|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
พวน ไทยพวน ไทพวน,การผสมกลมกลืน,วัฒนธรรม,หาดเสี้ยว,สุโขทัย |
Author |
ประจักษ์ เข็มมุกด์ |
Title |
การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของพวนกับวัฒนธรรมไทย ศึกษากรณีชาวพวน ในตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทยพวน ไทพวน คนพวน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
Total Pages |
87 |
Year |
2521 |
Source |
สาขาพัฒนาสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
Abstract |
การศึกษาถึงวัฒนธรรมดั้งเดิมของพวนและวัฒนธรรมของพวนที่ถูกผสมกลมกลืนโดยวัฒนธรรมไทย ตลอดจนความคิดเห็นของพวนที่มีต่อวัฒนธรรมที่ถูกผสมกลมกลืน และปัจจัยบางประการที่ช่วยให้การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของพวนได้ดีขึ้น วิ ธีการศึกษาผู้วิจัยได้กระทำโดยการสัมภาษณ์ด้วยตนเองทั้งหมด จำนวนประชากรที่ศึกษาจำนวน 255 คน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 5,000 คน ในตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ส่วนผลการวิจัยพบว่า การศึกษาสูงถูกผสมกลมกลืนได้ง่ายกว่าผู้มีการศึกษาต่ำ ผู้ที่พูดภาษาไทยได้ดีจะถูกผสมกลมกลืนได้ง่ายกว่าผู้ที่พูดภาษาไทยไม่ค่อยดี ผู้ที่ยึดมั่นในประเพณีมากถูกผสมกลมกลืนได้น้อยกว่าผู้ที่ยึดมั่นในประเพณีน้อย ส่วนปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการถูกผสมกลมกลืนได้ง่ายขึ้น ได้แก่ การอ่านหนังสือพิมพ์ การฟังวิทยุ การมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมภายนอก |
|
Focus |
บรรยายถึงลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งปัจจัยบางประการที่ทำให้เกิดการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของพวน อันเป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของสังคมพวน (หน้า 4) |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยใช้ทฤษฎีการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม เพื่อวิเคราะห์ถึงกระบวนการที่ทำให้ชนกลุ่มน้อยที่มีความแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรมประเพณีของชนกลุ่มต่าง ๆ ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันหรืออยู่ในสังคมเดียวกันมีความเป็นอันหนึ่งเดียวกัน ยอมรับในวัฒนธรรมเดียวกัน และทำให้ความแตกต่างทางวัฒนธรรมนั้นหมดไป (หน้า 10) ผลการวิจัยพบว่า คนพวนรับรู้เรื่องราวความเป็นมาของพวน และวัฒนธรรมพวนบางอย่างมาจากการบอกเล่าของผู้ใหญ่ ประเพณีที่ยังถือปฏิบัติอยู่เป็นส่วนมากหรือยังถือปฏิบัติกันอยู่บ้าง เช่น ประเพณีกำฟ้า ส่วนมากยังปฏิบัติกันอยู่ ประเพณีการถามห่อยาเมื่อแต่งงานยังคงมีปฏิบัติกันอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่ปฏิบัติกันแล้ว ประเพณีการหยักสาว พวนส่วนใหญ่มีความรู้และเคยปฏิบัติมาแล้ว ส่วนการเยาส่วนใหญ่ยังมีความเชื่ออยู่ การลงข่วงและการอาบน้ำก่อนกาก็ยังมีการปฏิบัติอยู่ แต่สำหรับคำกล่าวที่ว่า การแต่งงานแบบต่าวหรือปิ้นจะทำให้ชีวิตไม่มีความสุข อายุจะสั้น มีผู้เห็นไม่ถูกต้องไม่เป็นจริงมากกว่าผู้ที่เห็นว่าถูกต้องเป็นจริง (หน้า 82-83) ความรักในคนเชื้อชาติพวนด้วยกัน ยังคงเหนียวแน่น แต่ถ้าถูกแบ่งแยกโดยคำพูด เช่น ถูกเรียกว่า ลาว หรือ ลาวพวน เป็นต้น ส่วนใหญ่จะไม่พอใจ พวนเกือบทั้งหมดใช้ภาษาไทยได้ในระดับที่เข้าใจได้เป็นอย่างดี แต่ใช้ภาษาพวนในชีวิตประจำวัน และส่วนใหญ่จะไม่พอใจถ้าคนพวนด้วยกันมาพูดภาษาไทยด้วย คนพวนจะใช้ภาษาไทยต่อเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกับคนไทยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่พวน ปัจจุบันภาษาพวนยังเป็นที่ยอมรับในสังคมพวนหาดเสี้ยวอยู่ ยังใช้ติดต่อกันในชีวิตประจำวัน (หน้า 83) จากการวิจัยพบว่า คนพวนที่สามารถใช้ภาษาไทยได้ดี มีแนวโน้มที่จะละทิ้งวัฒนธรรมดั้งเดิมของพวนมากกว่าคนพวนที่ใช้ภาษาไทยไม่ได้ดี คนพวนที่ใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวัน หรือใช้ภาษาไทยและภาษาพวนเท่าเทียมกัน มีการปฏิบัติตามประเพณีดั้งเดิมน้อยกว่าผู้ที่ใช้ภาษาพวนในชีวิตประจำวัน แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ใช้ภาษาไทยหรือใช้ทั้งภาษาไทยและภาษาพวนในชีวิตประจำวัน มีโอกาสที่จะถูกผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมมากกว่าผู้ที่ใช้ภาษาพวนประจำวัน สุดท้ายคือระดับการศึกษา ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการปฏิบัติตามประเพณีต่าง ๆ และมีส่วนทำให้มีการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมได้ กล่าวคือ ผู้มีระดับการศึกษาสูงมีแนวโน้มที่จะละทิ้งไม่เชื่อถือ ไม่ปฏิบัติตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของพวนมากกว่าผู้ที่มีการศึกษาระดับต่ำ หรือไม่มีการศึกษา และในขณะเดียวกันก็จะมีการยอมรับวัฒนธรรมใหม่ หรือวัฒนธรรมไทยมาใช้ในการดำเนินชีวิตแทน ปัจจัยบางประการที่ทำให้เกิดการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของพวนเร็วขึ้น คือ การชอบอ่านหนังสือพิมพ์และฟังวิทยุ โดยเฉพาะข่าวสารเหตุการณ์บ้านเมือง และเกือบทั้งหมดเคยเดินทางออกนอกเขตอำเภอ และเคยไปกรุงเทพฯ มาแล้ว (หน้า 84 -85) |
|
Ethnic Group in the Focus |
พวนในตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย (หน้า 28) จำนวน 255 คน เป็นชาย 122 คน และหญิง 133 คน อายุต่ำสุด 20 ปี สูงสุด 94 ปี แต่กลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดคือช่วงอายุ 30-34 ปี ส่วนใหญ่เป็นชาวหาดเสี้ยวโดยกำเนิด (หน้า 82) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้วิจัยเสนอว่า ส่วนใหญ่ (90%) มีความเห็นว่าตนเอง พูดภาษาไทยได้ ในระดับปานกลางค่อนข้างดีและดีมาก จึงนับว่าพวนมีความสามารถในการพูดภาษาไทยได้อย่างดี (หน้า 45) ปัจจุบันพวนยังเห็นว่าภาษาพวนมีความจำเป็นและใช้ในการติดต่อสื่อสารในหมู่พวนด้วยกันถึงร้อยละ 65.5 ของประชากรทั้งหมด แต่พวนจะรู้สึกไม่พอใจถ้าพวนใช้ภาษาไทยกับพวนด้วยกัน (หน้า 46) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยใช้ช่วงเวลาในการเก็บข้อมูล จำนวน 77 วัน (หน้า 24) |
|
History of the Group and Community |
พวน มีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ในบริเวณเมืองซำเหนือ เมืองเชียงขวาง และเมืองพวนในประเทศลาว ต่อมาได้อพยพเข้ามาสู่ประเทศไทยด้วยเหตุหลายประการคือ หนีภัยสงคราม ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย ถูกชักจูงเข้ามาด้วยความสมัครใจ ปัจจุบันจึงมีพวนในบริเวณต่าง ๆ ของประเทศ (หน้า 25) พวนในตำบลหาดเสี้ยวอพยพมาจากถิ่นเดิมเหมือนพวน กลุ่มอื่น จากการสันนิฐานว่าเป็นการอพยพมาด้วยความสมัครใจ ทั้งนี้เพราะจากประวัติศาสตร์ของไทยไม่มีการกล่าถึงพวนหาดเสี้ยวเหมือนกับพวนในเขตอื่น ๆ นอกจากนี้ พวนหาดเสี้ยวยังรู้จักเส้นทางจากหาดเสี้ยวถึงเมืองเชียงขวางและมีการติดต่อไปมาหาสู่ญาติทางเมืองพวนเสมอ เมื่อประมาณ 30-40 ปีมาแล้ว ตามเส้นทางดังกล่าว ซึ่งผ่านทางจังหวัดอุตรดิตถ์ แพร่ และน่าน จะมีพวนอยู่เป็นแห่ง ๆ ปีที่อพยพมานั้นไม่ทราบแน่นนอน เพราะไม่มีการบันทึกหรือหลักฐาน แต่ประมาณว่าจะอยู่ในสมัยรัชกาลที่ 3 และต้องก่อนปี พ.ศ. 2387 อย่างแน่นนอนทั้งนี้เพราะในปี พ.ศ. 2387 นั้นชาวบ้านได้มาอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปึกแผ่นและได้สร้างโบสถ์เสร็จเรียบร้อย ทำการฉลองวัดและโบสถ์ ในปี พ.ศ.2387 ดังปรากฏในแผ่นศิลาจารึกของวัดที่ติดอยู่ผนังของโบสถ์วัดหาดเสี้ยวจนถึงปัจจุบัน การอพยพอาจจะก่อนนี้สักระยะ อาจะ 4-5 ปีก่อนมีการสร้างโบสถ์ก็ได้ (หน้า 26) |
|
Demography |
จำนวนประชากรทั้งหมดตามสำเนาทะเบียนบ้านเมื่อ พ.ศ.2520 มีจำนวน 6,398 คน แต่จำนวนประชากรที่มีอยู่จริงประมาณ 4,000 คนนอกจากนั้นเป็นผู้ที่ไปประกอบอาชีพหรือไปอาศัยอยู่ในถิ่นอื่นโดยมิได้โอนย้ายหลักฐานและชื่อจากภูมิลำเนาเดิมไปด้วย (หน้า 23) |
|
Social Organization |
การต่าวหรือปิ้น คือความเชื่อเกี่ยวกับข้อห้ามมิให้แต่งงานในหมู่ญาติพี่น้อง การลงข่วง คือการเตรียมเส้นด้ายเพื่อนำไปใช้ในการทอผ้าของสาว ๆ ซึ่งจะมานั่งทำรอบ ๆ กองไฟในบริเวณลานดินในหมู่บ้าน ขั้นตอนการทำปุยฝ้ายให้เป็นเส้นด้ายมีสำดับแตกต่างกับออกไป เรียกตามภาษาพวนคือ ตูนฝ้าย ยิงฝ้าย ล้อมฝ้าย เข็นฝ้าย กว้างฝ้าย กวักฝ้าย และปั่นหลอด การหยักสาว คือวิธีการไปพูดคุยหรือเกี้ยวพาราสีหญิงสาวที่ตนเองพอใจหรือรักใคร่ที่บ้านของฝ่ายสาว หนุ่มที่หมายตาสาวคนใหนจะเข้าไปคุยในช่วงที่ลงข่วงโดยจะถามว่าหญิงสาวนอนอยู่ส่วนใหนของบ้าน เมื่อเลิกจาการลงข่วงขึ้นไปนอนชายหนุ่มก็จะตามไป หนุ่มก็จะเอาไม้เส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 1 ซม.ยาวประมาณ 1 เมตร แหย่ไปตามร่องกระดานไปจนถูกตัวหญิงสาว เมื่อหญิงสาวถูกหยักจนตื่นแล้วก็จะจับดูที่แส้ ถ้าเป็นชายคนที่ถูกใจก็สามารถจะคุยกันได้ บริเวณฝาบ้าน ไม่มีโอกาสถูกตัวกันและไม่เห็นหน้า ถ้าหญิงสาวไม่พึงพอใจในชายหนุ่มก็จะไม่ลุกขึ้นมาคุยด้วย ชายหนุ่มก็จะไปหยักสาวบ้านอื่นแทน การถามห่อยา คือการแจกจ่ายห่อยาฉุนหรือยาเส้นไปยังหมู่ญาติมิตรทั้งหลายเพื่อบอกกล่าวให้รู้ถึงกำหนดการแต่งงานของหนุ่มสาว เมื่อรับห่อยาแล้วก็จะต้องตอบห่อยาโดยอาจเป็นเกลือ พริก หรือของกินอื่นก็ได้ เป็นการทราบข่าวการมงคล |
|
Belief System |
ประเพณีกำฟ้า คือ ประเพณีการหยุดหรือการละเว้นไม่กระทำในสิ่งต้องห้ามอันได้แก่การทำงานทุกชนิด ยกเว้นการประกอบอาหารและทำความสะอาดบ้านเรือนในวันที่กำหนด คือวันขึ้น 3 ค่ำ 9 ค่ำและ 14 ค่ำ เดือน 3 ของทุก ๆ ปีรวม 3 วัน ในทางปฏิบัติการกำฟ้าที่บ้านหาดเสี้ยวเมื่อถึงวันงานชาวบ้านทุกคนจะหยุดพักผ่อนจากการทำงาน คนเฒ่าคนแก่จะพักผ่อนอยู่ในบ้านและคอยเสียงฟ้าร้องและมักจะร้องในวันนั้นว่าร้องทางทิศใด ฟ้าร้องแต่ละทิศจะเป็นการทำนายว่าฤดูการทำนาปีนั้นจะเป็นอย่างไร ส่วนหนุ่มสาวก็จะมีการละเล่นพื้นเมือง "ไม้หึ่ง" โดยมีขนมเป็นรางวัล ส่วนในเวลากลางคืนจะมีการเล่นทรงเจ้าเข้าผี ได้แก่ผีนางกวัก ผีนางเด้ง ผีนางสาก มีการ "เสียแสงฟืนแสงไฟ" คือการนำเอาฟืนดุ้นสุดท้ายที่ใช้ในการหุงต้มอาหารในวันนั้นและยังมีไฟอยู่ไปดับที่แม่น้ำหรือทางสามแพร่ง แล้วโยนทิ้งไว้ที่นั้น พิธีกรรมการเยา คือพิธีกรรมเกี่ยวกับการรักษาคนไข้อย่างหนึ่งของพวน การรักษาจะเป็นการสอบถามต่อเทวดาผู้รู้ชะตาของมนุษย์และรู้วิธีการรักษาไข้ เรียกว่า หมอเทวดาหลวง โดยการถามในลักษณะว่า "คนไข้หมดอายุไขหรือยัง ถ้ายังรักษาหายหรือไม่ ถ้าหายเทวดาต้องการอะไรเป็นเครื่องเซ่นเป็นการตอบแทน การถามจะใช้การร่ายมนต์ประกอบกับการเสี่ยงข้าวสารบนไข่และดาบ ผู้ทำพิธีเรียกว่าหมอเยา ปัจจุบัน ในหาดเสี้ยวเหลือเพียงคนเดียว ภายหลังการทำพิธีเสร็จหมอเยาจะบอกให้ทราบได้ว่าคนไข้จะรอดตายหรือจะตาย ประเพณีอาบน้ำก่อนกา คือประเพณีการอาบน้ำที่แม่น้ำในเวลาเช้าตรู่ของวันมหาสงกรานต์ วันที่ 13 เมษายนของทุกปี เชื่อว่าจะเป็นการขับไล่โรคภัยไข้เจ็บ สิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่ผ่านมาในปีเก่า |
|
Education and Socialization |
ในตำบลหาดเสี้ยวมีโรงเรียนทั้งหมด 5 โรงเรียน โดยแยกเป็นโรงเรียน ระดับมัธยมศึกษา 1 โรงเรียน โรงเรียนระดับประถมศึกษา 3 โรงเรียน และโรงเรียนระดับอนุบาล 1 โรงเรียน(หน้า 27) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
แผนที่อำเภอศรีสัชชนาลัย จังหวัดสุโขทัย (ส่วนบทคัดย่อ หน้า 11) ตารางแสดงประชากร (หน้า 28 -51) ตารางปัจจัยบางประการที่ทำให้การถูกผสมกลมกลืนเป็นไปได้ง่ายขึ้น(หน้า 52-56) |
|
|