|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
การปรับตัว, การเปลี่ยนแปลงทางสังคม, เชียงราย |
Author |
จิราวรรณ ชัยยะ |
Title |
การเปลี่ยนแปลงและปรับตัวทางสังคมของชาวเขาเผ่าอีก้อ(อาข่า) บ้านผาหมี อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อ่าข่า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
234 หน้า |
Year |
2540 |
Source |
วิทยานิพนธ์ตามหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร |
Abstract |
เนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสังคมของอาข่าบ้านผาหมี หมู่ที่ 6 ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งจากการศึกษาระบุว่า สาเหตุที่ทำให้สังคมอาข่าบ้านผาหมีเกิดการเปลี่ยนแปลงเนื่องมาจาก 2 ปัจจัยได้แก่ ปัจจัยจากภาพนอกเช่นการพัฒนาถนนหนทางรวมทั้งมีระบบสาธารณูปโภคในหมู่บ้านที่ดีขึ้นกว่าในอดีตจึงทำให้อาข่าเกิดการปรับตัวทั้งความคิด ทัศนคติและค่านิยม ดังนั้นจึงทำให้ประเพณีหลายอย่างสูญหายเพื่อให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนต่างๆ และปัจจัยที่มีอิทธิพลจากภาพที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นบทบาทของผู้นำท้องถิ่น คนที่มีฐานะและคนที่ได้รับการศึกษา ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มที่อาข่าในหมู่บ้านมีความเชื่อถือและไว้วางใจ ซึ่งผลของการเปลี่ยนแปลงนั้นเนื่องมาจากกระบวนการพัฒนาของรัฐบาล ดังนั้นจึงทำให้เกิดการปรับตัวในสังคมอาข่าบ้านผาหมีเพื่อให้ทันกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป |
|
Focus |
ศึกษาลักษณะสภาพและการเปลี่ยนแปลงในเรื่องเศรษฐกิจ การศึกษา การเมือง การปกครอง การอนามัย ศาสนา ความเชื่อ พิธีกรรม โดยมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงและปรับตัว เข้าสู่วิถีชีวิตแบบใหม่ของอาข่าบ้านผาหมี (หน้า 3) |
|
Theoretical Issues |
ไม่ชัดเจน อย่างไรก็ดีในการศึกษานี้ ผู้เขียนเห็นว่าโครงการพัฒนาพื้นที่สูงที่รัฐกำหนดเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาชาวเขาเป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวเขาและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมของหมู่บ้านชาวเขา (หน้า 2) |
|
Ethnic Group in the Focus |
อาข่า บ้านผาหมี หมู่ 6 ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาอาข่า อยู่ในตระกูลภาษาจีน-ทิเบตซึ่งอยู่ในกลุ่มย่อยของชนชาติโลโล หรือโนซู สำหรับภาษาพูดมีรากฐานอย่างน้อย 3 ภาษา ได้แก่ Jev G’OC (ชาวฉานเรียกว่า Puli) ที่ใช้เป็นส่วนมากส่วนภาษาอื่นได้แก่ A JAW กับ A KUI ภาษาอาข่ามีเฉพาะภาษาพูดไม่มีภาษาเขียน บางหมู่บ้านใช้ตัวหนังสือจากที่ได้เรียนรู้กับหมอสอนศาสนา
สำหรับภาษาพูดนั้นมีการออกเสียงพยางค์เดียวประกอบด้วยเสียงสูงเสียงต่ำส่วนพยัญชนะตัวสุดท้ายนั้นออกเสียงกล้ำค่อนข้างยาว นอกจากนี้รากศัพท์บางคำยังนำมาจากภาษาอื่นได้แก่ ภาษาจีน พม่า ไทยใหญ่ (หน้า 28) ภาษาไทยภาคเหนือ ในการใช้ภาษานั้นผู้ชายอาข่านั้นบางคนสามารถพูดได้หลายภาษา เช่น จีน พม่า ไทยใหญ่ ลีซอ ไทยภาคเหนือ(ภาษาคำเมือง)และอื่นๆ ส่วนผู้หญิงอาข่าต้องรับภาระดูแลครอบครัวและเนื่องจากไม่ค่อยได้ไปไหนดังนั้นจึงพูดภาษาอื่นไม่ค่อยได้ (หน้า 29) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
แต่เดิมอาข่าบ้านผาหมี อยู่ในประเทศจีนที่หมู่บ้านโฮะอา มณฑลจูก๋อ เมื่อจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ จึงอพยพมาอยู่ที่หมู่บ้านหล่อค้าโบะ จังหวัดเชียงตุง ประเทศพม่า พวกเขาอยู่ที่นี่ประมาณ 6 ปีจากนั้นจึงอพยพอีกครั้งเข้ามาอยู่ในประเทศไทยและประเทศลาวเนื่องจากการขาดแคลนอาหารรวมทั้งสงครามชนกลุ่มน้อย (หน้า 34)
พวกเขาเริ่มอพยพเข้าสู่ประเทศไทยในปี พ.ศ.2488 โดยใช้เส้นทางบริเวณเทือกเขานางนอน เข้ามาฝั่งอำเภอแม่สาย กลุ่มอาข่าที่อพยพเข้ามาตอนแรกมี 2ตระกูล ได้แก่ ตระกูลเปียะกากู่และตระกูลเซอหมึกู่ ตั้งบ้านเรือนที่บ้านผาแตกซึ่งห่างจากหมู่บ้านในปัจจุบันประมาณ 10 กิโลเมตร ในปี พ.ศ.2501 ได้ย้ายบ้านขึ้นไปอยู่สูงจากเดิมเนื่องจากมีคนพื้นเมืองเข้ามาอยู่ในพื้นที่มากขึ้น ต่อมามีอาข่าตระกูลหม่อโป๊ะกู่จากสิบสองปันนาเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านเพิ่มอีกตระกูลหนึ่ง (หน้า 35) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งหมู่บ้าน อาข่าตั้งบ้านเรือนบนพื้นที่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร ลักษณะดอย ที่ตั้งหมู่บ้านมีดอยสูงแวดล้อม บริเวณที่ตั้งหมู่บ้านมีแหล่งน้ำอยู่ไม่ไกล อาข่าจะสร้างบ้านเป็นแถวเรียงกัน ถ้าเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กจะสร้างบ้านเป็น 2 แถวแต่ถ้าเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่จะสร้างบ้านแรงกัน 4-5 แถว บ้านหลังแรกคือบ้านหัวหน้าหมู่บ้านจะตั้งอยู่กลางหมู่หมู่บ้าน โดยจะมีบ้านเรือนของสมาชิกอื่นๆ กระจายอยู่โดยรอบ สำหรับการตั้งหมู่บ้านต้องมีตัวแทนของชาวบ้านไม่ต่ำกว่า 3 สกุล และต้องปลูกบ้านอยู่ติดกัน กรณีบ้านใดคลอดลูกเป็นฝาแฝดหรือพิการร่างกายไม่สมประกอบจะต้องสร้างบ้านให้อยู่ต่ำกว่าบ้านหลังอื่นเนื่องจากตามความเชื่อของอาข่าเชื่อว่าทารกจะนำความโชคร้ายมายังหมู่บ้าน (หน้า 25) และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ ประตูหมู่บ้าน (หน้า 36) การตั้งหมู่บ้าน บ้านเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สร้างแบบยกพื้นกับปลูกแบบค่อมพื้นดินเป็นบ้านไม่มีหน้าต่าง สร้างด้วยวัสดุในท้องถิ่นเช่น ไม้ไผ่ ไม้มะค่า ไม้สัก และอื่นๆ (หน้า 25,62) เนื่องจากบ้านมักตั้งบนที่ลาดชันดังนั้นฝาบ้านอีกด้านจึงตั้งอยู่ในส่วนที่ติดกับที่ลาดชันส่วนอีกด้านจะเป็นเสาไม้ขนาดยาว(หน้า 28) ฝาบ้านเป็นไม้ไผ่หรือไม้กระดาน หลังคามุงหญ้าคา ภายในบ้านแบ่งเป็นส่วนของผู้ชายและส่วนของผู้หญิงระหว่างส่วนทั้งสอง มีเสาเอกและฝาไม้กั้น ที่เสาเอกทำหิ้งบูชาผีบ้าน โดยอยู่ในที่ของฝ่ายหญิง (หน้า 25) ในพื้นที่ผู้หญิงมีเตาไฟ 2 เตาตั้งอยู่ เตาหนึ่งใช้เฉพาะในพิธีกรรม อีกเตาหนึ่งใช้ตามปกติ (หน้า 26, 62) ก่อนปลูกบ้านอาข่าจะทำพิธีเซ่นไหว้ นำข้าวสาร 1 ถ้วย ไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำ 1 แก้ว ไปใส่ในหลุมที่จะตั้งเสาเอกสามครั้ง จากนั้นจึงตั้งเสาเอกได้ และหลังจากสร้างบ้านเสร็จแล้วจะฆ่าสุนัขหนึ่งตัวเพื่อเซ่นไหว้เจ้าที่ โดยเชื่อว่าวิญญาณสุนัขจะเฝ้ารักษาบ้านเรือน (หน้า 107) ปัจจุบันบ้านของอาข่าบ้านผาหมีเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มมีการสร้างบ้านแบบพื้นราบ เป็นบ้านสองชั้น 8 หลัง บ้านชั้นครึ่ง 4 หลัง ส่วนบ้านที่ยังคงรูปแบบลักษณะของอาข่าก็หันมาใช้สังกะสีมุงหลังคาแทนหญ้าคา การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลมาจากนโยบายของโครงการพัฒนาดอยตุงที่ต้องการให้ชาวเขาไช้วัสดุคงทนถาวรปลูกบ้านเพื่อควบคุมการบุกรุกพื้นที่ป่าและไม่ให้ชาวเขาตัดไม้ทำลายป่าอีก (หน้า 107-108 ดูรายละเอียดลักษณะบ้านในปัจจุบัน หน้า 136) |
|
Demography |
ประชากรอาข่าบ้านผาหมี ประกอบด้วยกลุ่มอาข่า 3 ตระกูลใหญ่ คือ ตระกูลเปียะกากู่ เซอหมึกู่ และหม่อโป๊ะกู่ (กู่ หมายถึง ตระกูลนี้สืบเชื้อสายกันมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ) หน้า 101) มี 81 หลังคาเรือน 115 ครอบครัว ประชากรทั้งหมด 563 คน แบ่งเป็นผู้หญิง 286 คนและผู้ชาย 277 คน (หน้า 3,16) |
|
Economy |
เศรษฐกิจ อาข่าบ้านผาหมี มีระบบเศรษฐกิจแบบเลี้ยงตัวเอง ครอบครัวเป็นหน่วยผลิตต้น ที่ดิน การจับจองที่ดินเพื่อการเพาะปลูกของอาข่าเป็นสิ่งสำคัญมาก การถือครองขึ้นอยู่กับความอาวุโส การเป็นผู้นำหรือบุคคลสำคัญในหมู่บ้าน การเลือกถือครองที่ดินมากน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนแรงงานในครอบครัว ทุกคนในหมู่บ้านมความเคารพสิทธิในการครอบครองที่ดินของกันและกัน การเลือกที่ดินจะดูจากความชื้นในดินหรือสังเกตจากพืชคลุมดิน ใช้การปักไม้ยาวประมาณ 1 เมตรในการจองพื้นที่ ก่อนปักต้องขออนุญาตกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิทธิในการครอบครองที่ดินจะหมดไปเมื่อโยกย้ายที่อยู่ออกไปไกลจากที่เดิมมาก หรือละทิ้งเนื่องจากดินเสื่อคุณภาพ(หน้า 53-54) การเพาะปลูก เดิมอาชีพหลักของขาอ่าบ้านผาหมีเป็นการทำการเพาะปลูกแบบไร่เลื่อนลอย ผลผลิตแต่ละครอบครัวจึงขึ้นอยู่กับจำนวนแรงงานของแต่ละครอบครัว และภาวะแวดล้อมธรรมชาติเป็นตัวกำหนด(หน้า 55) 1) การปลูกข้าวไร่ ปลูกโดยใช้ไม้เสี้ยมปลายแหลมแทงดินเป็นหลุม ห่างกันสองคืบหยอดเมล็ดหลุมละ 10 เมล็ด อาศัยเพียงน้ำฝน เมื่อเก็บเกี่ยวจะนำไปใส่ยุ้งฉางและเตรียมพื้นที่เพื่อเพาะปลูกต่อไป(หน้า 55) 2) การปลูกฝิ่น ได้นำฝิ่นมาปลูกตั้งแต่อพยพมาจากทางตอนใต้ของจีน โดยใช้ในการบำบัดรักษาความเจ็บป่วย อาข่าผาหมีปลูกฝิ่นได้ปีละครั้ง พันธุ์ที่นิยมนำมาปลูก คือ พันธุ์ดอกขาว พันธุ์ดอกแดง พันธุ์ดอกสีขาวปนชมพู การปลูกใช้วิธีหว่านเมล็ด และใช้ไม้เกลี่ยดินกลบ ถ้าบริเวณใดต้นฝิ่นออกมาก จะดึงต้นที่ติดกันออกให้มีระยะห่าง 2-3 คืบ รอจนฝิ่นออกผลและทำการกรีดฝิ่น ฝิ่นดิบ(ยางฝิ่น)ต้องนำไปเคี่ยวจนเป็นสีดำสนิท(หน้า 55-57) ปัจจุบันมีการพึ่งพาธรรมชาติมากขึ้น โดยอาชีพหลักเน้นไปทางเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ พืชที่ปลูกเช่น ข้าว ข้าวโพด ฝิ่น ฟักทอง ถั่ว งา ผักกาด ผักชี เผือก ขิง ปลูกเพื่อบริโภคและใช้สอยในครัวเรือน หากเหลือจะนำไปแลกเปลี่ยนสินค้ากับคนพื้นราบ (หน้า 55) และได้มีการนำพืชเศรษฐกิจมาทดลองปลูกกันมากขึ้น คือ 1)กาแฟ ศูนย์พัฒนาสงเคราะห์ชาวเขาส่งเสริมให้ปลูกกาแฟพันธุ์อะราบีก้าเป็นพืชเศรษฐกิจ แต่ประสบปัญหาราคากาแฟตกต่ำ ความยุ่งยากการขนส่ง ต่อมาโครงการพัฒนาดอยตุงนำพันธุ์บราซิลมาส่งเสริมการปลูกและเป็นตลาดรับซื้อ ทำให้สร้างรายได้แก่ชาวอาข่าผาหมีประมาณ 5,000 บาทต่อปี 2)ลิ้นจี่ สำนักงานเกษตรอำเภอแม่สาย และศูนย์พัฒนาสงเคราะห์ชาวเขาส่งเสริมให้มีการปลูก จนปัจจุบันลิ่นจี่เป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดที่ทำรายได้ให้แก่ชาวอาข่าผาหมี โดยจะมีซื้อขายแบบเหมายกสวน 3)กะหล่ำปลี เริ่มมีความสนใจปลูกตั้งแต่ พ.ศ.2525 แต่ต้องประสบปัญหาดินขาดความอุดมสมบูรณ์หากปลูกซ้ำที่เดิม ราคาตกต่ำ โรคแมลง จากการส่งเสริมของโครงการพัฒนาดอยตุงต่อมาภายหลังจึงได้ปลูกไม้ผลยืนต้นแทน 4)ถั่วแดงและถั่วเหลือง เริ่มปลูกตั้งแต่ พ.ศ.2525 เพื่อบำรุงดินและคลุมหน้าดิน ด้วยปัญหาทางการขนส่ง และโรคแมลง จึงไม่นิยมปลูกเพื่อการค้า หลังจากที่สำนักงานเกษตรอำเภอแม่สายได้มีการสาธิตวิธีปลูก กำจัดโรคแมลง หาตลาดรับซื้อ จึงได้มรการสนใจปลูกมากขึ้น 5)ข้าว ปีพ.ศ.2534 โครงการพัฒนาดอยตุงได้เข้ามาส่งเสริมการปลูกพันธุ์ข้าวญี่ปุ่น พร้อมให้คำแนะนำการดูแลรักษา แต่ไม่ได้รับความนิยมเนื่องจากทานไม่อร่อย หากไม่ได้มาตราฐานจะไม่มีการับซื้อ และด้วยข้อจำกัดทางพื้นที่ชาวอาข่าผาหมีได้หันไปรับประทานข้าวเจ้าจากตลอดสดแม่สายแทนการบริโภคข้าวไร่(หน้า 88-91) การเลี้ยงสัตว์ เดิมชาวอาข่าบ้านผาหมีนิยมเลี้ยงสัตว์เพื่อบริโภคและเพื่อเซ่นไว้ในพิธีกรรมเกือบทุกครัวเรือน ปัจจุบันสัตว์เลี้ยงจำนวนลดลงเนื่องจากขนาดพื้นที่ทำกินลดลง สัตว์เลี้ยงได้ทำลายพืชผลทางการเกษตร ราคาสัตว์เลี้ยงเพื่อประกอบพิธีกรรมจึงสูงขึ้น
1)ไก่ จากการสำรวจปีพ.ศ.2537 หมู่บ้านผาหมีมีแม่ไก่ ลูกไก่จำนวน 4,954 ตัว มี 13 ครอบครัวที่มีการเลี้ยงมากกว่า 50 ตัวขึ้นไป มี 9 ครอบครัวที่มีการเลี้ยงมากกว่า 20 ตัวขึ้นไป การให้อาหารจะให้เฉพาะตอนเช้า อาหารไก่คือ ข้าวเปลือก ข้าวโพด
2)หมู เลี้ยงเพื่อประกอบพิธีกรรมและบริโภค จากการสำรวจปีพ.ศ.2537 หมู่บ้านผาหมีมีหมู 302 ตัว ให้อาหารเช้าและเย็น อาหารจะเป็นข้าวโพด ใบเผือก ใบบอน เศษอาหารและปลายข้าวต้มสุก เดิมจะปล่อยให้หากินเองตามหมู่บ้าน ปัจจุบันมีการออกกฎให้มีการสร้างคอกเป็นสัดส่วน
3)วัว หมู่บ้านผาหมีมีวัว 420 ตัว จำนวน 8 ครอบครัว เลี้ยงเพื่อขายและเพื่อประกอบพิธีกรรม ปัจจุบันมีการลดจำนวนการเลี้ยงลงเรื่อยๆ และมีการออกกฎห้ามเลี้ยงสัตว์ใหญ่บริเวณหมู่บ้าน ต้องเลี้ยงในบริเวณที่ตนเอง
4)ควาย ชาวอาข่าเชื่อว่าการเลี้ยงสัตว์ใหญ่จำนวนมากๆ แสดงถึงฐานะและอิทธิพล จุดประสงค์เลี้ยงเพื่อใช้แรงงานและประกอบพิธีกรรม สาเหตุจากพื้นที่เลี้ยงสัตว์ไม่มีและหญ้าหากยาก ทำให้ปัจจุบันมีเลี้ยงเพียง 22 ตัว จำนวน 3 ครอบครัว ราคาตัวละ 6,000-10,000 บาท
5)ม้าหรือฬอ อดีตนิยมให้ในการขนส่งฝิ่นและเฮโรอีน แต่เมื่อมีการห้ามปลูกฝิ่น มีการสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน การเลี้ยงม้าจึงลดลง ปัจจุบันมีเพียง 3 ครอบครัวที่เลี้ยง โดยเลี้ยงครอบครัวละ 1 ตัว
6)ปลา พ.ศ.2531 เจ้าหน้าที่ประมงแม่สายได้เข้ามาส่งเสริมการเลี้ยงปลานิล ปลาไน ปลาดุก โดยมีการแจกพันธุ์ปลา แต่ชาวบ้านต้องลงทุนขุดบ่อเอง ปัจจุบันมีเลี้ยง 3 ครอบครัว จากแรกเริ่ม 12 ครอบครัว(หน้า 91-95) 7
)สุนัข ในหมู่บ้านมีสุนัข 119 ตัว นิยมเลี้ยงเกือบทุกครอบครัวเพราะต้องใช้เป็นเครื่องเซ่นบรรพบุรุษ หากต้องการบริโภคจะรวมเงินซื้อจากหมู่บ้านข้างเคียง ไม่นิยมบริโภคสุนัขที่ตายจากอุบัติเหตุ ปัจจุบันชาวพื้นราบได้มีการนำเครื่องอุปโภคเพื่อแลกกับสุนัข สุนัขจึงกลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจ มีราคาสูง ทำรายได้ให้แก่ผู้เลี้ยงมากขึ้น(หน้า 155-157)
การค้าขายแลกเปลี่ยน อดีตหมู่บ้านผาหมีเป็นสังคมระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเอง ขาดความสัมพันธ์กับชุมชนภายนอก ในปีพ.ศ.2531 ได้มีการสร้างถนนลูกรัง จึงได้มีการเริ่มติดต่อ ลำเลียงพืชผลทางการเกษตรระหว่างหมู่บ้านกับชุมชนพื้นที่ราบโดยเฉพาะอำเภอแม่สาย ขณะเดียวกันหน่วยงานรัฐได้เข้ามาส่งเสริม พัฒนา คุณภาพชีวิต และโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ติดต่อกับชุมชนพื้นราบได้สะดวก ระบบเศรษฐกิจปรับเปลี่ยนเป็นการแลกเปลี่ยนกับสังคมภายนอก วัฒนธรรมการบริโภคแบบชุมชนภายนอก การค้าภายในหมู่บ้านในระยะก่อตั้งหมู่บ้านเป็นแบบการพึ่งพา เมื่อมีการนำระบบเงินตราเข้ามาจากการค้าฝิ่น การค้าจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นการค้าเชิงพาณิชย์ที่ต้องใช้เงิน
การเพาะปลูกเพื่อยังชีพเข้าสู่ระบบเพื่อการซื้อขายผ่านพ่อค้าคนกลาง มีความต้องสิ้นค้าจากพื้นราบมากขึ้น ภายในหมู่บ้านจึงมีร้านขายของชำขึ้น 1 ร้านโดยราคาสินค้าจะแพงกว่าพื้นราบ 2-5 บาท(หน้า 95-96) นอกจากนี้อาข่าบ้านผาหมีได้มีการนำผลผลิตออกไปขายเองที่ตลอดสดแม่สาย โดยใช้บริการรถกระบะโดยสาร และรถจักรยานยนต์ตัวเอง เดิมการขายจะใช้วิธียกเหมาเป็นกองหรือตะกร้า ปัจจุบันมีการใช้ตราชั่งเพิ่มมากขึ้น(หน้า 143-144) แรงงานรับจ้าง เมื่อเกิดการเข้ามาของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยามทำให้ชาวอาข่าบ้านผาหมีจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนการดำรงชีวิตแบบดั้งเดิม นอกจากการเพาะปลูกแล้วได้เกิดความหลากหลายในอาชีพการเพิ่มขึ้น เช่น 1)รับจ้างเหมาติดตั้งและเดินสายไฟภายในบ้าน 2)รับจ้างเพาะปลูก 3)รับจ้างในศูนย์บำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด 4)รับจ้างทั่วไป 5)บริการพิเศษ(หน้า 144-151) อาหาร อาข่ากินข้าวเจ้าเป็นหลัก การตำข้าวจะใช้ครกกะเดื่องที่ตั้งอยู่บริเวณหลังบ้าน ส่วนเนื้อสัตว์ที่กินได้แก่ เนื้อสุนัข หมู วัว ควาย ฯลฯ(หน้า 29,63) ในอดีตการรับประทานอาหารของอาข่าจะแยกประเภทอาหารคือถ้าเป็นอาหารประเภทเนื้อก็จะทำเฉพาะเนื้อล้วนๆ ส่วนอาหารประเภทผักก็จะใส่ผักอย่างเดียวโดยไม่ใส่เนื้อ สำหรับอาหารในงานพิธีเช่นงานแต่งงานส่วนมากจะเป็นอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์เช่น เนื้อควาย เนื้อวัว เนื้อหมู การเลี้ยงต้อนรับแขกต้องเลี้ยงเป็นอย่างดีเพราะอาข่าถือว่าถ้าเลี้ยงอาหารอย่างขาดตกบกพร่องจะทำให้เสียชื่อเสียงหรืออาจทำให้เจ้าของบ้านมีเคราะห์ เป็นต้น(หน้า 189)
ทุกวันนี้ การกินอาหารได้เปลี่ยนไปเพราะการคมนาคมสะดวกอาหารที่ได้จะซื้อจากในเมือง เช่นบะหมี่สำเร็จรูป ปลากระป๋อง ปลาทูเค็ม และอื่นๆ (หน้า 193) |
|
Social Organization |
ครอบครัว สังคมอาข่าเป็นสังคมที่สืบสายข้างบิดา เรียกว่า “อิจิ” หมายถึงตระกูลชาติกำเนิดตน มีครอบครัวแบบขยาย ผู้หญิงแต่งงานเข้ามาอยู่ในบ้านพ่อแม่ของฝ่ายชาย ตัดขาดจากตระกูล ตัวเองมาอยู่ตระกูลฝ่ายชาย ผู้อาวุโสสุดในครอบครัวเป็นหัวหน้าครอบครัวมีอำนาจสูงสุด และบุตรชายคนโตมีอำนาจรองลงมา (หน้า 26) สังคมอาข่าให้ความสำคัญและต้องการบุตรชายไว้สืบตระกูลและทำพิธีกรรม ถ้าภรรยาไม่มีบุตรชาย สามีสามารถแต่งงานใหม่เพื่อให้ได้บุตรชาย(หน้า 41) ภายในครองครัวมีการแบ่งบทบาทหน้าที่กันคือ ผู้ชายรับผิดชอบงานไร่ หาของป่า ค้าขาย ต้อนรับแขกและประกอบพิธีกรรรม ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่ทำอาหาร ดูแลงานบ้าน เลี้ยงสัตว์ เพาะปลูก และกำจัดวัชพืชในไร่ นอกจากหน้าที่ดังกล่าวแล้ว อาข่ายังแบ่งหน้าที่การอบรมดูแลลูกสาวลูกชายหลังจากการหย่านมแม่ ลูกชายจะแยกไปนอนกับพ่อ พ่อจะดูแลอบรมลูกชาย ส่วนลูกสาวนอนกับแม่และอยู่ในการอบรมดูแลของแม่(หน้า 44-45) เมื่อหัวหน้าครัวเรือนตายไป บุตรชายคนโตจะเป็นหัวหน้าครัวเรือน และรับหน้าที่ดูแลหิ้งผีบรรพบุรุษต่อ ในกรณีที่บุตรชายคนโตยังเด็ก ภรรยาของหัวหน้าครัวเรือนที่ตายจะทำหน้าที่หัวหน้าแทน(หน้า 44) ปัจจุบัน ลักษณะครอบครัวของอาข่าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เป็นครอบครัวเดี่ยวเพิ่มมากขึ้น (หน้า 107) และจำนวนบุตรโดยเฉลี่ยครอบครัวละ 3-4 คน ลดลงจากเดิมที่เคยมีครอบครัวละ 7-8 คน การเปลี่ยนแปลงจำนวนบุตรนี้เนื่องมาจากที่ดินเพาะปลูกจำกัด และคุณภาพดินเสื่อม ความต้องกี่แรงงานในครัวเรือนจึงลดลง พร้อมกับมีการยอมรับการวางแผนครอบครัวมากขึ้น(หน้า 213) การแต่งงาน อาข่าถือว่าการแต่งงานเป็นการผลิตทายาทสืบทอดตระกูล การเลือกคู่จะเริ่มเมื่ออายุ 15 ปี ถ้าหนุ่มสาวคนใดอายุ 20 ปีแล้วยังไม่แต่งงานจะถูกนินทาและถูกมองว่าผิดปกติ เป็นคนไม่ดี(หน้า 106) หนุ่มสาวจะไม่พบปะเกี้ยวพาราสีกันในบ้าน เพราะถือเป็นการลบหลู่พ่อแม่และผีบรรพบุรุษ การพบปะกันจะทำในบริเวณลานสาวกอด (แด๊ะข่อ) ในช่วงที่ยังไม่แต่งงานนี้ การถูกเนื้อต้องตัวกันหรือมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานไม่ถือเป็นเรื่องเสื่อมเสีย แต่อาข่าให้ความสำคัญกับประวัติครอบครัวว่าเคยทำอะไรไม่ดีหรือมีคนในตระกูลเป็นโรคประสาทหรือลมบ้าหมูหอไม่ นอกจากประวัติครอบครัว วันเกิดของหนุ่มสาวก็สำคัญด้วยเช่นกัน อาข่ากำหนดชื่อวันตามสัตว์ 12 ชนิด คือ วันหนู วันความ วันเสือ วันลา วันกระต่าย วันแซ้ วันม้า วันแกะ วันลิง วันไก่ วันหมาและหมู ในวันทั้งหมดนี้ อาข่าถือว่าวันหมูกับวันเสือขัดแย้งกัน (นองเกาะ) เพราะเสือกินหมู และวันหมาขัดแย้งกับวันลิง เพราะหมากับลิงมักไล่กัดกัน ถ้าหากหญิงชายที่เกิดในวันดังกล่าว แต่งงานกันชีวิตคู่ของทั้งสองจะไม่ราบรื่น (หน้า 40) นอกจากความเชื่อแล้ว อาข่ายังมีข้อห้ามในการแต่งงานอีกคือ ห้ามคนในสกุลเดียวกันแต่งงานกัน(หน้า 41) การจัดพิธีแต่งงานจะทำที่บ้านฝ่ายชาย โดยญาติฝ่ายหญิงไม่ข้าร่วมพิธีเพราะถือว่าครอบครัวสูญเสียลูกสาว หลังการแต่งงานผู้หญิงต้องหันมานับถือบรรพบุรุษของฝ่ายชาย กลายเป็นคนสกุลอื่น ไม่มีสิทธิในทรัพย์สินของบิดามารดาตน(หน้า 106) ในพิธีแต่งงานอาข่ามีข้อห้ามว่า แม่เฒ่าที่ประกอบพิธีแต่งงานหรือทำหน้าที่ “พี้หม้อ” ต้องไม่มีสะใภ้หรือหญิงตั้งครรภ์ในบ้านเพราะอาจทำให้คู่แต่งงานไม่มีบุตร และอาหารที่จัดเลี้ยงต้องมีเฉพาะหมู ห้ามใส่ผักใดๆ เพื่อเป็นเคล็ดให้คู่บ่าวสาวอยู่ดีกินดี(หน้า 41-42) ปัจจุบันพิธีแต่งงานของอาข่ามีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการพัฒนาหมู่บ้าน อาข่าบ้านผาหมีมีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับคนภายนอกมากขึ้น จึงมีอาข่าแต่งงานกับคนนอกที่ไม่ใช่อาอ่า และการเกี้ยวพาราสีก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในบริเวณลานกอดสาวอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ในพิธีแต่งงานยังต้องจัดพิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษอยู่ แม้ว่าจะแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่อาข่า(หน้า 102-105) |
|
Political Organization |
การจัดระเบียบการปกครองชุมชน แต่เดิมบ้านผาหมีมีกลุ่มผู้นำและผู้อาวุโสดูแลความสงบและตัดสินข้อพิพาทขัดแย้งของสมาชิกในชุมชน กลุ่มผู้นำชุมชนนี้ประกอบด้วย 1) หยื่อมะ เป็น ผู้นำในการทำพิธีกรรมต่างๆภายในหมู่บ้านให้คำแนะนำตามหลักความเชื่อ มีการสืบทอดตำแหน่งทางสายโลหิต นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ในการตัดสินคดีความหากมีคนในหมู่บ้านมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งหรือการลักเล็กขโมยน้อย (หน้า 38) 2)พีมะ-พียะ เป็น หมอผีกับผู้ช่วยหมอผี มีหน้าที่ติดต่อโลกแห่งวิญญาณ การสืบทอดตำแหน่งมาจากการเรียนรู้เวทมนตร์จากหมอผีคนเก่าไม่มีการสืบทอดตำแหน่งทางสายเลือด นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ตัดสินคดีความต่างๆในหมู่บ้านและรักษาคนป่วยที่เจ็บไข้เนื่องจากผีรบกวนรังแกให้ได้รับความเดือดร้อน (หน้า 38) 3)บะหยี่หรือช่างตีเหล็ก คือคนที่มีหน้าที่ประดิษฐ์ อาวุธ อุปกรณ์ด้านการเกษตรเช่น จอบ เสียม มีด อาข่าบ้านผาหมีจะทำพิธีเชิดชูให้เป็นบะหยี่ถ้าไม่ประกอบพิธีการเพาะปลูกก็จะให้ผลผลิตน้อย ส่วนคนที่มีอาชีพตีเหล็กไม่ผ่านการทำพิธียกย่องเชิดชูให้เป็นบะหยี่ก็จะเป็นเพียงคนรับจ้างตีเหล็กทั่วไป (หน้า 38) 4)อะบ้อ ผู้สูงวัยอายุ 40 ปีขึ้นไปที่อยู่ในบ้านผาหมีเป็นผ็มีความรู้ด้านประเพณีต่างๆของอาข่า ผู้อาวุโสเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่อาข่านับถือเพราะเป็นผู้ให้คำแนะนำและถ่ายทอดความด้านประเพณีต่างๆให้กับอาข่าในหมู่บ้านผาหมี (หน้า 38) ต่อมาเมื่อกระทรวงมหาดไทยตั้งบ้านผาหมีให้เป็นหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ ในปีพ.ศ.2503 บ้านผาหมีก็มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำชุมชนที่เป็นตำแหน่งราชการคอยดูแลหมู่บ้านเช่นเดียวกับกลุ่มผู้นำตามจารีตประเพณี โดยตำแหน่งผู้ใหญ่มีหน้าที่ควบคุมความสงบในหมู่บ้าน แต่ในทางปฏิบัติผู้ใหญ่บ้านจะดูแลรับผิดชอบการติดต่อกับหน่วยงานราชการและความขัดแย้งกับคนภายนอก เรื่องภายในชุมชนยังคงอยู่ในความดูแลของกลุ่มผู้นำดั้งเดิม(หน้า 208 ดูรายละเอียดการจัดการข้อพิพาทขัดแย้งในหน้า 166-172) ปัจจุบันนอกจากผู้ใหญ่บ้านแล้ว ยังมีคณะกรรมการกลางหมู่บ้าน คณะกรรมการฝ่ายต่างๆ ร่วมบริหารงานต่างๆ ของหมู่บ้านด้วย และภายในหมู่บ้านก็แบ่งกลุ่มปกครองออกเป็น 6 คุ้ม ได้แก่ คุ้มช้างเผือก คุ้มม้าลาย คุ้มนกยูง คุ้มกระทิงแดง คุ้มอินทรี และคุ้มสิงห์โต โดยแต่ละคุ้มมีหัวหน้าคุ้มดูแล(หน้า 86) อย่างไรก็ตาม แม้บ้านผาหมีจะเข้าสู่ระบบการปกครองของรัฐแล้ว แต่อาข่าบ้านผาหมีก็ยังยึดถือการจัดระเบียบปกครองตามจารีตเดิมมากกว่า(หน้า 208) |
|
Belief System |
ความเชื่อดั้งเดิม ในการศึกษาครั้งนี้ผู้เขียนกล่าวถึงความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติของอาข่าสรุปได้ดังนี้ 1)อาข่าเชื่อว่า “อะผือหมิ่แย” มีอำนาจสูงสุดในการสร้างสิ่งต่างๆ ในโลก และมี “ยะบีอะลอง” น้องชายอะผือหมิ่แยเป็นผู้รับคำสั่ง ไปสร้างโลกและดูแลสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ทั้งยังเชื่อว่ามีเทพประจำปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น เทพแห่งลม เทพแห่งฝน เทพแห่งแสงสว่าง(หน้า 31-32) 2)ผีบรรพบุรุษ อาข่าเชื่อว่าพวกเขาทุกคนมาจากบรรพบุรุษคนเดียวกัน คือ ซุมมิโอ ภายในบ้านของพวกเขาจะมี “หิ้งผีบรรพบุรุษ” ซึ่งเรียกว่า “อะพีเปาะเลาะ” อยู่ในพื้นที่ผู้ชายใกล้เสาเอก ทำด้วยกระบอกไม้ไผ่ยาวประมาณ 1 ฟุต หัวหน้าครัวเรือนเป็นผู้ดูแล ห้ามผู้ใดแตะต้องเคลื่อนย้าย(หน้า 46) 3)ขวัญ อาข่าเชื่อว่าคนแต่ละคนมีขวัญ 12 ขวัญ ถ้าขวัญออกจากร่างกายไปหมดก็จะตาย อาข่าไม่เชื่อเรื่องชีวิตหน้า และไม่เชื่อการเกิดใหม่ แต่พวกเขาเชื่อว่าขวัญไม่ได้ตายไปพร้อมกับร่างกาย พวกเขาจึงเอาชื่อผู้ตายเข้าทำเนียบบรรพบุรุษ ยกเว้นผู้ตายที่เป็นเด็ก ถ้าขวัญออกจากร่างและถูกผีจับไว้จะทำให้เจ็บป่วยได้ ต้องให้หมอผีทำพิธีเรียกขวัญกลับจึงจะหายเจ็บป่วย(หน้า 32,171) ปัจจุบันมีอาข่าบ้านผาหมี 7 หลังคาเรือนหันไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค7 ครอบครัว(หน้า 22) นอกนั้นยังคงความเชื่อดั้งเดิมและนับถือผีอยู่ พิธีกรรม ผู้เขียนกล่าวถึงพิธีกรรมสำคัญในรอบปีที่อาข่าบ้านผาหมีปฏิบัติร่วมกันในชุมชน ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าแต่ละพิธีแสดงถึงความร่วมมือร่วมใจ การยึดเหนี่ยวจิตใจในความเป็นอาข่า และความเป็นชุมชนอาข่าบ้านผาหมี(หน้า 133) พิธีเหล่านั้นได้แก่ 1)พิธีปีใหม่ จะประกอบพิธีในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปีจะมีการเฉลิมฉลอง 4 วัน โดยจะทำพิธีเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษและฉลองวันปีใหม่ และมีงานเลี้ยงรื่นเริง มีการเล่นลูกข่างเป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ (หน้า 32,133) 2)พิธีหุ่มมี้ จะจัดในเดือนเมษายนการทำพิธีจะทำเพื่อไหว้ผีป่าก่อนการปลูกข้าว (หน้า 32) 3)พิธีทำประตูหมู่บ้านจะประกอบพิธีกลางเดือนเมษายน เพื่อระลึกถึง “สุมิโอ” ซึ่งเป็น บรรพบุรุษผู้ตั้งกฏระเบียบข้อปฏิบัติต่างๆ ของอาข่า โดยเชื่อว่าถ้าไม่ประกอบพิธีผีร้ายหรือสิ่งชั่วร้ายจะผ่านเข้ามายังหมู่บ้านได้ง่าย และยังเป็นการแสดงอาณาเขตของหมู่บ้าน หากผู้ใดมาแตะต้อง ทำลาย จะถูกปรับเงิน ประตูหมู่บ้านบ้านผาหมีมีทั้งหมด 5 ประตู การประกอบพิธีหยื่อมะจะเป็นผู้นำ หากหยื่อมะเหน็ดเหนื่อยไม่สามารถประกอบพิธีทันเวลาก่อนพระอาทิตย์ตก จะมอบหมายให้ลูกชายทำพิธีแทนตนได้ หญิงชาวอาข่าไม่สามารถเข้าร่วมประกอบพิธีนี้ได้เพราะเชื่อว่าผู้หญิงสกปรกโดยเฉพาะเวลามีรอบเดือน (หน้า 32,124-126) 4)พิธียะอุผิ จะอยู่ช่วงปลายเดือนเมษายน การทำพิธีก็เพื่อเซ่นไหว้ผีใหญ่ “อะเพออะพี” (หน้า 32) 5)พิธีเซ่นไหว้ผีบ่อน้ำ เพื่อไม่ให้ผีบ่อน้ำโกรธหรือมารบกวนให้ได้รับความเดือดร้อน อาข่าบ้านผาหมีมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ 1 บ่อ ใช้น้ำในการประกอบพิธีกรรม ห้ามใครทำสกปรก หยือมะจะเป็นผู้กล่าวขอบคุณระลึกถึงประโยชน์ของแหล่งน้ำ อ่าข่าจะมีการแยกแหล่งน้ำที่อุปโภคและบริโภคออกจากกัน ถ้าใครนำสกปรกหากเกิดความเจ็บป่วยต้องทำพิธีขอขมา (หน้า 32,128-129) 6)พิธีโล้ชิงช้าจะทำช่วงปลายเดือนสิงหาคมเพื่อระลึกถึงเทพธิดา “อึ่มซาแยะ” ถือเป็นพิธีในการเรียกขวัญข้าว การโล้ชิงช้าอาข่าจะตัดต้นไม้มา 4 ต้น โดยไม่ตัดใบและยอดทิ้งเพะราถือเป็นสิ่งทดแทนความเจริญงอกงาม จากนั้นทำเป็นกระโจม 4 เสา ผู้ด้วยเชือกหรือเถาวัลย์ หยื่อมะจะเป็นผู้ที่โล้ชิงช้าก่อน พร้อมกล่าวคำอวยพรบรรพบุรุษ ขอพรให้ทุกคนในหมู่บ้านประสบความสุข ผลลิตสมบูรณ์ ต่อจากนั้นจะเรียงลำดับตามอาวุโส โดยเชื่อว่าเมื่อทำพิธีโล้ชิงช้าแล้วผลผลิตจะสมบูรณ์ (หน้า 32,130-131) 7)พิธีกินข้าวใหม่ จะทำช่วงปลายเดือนธันวาคม หลังจากที่พิธีกรรมการเซ่นไหว้บูชาบรรพบุรุษเสร็จแล้ว การทำพิธีจะทำเพื่อขอบคุณผีไร่ซึ่งอยู่ในช่วงที่รวงข้าวสุกพอดี หยือมะจะเป็นผู้ประกอบพิธีกินข้าวใหม่เป็นครอบครัวแรก โดยเชิญผู้อาวุโสของหมู่บ้านมาประกอบพิธีที่บ้าน แขกจะได้รับประทานอาหารร่วมกัน หยื่อมะจะนำข้าวที่ปลูกไว้เป็นพิธีมาผสมกับข้าวสารที่ซื้อมานำมานึ่งและรับประทาน (หน้า 32, 132) 8)พิธีส่งผีจะอยู่เดือนตุลาคมเนื่องจากอาข่าเชื่อว่าผีเดือนทางมาพร้อมสายฝน การขับไล่ผีจะใช้วิธีการหลากหลายตั้งแต่ยิงปืน ตีฆ่อง ตีกลอง สิ่งของที่สามารถทำให้เกิดเสียงดัง เพื่อขับไล่ผีออกจากหมู่บ้าน รับเอาแต่สิ่งอันเป็นมงคลเข้าหมู่บ้าน (หน้า 32,132) 9)การเลี้ยงผีบรรพบุรุษจะทำช่วงเดือนมกราคม การประกอบพิธีก็เพื่อขอร้องให้ผีบรรพบุรุษช่วยปกปักรักษาให้คนในครอบครัวมีความเจริญก้าวหน้าในฐานะการงานและอยู่ดีกินดี การประกอบพิธีกรรมต้องทำถูกต้องทุกขั้นตอน พิธีกรรมจะใช้สัตว์จำนวนมาก เช่น หมู ไก่ วัว ควาย แพะ หมา การฆ่าสัตว์เพื่อเซ่นไหว้ต้องไม่ทรมานก่อนตาย ตายสนิทจึงชำหละ ห้ามไม่ให้มีเสียงร้อง ใครจัดเครื่องเซ่นชุดใหญ่จะยิ่งได้บุญมากชีวิตพบแต่ความสุข ร่ำรวย ถ้ามาฐานะยากจนจะใช้สัตว์ขนาดเล็กที่ราคาไม่แพง หากไปปฏิบัติหรือเว้นว่างจะเกิดความโชคร้ายขึ้นในครอบครัว (หน้า 32,127) พิธีศพ อาข่าเชื่อว่า การจัดงานศพให้ถูกต้องจะทำให้วิญญาณคอยดูแลคุ้มครองลูกหลานให้สืบเผ่าพันธุ์เจริญรุ่งเรือง บุตรชายมีความสำคัญมากต้อผู้ตาย เพราะในการส่งวิญญาณผู้ตายให้ไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษ บุตาชายผู้ตายต้องร่ายชื่อบรรพบุรุษตั้งแต่คนแรกเรียงลำดับจนครบ และกล่าวชื่อผู้ตายเป็นชื่อสุดท้าย (ดูลำดับรายชื่อบรรพบุรุษ หน้า 115) การจัดงานศพให้ผู้ตายมีระยะเวลา 3-7 วัน หรืออาจมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพทางสังคมของผู้ตาย ถ้าผู้ตายเป็นผู้อาวุโสของหมู่บ้าน งานศพก็ใช้เวลาหลายวัน คนที่ตายแบบปกติตามธรรมชาติเท่านั้นจึงจะจัดงานศพในหมู่บ้านได้ อาข่าไม่นำศพคนตายผิดปกติ เช่น อุบัติเหตุ ถูกฆ่าตาย กลับมาทำพิธีในหมู่บ้าน เมื่อมีคนตาย บุตรชายและสมาชิกในครอบครัวจะอาบน้ำและแต่งตัวให้ผู้ตายด้วยผ้าชุดใหม่ ต่อมาเมื่อตั้งศพเสร็จแล้ว บุตรชายผู้ตายจะร่ายชื่อบรรพบุรุษส่งผู้ตายไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษ (หน้า67-68, 115-117) ส่วนการดำเนินพิธีอื่นๆ เป็นหน้าที่ของหมอผี (พีมะ) ได้แก่ การสวดศพ การฆ่าสัตว์เซ่นไหว้บรรพบุรุษ(หน้า 118) การฝังศพจะขุดหลุมวางโลงศพพร้อมของใช้ผู้ตายใต้ต้นไม้ และห้ามผู้ใดตัดต้นไม้บริเวณหลุมศพ(หน้า 119) สำหรับโลงศพที่ใช้ในบ้านผาหมีมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมเนื่องจากบ้านผาหมีอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้มงวดการตัดไม้ เพราะฉะนั้นจึงตัดต้นไม้ใหญ่มาทำโลงศพไม่ได้ ชาวบ้านจึงตัดไม้ขนาดเล็กมาทำโลงศพจำลองใช้ในพิธีแทน(หน้า 117-118, 67) |
|
Education and Socialization |
อาข่าบ้านผาหมีกับการเข้าสู่ระบบการศึกษาของรัฐ เดิมอาข่าบ้านผาหมีมีระบบการเรียนรู้โดยบรรพบุรุษ บอกเล่าจากปู่ถึงพ่อ จากพ่อถึงลูก ภายใต้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ จากปัญหาคอมมิวนิสต์รัฐบาลไทยจึงมีนโยบายการรวมพวก (Integration Policy) เพื่อพัฒนาชาวเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย ในปีพ.ศ.2503 จึงได้มีการก่อตั้งโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบำรุงที่ 45 ขึ้นในหมู่บ้าน อาคารเรียนทำจากไม้ไผ่ หลังคามุงหญ้าคา ให้บุตรหลานอาข่าที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไปเข้าเรียนภาษาไทย ในปีพ.ศ.2506 มีการปรับปรุงอาคารเรียนให้สมบูรณ์ และเปิดสอนอย่างเป็นทางการ เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น “โรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์ 5” โดยมุ่งหมายให้ชาวอาข่าชาวผาหมีสามารถพูดภาษาไทยได้ และนำความรู้ที่เรียนไปใช้ประโยชน์ ในปีพ.ศ.2518 จึงได้มีการโอนให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายรับผิดชอบทางด้านการศึกษาแทนตำรวจตระเวนชายแดน ทำให้เริ่มมีการศึกษาเป็นระบบ เปิดสอนตั้งแต่ประถมปีที่ 1-4 ในปีพ.ศ.2525 จึงได้ขยายจนถึงระดับประถมปีที่ 6 มีจำนวนนักเรียนมากขึ้น ได้รับความสนใจจากกระทรวงต่างๆ ทำให้อาข่าบ้านผาหมีได้เริ่มใช้ภาษาไทยเป็นภาษาสื่อสารมากขึ้น (หน้า 96-100) ในปีพ.ศ.2531 โครงการพัฒนาดอยตุงได้มีการส่งเสริมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหมู่บ้าน ผู้ปกครองนักเรียนจะต้องทำงานหาเงินมากขึ้น เด็กๆ จึงต้องขาดเรียนไปช่วยผู้ปกครอง จึงได้มีการสร้างศูนย์เด็กเล็กในปีพ.ศ.2532 ในปีพ.ศ.2536 ได้มีการย้ายสับเปลี่ยนครูผู้สอนพื้นราบ ทำให้มีปัญหาการสื่อสาร ผลสำฤทธิ์ทางการเรียนไม่ตามเกณฑ์ และเห็นตัวอย่างจากลูกหานอาข่าที่ไปเรียนโรงเรียนพื้นราบมีพัฒนาการทางการเรียดีกว่า อาข่าบ้านผาหมีจึงมีแนวคิดส่งลูกหลานไปเรียนโรงเรียนพื้นราบมากขึ้น ในปัจจุบันโรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์ 5 มีนักเรียนทั้งสิ้น 56 คน หญิง 21 คน ชาย 35 คน ครู 7 คน ครูชาย 6 คน ครูหญิง 1 คน และมีนักการภารโรง 1 คน เปิดสอนตั้งแต่ ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นประถมปีที่ 6 ตั้งแต่ปีการศึกษา 2537 ผู้ปกครองได้มีการย้ายบุตรหลานไปเรียนต่อที่โรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา ตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย จำนวนนักเรียนจึงน้อยลง ทำให้ต้องมีการรวมให้อยู่ห้องเดียวกันแต่คนละกลุ่ม ส่งผลต่อการจัดสรรงบประมาณ ผู้ปกครองอาข่ามีความต้องการให้บุตรหลานได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น จากสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพจากภายนอก เพื่อการทำงานที่มีรายได้ดี ทำให้เยาวชนอาข่ารุ่นใหม่มีทัศนคติที่แปลกแยกออกไปจากชุมชน (หน้า 175-180) |
|
Health and Medicine |
การเจ็บป่วย อาข่าบ้านผาหมียังเชื่อว่า การเจ็บป่วยมาจากผีและรักษาแบบพื้นบ้าน(หน้า 65) อย่างไรก็ดีเมื่อโครงการพัฒนาต่างๆ เข้ามาในหมู่บ้าน อาข่าจำนวนหนึ่งได้เปลี่ยนแบบแผนการรักษาอาการเจ็บป่วย ยอมรับการรักษาสมัยใหม่มากขึ้น ในหมู่บ้านจึงมีการรักษา 2 แบบ แบบแรก ใช้วิธีการรักษาตามความเชื่อเดิม ไม่ยอมรับการรักษาแผนปัจจุบัน ผู้ใช้วิธีนี้เป็นกลุ่มอาข่าที่มีอายุมากว่า 45 ปีขึ้นไป (ดูรายละเอียดหน้า 198-201) แบบที่สอง ใช้การรักษาทั้งแผนปัจจุบันและการรักษาตามความเชื่อเดิม อาข่าที่ใช้การรักษารูปแบบนี้มีอายุตั้งแต่ 15 ปีถึง 35 ปี มักเป็นคนที่ไปทำงานพื้นราบหรือเรียนหนังสือนอกหมู่บ้าน(หน้า 201-203) การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร ในอดีตเมื่อผู้หญิงตั้งครรภ์ แม่สามีจะดูแลและทำคลอดให้ลูกสะใภ้ โดยพ่อเด็กเป็นผู้ตัดสายสะดือแล้วนำรกไปทำพิธีฝัง เพราเชื่อว่ารกเด็กคือชีวิตเด็กที่ติดตัวมาต้องทำพิธีให้ถูกต้อง เด็กจะได้อายุยืน แต่ปัจจุบันไม่สามารถทำพิธีนี้ได้เพราะผู้หญิงพากันไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลหรือสถานีอนามัย ระหว่างตั้งครรภ์ผู้หญิงต้องไม่กินอาหารที่ผิดปกติ เช่น กล้วยแฝด ไข่ที่มีไข่แดงติดกันในฟองเดียว หรือสัตว์รูปร่างผิดปกติ (หน้า 107-708) นอกจากนั้นอาข่ายังไม่ชอบการมีลูกแฝดและลูกที่เกิดมาพิการเช่น แขนด้วน ตาบอดเพราะถือว่าเป็นลูกผีมาเกิด ถ้าเกิดมาแล้วต้องเอาขี้เถ้ายัดปากให้ตาย ส่วนคนที่คลอดลูกแฝดคนในหมู่บ้านจะไปช่วยสร้างกระท่อมให้นอนในป่า 1 สัปดาห์จากนั้นก็ให้เปลือยกายแล้วทาลำตัวด้วยโคลนเดินเข้าหมู่บ้านทำพิธีผูกข้อไม้ข้อมือขับไล่สิ่งอัปมงคลจึงจะอนุญาติให้อยู่ในหมู่บ้านต่อไปได้ (หน้า 43) ปัจจุบันความรังเกียจลูกแฝดของอาข่าก็ยังมีอยู่ แต่แม่ไม่สามารถฆ่าเด็กทารกได้เหมือนเช่นอดีต ดังนั้นอาข่าก็แก้เคล็ดด้วยการยกเด็กให้คนอื่นไปเลียงส่วนคนที่เป็นพ่อแม่เด็กถ้าจะอยู่ในหมู่บ้านต่อไปต้องทำพิธีเลี้ยงเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ (หน้า 109) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของอาข่า ผู้ชาย สวมเสื้อผ้าสีน้ำเงินหรือสีดำที่ย้อมจากพืชหรือเปลือกไม้ ลักษณะเสื้อเป็นทรงกระบอกผ่าอก ใช้เชือกผูก(ไม่มีกระดุม) สวมกางเกงขากว้างยาวจนถึงข้อเท้า เมื่อมีงานบุญสำคัญก็จะโพกหัวด้วยผ้า คอสวมห่วงเงินหรือทองเหลือง หากเป็นคนร่ำรวยเมื่อมีงานบุญก็จะประดับกระดุมเงิน เหรียญเงิน ที่ไหล่กับหน้าอก (หน้า 29) ผู้หญิง สวมเสื้อสีน้ำเงิน กระโปรงเป็นจีบรอบเอว บริเวณหน้าอกประดับด้วยแผ่นเงินทรงกลม คาดผ้าที่เอวและพันผ้าที่น่องเท้า สำหรับผู้หญิงที่ยังโสดจะแต่งกายด้วยเครื่องประดับมากกว่าคนสูงอายุหรือคนที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว (หน้า 29) |
|
Social Cultural and Identity Change |
บทบาทของผู้หญิง ปัจจุบันมีผู้หญิงอาข่าบ้านผาหมีเข้าสู่อาชีพขายบริการทางเพศจำนวน 10 คน ส่วนใหญ่เป็นหญิงหม้ายหรือสาวใหญ่ที่ไม่ได้แต่งงาน สาเหตุเนื่องมาจากครอบครัวล่มสลายขาดผู้นำ ทำให้ต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกและพ่อแม่สามี(หน้า 151-155) การกระทำนี้ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงบทบาทเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงคติความเชื่อของอาข่าเรื่องเพศสัมพันธ์ด้วย |
|
Map/Illustration |
ตาราง จำนวนประชากรชนกลุ่มน้อยแต่ละเผ่าในประเทศไทย(หน้า 22) รายได้จากการปลูกพืชเศรษฐกิจของอาข่า(พ.ศ.2525-2535) (หน้า 91) รายได้จากการเลี้ยงสัตว์ของหมู่บ้านผาหมี ในระยะ 10 ปี (หน้า 94) การถือครองพื้นที่ทำกินต่อครัวเรือน ( พ.ศ.2537) (หน้า 140) การออกไปรับจ้างทำงานนอกหมู่บ้านของคนในวัยแรงงาน (หน้า 150) ระดับการศึกษาและการเรียนต่อ (พ.ศ.2525-2536)(หน้า 177) แผนที่ หมู่บ้านอาข่าผาหมี(พ.ศ.2537) (หน้า 71) ภาพ โลงศพของอาข่า เรียกว่า มะดุ่ม ดูแล้วคล้ายเรือ (หน้า 68) ลักษณะซุ้มประตูผีของหมู่บ้านอาข่าผาหมี (หน้า 74) พื้นที่ราบอำเภอแม่สายจากบนเส้นทางหมู่บ้านผาหมี (หน้า 75) ตัวอย่างบัตรประจำตัวบุคคลบนพื้นที่สูง (หน้า 85) ลิ้นจี่พันธุ์ฮวงฮวย (หน้า 89) คู่บ่าวสาวกับการแต่งงานแบบสากลทั่วไป (หน้า 104) การจัดเลี้ยงโต๊ะจีนในพิธีแต่งงานของอาข่าผาหมีปัจจุบัน (หน้า 105) พิธีผูกข้อมือ (หน้า 111) การเสี่ยงทายหรือทำนายชะตาชีวิตของอาข่าจากตับหมู (หน้า 112) อาข่าผาหมีกำลังฆ่าสุนัข (หน้า 113) ผู้หญิงอาข่าผาหมีมีหน้าที่ตักน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปประกอบพิธีกรรม(หน้า 115) อาบ๊อสันติ รุ่งทวีพิทยากุล อายุ 59 ปี เสียชีวิต (หน้า 116) - โลงศพจำลอง(หน้า 118) การแต่งกายเพื่อประกอบพิธีของพีมะ(หมอผีใหญ่)(หน้า 119) ผู้ปกครองเด็กนักเรียนอาข่ากับพิธีทางศาสนาพุทธ (หน้า 121) การประกอบพิธีกรรมในรอบ 1 ปีของอาข่าผาหมี (หน้า 125) พิธีเซ่นบูชาหมู่บ้านอาข่าผาหมี(ลกข่อ) (หน้า 126) เตาอั้งโล่สำหรับประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษของอาข่าผาหมี (หน้า 127) บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน (หน้า 128) กระโจมชิงช้าสำหรับพิธีโล้ชิงช้า (หน้า 131) การแสดงการเล่นกระทุ้งกระบอกไม้ไผ่ (หน้า 133) สวนลิ้นจี่และไร่ข้าวโพดของอาข่าฐานะร่ำรวย (หน้า 137) บ้านอาข่าฐานะปานกลาง (หน้า 138) บ้านของอาข่าฐานะยากจน (หน้า 139) อาข่าผาหมีกับการซื้อขายพืชผลผลิต (หน้า 143) - การหาของป่า (หน้า 144) ที่ทำการศูนย์เพาะชำกล้วยไม้ (หน้า 146) คนไทยพื้นราบกับธุรกิจขายสุนัขให้อาข่าผาหมีเพื่อประกอบพิธีกรรม (หน้า 157) การค้าขายของเร่ (หน้า 158) การปลูกป่า (หน้า 165) อาข่าผาหมีกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (หน้า 173) ศูนย์เด็กเล็ก(หน้า 176) สนามเด็กเล่น (หน้า 183) สตรีอาข่าร้องเพลงในงานเลี้ยง (หน้า 184) ผู้ชายอาข่ากับการเล่นการพนัน (หน้า 185) อาข่าในการร่วมเดินขบวนในวันสงกรานต์ (หน้า 186) การรับประทานอาหารของอาข่านิยมใช้ขันโตก (หน้า 190) ตุ่นหรือโอ่ผี่(หน้า 193) อาข่ากำลังปั้นขนมปุ๊กหรือห่อถ่อง (หน้า 194)การเซ่นไหว้ทำพิธีเพื่อทำนายสาเหตุของการเจ็บป่วย (หน้า 201) ตะแหลวขับไล่ผี อาข่านำมาปักหลังทำพิธีเรียกขวัญ (หน้า 203) แผนภูมิ ชาวเขาเผ่าต่างๆ ในประเทศไทย(หน้า 20) การอพยพของชาวเขาสู่ประเทศไทย (หน้า 23) แบบบ้านอาข่า (หน้า 27) ทำนายชะตาชีวิตของอาข่าจากตับหมู (หน้า 112) อาข่าผาหมีกำลังฆ่าสุนัข (หน้า 113) ผู้หญิงอาข่าผาหมีมีหน้าที่ตักน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปประกอบพิธีกรรม(หน้า 115) อาบ๊อสันติ รุ่งทวีพิทยากุล อายุ 59 ปี เสียชีวิต (หน้า 116) - โลงศพจำลอง(หน้า 118) การแต่งกายเพื่อประกอบพิธีของพีมะ(หมอผีใหญ่)(หน้า 119) ผู้ปกครองเด็กนักเรียนอาข่ากับพิธีทางศาสนาพุทธ (หน้า 121) การประกอบพิธีกรรมในรอบ 1 ปีของอาข่าผาหมี (หน้า 125) พิธีเซ่นบูชาหมู่บ้านอาข่าผาหมี(ลกข่อ) (หน้า 126) เตาอั้งโล่สำหรับประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษของอาข่าผาหมี (หน้า 127) บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน (หน้า 128) กระโจมชิงช้าสำหรับพิธีโล้ชิงช้า (หน้า 131) การแสดงการเล่นกระทุ้งกระบอกไม้ไผ่ (หน้า 133) สวนลิ้นจี่และไร่ข้าวโพดของอาข่าฐานะร่ำรวย (หน้า 137) บ้านอาข่าฐานะปานกลาง (หน้า 138) บ้านของอาข่าฐานะยากจน (หน้า 139) อาข่าผาหมีกับการซื้อขายพืชผลผลิต (หน้า 143) - การหาของป่า (หน้า 144) ที่ทำการศูนย์เพาะชำกล้วยไม้ (หน้า 146) คนไทยพื้นราบกับธุรกิจขายสุนัขให้อาข่าผาหมีเพื่อประกอบพิธีกรรม (หน้า 157) การค้าขายของเร่ (หน้า 158) การปลูกป่า (หน้า 165) อาข่าผาหมีกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (หน้า 173) ศูนย์เด็กเล็ก(หน้า 176) สนามเด็กเล่น (หน้า 183) สตรีอาข่าร้องเพลงในงานเลี้ยง (หน้า 184) ผู้ชายอาข่ากับการเล่นการพนัน (หน้า 185) อาข่าในการร่วมเดินขบวนในวันสงกรานต์ (หน้า 186) การรับประทานอาหารของอาข่านิยมใช้ขันโตก (หน้า 190) ตุ่นหรือโอ่ผี่(หน้า 193) อาข่ากำลังปั้นขนมปุ๊กหรือห่อถ่อง (หน้า 194)การเซ่นไหว้ทำพิธีเพื่อทำนายสาเหตุของการเจ็บป่วย (หน้า 201) ตะแหลวขับไล่ผี อาข่านำมาปักหลังทำพิธีเรียกขวัญ (หน้า 203) แผนภูมิ ชาวเขาเผ่าต่างๆ ในประเทศไทย(หน้า 20) การอพยพของชาวเขาสู่ประเทศไทย (หน้า 23) แบบบ้านอาข่า (หน้า 27) |
|
|