้ำในลำห้วยคลิตี้ (หน้า 61) ตารางแสดงพิษตะกั่วที่ส่งผลต่อระบบอวัยวะในร่างกาย (หน้า 70) ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างระดับตะกั่วในเลือดกับอันตรายที่พบ (หน้า 72) ตารางแสดงผลการตรวจเลือดชาวคลิตี้ล่าง ปี 2542-2543 (หน้า 74) ตารางแสดงจำนวนประชากรบ้านคลิตี้ล่างจำแนกตามช่วงอายุ ปี 2547 (หน้า 85) ตารางแสดงความสามารถในการสื่อสารภาษาไทยของหญิงชายคลิตี้ล่าง (หน้า 93) ตารางแสดงพื้นที่ทำไร่ของชาวคลิตี้ล่าง ปี 2545 (หน้า 99) ตารางแสดงจำนวนสัตว์เลี้ยงในหมู่บ้านคลิตี้ล่าง ปี 2545 (หน้า 99) ตารางแสดงจำนวนยานพาหนะทั้งหมดในหมู่บ้านคลิตี้ล่าง (หน้า 100) ตารางแสดงอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในครัวเรือนทั้งหมดในหมู่บ้านคลิตี้ล่าง (หน้า 100) ตารางแสดงวิถีชีวิตในรอบ 1 ปี ของชาวกะเหรี่ยงคลิตี้ล่าง (หน้า 106) ตารางแสดงศัพท์เรียกชื่อเครือญาติของชาวคลิตี้ล่าง (หน้า 109) ตารางแสดงอาการความเจ็บป่วยของกลุ่มผู้ชาย (หน้า 154) ตารางแสดงอาการความเจ็บป่วยของกลุ่มผู้หญิง (หน้า 159) ตารางแสดงอาการความเจ็บป่วยของกลุ่มเด็กผู้หญิงคลิตี้ล่าง (หน้า 163) ตารางแสดงอาการความเจ็บป่วยของกลุ่มเด็กผู้ชายคลิตี้ล่าง (หน้า 165) ตารางแสดงรายชื่อชาวบ้านที่เสียชีวิตด้วยอาการผิดสังเกต (หน้า 168) ตารางแสดงจำนวนและอาการของเด็กคลิตี้ล่างที่เสียชีวิต ตั้งแต่ปี 2528-2544 (หน้า 168) ตารางแสดงการต่อสู้จากคำบอกเล่าและการเขียนของชาวบ้าน (หน้า 194) ตารางแสดงการส่งหนังสือร้องเรียนที่ชาวคลิตี้ล่างส่งถึงหน่วยงานภาครัฐ (หน้า 207) แผนที่ ประกอบด้วยแผนที่แสดงบริเวณที่ทำเหมืองแร่ในเขตพื้นที่ อ. ทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี (หน้า 47) แผนที่แสดงพื้นที่ศักยภาพแร่ตะกั่วในเขตพื้นที่ อ.ทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี (หน้า 50) แผนที่แสดงตำแหน่งที่ตั้งของเหมืองแร่บ่องาม โรงแต่งแร่คลิตี้ และบ้านคลิตี้ล่าง (หน้า 52) แผนที่แสดงโรงแต่งแร่คลิตี้ และจุดเก็บตัวอย่างในลำห้วยคลิตี้ (หน้า 57) แผนที่แสดงหมู่บ้าน คลิตี้ล่าง จังหวัดกาญจนบุรี (หน้า 84) แผนภูมิ ประกอบด้วยแผนภูมิแสดงจำนวนประชากรบ้านคลิตี้ล่าง จำแนกตามช่วงอายุ ปี 2547 (หน้า 86) แผนภูมิแสดงระดับความสามารถในการอ่านเขียนภาษาไทยของหญิงชายคลิตี้ล่าง (หน้า 94) แผนภูมิแสดงความสามารถในการอ่านเขียนภาษาไทยของชาวคลิตี้ล่าง (หน้า 94) แผนภูมิแสดงจำนวนเด็กในวัยเรียน บ้านคลิตี้ล่าง ปี 2547 (หน้า 95) แผนภูมิแสดงจำนวนเด็กคลิตี้ล่างที่เสียชีวิตในช่วงปี 2528-2544 (หน้า173) ภาพประกอบ ประกอบด้วยภาพการทำบุญใส่บาตรของชาวคลิตี้ล่าง (หน้า 278) ภาพการไหว้เจดีย์ทราย (หน้า 278) ภาพการทำบุญไหว้สะพาน (279) ภาพพิธีค้ำโพธิ์ (หน้า 279) ภาพการนิมนต์พระมาสรงน้ำ (หน้า 280) ภาพการสรงน้ำพระ ภาพงานผูกข้อมือเครือญาติ (หน้า 281)ภาพงานแต่งงานของชาวคลิตี้ล่าง (หน้า 281) ภาพการลงเบ็ด-กู้เบ็ดของหญิงคลิตี้ล่าง (หน้า 282) ภาพการหาสัตว์น้ำของหญิงคลิตี้ล่าง (หน้า 282) ภาพการหาปลา ดำปลาของชายคลิตี้ล่าง (หน้า 283) ภาพควายในหมู่บ้านที่กำลังแช่น้ำในห้วย (หน้า 283) ภาพเนื้อควายตากแห้งที่เสียชีวิตด้วยอาการผิดสังเกต (หน้า 284) ภาพการไปหาหมอทรงที่บ้านภูเตยเพื่อสะเดาะเคราะห์ (หน้า 284) ภาพยาสมุนไพรประจำบ้านของชาวคลิตี้ล่าง (หน้า 285) ภาพการรักษาอาการปวดเมื่อยตามร่างกายจากหมอสมุนไพร (หน้า 285) ภาพโกฏิบรรจุอัฐิผู้เสียชีวิตที่ชาวคลิตี้ล่างตั้งข้อสังเกตว่ามีอาการตายผิดสังเกต (หน้า286) ภาพการทำบุญสวดกระดูก อุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิต (หน้า 286) ภาพเด็กชายธวัชชัย มีนิ้วมือเท้ารวมกัน 24 นิ้ว (หน้า 287) ภาพนางมะอ่องเส่ง มีอาการตาบอดสนิททั้งสองข้าง (หน้า287) ภาพนางมะนุเมียมีอาการบวมผิดปกติ และลูกชายที่คลอดก่อนกำหนด (หน้า 269) ภาพโจ่ทิไผ่และครอบครัว ต้องถูกล่ามโซ่ไว้เพื่อป้องกันการไปไหนโดยไม่รู้สติ ด.ช.วิชัย อายุ 3 ขวบ ตัวเล็ก ไม่แข็งแรง เดินไม่ตรง พูดยังไม่ได้ (หน้า288) ภาพเด็กหญิงตุ๊กตา อายุ 4 ขวบ มีอาการหัวโตผิดปกติ โตไม่สมวัย น้ำหนักเพียง 10 ก.ก. ป่วยบ่อย เป็นหอบหืด (หน้า 289) ภาพเด็กชายโจหล่อโพ่ อายุ 6 ขวบ พัฒนาการทางสมองช้ากว่าเด็กเดียวกัน (หน้า 289)

Text Analyst จีระวรรณ์ บรรเทาทุกข์ Date of Report 04 เม.ย 2556
TAG โพล่ง, โผล่ง, โพล่ว, ซู, กะเหรี่ยง, สิ่งแวดล้อม, สารตะกั่ว, คลิตี้ล่าง, กาญจนบุรี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง