|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
คนไท,พิธีทำขวัญ,รัฐฉาน,รัฐอัสสัม,ประเทศไทย |
Author |
วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ |
Title |
วิวัฒนาการพิธีทำขวัญของคนไท |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
140 |
Year |
2529 |
Source |
สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
พิธีเรียกขวัญของคนไทมีการปฏิบัติสืบเนื่องมาช้านาน มีการเปลี่ยนแปลงไปในหลายด้าน แต่ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงในสังคมโดยตรง
งานวิจัยนี้มีเนื้อหาครอบคลุมวิวัฒนาการของพิธีทำขวัญของกลุ่มคนไท ซึ่งรวมทั้งที่เป็นคนไทโบราณ คนไทในประเทศอินเดีย ประเทศพม่า และประเทศไทย ในองค์ประกอบของพิธีเรียกขวัญ 5 ประการ คือ คำเรียกขวัญ อุปกรณ์และสิ่งของที่ใช้ในการประกอบพิธี ผู้เรียกขวัญ เจ้าของขวัญ และผู้ร่วมพิธีขวัญ
โดยผู้เขียนเน้นศึกษาเฉพาะคำเรียกขวัญเท่านั้น (ส่วนองค์ประกอบอื่น ๆ ผู้เขียนกล่าวถึงเพียงเล็กน้อย) เนื่องจากสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดในพิธีทำขวัญคือ "คำเรียกขวัญ" คำเรียกขวัญ นับเป็นหัวใจสำคัญของพิธี การเปลี่ยนแปลงของจุดประสงค์ของการเรียกขวัญ ทำให้ชนิดของภาษาที่ใช้ในคำเรียกขวัญเปลี่ยนไปด้วย จากการเรียก กลายเป็นการพรรณนา การกล่าวถ้อยคำทั่วไป และวิวัฒนาการเป็นการกล่าวถ้อยคำเพื่อมุ่งมั่นให้มีผลต่อผู้ฟังในที่สุด |
|
Focus |
วิเคราะห์วิวัฒนาการพิธีทำขวัญของกลุ่มคนไท โดยศึกษาเปรียบเทียบการทำขวัญของคนไทย คนไทในรัฐฉาน (ประเทศพม่า) และคนไทในรัฐอัสสัม (ประเทศอินเดีย) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนวิจัยวิเคราะห์วิวัฒนาการพิธีทำขวัญ โดยอาศัยใช้วิธีการทางภาษาศาสตร์เชิงประวัติ และแนวคิดของ J.L.Austin เรื่อง Speech Act เป็นเครื่องมือในการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล และพบว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดในพิธีทำขวัญคือ "คำเรียกขวัญ" วิวัฒนาการของพิธีเรียกขวัญเกิดขึ้นในหลายแง่มุม ทั้งในด้านจุดประสงค์ของการเรียกขวัญ ที่เริ่มจากการเรียกขวัญให้เข้าเนื้อเข้าตัว กลายเป็นการสั่งสอน แนะนำ และด้วยการเปลี่ยนแปลงของจุดประสงค์ของการเรียกขวัญนี้เอง ทำให้ชนิดของภาษาที่ใช้ในคำเรียกขวัญเปลี่ยนไปด้วย จากการเรียก กลายเป็นการพรรณนา การกล่าวถ้อยคำทั่วไป และวิวัฒนาการเป็นการกล่าวถ้อยคำเพื่อมุ่งมั่นให้มีผลต่อผู้ฟังในที่สุด
วิวัฒนาการในด้านอื่น ๆ ของพิธีทำขวัญนับว่าไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เช่น ด้านผู้ประกอบพิธีทำขวัญ ในสมัยแรกจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ มีคุณสมบัติเพียงประการเดียวคือ เป็นผู้ที่สามารถกล่าวคำเรียกขวัญได้ ด้านอุปกรณ์ในการเรียกขวัญก็มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเช่นกัน อุปกรณ์หลักที่ยังคงใช้กันอยู่คือ ไข่ ด้าย อาหาร และน้ำ ในประเทศไทยมีวิวัฒนาการที่แตกต่างออกไปบ้างคือ มีการทำบายศรีซึ่งมีความหมายใช้แสดงถึงฐานะและความสำคัญของงาน จัดว่าเป็นวิวัฒนาการทางด้านศิลป์ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องขวัญโดยตรง
วิวัฒนาการด้านเจ้าของขวัญจากเดิมที่มีเจ้าของขวัญเพียง 2 ประเภท คือ มนุษย์ และ ข้าว แต่ในปัจจุบัน เจ้าของขวัญมีทั้งที่เป็น สัตว์ พืช และสิ่งของ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปน้อยที่สุดของพิธีทำขวัญคือ ผู้เข้าร่วมพิธีเรียกขวัญ ในสังคมโบราณผู้เข้าร่วมพิธีเรียกขวัญมี 2 ประเภทคือ ญาติผู้ใหญ่และผู้เกี่ยวข้องกับเจ้าของขวัญ และผู้ที่ไม่ใช่ญาติ ในสังคมไทยปัจจุบันผู้เข้าร่วมพิธีก็ยังคงมีอยู่ 2 ประเภทเช่นเดิม
พิธีเรียกขวัญของคนไทมีการปฏิบัติสืบเนื่องมาช้านาน มีการเปลี่ยนแปลงไปในหลายด้าน แต่ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงในสังคมโดยตรง ในสังคมระดับหมู่บ้านมีการเปลี่ยนแปลงไปน้อยเมื่อเทียบกับสังคมเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พิธีเรียกขวัญที่ยังคงมีเหลืออยู่ในสังคมจึงเป็นเพียงสัญลักษณ์ของความเป็นคนไทในสมัยเก่า ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเลย (บทคัดย่อ, น.53-54,น.111-118) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มต่าง ๆ ซึ่งรวมทั้งที่เป็นคนไทโบราณ และคนไทในประเทศอินเดีย ประเทศพม่า ประเทศไทย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้เขียนไม่ได้ระบุชัดเจนถึงแหล่งที่มาของภาษาของคนไท เพียงแต่ให้ความหมายของ"ภาษาไทโบราณ" ไว้ว่า เป็นภาษาของ คนไทโบราณที่ใช้อยู่ในช่วงเวลาก่อนจะมีการแยกย้ายกันไปและเกิดมีภาษาไทถิ่นในประเทศไทย ภาษาไทในประเทศอินเดีย และภาษาไทยในประเทศพม่าขึ้น (น. 6) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Belief System |
คนเผ่าไทมีความเชื่อเรื่องขวัญ ซึ่งมีความคิดความเชื่อกันว่า ขวัญคือสิ่งที่สิงสถิตย์อยู่ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายของคน คนไทบางถิ่นว่า 32 แห่งในร่างกาย ไทบางถิ่นว่า 90 แห่ง ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละถิ่นว่านิยมตัวเลขอะไร ขวัญเป็นสิ่งที่เข้าออกจากร่างกายได้ในขณะที่เจ้าของขวัญยังมีชีวิตอยู่ เมื่อขวัญอยู่ในร่างกายเจ้าของร่างก็จะเป็นมนุษย์ที่ปกติสมบูรณ์ แต่ถ้าขวัญออกจากร่างกายไปเพราะความตกใจหรือความกลัว เจ้าของขวัญจะไม่สบาย และต้องทำพิธีเรียกขวัญให้ขวัญกลับมา เจ้าของขวัญจึงจะพ้นจากความเจ็บไข้
ความหมายของขวัญที่กล่าวมาข้างต้นผู้เขียนสันนิษฐานว่า น่าจะมีอายุอยู่ในช่วงก่อนที่คนไทจะแยกออกเป็นกลุ่ม หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นความหมายที่คนไทในสังคมโบราณใช้การจำแนกพิธีขวัญโดยยึดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของขวัญกับสังคมเป็นหลักสามารถแบ่งพิธีขวัญแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1.พิธีขวัญเนื่องในโอกาสที่เจ้าของขวัญผ่านช่วงสำคัญของชีวิต พิธีขวัญประเภทนี้มีอยู่ทั่วไปในสังคมโบราณ และสังคมปัจจุบัน เช่น พิธีทำขวัญเนื่องในโอกาสมีเด็กเกิดใหม่ พิธีตัดจุกเด็ก หรือพิธีแต่งงาน พิธีทำขวัญประเภทนี้เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (เจ้าของขวัญ) กับสังคม และเป็นเครื่องมือที่ชี้ให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสังคม กล่าวคือเป็นการบอกให้คนในสังคมรับรู้ว่าสถานภาพของเจ้าของขวัญนั้นเปลี่ยนไปแล้ว และย่อมมีผลต่อความสัมพันธ์ที่มีกับคนในสังคมเดียวกันด้วย
2. พิธีขวัญเนื่องในโอกาสที่เจ้าของขวัญป่วยไข้ จุดมุ่งหมายของพิธีเพื่อมุ่งให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยไข้ให้มีกำลังใจและมีขวัญดี สะท้อนให้เห็นว่าคนไทให้ความสำคัญกับนามธรรมไปพร้อมกับรูปธรรม ในยามป่วยจึงต้องมีการรักษาทั้ง 2 ด้าน
นอกจากพิธีขวัญสำหรับคนแล้วคนไทยังมีพิธีเรียกขวัญสิ่งไม่มีชีวิตด้วย เช่น เสาเรือน เรือ ฯลฯ อีกทั้งยังมีพิธีเรียกขวัญสัตว์ เช่น ช้าง เป็นต้น
องค์ประกอบของพิธีเรียกขวัญ มี 5 ประการ คือ คำเรียกขวัญ อุปกรณ์และสิ่งของที่ใช้ในการประกอบพิธี ผู้เรียกขวัญ เจ้าของขวัญ ผู้ร่วมพิธีขวัญ (ผู้เขียนเน้นศึกษาเฉพาะคำเรียกขวัญเท่านั้น องค์ประกอบอื่น ๆ ผู้เขียนกล่าวถึงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น)
คำเรียกขวัญ นับเป็นหัวใจสำคัญของพิธี เนื่องจากเป็นสื่อสำคัญที่ทำให้ขวัญรู้ว่ามีผู้เรียกให้ขวัญกลับไปหาเจ้าของ ลักษณะสำคัญของคำเรียกขวัญ คือ เป็นภาษาไทหรือภาษาพื้นเมืองซึ่งทุกคนในสังคมรวมทั้งขวัญสามารถเข้าใจได้ เพราะความสำคัญของคำเรียกขวัญอยู่ที่ความเข้าใจของคนในสังคมที่มีต่อคำเรียกขวัญ
สังคมของคนไทในแต่ละถิ่นมีลักษณะคำเรียกขวัญ และความหมายที่แตกต่างกันในเรื่องของรายละเอียด แต่ก็มีลักษณะโครงสร้างใหญ่ ๆ และเนื้อหาสำคัญที่คล้ายคลึงกัน คือ จุดมุ่งหมายของคำเรียกขวัญเพื่อเป็นการบอกกล่าวหรือเชิญชวนให้ขวัญกลับเข้าสู่ตัวเจ้าของขวัญ สถานที่ที่ขวัญไปอยู่นอกตัวเจ้าของขวัญนั้นเป็นที่ซึ่งไม่พึงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม เมื่อขวัญกลับมา ขวัญจะได้กินอาหารที่ผู้ทำพิธีขวัญจัดเตรียมไว้ให้ และได้กลับมาจะได้ร่วมอยู่กับพี่กับน้อง ขวัญจะได้รับคำอวยพรจากผู้เรียกขวัญให้มีความสุข ไม่เจ็บไข้ และมีอายุยืน ลักษณะทั้งหมดของคำเรียกขวัญที่กล่าวมานี้ ผู้เขียนสันนิษฐานว่าเป็นลักษณะที่สืบทอดมาจากสังคมโบราณเนื่องจากกลุ่มคนไทที่อยู่ห่างไกลกันและไม่ได้มีการติดต่อกันมาเป็นระยะเวลานานแล้วก็ยังมีลักษณะสำคัญเหล่านี้ร่วมกันอยู่
พิธีขวัญก็เหมือนพิธีกรรมอื่นในสังคม รูปแบบและวิธีการที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมมักเป็นเรื่องของสัญลักษณ์ สิ่งต่าง ๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นพิธี ไม่ว่าจะเป็นภาษา สิ่งของ หรือบุคคล ล้วนแต่เป็นสัญลักษณ์ซึ่งมีความหมายทั้งสิ้น เช่น "ขวัญ" เป็นสัญลักษณ์แทนผู้ป่วย
ประการหนึ่งซึ่งชี้ให้เห็นว่าขวัญเป็นสัญลักษณ์แทนผู้ป่วย คือ ขวัญสามารถเข้าใจภาษาได้ คำเรียกขวัญจะมีผลก็ต่อเมื่อมีผู้อ่านคำเรียกขวัญให้เกิดเป็นเสียง การอ่านออกเสียงเท่านั้นจึงเป็นการเรียกขวัญ "สถานที่หรือสิ่งขิงขวัญไปติดอยู่" เป็นสัญลักษณ์แทนความป่วยไข้ คำเรียกขวัญทำให้ขวัญทราบได้ว่ากำลังอยู่ในที่ซึ่งไม่ควรอยู่ และควรกลับ ในคำเรียกขวัญนั้นนอกจากเชิญชวนให้ขวัญกลับแล้ว ยังมีการเชิญให้ขวัญมา "กินข้าวปลาอาหาร" และให้ "กลับมาอยู่กับพ่อแม่พี่น้อง" ข้าวปลาอาหารเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความกินดีอยู่ดี ส่วนการเชิญให้กลับมาอยู่กับพ่อแม่พี่น้องเป็นสัญลักษณ์ในเรื่องของความสุข ความอบอุ่นอันเกิดจากการได้อยู่กับครอบครัว
วิวัฒนาการขั้นต้นสุดของรูปแบบของคำเรียกขวัญเป็นรูปแบบที่ใช้กันโดยไม่มีพิธีกรรม เป็นการเรียกคนธรรมดา คือ "ขวัญเอ๋ย ขวัญมา" คำเรียกขวัญนี้ยังใช้กันอยู่ในคนไทยทุกกลุ่ม การเรียกขวัญแบบนี้ผู้เขียนเห็นว่าเป็นการเรียกขวัญที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งคนไทยทุกถิ่นได้รับตกทอดมาเป็นมรดกจากสังคมไทยโบราณ และจากรูปแบบการเรียกขวัญที่เก่าแก่และไม่มีพิธีกรรมนี้ คนไทได้พัฒนาการเรียกขวัญแบบไม่มีพิธีกรรมไปสู่การเรียกขวัญแบบที่มีพิธีกรรมรองรับ ซึ่งทั้งนี้ มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายประการคือ เมื่อการกล่าวเรียกขวัญกลายเป็นพิธีกรรมการเรียกซึ่งเคยสั้นและง่ายก็กลับต้องขยายความยาวมากขึ้น มีการเพิ่มคำพูดประเภทการพรรณนา บอกเล่า การอ้อนวอน สั่งสอน เข้าไปในคำเรียกขวัญด้วย วิวัฒนาการขั้นต่อมารูปแบบคำเรียกขวัญมีการขยายเพิ่มไปจากแบบเดิม มีคำขึ้นต้นและคำลงท้ายหรือคำจบเพิ่มขึ้นมา มีการขยายความขวัญ การขยายความการกลับมาโดยระบุจำนวนขวัญและตำแหน่งของขวัญในร่างกาย ซึ่งการระบุตัวเลขจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละท้องถิ่น ตัวเลขเป็นเพียงเรื่องสมมติและสัญลักษณ์ เนื้อหาที่แท้จริงของตัวเลขคือการชี้ให้เห็นว่าขวัญอยู่ในทุกส่วนของร่างกาาย ไม่ได้อยู่ที่ใดที่หนึ่งโดยเฉพาะ
วิวัฒนาการต่อมาของคำเรียกขวัญถือได้ว่าเป็นพิธีกรรมที่เต็มรูปแบบในแต่ละสังคมไท ถ้อยคำที่ใช้สำหรับเรียกขวัญโดยตรงมีสัดส่วนน้อยลงไปมากแต่มีเนื้อหาอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น เนื้อหาส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้จะสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคม วัฒนธรรม และความเป็นอยู่ของคนไทในแต่ละถิ่น ยกตัวอย่างเช่น คำขึ้นต้นของพิธีเรียกขวัญของคนไทในประเทศไทย อินเดีย พม่า จะมีการตั้ง "นโม" แสดงให้เห็นว่าคนไทในแต่ละถิ่นนับถือศาสนาพุทธ และศาสนาดังกล่าวมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม
แต่อย่างไรก็ตาม การตั้ง "นโม" ในคำขึ้นต้นพิธีเรียกขวัญ มีคนไทบางกลุ่มเท่านั้นที่ใช้ ผู้เขียนจึงสันนิษฐานว่าเป็นลักษณะเกิดขึ้นใหม่ซึ่งคนไทเริ่มใช้หลังจากที่แยกย้ายกันไปจากสังคมโบราณแล้ว วิธีการดำเนินการเรียกขวัญ เริ่มต้นจากการกล่าวถึงที่มาของคำเรียกขวัญ การเล่านิทานซึ่งเป็นที่มาของการเรียกขวัญ การทำความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์และครูอาจารย์ การกล่าวเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยตามหาขวัญ และคำจบ ก่อนคำจบมันเป็นการอวยชัยให้พร ให้เจ้าของขวัญมีความสุข อายุยืน ซึ่งมักลงท้ายด้วยคำว่า "เอย" หรือ "เทอญ" เป็นต้นรูปแบบการเรียกขวัญแบบสุดท้ายเป็นการเรียกขวัญในเชิงบอกเล่า อบรม สั่งสอน ในพิธีเรียกขวัญแบบนี้ไม่ใช้กับผู้ป่วย เจ้าของขวัญอาจเป็นผู้เข้าพิธีสมรส หรือพิธีบวชนาคซึ่งจะเห็นได้ว่าจุดประสงค์หลักของคำเรียกขวัญไม่ได้เรียกให้ขวัญกลับเข้าสู่เนื้อตัว แต่เป็นการอบรมสั่งสอนผู้ที่จะเข้าพิธีมากกว่า การที่คนไทประกอบพิธีขวัญในโอกาสเหล่านี้เนื่องจากมีจุดประสงค์อื่นทางสังคม คือ ต้องการบอกให้สังคมทราบถึงสถานภาพที่เปลี่ยนไปของเจ้าของขวัญ เช่น สถานภาพของสมาชิกในสังคมเปลี่ยนจากโสดเป็นมีคู่ เป็นต้น คำเรียกขวัญที่นำมาใช้ในโอกาสต่างๆ เหล่านี้ได้มีการเพิ่มเติมข้อความใหม่ซึ่งเป็นการบอกเล่า อบรม สั่งสอนให้เหมาะสมกับกาละเทศะ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นพิธีเรียกขวัญสำหรับคนในโอกาสต่าง ๆ สัตว์ พืช รวมทั้งสิ่งไม่มีชีวิตต่าง ๆ ก็ดี ในคำเรียกขวัญซึ่งมีจุดมุ่งหมายต่าง ๆ กันนั้น จะมีคำเรียกขวัญส่วนหนึ่งที่กล่าวเรียกขวัญให้กลับเข้าสู่เนื้อสู่ตัว ซึ่งนับว่าเป็นขนบธรรมเนียมของการเรียกขวัญว่าจะต้องมีการกล่าวเรียกขวัญ ไ ม่ว่าขวัญจะอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่แล้วหรือไม่ก็ตาม ซึ่งผู้เขียนถือเป็นข้อบ่งชี้ว่า การเรียกขวัญคนเจ็บป่วยเป็นพิธีต้นกำเนิดของพิธีเรียกขวัญอื่น ๆ
อุปกรณ์ประกอบพิธีเรียกขวัญ : สัญลักษณ์และความหมาย
อุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียกขวัญของถิ่นต่างๆ มีความแตกต่างๆกันไปในแต่ละถิ่น แต่จะมีอยู่ 5 อย่างที่ถือเป็นอุปกรณ์พื้นฐานของการเรียกขวัญ คือ ข้าว กล้วย น้ำ ไข่ ด้าย รองลงมาคือ อ้อยหรือของหวาน และเสื้อผ้าเจ้าของขวัญ "ไข่ และ ด้าย" ถือเป็นอุปกรณ์เอกของพิธี เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญและเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งที่เป็นหัวใจของพิธี
"ไข่" เป็นสัญลักษณ์แทน "ขวัญ" มีความคล้ายคลึงกันคือ ไข่มีเปลือกหุ้มห่อ และเป็นต้นกำเนิด เป็นที่มาของชีวิต ในทำนองเดียวกับขวัญที่มีร่างกายหุ้มห่อ และเป็นสิ่งที่ทำให้ร่างกายมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ
"ด้าย" เป็นสิ่งที่มีความหมายในด้านนามธรรม หมายถึงการอยู่ร่วมกันเป็นผืนแผ่น ในพิธีเรียกขวัญ ด้ายมีหน้าที่ผูกให้ขวัญอยู่กับเนื้อกับตัว ในแง่หนึ่งด้ายเป็นสัญลักษณ์ของความผูกพันธ์ของผู้ใหญ่หรือสังคมที่มีต่อเจ้าของขวัญ จึงจัดให้มีพิธีเรียกขวัญให้กับเจ้าของขวัญ ส่วนในอีกแง่หนึ่งด้ายเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความผูกพันธ์ระหว่างเจ้ารูปธรรม (ร่างกาย) และนามธรรม (จิตใจ)
"เสื้อผ้าของผู้ป่วย" เป็นสัญลักษณ์แทนผู้ป่วยหรือเจ้าของขวัญ ซึ่งทุกถิ่นจะใช้เหมือนกัน
นอกจากอุปกรณ์ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีอุปกรณ์สำหรับช้อน ตัก หาขวัญ และอุปกรณ์เสี่ยงทายการกลับของขวัญด้วย ในการตักขวัญหรือช้อนขวัญผู้ประกอบพิธีต้องได้สิ่งมีชีวิตอย่างใดอย่างหนึ่งกลับมาเช่น ปลา กุ้ง หรือแมลง พิธีนี้มีขึ้นเพื่อความสำเร็จเท่านั้น ผู้ประกอบพิธีจะต้องหาขวัญกลับมาได้เสมอ สามารถใช้เวลานานเท่าที่ต้องการและสามารถทำซ้ำได้หลาย ๆ ครั้งจนกระทั่งประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับการเสี่ยงทายเรื่องการกลับมาของขวัญก็เป็นพิธีที่มีขึ้นเพื่อพิสูจน์ว่า ขวัญได้กลับมาแล้วเท่านั้น การเสี่ยงทายสามารถทำซ้ำจนกว่าจะได้ผลที่ต้องการ เช่น ไทใหญ่ในพม่าใช้ไม้ไผ่เหลาเป็นอันเล็กๆ ไว้เป็นกำๆ จากนั้นจะเสี่ยงหยิบไม้ไผ่ขึ้นมานับดู ถ้าหยิบแล้วไม่ได้จำนวนคู่ก็สามารถเสี่ยงใหม่ได้อีก จนกว่าจะได้จำนวนที่ต้องการอันหมายถึงขวัญได้กลับมาแล้วนั่นเอง
ผู้ประกอบพิธีเรียกขวัญ : ผู้เรียกขวัญจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ ผู้ประกอบพิธีเรียกขวัญอาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ผู้ประกอบพิธีเรียกขวัญในครอบครัวหรือพิธีเรียกขวัญที่ไม่เป็นทางการ มักเป็นพิธีกรรมที่ง่าย ๆ เช่นการอุ้มเด็ก หรือลูบตัวเด็ก มีการผูกข้อมือ และกล่าวคำเรียกขวัญสั้น ๆ ว่า "ขวัญเอ๋ย ขวัญมา อยู่กับเนื้ออยู่กับตัว" หรืออาจมีการกล่าวคำเรียกขวัญซึ่งเป็นบทที่ยาวกว่านั้น ถ้าในครอบครัวเดียวกันไม่สามารถกล่าวคำเรียกขวัญได้ ผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ของผู้ป่วยจะเป็นผู้ไปเชิญผู้เฒ่าจากครอบครัวอื่น หรือผู้รู้มากล่าวคำเรียกขวัญให้
ส่วนผู้ประกอบพิธีเรียกขวัญระดับอาชีพหรือผู้รู้เป็นผู้ที่สามารถประกอบพิธีเรียกขวัญให้แก่ผู้ที่ตนเองไม่รู้จักได้ และสามารถประกอบพิธีเรียกขวัญได้ทุกชนิด ที่สำคัญคือผู้รู้จะได้รับ "ค่ายกครู" ด้วย
(น.11,14,16-19,24,28-29,33,42,47,49,51-52,54-59,61-64,70-71,83,89,90-92,94,96-98,99) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงชัดเจน เพียงแต่กล่าวไว้ว่าคนไทกลุ่มต่าง ๆ จะมีตำรายาพื้นบ้าน และหมอพื้นบ้านสำหรับรักษาโรคภัยไข้เจ็บ และการเรียกขวัญก็อาจเป็นการรักษาพยาบาลแขนงหนึ่ง (น.18) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
พิธีเรียกขวัญของคนไทซึ่งมีสืบเนื่องกันเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปีได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก สังคมไทยในประเทศไทยสมัยใหม่ที่ความเป็นอยู่ของคนไทเปลี่ยนไปจากเดิม จากสังคมกสิกรรม กลายเป็นสังคมธุรกิจ จากความเป็นอยู่แบบโบราณมาสู่ความเป็นอยู่แบบสมัยใหม่ มีเทคโนโลยีและความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาในสังคม ความเชื่อเรื่องขวัญจึงได้หมดไป แต่สังคมในระดับหมู่บ้านทั้งในประเทศไทย อินเดียและพม่า ความเชื่อเรื่องขวัญยังคงมีอยู่อย่างมั่นคง พิธีการไม่เปลี่ยนแปลงไปมากเช่นเดียวกับสังคมที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง เคยเป็นมาอย่างไรขณะนี้ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น ในแง่มุมนี้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้ว่า สังคมระดับหมู่บ้านนั้นไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนช้าและก็ไม่มากนัก ส่วนสังคมเมืองนั้นเปลี่ยนไปได้มากและรวดเร็ว ซึ่งในสังคมแบบนี้ พิธีเรียกขวัญไม่มีบทบาทและหน้าที่อะไรมากไปกว่าการเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณที่ผู้คนถือปฏิบัติกันสืบมาเท่านั้น (น.103,108 - 110,117) |
|
|