สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject คนไท,พิธีทำขวัญ,รัฐฉาน,รัฐอัสสัม,ประเทศไทย
Author วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์
Title วิวัฒนาการพิธีทำขวัญของคนไท
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text -
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 140 Year 2529
Source สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

พิธีเรียกขวัญของคนไทมีการปฏิบัติสืบเนื่องมาช้านาน มีการเปลี่ยนแปลงไปในหลายด้าน แต่ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงในสังคมโดยตรง งานวิจัยนี้มีเนื้อหาครอบคลุมวิวัฒนาการของพิธีทำขวัญของกลุ่มคนไท ซึ่งรวมทั้งที่เป็นคนไทโบราณ คนไทในประเทศอินเดีย ประเทศพม่า และประเทศไทย ในองค์ประกอบของพิธีเรียกขวัญ 5 ประการ คือ คำเรียกขวัญ อุปกรณ์และสิ่งของที่ใช้ในการประกอบพิธี ผู้เรียกขวัญ เจ้าของขวัญ และผู้ร่วมพิธีขวัญ โดยผู้เขียนเน้นศึกษาเฉพาะคำเรียกขวัญเท่านั้น (ส่วนองค์ประกอบอื่น ๆ ผู้เขียนกล่าวถึงเพียงเล็กน้อย) เนื่องจากสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดในพิธีทำขวัญคือ "คำเรียกขวัญ" คำเรียกขวัญ นับเป็นหัวใจสำคัญของพิธี การเปลี่ยนแปลงของจุดประสงค์ของการเรียกขวัญ ทำให้ชนิดของภาษาที่ใช้ในคำเรียกขวัญเปลี่ยนไปด้วย จากการเรียก กลายเป็นการพรรณนา การกล่าวถ้อยคำทั่วไป และวิวัฒนาการเป็นการกล่าวถ้อยคำเพื่อมุ่งมั่นให้มีผลต่อผู้ฟังในที่สุด

Focus

วิเคราะห์วิวัฒนาการพิธีทำขวัญของกลุ่มคนไท โดยศึกษาเปรียบเทียบการทำขวัญของคนไทย คนไทในรัฐฉาน (ประเทศพม่า) และคนไทในรัฐอัสสัม (ประเทศอินเดีย)

Theoretical Issues

ผู้เขียนวิจัยวิเคราะห์วิวัฒนาการพิธีทำขวัญ โดยอาศัยใช้วิธีการทางภาษาศาสตร์เชิงประวัติ และแนวคิดของ J.L.Austin เรื่อง Speech Act เป็นเครื่องมือในการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล และพบว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดในพิธีทำขวัญคือ "คำเรียกขวัญ" วิวัฒนาการของพิธีเรียกขวัญเกิดขึ้นในหลายแง่มุม ทั้งในด้านจุดประสงค์ของการเรียกขวัญ ที่เริ่มจากการเรียกขวัญให้เข้าเนื้อเข้าตัว กลายเป็นการสั่งสอน แนะนำ และด้วยการเปลี่ยนแปลงของจุดประสงค์ของการเรียกขวัญนี้เอง ทำให้ชนิดของภาษาที่ใช้ในคำเรียกขวัญเปลี่ยนไปด้วย จากการเรียก กลายเป็นการพรรณนา การกล่าวถ้อยคำทั่วไป และวิวัฒนาการเป็นการกล่าวถ้อยคำเพื่อมุ่งมั่นให้มีผลต่อผู้ฟังในที่สุด วิวัฒนาการในด้านอื่น ๆ ของพิธีทำขวัญนับว่าไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เช่น ด้านผู้ประกอบพิธีทำขวัญ ในสมัยแรกจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ มีคุณสมบัติเพียงประการเดียวคือ เป็นผู้ที่สามารถกล่าวคำเรียกขวัญได้ ด้านอุปกรณ์ในการเรียกขวัญก็มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเช่นกัน อุปกรณ์หลักที่ยังคงใช้กันอยู่คือ ไข่ ด้าย อาหาร และน้ำ ในประเทศไทยมีวิวัฒนาการที่แตกต่างออกไปบ้างคือ มีการทำบายศรีซึ่งมีความหมายใช้แสดงถึงฐานะและความสำคัญของงาน จัดว่าเป็นวิวัฒนาการทางด้านศิลป์ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องขวัญโดยตรง วิวัฒนาการด้านเจ้าของขวัญจากเดิมที่มีเจ้าของขวัญเพียง 2 ประเภท คือ มนุษย์ และ ข้าว แต่ในปัจจุบัน เจ้าของขวัญมีทั้งที่เป็น สัตว์ พืช และสิ่งของ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปน้อยที่สุดของพิธีทำขวัญคือ ผู้เข้าร่วมพิธีเรียกขวัญ ในสังคมโบราณผู้เข้าร่วมพิธีเรียกขวัญมี 2 ประเภทคือ ญาติผู้ใหญ่และผู้เกี่ยวข้องกับเจ้าของขวัญ และผู้ที่ไม่ใช่ญาติ ในสังคมไทยปัจจุบันผู้เข้าร่วมพิธีก็ยังคงมีอยู่ 2 ประเภทเช่นเดิม พิธีเรียกขวัญของคนไทมีการปฏิบัติสืบเนื่องมาช้านาน มีการเปลี่ยนแปลงไปในหลายด้าน แต่ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงในสังคมโดยตรง ในสังคมระดับหมู่บ้านมีการเปลี่ยนแปลงไปน้อยเมื่อเทียบกับสังคมเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พิธีเรียกขวัญที่ยังคงมีเหลืออยู่ในสังคมจึงเป็นเพียงสัญลักษณ์ของความเป็นคนไทในสมัยเก่า ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเลย (บทคัดย่อ, น.53-54,น.111-118)

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มต่าง ๆ ซึ่งรวมทั้งที่เป็นคนไทโบราณ และคนไทในประเทศอินเดีย ประเทศพม่า ประเทศไทย

Language and Linguistic Affiliations

ผู้เขียนไม่ได้ระบุชัดเจนถึงแหล่งที่มาของภาษาของคนไท เพียงแต่ให้ความหมายของ"ภาษาไทโบราณ" ไว้ว่า เป็นภาษาของ คนไทโบราณที่ใช้อยู่ในช่วงเวลาก่อนจะมีการแยกย้ายกันไปและเกิดมีภาษาไทถิ่นในประเทศไทย ภาษาไทในประเทศอินเดีย และภาษาไทยในประเทศพม่าขึ้น (น. 6)

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุ

History of the Group and Community

ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ไม่มีข้อมูล

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

คนเผ่าไทมีความเชื่อเรื่องขวัญ ซึ่งมีความคิดความเชื่อกันว่า ขวัญคือสิ่งที่สิงสถิตย์อยู่ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายของคน คนไทบางถิ่นว่า 32 แห่งในร่างกาย ไทบางถิ่นว่า 90 แห่ง ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละถิ่นว่านิยมตัวเลขอะไร ขวัญเป็นสิ่งที่เข้าออกจากร่างกายได้ในขณะที่เจ้าของขวัญยังมีชีวิตอยู่ เมื่อขวัญอยู่ในร่างกายเจ้าของร่างก็จะเป็นมนุษย์ที่ปกติสมบูรณ์ แต่ถ้าขวัญออกจากร่างกายไปเพราะความตกใจหรือความกลัว เจ้าของขวัญจะไม่สบาย และต้องทำพิธีเรียกขวัญให้ขวัญกลับมา เจ้าของขวัญจึงจะพ้นจากความเจ็บไข้ ความหมายของขวัญที่กล่าวมาข้างต้นผู้เขียนสันนิษฐานว่า น่าจะมีอายุอยู่ในช่วงก่อนที่คนไทจะแยกออกเป็นกลุ่ม หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นความหมายที่คนไทในสังคมโบราณใช้การจำแนกพิธีขวัญโดยยึดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของขวัญกับสังคมเป็นหลักสามารถแบ่งพิธีขวัญแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1.พิธีขวัญเนื่องในโอกาสที่เจ้าของขวัญผ่านช่วงสำคัญของชีวิต พิธีขวัญประเภทนี้มีอยู่ทั่วไปในสังคมโบราณ และสังคมปัจจุบัน เช่น พิธีทำขวัญเนื่องในโอกาสมีเด็กเกิดใหม่ พิธีตัดจุกเด็ก หรือพิธีแต่งงาน พิธีทำขวัญประเภทนี้เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (เจ้าของขวัญ) กับสังคม และเป็นเครื่องมือที่ชี้ให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสังคม กล่าวคือเป็นการบอกให้คนในสังคมรับรู้ว่าสถานภาพของเจ้าของขวัญนั้นเปลี่ยนไปแล้ว และย่อมมีผลต่อความสัมพันธ์ที่มีกับคนในสังคมเดียวกันด้วย 2. พิธีขวัญเนื่องในโอกาสที่เจ้าของขวัญป่วยไข้ จุดมุ่งหมายของพิธีเพื่อมุ่งให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยไข้ให้มีกำลังใจและมีขวัญดี สะท้อนให้เห็นว่าคนไทให้ความสำคัญกับนามธรรมไปพร้อมกับรูปธรรม ในยามป่วยจึงต้องมีการรักษาทั้ง 2 ด้าน นอกจากพิธีขวัญสำหรับคนแล้วคนไทยังมีพิธีเรียกขวัญสิ่งไม่มีชีวิตด้วย เช่น เสาเรือน เรือ ฯลฯ อีกทั้งยังมีพิธีเรียกขวัญสัตว์ เช่น ช้าง เป็นต้น องค์ประกอบของพิธีเรียกขวัญ มี 5 ประการ คือ คำเรียกขวัญ อุปกรณ์และสิ่งของที่ใช้ในการประกอบพิธี ผู้เรียกขวัญ เจ้าของขวัญ ผู้ร่วมพิธีขวัญ (ผู้เขียนเน้นศึกษาเฉพาะคำเรียกขวัญเท่านั้น องค์ประกอบอื่น ๆ ผู้เขียนกล่าวถึงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น) คำเรียกขวัญ นับเป็นหัวใจสำคัญของพิธี เนื่องจากเป็นสื่อสำคัญที่ทำให้ขวัญรู้ว่ามีผู้เรียกให้ขวัญกลับไปหาเจ้าของ ลักษณะสำคัญของคำเรียกขวัญ คือ เป็นภาษาไทหรือภาษาพื้นเมืองซึ่งทุกคนในสังคมรวมทั้งขวัญสามารถเข้าใจได้ เพราะความสำคัญของคำเรียกขวัญอยู่ที่ความเข้าใจของคนในสังคมที่มีต่อคำเรียกขวัญ สังคมของคนไทในแต่ละถิ่นมีลักษณะคำเรียกขวัญ และความหมายที่แตกต่างกันในเรื่องของรายละเอียด แต่ก็มีลักษณะโครงสร้างใหญ่ ๆ และเนื้อหาสำคัญที่คล้ายคลึงกัน คือ จุดมุ่งหมายของคำเรียกขวัญเพื่อเป็นการบอกกล่าวหรือเชิญชวนให้ขวัญกลับเข้าสู่ตัวเจ้าของขวัญ สถานที่ที่ขวัญไปอยู่นอกตัวเจ้าของขวัญนั้นเป็นที่ซึ่งไม่พึงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม เมื่อขวัญกลับมา ขวัญจะได้กินอาหารที่ผู้ทำพิธีขวัญจัดเตรียมไว้ให้ และได้กลับมาจะได้ร่วมอยู่กับพี่กับน้อง ขวัญจะได้รับคำอวยพรจากผู้เรียกขวัญให้มีความสุข ไม่เจ็บไข้ และมีอายุยืน ลักษณะทั้งหมดของคำเรียกขวัญที่กล่าวมานี้ ผู้เขียนสันนิษฐานว่าเป็นลักษณะที่สืบทอดมาจากสังคมโบราณเนื่องจากกลุ่มคนไทที่อยู่ห่างไกลกันและไม่ได้มีการติดต่อกันมาเป็นระยะเวลานานแล้วก็ยังมีลักษณะสำคัญเหล่านี้ร่วมกันอยู่ พิธีขวัญก็เหมือนพิธีกรรมอื่นในสังคม รูปแบบและวิธีการที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมมักเป็นเรื่องของสัญลักษณ์ สิ่งต่าง ๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นพิธี ไม่ว่าจะเป็นภาษา สิ่งของ หรือบุคคล ล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์ซึ่งมีความหมายทั้งสิ้น เช่น "ขวัญ" เป็นสัญลักษณ์แทนผู้ป่วย ประการหนึ่งซึ่งชี้ให้เห็นว่าขวัญเป็นสัญลักษณ์แทนผู้ป่วย คือ ขวัญสามารถเข้าใจภาษาได้ คำเรียกขวัญจะมีผลก็ต่อเมื่อมีผู้อ่านคำเรียกขวัญให้เกิดเป็นเสียง การอ่านออกเสียงเท่านั้นจึงเป็นการเรียกขวัญ "สถานที่หรือสิ่งขิงขวัญไปติดอยู่" เป็นสัญลักษณ์แทนความป่วยไข้ คำเรียกขวัญทำให้ขวัญทราบได้ว่ากำลังอยู่ในที่ซึ่งไม่ควรอยู่ และควรกลับ ในคำเรียกขวัญนั้นนอกจากเชิญชวนให้ขวัญกลับแล้ว ยังมีการเชิญให้ขวัญมา "กินข้าวปลาอาหาร" และให้ "กลับมาอยู่กับพ่อแม่พี่น้อง" ข้าวปลาอาหารเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความกินดีอยู่ดี ส่วนการเชิญให้กลับมาอยู่กับพ่อแม่พี่น้องเป็นสัญลักษณ์ในเรื่องของความสุข ความอบอุ่นอันเกิดจากการได้อยู่กับครอบครัว วิวัฒนาการขั้นต้นสุดของรูปแบบของคำเรียกขวัญเป็นรูปแบบที่ใช้กันโดยไม่มีพิธีกรรม เป็นการเรียกคนธรรมดา คือ "ขวัญเอ๋ย ขวัญมา" คำเรียกขวัญนี้ยังใช้กันอยู่ในคนไทยทุกกลุ่ม การเรียกขวัญแบบนี้ผู้เขียนเห็นว่าเป็นการเรียกขวัญที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งคนไทยทุกถิ่นได้รับตกทอดมาเป็นมรดกจากสังคมไทยโบราณ และจากรูปแบบการเรียกขวัญที่เก่าแก่และไม่มีพิธีกรรมนี้ คนไทได้พัฒนาการเรียกขวัญแบบไม่มีพิธีกรรมไปสู่การเรียกขวัญแบบที่มีพิธีกรรมรองรับ ซึ่งทั้งนี้ มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายประการคือ เมื่อการกล่าวเรียกขวัญกลายเป็นพิธีกรรมการเรียกซึ่งเคยสั้นและง่ายก็กลับต้องขยายความยาวมากขึ้น มีการเพิ่มคำพูดประเภทการพรรณนา บอกเล่า การอ้อนวอน สั่งสอน เข้าไปในคำเรียกขวัญด้วย วิวัฒนาการขั้นต่อมารูปแบบคำเรียกขวัญมีการขยายเพิ่มไปจากแบบเดิม มีคำขึ้นต้นและคำลงท้ายหรือคำจบเพิ่มขึ้นมา มีการขยายความขวัญ การขยายความการกลับมาโดยระบุจำนวนขวัญและตำแหน่งของขวัญในร่างกาย ซึ่งการระบุตัวเลขจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละท้องถิ่น ตัวเลขเป็นเพียงเรื่องสมมติและสัญลักษณ์ เนื้อหาที่แท้จริงของตัวเลขคือการชี้ให้เห็นว่าขวัญอยู่ในทุกส่วนของร่างกาาย ไม่ได้อยู่ที่ใดที่หนึ่งโดยเฉพาะ วิวัฒนาการต่อมาของคำเรียกขวัญถือได้ว่าเป็นพิธีกรรมที่เต็มรูปแบบในแต่ละสังคมไท ถ้อยคำที่ใช้สำหรับเรียกขวัญโดยตรงมีสัดส่วนน้อยลงไปมากแต่มีเนื้อหาอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น เนื้อหาส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้จะสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคม วัฒนธรรม และความเป็นอยู่ของคนไทในแต่ละถิ่น ยกตัวอย่างเช่น คำขึ้นต้นของพิธีเรียกขวัญของคนไทในประเทศไทย อินเดีย พม่า จะมีการตั้ง "นโม" แสดงให้เห็นว่าคนไทในแต่ละถิ่นนับถือศาสนาพุทธ และศาสนาดังกล่าวมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม แต่อย่างไรก็ตาม การตั้ง "นโม" ในคำขึ้นต้นพิธีเรียกขวัญ มีคนไทบางกลุ่มเท่านั้นที่ใช้ ผู้เขียนจึงสันนิษฐานว่าเป็นลักษณะเกิดขึ้นใหม่ซึ่งคนไทเริ่มใช้หลังจากที่แยกย้ายกันไปจากสังคมโบราณแล้ว วิธีการดำเนินการเรียกขวัญ เริ่มต้นจากการกล่าวถึงที่มาของคำเรียกขวัญ การเล่านิทานซึ่งเป็นที่มาของการเรียกขวัญ การทำความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์และครูอาจารย์ การกล่าวเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยตามหาขวัญ และคำจบ ก่อนคำจบมันเป็นการอวยชัยให้พร ให้เจ้าของขวัญมีความสุข อายุยืน ซึ่งมักลงท้ายด้วยคำว่า "เอย" หรือ "เทอญ" เป็นต้นรูปแบบการเรียกขวัญแบบสุดท้ายเป็นการเรียกขวัญในเชิงบอกเล่า อบรม สั่งสอน ในพิธีเรียกขวัญแบบนี้ไม่ใช้กับผู้ป่วย เจ้าของขวัญอาจเป็นผู้เข้าพิธีสมรส หรือพิธีบวชนาคซึ่งจะเห็นได้ว่าจุดประสงค์หลักของคำเรียกขวัญไม่ได้เรียกให้ขวัญกลับเข้าสู่เนื้อตัว แต่เป็นการอบรมสั่งสอนผู้ที่จะเข้าพิธีมากกว่า การที่คนไทประกอบพิธีขวัญในโอกาสเหล่านี้เนื่องจากมีจุดประสงค์อื่นทางสังคม คือ ต้องการบอกให้สังคมทราบถึงสถานภาพที่เปลี่ยนไปของเจ้าของขวัญ เช่น สถานภาพของสมาชิกในสังคมเปลี่ยนจากโสดเป็นมีคู่ เป็นต้น คำเรียกขวัญที่นำมาใช้ในโอกาสต่างๆ เหล่านี้ได้มีการเพิ่มเติมข้อความใหม่ซึ่งเป็นการบอกเล่า อบรม สั่งสอนให้เหมาะสมกับกาละเทศะ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นพิธีเรียกขวัญสำหรับคนในโอกาสต่าง ๆ สัตว์ พืช รวมทั้งสิ่งไม่มีชีวิตต่าง ๆ ก็ดี ในคำเรียกขวัญซึ่งมีจุดมุ่งหมายต่าง ๆ กันนั้น จะมีคำเรียกขวัญส่วนหนึ่งที่กล่าวเรียกขวัญให้กลับเข้าสู่เนื้อสู่ตัว ซึ่งนับว่าเป็นขนบธรรมเนียมของการเรียกขวัญว่าจะต้องมีการกล่าวเรียกขวัญ ไ ม่ว่าขวัญจะอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่แล้วหรือไม่ก็ตาม ซึ่งผู้เขียนถือเป็นข้อบ่งชี้ว่า การเรียกขวัญคนเจ็บป่วยเป็นพิธีต้นกำเนิดของพิธีเรียกขวัญอื่น ๆ อุปกรณ์ประกอบพิธีเรียกขวัญ : สัญลักษณ์และความหมาย อุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียกขวัญของถิ่นต่างๆ มีความแตกต่างๆกันไปในแต่ละถิ่น แต่จะมีอยู่ 5 อย่างที่ถือเป็นอุปกรณ์พื้นฐานของการเรียกขวัญ คือ ข้าว กล้วย น้ำ ไข่ ด้าย รองลงมาคือ อ้อยหรือของหวาน และเสื้อผ้าเจ้าของขวัญ "ไข่ และ ด้าย" ถือเป็นอุปกรณ์เอกของพิธี เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญและเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งที่เป็นหัวใจของพิธี "ไข่" เป็นสัญลักษณ์แทน "ขวัญ" มีความคล้ายคลึงกันคือ ไข่มีเปลือกหุ้มห่อ และเป็นต้นกำเนิด เป็นที่มาของชีวิต ในทำนองเดียวกับขวัญที่มีร่างกายหุ้มห่อ และเป็นสิ่งที่ทำให้ร่างกายมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ "ด้าย" เป็นสิ่งที่มีความหมายในด้านนามธรรม หมายถึงการอยู่ร่วมกันเป็นผืนแผ่น ในพิธีเรียกขวัญ ด้ายมีหน้าที่ผูกให้ขวัญอยู่กับเนื้อกับตัว ในแง่หนึ่งด้ายเป็นสัญลักษณ์ของความผูกพันธ์ของผู้ใหญ่หรือสังคมที่มีต่อเจ้าของขวัญ จึงจัดให้มีพิธีเรียกขวัญให้กับเจ้าของขวัญ ส่วนในอีกแง่หนึ่งด้ายเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความผูกพันธ์ระหว่างเจ้ารูปธรรม (ร่างกาย) และนามธรรม (จิตใจ) "เสื้อผ้าของผู้ป่วย" เป็นสัญลักษณ์แทนผู้ป่วยหรือเจ้าของขวัญ ซึ่งทุกถิ่นจะใช้เหมือนกัน นอกจากอุปกรณ์ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีอุปกรณ์สำหรับช้อน ตัก หาขวัญ และอุปกรณ์เสี่ยงทายการกลับของขวัญด้วย ในการตักขวัญหรือช้อนขวัญผู้ประกอบพิธีต้องได้สิ่งมีชีวิตอย่างใดอย่างหนึ่งกลับมาเช่น ปลา กุ้ง หรือแมลง พิธีนี้มีขึ้นเพื่อความสำเร็จเท่านั้น ผู้ประกอบพิธีจะต้องหาขวัญกลับมาได้เสมอ สามารถใช้เวลานานเท่าที่ต้องการและสามารถทำซ้ำได้หลาย ๆ ครั้งจนกระทั่งประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับการเสี่ยงทายเรื่องการกลับมาของขวัญก็เป็นพิธีที่มีขึ้นเพื่อพิสูจน์ว่า ขวัญได้กลับมาแล้วเท่านั้น การเสี่ยงทายสามารถทำซ้ำจนกว่าจะได้ผลที่ต้องการ เช่น ไทใหญ่ในพม่าใช้ไม้ไผ่เหลาเป็นอันเล็กๆ ไว้เป็นกำๆ จากนั้นจะเสี่ยงหยิบไม้ไผ่ขึ้นมานับดู ถ้าหยิบแล้วไม่ได้จำนวนคู่ก็สามารถเสี่ยงใหม่ได้อีก จนกว่าจะได้จำนวนที่ต้องการอันหมายถึงขวัญได้กลับมาแล้วนั่นเอง ผู้ประกอบพิธีเรียกขวัญ : ผู้เรียกขวัญจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ ผู้ประกอบพิธีเรียกขวัญอาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ผู้ประกอบพิธีเรียกขวัญในครอบครัวหรือพิธีเรียกขวัญที่ไม่เป็นทางการ มักเป็นพิธีกรรมที่ง่าย ๆ เช่นการอุ้มเด็ก หรือลูบตัวเด็ก มีการผูกข้อมือ และกล่าวคำเรียกขวัญสั้น ๆ ว่า "ขวัญเอ๋ย ขวัญมา อยู่กับเนื้ออยู่กับตัว" หรืออาจมีการกล่าวคำเรียกขวัญซึ่งเป็นบทที่ยาวกว่านั้น ถ้าในครอบครัวเดียวกันไม่สามารถกล่าวคำเรียกขวัญได้ ผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ของผู้ป่วยจะเป็นผู้ไปเชิญผู้เฒ่าจากครอบครัวอื่น หรือผู้รู้มากล่าวคำเรียกขวัญให้ ส่วนผู้ประกอบพิธีเรียกขวัญระดับอาชีพหรือผู้รู้เป็นผู้ที่สามารถประกอบพิธีเรียกขวัญให้แก่ผู้ที่ตนเองไม่รู้จักได้ และสามารถประกอบพิธีเรียกขวัญได้ทุกชนิด ที่สำคัญคือผู้รู้จะได้รับ "ค่ายกครู" ด้วย (น.11,14,16-19,24,28-29,33,42,47,49,51-52,54-59,61-64,70-71,83,89,90-92,94,96-98,99)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงชัดเจน เพียงแต่กล่าวไว้ว่าคนไทกลุ่มต่าง ๆ จะมีตำรายาพื้นบ้าน และหมอพื้นบ้านสำหรับรักษาโรคภัยไข้เจ็บ และการเรียกขวัญก็อาจเป็นการรักษาพยาบาลแขนงหนึ่ง (น.18)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่ระบุชัดเจน

Folklore

ไม่ระบุชัดเจน

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่ระบุชัดเจน

Social Cultural and Identity Change

พิธีเรียกขวัญของคนไทซึ่งมีสืบเนื่องกันเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปีได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก สังคมไทยในประเทศไทยสมัยใหม่ที่ความเป็นอยู่ของคนไทเปลี่ยนไปจากเดิม จากสังคมกสิกรรม กลายเป็นสังคมธุรกิจ จากความเป็นอยู่แบบโบราณมาสู่ความเป็นอยู่แบบสมัยใหม่ มีเทคโนโลยีและความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาในสังคม ความเชื่อเรื่องขวัญจึงได้หมดไป แต่สังคมในระดับหมู่บ้านทั้งในประเทศไทย อินเดียและพม่า ความเชื่อเรื่องขวัญยังคงมีอยู่อย่างมั่นคง พิธีการไม่เปลี่ยนแปลงไปมากเช่นเดียวกับสังคมที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง เคยเป็นมาอย่างไรขณะนี้ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น ในแง่มุมนี้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้ว่า สังคมระดับหมู่บ้านนั้นไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนช้าและก็ไม่มากนัก ส่วนสังคมเมืองนั้นเปลี่ยนไปได้มากและรวดเร็ว ซึ่งในสังคมแบบนี้ พิธีเรียกขวัญไม่มีบทบาทและหน้าที่อะไรมากไปกว่าการเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณที่ผู้คนถือปฏิบัติกันสืบมาเท่านั้น (น.103,108 - 110,117)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ภัทราภรณ์ เป้าเจริญ Date of Report 13 ม.ค. 2548
TAG คนไท, พิธีทำขวัญ, รัฐฉาน, รัฐอัสสัม, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง