|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลื้อ,วัฒนธรรม,การผสมผสาน,การเปลี่ยนแปลง,การปรับตัว,เชียงราย |
Author |
ราญ ฤนาท, ชุลีพร วิมุกตานนท์ |
Title |
การเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของชาวไทลื้อ ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
62 |
Year |
2530 |
Source |
มหาวิทยาลัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ |
Abstract |
ไทลื้อบ้านไม้ลุงขน หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้อพยพเข้าสู่ประเทศไทยจากสิบสองปันนาในสาธารณรัฐประชาชนจีน และเมืองยองชายแดนพม่าเมื่อ 50 ปีมาแล้ว ซึ่งในช่วงแรกไทลื้อได้รับสัญชาติไทย แต่ต่อมาได้ถูกถอนสัญชาติในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ทำให้ไทลื้อได้รับความลำบาก เช่น ไม่สามารถเป็นเจ้าของที่ดิน และไม่สามารถเข้ารับราชการได้ เหล่านี้ทำให้พวกเขาถูกกีดกันออกไปจากการดำรงชีวิตแบบไทย ไทลื้อในแม่สายจึงได้แสดงความต้องการที่จะเป็นพลเมืองไทยอย่างเต็มที่ด้วยการผสมผสานทางวัฒนธรรมในหลาย ๆ ด้าน เพื่อจะได้มีส่วนร่วมอย่างสมบูรณ์ในสังคมไทย |
|
Focus |
ศึกษาลักษณะการปรับตัวของไทลื้อในสภาพแวดล้อมของวัฒนธรรมท้องถิ่น และวัฒนธรรมส่วนกลาง ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม และปัญหาต่าง ๆ ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการปรับตัวของไทลื้อ (หน้า 9) |
|
Theoretical Issues |
ผู้ศึกษาได้นำแนวคิดเรื่องการผสมผสานทางวัฒนธรรมของนักสังคมวิทยา ชื่อ มิลตัน กอร์ดอน ซึ่งได้จำแนกกระบวนการย่อย ๆ ในการผสมผสานทางวัฒนธรรมไว้ 7 ประการ คือ การผสมผสานทางวัฒนธรรม การผสมผสานทางด้านโครงสร้าง การผสมผสานด้วยการแต่งงาน การผสมผสานลักษณะให้เหมือนกัน การผสมผสานด้วยการยอมรับทางด้านพฤติกรรม การผสมผสานด้วยการยอมรับทางด้านทัศนคติ และการไม่มีความขัดแย้งกับเจ้าถิ่นเกี่ยวกับค่านิยมและอำนาจ โดยผู้ศึกษาได้ศึกษาชุมชนไทลื้อที่อำเภอแม่สาย และนำมาเทียบเคียงกับทฤษฎีการผสมผสานต่าง ๆ ซึ่งไทลื้อมีการผสมผสานเข้ากับสังคมไทยเป็นอย่างดี มีการนับถือพุทธศาสนานิกายหินยานเช่นเดียวกับคนไทยส่วนใหญ่ คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่เข้าโรงเรียนไทย เรียนพูด อ่าน และเขียนภาษาไทยภาคกลาง และเริ่มแต่งกายแบบไทยตามสมัยนิยมในแม่สาย สำหรับด้านความสัมพันธ์กับเจ้าของถิ่นในระดับที่เป็นทางการ ไทลื้อไม่อาจเข้าสู่การดำเนินชีวิตแบบไทยได้ เนื่องจากยังไม่ได้รับสัญชาติไทย แต่ในระดับที่ไม่เป็นทางการไทลื้อปรารถนาอย่างมากที่จะเป็นคนไทยด้วยการแสดงออกในหลาย ๆ วิธี เช่น การรวมกลุ่มหน้าจอโทรทัศน์เพื่อเชียร์นักมวยไทย นอกจากนี้ในคนรุ่นใหม่ยังมีการแต่งงานระหว่างชาวไทยและไทลื้อ เพื่อที่จะได้รับสัญชาติไทย การยอมรับจากสังคมซึ่งไทลื้อไม่ได้เป็นพลเมืองไทย จึงถูกห้ามประกอบกิจกรรมหลายอย่างแบบคนไทย เช่น การซื้อขายที่ดิน การออกเสียงเลือกตั้ง แต่ในระดับไม่เป็นทางการไทลื้อได้รับการยอมรับจากคนไทย ซึ่งเห็นว่าไทลื้อขยันขันแข็งจึงไม่เกิดการดูถูก ไทลื้อมีความขัดแย้งทางการเมืองกับคนไทยน้อยมาก และยังรับเอาค่านิยมแบบคนไทยเอาไว้มาก เนื่องจากไทลื้อมีความต้องการเป็นประชาชนไทยจึงเข้ากับสังคมแม่สายเป็นอย่างดี (หน้า 1, 2, 48 - 51) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาไทลื้อจัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาไทยกลุ่มหนึ่ง เรียกว่า กลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งประกอบด้วยภาษาถิ่นอื่น ๆ ที่มีความคล้ายคลึงกัน จากที่ตั้งของสิบสองปันนาซึ่งใกล้กับจีนและพม่า ทำให้มีการยืมคำจากทั้งสองภาษามาใช้ และภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้พยายามปรับปรุงภาษาเขียนใหม่ แต่ไม่เป็นที่นิยมจึงกลับมาเขียนแบบเดิม ปัจจุบันเด็กไทลื้อเรียนรู้ภาษาของตนเองในโรงเรียนจนถึงระดับชั้นที่ 3 ต่อจากนั้นต้องเรียนภาษาจีน เด็กรุ่นใหม่จึงพูดได้สองภาษา และมีการใช้ชื่อจีนด้วย (หน้า 19-20) |
|
Study Period (Data Collection) |
ในช่วงเวลา 1 ปี พ.ศ. 2538 |
|
History of the Group and Community |
ไทลื้อได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่บ้านไม้ลุงขนในช่วงเวลาตั้งแต่ 1-50 ปี โดยอพยพจากเมืองต่าง ๆ ในสิบสองปันนา รวมกันตั้งหมู่บ้านโดยมีผู้นำชื่อ สามกาย ศรีวงศ์ เป็นไทลื้อมาจากเมืองกาย สาเหตุของการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบ้านลุงขนนี้ เกิดจากความไม่สงบทางภาคใต้ของประเทศจีนในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงทำให้ไทลื้อเดินทางสู่แม่สายมากขึ้น และปัจจัยอีกประการหนึ่งคือ แผนรวมไทยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งต้องการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทกลุ่มต่าง ๆ จึงทำให้เกิดการขยายตัวของชุมชนไทลื้อในอำเภอแม่สายมีเพิ่มมากขึ้น (หน้า 23, 25, 27) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะบ้านเรือนไทลื้อจะมีหลังคาลาด หน้าจั่วสูง มีชายคาปีกนกต่อกับผืนหลังคาเป็นสันจระเข้ หลังคาเป็นสองชั้น มุงด้วยกระเบื้องดินเผาหรือดินขอ ชั้นที่สองจะมุงต่ำกว่าชั้นแรกลงมาประมาณครึ่งฝารอบตัวเรือน ไทลื้อเรียกลักษณะบ้านเรือนของตนว่า เฮือนเสาตั้ง ดินขอปก เนื่องจากตัวบ้านถูกรองรับด้วยเสาไม้จำนวนมาก ตั้งแต่ 60-100 ต้นขึ้นไป ตัวบ้านมีขนาดใหญ่ มีบันไดทะลุขึ้นมากลางเติ๋น ภายในเรือนเป็นห้องเดียวขนาดใหญ่ ใต้ถุนเรือนใช้ประโยชน์เป็นคอกสัตว์ เก็บข้าวและของใช้ (หน้า 17, 18) |
|
Demography |
ชาวบ้านในหมู่บ้านไม้ลุงขนมีประชากรทั้งหมด 4,645 คน ในจำนวน 874 หลังคาเรือน เป็นคนสัญชาติไทยจำนวน 734 ครัวเรือน เป็นเพศชาย 2,014 คน และหญิง 1,927 คน และเป็นผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าซึ่งเป็นไทลื้อจำนวน 140 ครัวเรือน เป็นเพศชาย 308 คน และหญิง 402 คน คิดเป็นร้อยละ 15 ของผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าในเขตอำเภอแม่สาย นอกจากนี้ยังมีชาวไทยใหญ่และชาวจีนจำนวนหนึ่ง ซึ่งเดินทางข้ามเขตแดนเข้ามาเช่นเดียวกับไทลื้อคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะเป็นคนเมืองมากที่สุด (หน้า 22) |
|
Economy |
ในอดีตไทลื้อจะทำการค้าขายตามแนวชายแดนไทย พม่า จีน โดยมีสัตว์เป็นพาหนะในการนำสินค้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน ต่อมาได้ประสบปัญหาการถูกปล้นสดมภ์ระหว่างการเดินทาง ตลอดจนรัฐบาลของแต่ละประเทศเริ่มเข้มงวดในการเดินทางเข้าออกชายแดนมากขึ้น การค้าขายจึงต้องทำแบบเข้ามาตั้งถิ่นฐานชั่วคราวและถาวร ปัจจุบันไทลื้อในอำเภอแม่สายยังคงประกอบอาชีพค้าขายเป็นอาชีพหลัก เนื่องจาก ไม่สามารถถือครองหรือมีกรรมสิทธิในที่ดินได้ ไทลื้อบางครอบครัวได้เข้าไปเช่าที่ดินจากคนเมืองเพื่อทำสวนลิ้นจี่ อาชีพเย็บผ้า เสริมสวย และรับจ้างทั่วไป นำรายได้ที่ดีมาให้ไทลื้อได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีการลักลอบเข้าไปทำงานในจังหวัดอื่น ๆ ด้วย (หน้า 30, 33, 35) |
|
Social Organization |
ไทลื้อจะแต่งงานกันหลังจากมีการตกลงกันระหว่างญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย และใช้หมูเป็นสินสอด หรืออาจมีแก้วแหวนเงินทองด้วย มีการผูกข้อมือและให้พรโดยผู้เฒ่าผู้แก่ ไทลื้อส่วนใหญ่มีรูปแบบการสมรสแบบเอกคู่ครอง อาศัยอยู่ร่วมกันในครัวเรือนใหญ่แบบครอบครัวขยาย ภายหลังการสมรสจะอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิง มีการให้ความสำคัญกับญาติทั้งสองฝ่าย แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ชายจะได้รับความสำคัญเพราะถือว่าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เดิมไทลื้อไม่มีแซ่หรือนามสกุล แต่ปัจจุบันเพื่อความสะดวกในการติดต่อกับราชการจึงมีการใช้แซ่กันบ้าง ไทลื้อที่อพยพเข้ามาอยู่ในบ้านไม้ลุงขน ส่วนใหญ่จะแต่งงานและมีครอบครัวมาแล้ว มีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวที่มีการสืบสายโลหิตทางพ่อ และพ่อเป็นใหญ่ในครอบครัว หากมีบุตรชายอำนาจในครอบครัวจะตกทอดไปถึงบุตรชายคนโตเมื่อพ่ออายุมากแล้ว ไทลื้อยังไม่สามารถหาลักษณะการตั้งถิ่นฐานหลังการสมรสได้ เพราะเป็นการตั้งครอบครัวใหม่รุ่นแรก ฐานะทางสังคมที่ต่างกันในกลุ่มไทลื้อไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิต แต่ก่อให้เกิดความร่วมมือและช่วยเหลือกันในฐานะเพื่อนบ้านและเครือญาติที่มีความสำนึกร่วมกันในฐานะผู้พลัดถิ่นเช่นเดียวกัน สำหรับญาติพี่น้องในสิบสองปันนาก็ยังคงมีการเดินทางไปมาหาสู่กันอยู่เสมอทุกปีในช่วงฤดูแล้ง งานปีใหม่สงกรานต์ โดยใช้เส้นทางผ่านพม่าเข้าเขตแดนจีน (หน้า 18-19, 35, 37) |
|
Political Organization |
การปกครองในหมู่บ้านไม้ลุงขนนั้น ผู้ใหญ่บ้านถือได้ว่าเป็นผู้มีสิทธิอำนาจมาก เป็นตัวกลางระหว่างราชการกับชาวบ้าน โดยชาวบ้านจะเคารพเชื่อฟังและปฏิบัติตามที่ผู้ใหญ่บ้านแนะนำหรือบอกกล่าว ผู้ใหญ่บ้านจะได้รับการเลือกจากชาวบ้านซึ่งไม่รวมไทลื้อเพราะไม่มีสิทธิในการเลือก แต่หากผู้ใหญ่บ้านมีภรรยาเป็นไทลื้อและมีความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนก็จะได้รับการยอมรับจากไทลื้อด้วย แม้ว่าการคมนาคมจะสะดวกแต่ไทลื้อจะไม่มีการติดต่อกับราชการโดยไม่จำเป็น และทางราชการก็ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยว แต่ได้มอบหมายให้ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้รายงานความเป็นไปในหมู่บ้านให้ทางอำเภอทราบทุกสัปดาห์ ไทลื้อจะมีความรู้สึกร่วมกันในฐานะผู้พลัดถิ่น จึงมีการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นเพื่อให้ความช่วยเหลือกัน มีการตั้งกลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์ขึ้นเพื่อเป็นการประกันชีวิตให้ตนเองและครอบครัว ลักษณะการรวมกลุ่มจึงเป็นผลดีต่อการให้ความร่วมมือในกิจกรรมกลุ่มที่ทางราชการจัดขึ้น ไทลื้อจะมีความกระตือรือร้นในการให้ความร่วมมืออย่างมาก เพราะต้องการอาศัยอยู่ในเมืองไทยและเป็นคนไทยอย่างถูกกฎหมาย (หน้า 38-39) |
|
Belief System |
ไทลื้อมีความศรัทธาและความเชื่อในพุทธศาสนา รวมทั้งความเชื่อเรื่องผีมานานนับตั้งแต่อยู่ในสิบสองปันนา วัดยังคงเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้าน เป็นสาธารณประโยชน์และให้บริการทางสังคมแก่ชาวบ้านในรูปแบบต่าง ๆ วัดไม้ลุงขนจึงได้รับการทะนุบำรุงจากชาวบ้านด้วยการมาทำบุญและสร้างอาคารเพื่อประโยชน์ใช้สอยของวัด วัดและกิจกรรมทางศาสนาได้มีส่วนช่วยให้ชุมชนบ้านไม้ลุงขนมีพัฒนาการไปตามลำดับเวลาและสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวบ้านและนโยบายของทางราชการ ซึ่งมีการนำโครงการบางอย่างผ่านวัดเข้าสู่ชาวบ้าน เช่น การอบรมเรื่องยาเสพติด และโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง เป็นต้น ไทลื้อยังคงสืบทอดการทำบุญตามประเพณีสำคัญทางพุทธศาสนาที่มีอยู่ตลอดปีเช่นเดียวกับประเพณีไทย นอกจากนี้ ยังมีการเซ่นไหว้เจ้าพ่อคำแดงในเดือนมีนาคม (เดือน 6 ของทางเหนือ) ซึ่งเป็นการส่งเคราะห์บ้าน และทำพิธีอีกครั้งหนึ่งในเดือน 8 เหนือ ขึ้น 8 ค่ำ วันพฤหัสบดี โดยชาวบ้านจะนำเงินมารวมกันเพื่อซื้อเครื่องใช้ในการประกอบพิธี มีการทำบุญตักบาตรในตอนเช้า และนิมนต์พระมาสวดในบริเวณพิธี ในตอนเย็นมีการฟ้อนรำโดยผู้ร่วมพิธี นอกจากเจ้าพ่อคำแดงและเทวดาแล้วไทลื้อยังนับถือผีขะกุ๋น ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษตามสายตระกูล ผีนางกวัก ผีหม้อนึ่ง รวมทั้งผีบ้านผีเรือน และยังมีความเชื่อในเรื่องฤกษ์ยามและโชคลางของขลังด้วย (หน้า 43-44, 47) |
|
Education and Socialization |
ในอดีต ไทลื้อบ้านไม้ลุงขนมีแบบแผนชีวิตที่เป็นผลมาจากการเรียนรู้ระเบียบสังคม ที่สืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งตั้งแต่ครั้งอยู่ที่สิบสองปันนา แต่ในปัจจุบันมีโรงเรียนที่เปิดสอนระดับอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 1 แห่ง จั ดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2518 เด็กไทลื้อที่เกิดในประเทศไทยจึงได้เข้าศึกษาในโรงเรียนแห่งนี้จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และออกมาประกอบอาชีพตามแบบของครอบครัว โดยเห็นว่าเรียนต่อไปก็ไม่สามารถหางานอื่นทำได้ เพราะไม่มีบัตรประชาชนและไม่ได้สัญชาติไทย ปัญหาดังกล่าวจึงทำให้ไทลื้อไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษา การไปโรงเรียนจึงเพียงเพื่อให้อ่านออกเขียนได้ สะดวกต่อการติดต่อค้าขายและมีชีวิตอยู่ในเมืองไทยเท่านั้น (หน้า 42,43) |
|
Health and Medicine |
การรักษาโรคของไทลื้อบ้านลุงขน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้เฒ่าผู้แก่ที่อพยพมาจากสิบสองปันนายังคงรักษาด้วยการถามผีผ่านคนทรง แม้ว่าความเจริญทางสาธารณสุขจะแพร่สู่สังคมแม่สาย แต่ก็ยังไม่อาจแทนที่การรักษาด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์ได้ ชาวบ้านมีความเชื่อมั่นต่อการรักษาด้วยวิธีการแผนใหม่และวิธีแบบเดิมควบคู่กันไป ชาวบ้านเห็นว่าการไปโรงพยาบาลเสียค่าใช้จ่ายมาก ส่วนใหญ่จึงมักซื้อยาจากร้านขายยาหรือซื้อยาพื้นบ้านมารักษาโรคอย่างไรก็ตาม การมีสาธารณสุขและโรงพยาบาลประจำอำเภอก็ได้ช่วยให้ความเป็นอยู่ของชาวบ้านมีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการพยายามเผยแพร่สาธารณสุขขั้นมูลฐาน และฝึกอบรมอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) เพื่อเป็นสื่อกลางในการแนะนำชาวบ้านกับการอนามัยที่ถูกต้อง (หน้า 44, 42) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ไทลื้อนิยมสักตามตัวและขา การสักถือเป็นการตกแต่งร่างกายให้สวยงามและแสดงถึงความเป็นผู้ชายด้วย ด้านหัตถกรรมไทลื้อจะนำวัสดุพื้นบ้าน เช่น หวาย ไม้ไผ่ และไม้เนื้อแข็งบางชนิดมาทำเครื่องจักสานและภาชนะใช้สอยในครัวเรือน มีการทำกระดาษจากต้นสา นำมาใช้ทำฉัตรและธงเพื่อนำไปประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา และนำไปใช้ทำโคมขงเบ้งหรือโคมลอย ไทลื้อยังมีการทำเครื่องปั้นดินเผาครั้งแรกที่บ้านลื้อ อำเภอเชียงรุ่ง แล้วกระจายออกไปยังหมู่บ้านอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีการทอผ้าซึ่งถือเป็นหัตถกรรมเก่าแก่อีกอย่างหนึ่ง หญิงไทลื้อมีความสามารถในการทอผ้าใช้เองในครอบครัว ผ้าไหมยกดอกไตได้รับการกล่าวขวัญว่ามีลวดลายที่งดงามสะดุดตา แสดงถึงเอกลักษณ์ประจำเชื้อชาติ การฟ้อนรำของไทลื้อมีลักษณะคล้ายคลึงกับฟ้อนพม่าและไทยใหญ่ ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นระบำผสมบัลเล่ย์ที่สะท้อนชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวบ้าน นอกจากการฟ้อนรำยังมีศิลปะเพื่อความบันเทิงอีกอย่างหนึ่งคือ การขับ ซึ่งคล้ายกับการขับซอของล้านนา ลักษณะการแต่งกายของไทลื้อบ้านลุงขนมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน จึงต้องหาซื้อเครื่องแต่งกายแบบคนเมือง สำหรับผู้สูงอายุยังคงแต่งกาย เกล้าผมแบบเดิมอยู่ด้วยความเคยชิน ประกอบกับไม่ได้ออกไปที่อื่นนอกจากไปวัด อย่างไรก็ตามไทลื้อยังเก็บรักษาเครื่องประดับที่เป็นของเดิมติตัวมาตั้งแต่สิบสองปันนา และนำมาประดับในงานเทศกาลต่าง ๆ (หน้า 17, 20-21, 37) |
|
Folklore |
ไทลื้อบ้านลุงขน มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเจ้าพ่อคำแดงว่ามาจากเชียงรุ่ง มีถิ่นพำนักอยู่ที่ดอยเชียงดาว เห็นต้นไม้ลุงล้มก็ดันให้ตั้งขึ้นอยู่ในสภาพเดิม จึงได้เป็นเทวดาคุ้มครองรักษาชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ (หน้า 44) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ไทลื้อบ้านลุงขนซึ่งเป็นประชากรส่วนน้อยในหมู่บ้าน ได้มีการปรับตัวตามสภาพแวดล้อมทั้งทางกายภาพและสังคมวัฒนธรรมตามคนเมือง ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน แม้วิถีชีวิตจะมีการเปลี่ยนแปลงไปแต่สิ่งที่เป็นเครื่องแสดงถึงลักษณะเฉพาะกลุ่มไทลื้อ คือ ภาษาพูด ที่ยังคงอยู่ (หน้า 37) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ไทลื้อบ้านลุงขนถือเป็นประชากรส่วนน้อยในหมู่บ้าน จึงได้มีการเปลี่ยนรูปแบบวัฒนธรรมในหลาย ๆ ด้านให้เข้ากับสังคมไทย เช่น ด้านศาสนาการแต่งกายของครูบาหลวงซึ่งเป็นพระอาวุโสไทลื้อในหมู่บ้านได้ห่มจีวรตามแบบพระไทย ด้านภาษากลุ่มคนหนุ่มสาวได้เข้าโรงเรียนไทยเพื่อเรียนพูด อ่าน และเขียนภาษาไทยกลาง และเริ่มแต่งกายแบบไทยตามสมัยนิยมในแม่สาย มีการแต่งงานกับคนไทยเพื่อจะได้รับสัญชาติไทย การผสมผสานทางวัฒนธรรมในด้านต่าง ๆ ของไทลื้อ เป็นเพราะไทลื้อส่วนใหญ่ไม่ได้รับสัญชาติไทยและต้องการเป็นประชาชนไทย จึงได้รับเอาค่านิยมแบบคนไทยเอาไว้มาก (หน้า 48-51) |
|
Map/Illustration |
ตารางจำนวนครัวเรือนไทลื้อที่อพยพเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านไม้ลุงขน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 - 2530 (หน้า 24) ตารางอาชีพของไทลื้อในหมู่บ้านไม้ลุงขน (หน้า 32) ตารางการศึกษาของไทลื้อบ้านไม้ลุงขน (หน้า 41) |
|
|