สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มอญ,อุดมการณ์ชาตินิยม,เครือข่ายของกระบวนการชาตินิยม,มิติของสื่อและสาร
Author Phanuthat Yodkaew
Title The Impact of Trans-State Ethnic Mon Nationalism upon Thailand
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity มอญ รมัน รามัญ, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 94 Year 2539
Source รัฐศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
Abstract

การเคลื่อนไหวทางการเมืองส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นกับชุมชนมอญในไทย มีผลกระทบทางจิตวิทยาในภาพรวม เพราะคนไทยมอญส่วนใหญ่โดยเฉพาะที่อยู่ในต่างจังหวัดมีความเป็นเอกเทศจากวัฒนธรรมและค่านิยมไทยรวมทั้งจากกระแสทุนนิยม ชุมชนเหล่านี้ได้รับการปลูกฝังสำนึกชาติพันธุ์ซึ่งยังดำรงอยู่ในระดับหนึ่ง สื่อสิ่งพิมพ์มีพลังไม่พอที่จะโน้มน้าวให้คนไทยมอญส่วนใหญ่ตัดสินใจใช้ความรุนแรง แต่มีผลกระทบในแง่ของการปลุกระดมแนวคิดชาตินิยม รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการส่งเสริมและปกป้องผลประโยชน์ของพรรคมอญใหม่ คนไทยมอญส่วนใหญ่ไม่กล่าวโทษว่าไทยมีส่วนทำให้เพื่อนร่วมชาติของพวกตนต้องตกระกำลำบาก และส่วนใหญ่ยังมีความจงรักภักดีทางการเมืองต่อสังคมเจ้าบ้าน จึงไม่มีแนวโน้มที่จะมีการใช้ความรุนแรงเพื่อระบายความคับข้องใจจากความคาดหวังที่ไม่เป็นจริง ขณะที่คนมอญในพม่าที่แม้ส่วนใหญ่จะรู้สึกผิดหวังกับไทยที่ไม่เต็มใจให้ความช่วยเหลือแก่พวกตนในทศวรรษ 1990 แต่มีน้อยคนที่คิดจะใช้ความรุนแรงตอบโต้รัฐบาลไทยกับคนไทย (หน้า 93-94)

Focus

ผู้เขียนมุ่งศึกษาผลกระทบอุดมการณ์ชาตินิยมมอญข้ามชาติต่อประเทศไทย โดยเน้นไปที่เครือข่ายของกระบวนชาตินิยมในมิติของสื่อและสาร ที่กลุ่มชาตินิยมมอญได้ใช้ในการรักษาความเป็นปึกแผ่นของสังคม และเพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ไปยังสมาชิกของตน (บทคัดย่อ, หน้า 4)

Theoretical Issues

คำถามที่ใช้ในการศึกษาเรื่องสื่อและสารของกลุ่มชาตินิยมมอญมีอยู่ 4 ประเด็นหลักๆ ได้แก่ 1. สื่อสารมวลชน, การศึกษา, การโทรคมนาคม, การสื่อสารในกลุ่มสังคม รูปแบบใดที่กลุ่มชาตินิยมมอญนำมาใช้ในการธำรงความเป็นปึกแผ่นทางสังคมหรือชาติพันธุ์? 2. แนวความคิดประเภทใดที่ได้ถูกเน้นย้ำในปรัชญาชาตินิยม? 3. ปัจจัยใด เช่น การเมือง เศรษฐกิจ อุดมการณ์ และสังคม ที่มีอิทธิพลต่อผู้นำมอญในการตัดสินใจใช้สื่อต่างๆ เช่น วารสาร, วิทยุ, โทรสาร, ใบปลิว และอื่นๆ? 4. ประเทศเจ้าบ้าน ซึ่งในกรณีนี้คือประเทศไทย ได้มีปฏิกิริยาตอบรับต่อการปรากฏของชาติพันธุ์มอญและลัทธิชาตินิยมมอญอย่างไร? (หน้า 4-5) มีการตั้งข้อสมมติฐานว่า “ลัทธิชาติพันธุ์นิยมข้ามชาติ” (Trans-state ethnic nationalism) ไม่สามารถดำเนินการได้ถ้าขาดเครือข่ายสื่อสารมวลชนข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญที่สุดในการกระจายข่าวสารมายาวนานหลายชั่วคนภายในพรมแดนวัฒนธรรม ไม่ว่าจะในรูปแบบของสื่อเก่าหรือสื่อใหม่ เครือข่ายเหล่านี้และสารชาตินิยมได้ถูกใช้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเพื่อเป้าหมายทางการเมือง, เศรษฐกิจ, อุดมการณ์ และสังคม (หน้า 6-7) ภายใต้กรอบคิดลัทธิชาติพันธุ์นิยมข้ามชาติของ Zolberg การใช้ทฤษฎีศึกษาจะพุ่งเป้าไปที่ “กลุ่มปัจเจก” ที่เป็นประชากรของชาติพันธุ์ข้ามชาติ และสำนึกของพวกเขาที่มีต่อความรู้สึกร่วมในชาติพันธุ์ จากการสังเกต เพื่อตอบสนองกับสภาพแวดล้อมข้ามชาติที่เปลี่ยนแปลง ประชากรของชาติพันธุ์ข้ามชาติเหล่านี้ได้ปรากฏตัวมาในบทบาทต่างๆ เช่น ผู้อพยพ, ผู้ลี้ภัย, นักรบพลัดถิ่น และอื่นๆ ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงแบบชั่วคราวหรือเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบเฉพาะกาล แนวคิดชาติพันธุ์นิยมข้ามชาติอาจเป็นบ่อเกิดแห่งวงจรปัญหาของการหลั่งไหลของผู้อพยพ ความขัดแย้งทางทหาร การปฏิวัติทางสังคม และความขัดแย้งระดับนานาชาติ (หน้า 7) Zolberg ได้สรุปเกี่ยวกับชุมชนนักรบพลัดถิ่น (Refugee-warrior community) ไว้ว่า มันไม่ใช่แค่กลุ่มผู้อพยพที่อยู่เฉยๆ แต่เป็นชุมชนผู้อพยพที่มีจิตสำนึกสูง พร้อมกับมีผู้นำทางการเมือง และกองกำลังติดอาวุธ เพื่อตอบสนองเป้าหมายทางการเมือง (หน้า 8) ซึ่งผู้เขียนได้สังเกตว่ากลุ่มผู้อพยพหลายๆกลุ่มที่ตั้งชุมชนนักรบพลัดถิ่นขึ้นมา ไม่ใช่เพราะพวกเขาต้องการเป็นนักรบหรือต้องการมีบทบาท แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะความคาดหวังของพวกเขายังไม่บรรลุ หรือมีความต้องการที่จะอยู่รอด และมาตุภูมิของพวกเขายังคงเป็นความคาดหวังสุดท้าย การเปลี่ยนแปลงจากผู้อพยพไปเป็นนักรบจะยังมีอยู่ต่อไปตราบที่รัฐคู่กรณีทั้งสองฝ่ายไม่มีการประนีประนอม หรือไม่มีใครที่ได้รับชัยชนะแบบเด็ดขาด (หน้า 9) โครงสร้างของลัทธิชาติพันธุ์นิยมข้ามชาติได้รับการเกื้อหนุนจาก 2 ปัจจัยต่อไปนี้ 1. การขยายตัวของเศรษฐกิจการเมืองในระดับโลก และ 2. อิทธิพลของสื่อสารมวลชนที่เพิ่มขึ้น (หน้า 11-15) ทฤษฎีการพลัดถิ่น (Diasporas) ซึ่ง Gabriel Sheffer สรุปว่าผู้พลัดถิ่นชาติพันธุ์เกิดจากการอพยพโดยสมัครใจหรือเป็นผลจากการโดนขับไล่ออกจากมาตุภูมิ กลุ่มผู้พลัดถิ่นมีความต้องการในแง่วัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งอาจจะมีสิทธิเป็นได้ทั้งส่วนเติมเต็มหรือสร้างความขัดแย้งให้กับรัฐที่เป็นเจ้าบ้าน การปรากฏของกลุ่มผู้พลัดถิ่นมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดความกดดันและปัญหา ตัวแสดงหลัก3 รายที่เกี่ยวข้องกับการพลัดถิ่น ได้แก่ 1.มาตุภูมิ 2.ผู้พลัดถิ่น และ 3.ประเทศเจ้าบ้าน ซึ่งล้วนมีบทบาทต่อการเมืองระดับนานาชาติ (หน้า 16-17) Myron Weiner กล่าวว่าผู้พลัดถิ่นอาจไม่ใช่ข่าวดีสำหรับรัฐบาลของประเทศผู้ส่ง หรือประเทศเจ้าบ้าน หรือสำหรับกิจการต่างประเทศของประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่ พวกเขากลายเป็นปัจจัยทางการเมืองที่รัฐบาลของทั้งประเทศผู้รับและประเทศผู้ส่งต้องนำมาพิจารณา (หน้า 17) ผู้เขียนได้พัฒนาแนวคิดการพลัดถิ่นจากมิติสังคมและวัฒนธรรม โดยสรุปว่ากลุ่มผู้พลัดถิ่นได้ดำเนินบทบาทที่สำคัญ 2 ประการเพื่อการดำรงอยู่ ได้แก่ 1. การรักษาอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มผ่านพื้นที่ทางวัฒนธรรม โดยใช้ช่องทางต่างๆ เช่น โอกาสทางสังคม การศึกษา ความได้เปรียบทางเทคโนโลยี และสื่อมวลชน เพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม 2. กลุ่มผู้พลัดถิ่นได้พัฒนารูปแบบวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว อาทิ สำเนียง ความเชื่อ และอัตลักษณ์ทางอาชีพ โดยมีการผสมผสานวัฒนธรรมของตนกับของสังคมเจ้าถิ่น (หน้า 22-23) ผู้พลัดถิ่นสามารถสร้างผลกระทบให้กับ 3 ตัวแสดงหลัก ได้แก่ 1.ผู้พลัดถิ่นเอง 2.ประเทศเจ้าบ้าน 3.ประเทศแม่ โดยมีผลกระทบที่สำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ 1.ผลกระทบด้านการเมือง 2.ผลกระทบด้านสังคม-วัฒนธรรม 3.ผลกระทบด้านอุดมการณ์ 4.ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ (หน้า 23-25)

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์ “มอญ” ซึ่งถูกจัดเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศและชนชาติที่เลื่องลือในด้านวรรณคดีและวัฒนธรรมอันสูงส่ง (หน้า 1)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษามอญ ยังมีการใช้กันอยู่ภายในชุมชนมอญในประเทศไทย แต่สำเนียงการพูดเป็นปัญหาหนึ่งสำหรับการสื่อสารในวงกว้าง โดยชาวมอญที่เติบโตและอาศัยในไทยซึ่งได้รับการศึกษาจากในโรงเรียนไทย แทบจะไม่เข้าใจภาษาที่พูดโดยชาวมอญจากพม่าซึ่งเป็นสำเนียงแท้ๆ (หน้า 49) ปัจจุบันภาษามอญในสังคมไทยมอญมีการเสื่อมถอยลง (หน้า 47) ชาวไทยมอญรุ่นใหม่ที่เรียนในโรงเรียนไทยพูดภาษามอญได้ไม่เหมือนกับพ่อแม่ (หน้า 48-49)

Study Period (Data Collection)

เดือนตุลาคม – ธันวาคม พ.ศ. 2537

History of the Group and Community

การหลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยของผู้อพยพชาวมอญที่ได้รับผลกระทบจากสงครามในพม่า เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 3 ทศวรรษ โดยผ่านเข้ามาทางแนวภูเขาของอำเภอสังขละบุรี ส่งผลให้เกิดชุมชนนักรบมอญพลัดถิ่นในประเทศไทย (หน้า 33) ในปี พ.ศ. 2531 มีการอพยพครั้งใหญ่ของชาวมอญเนื่องจากเหตุการณ์นองเลือดครั้งรุนแรงในพม่า (หน้า 64) บรรพบุรุษของชาวไทยมอญเริ่มอพยพเข้ามาอยู่ในแผ่นดินไทยตั้งแต่ราวปี พ.ศ. 2140 (หน้า 33) โดยในสมัยนั้นมอญเป็นพันธมิตรกับสยามและมีคู่อริร่วมกันคือพม่า (หน้า 45)

Settlement Pattern

จากงานวิจัยของ Brian L. Foster ในปี พ.ศ. 2516 พบว่า การตั้งรกรากของชุมชนมอญส่วนใหญ่จะอยู่ใกล้ๆจังหวัดกรุงเทพ ชุมชนมอญที่ยาวที่สุดตั้งถิ่นฐานอยู่ตามริมแม่น้ำเจ้าพระยา จากอำเภอปากเกร็ด จ.นนทบุรี ไปจนถึงปลายเขตจังหวัดอยุธยา ชุมชนมอญที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในเขตจังหวัดราชบุรีตามแนวแม่น้ำแม่กลองในอำเภอบ้านโป่งและอำเภอโพธาราม ชุมชนมอญที่ขึ้นชื่ออยู่ที่อำเภอพระประแดง หรือปากลัด ที่อยู่ทางตอนใต้ของกรุงเทพ นอกจากนี้ยังพบชุมชนมอญกลุ่มใหญ่ๆ ในจังหวัดสมุทรสาคร ลพบุรี และอุทัยธานี และมีชุมชนมอญกลุ่มเล็กๆ อยู่ในจังหวัดสมุทรสงคราม เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา อยุธยา โคราช ลำปาง ลำพูน และที่อื่นๆ ชาวมอญจำนวนมากได้ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ แต่ไม่มีการตั้งชุมชนขนาดใหญ่ในตัวเมือง (หน้า 46)

Demography

ปัจจุบันไม่มีบันทึกอย่างเป็นทางการว่ามีชาวมอญอาศัยอยู่ในไทยกี่คน เนื่องจากหลายคนได้สัญชาติไทยไปแล้ว และการกลืนกลายเข้ากับสังคมไทยทำให้ยากต่อการแยกแยะว่าใครเป็นมอญหรือไม่ (หน้า 45) ชาวมอญในไทยที่ยังมีสำนึกทางวัฒนธรรมมอญอย่างเข้มข้นน่าจะมีอยู่ไม่ถึง 1 แสนคน ถ้าจะนับคนมอญที่ยังพูดภาษามอญได้อย่างคล่องแคล่ว จำนวนก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก แต่ถ้านับในแง่ของการมีบรรพบุรุษเป็นคนมอญ จำนวนจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว (หน้า 45) ในปี พ.ศ. 2538 สภาความมั่นคงแห่งชาติได้ประเมินตัวเลขผู้อพยพชาวมอญไว้คร่าวๆที่ 10,000 คน โดยยังไม่นับรวมกลุ่มผู้อพยพที่อยู่นอกเหนืออาณัติของ UNHCR อย่างเช่น กลุ่มนักรบพลัดถิ่นชาวมอญกว่า 3,000 คน (หน้า 56) ชาวมอญจากพม่าที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ 1) ผู้อพยพหรือผู้ลี้ภัยชาวมอญ และ 2) แรงงานมอญซึ่งมีทั้งแรงงานถูกกฎหมายและแรงงานเถื่อน (หน้า 51)

Economy

แรงงานมอญเป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะในจังหวัดระนอง ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี และราชบุรี แรงงานชายเป็นที่ต้องการของภาคการเกษตร การประมง และการก่อสร้าง ขณะที่แรงงานหญิงเป็นที่ต้องการของภาคการบริการ อย่างเช่น โรงแรม และร้านอาหาร (หน้า 52) รัฐมอญมีธุรกิจหลักๆได้แก่ การประมง การค้าไม้ การนำเข้า-ส่งออก โดยมีเงื่อนไขว่ารัฐมอญจะต้องลงทุนร่วมหรือเสียภาษีให้กับรัฐบาลพม่า (หน้า 80) รัฐมอญเป็นเจ้าของพื้นที่ประมงในเขตทะเลอันดามันทางตอนใต้ของพม่า และมีดินแดนที่เป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างไทย-พม่า พรรคมอญใหญ่(NMSP)ยังได้ร่วมทุนกิจการกับบริษัท Ramanya Intl. Ltd ในเมืองเมาะละแหม่ง เพื่อขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้านทั้งสอง ในขณะที่กิจการส่งออกไม้นั้นจะต้องผ่านมือของรัฐบาลทหารพม่าเสียก่อน (หน้า 81)

Social Organization

กลุ่มสังคมหลักๆในกรณีศึกษา ได้แก่ 1) กลุ่มคนไทยที่มีเชื้อสายมอญ และ 2) กลุ่มคนมอญในประเทศพม่า ซึ่งสายสัมพันธ์ทางเผ่าพันธุ์ระหว่างทั้งสองกลุ่มได้เสื่อมสลายลงตามกาลเวลา จึงได้มีการสร้างเครือข่ายทางสังคมขึ้นเพื่อเสริมสร้างการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสองกลุ่มนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการมีพรรค NMSP และการมีสื่อ (หน้า 37) โดยมีการติดต่อส่งข่าว เผยแพร่อุดมการณ์และวัฒนธรรม ในหลายๆระดับ (หน้า 40) “วัด” เป็นศูนย์กลางในการดำเนินกิจกรรมทางสังคมต่างๆ (หน้า 47) “สถาบันครอบครัว” ถือเป็นหนึ่งในตัวแสดงหลักที่มีส่วนในการปลูกฝังสำนึกชาติพันธุ์และอัตลักษณ์ของมอญให้กับคนไทยเชื้อสายมอญ (หน้า 36, 49) มีการตั้งกลุ่มองค์กรทางสังคมที่เป็นทางการขึ้นเพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมมอญอย่างเช่น สมาคมไทยรามัญ และชมรมเยาวชนมอญ (หน้า 50)

Political Organization

ในประเด็นเกี่ยวกับการเมืองนั้น ข้าพเจ้าสรุปได้ว่ากรณีศึกษา “อุดมการณ์ชาตินิยมมอญข้ามชาติ” มีผลกระทบในเวทีการเมืองหลายระดับ โดยมีตัวแสดงหลักๆดังต่อไปนี้ 1) ชุมชนมอญ 2) รัฐ ได้แก่ มอญ(พรรคมอญใหม่), พม่า, ไทย, จีน และมอญ 3) องค์กรสากล เช่น UN, ASEAN 4) ลัทธิการเมือง ประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ 5) องค์กรทางศาสนา ชุมชนมอญ ในชุมชนนักรบมอญพลัดถิ่น จะมีผู้นำทางการเมือง และกองกำลังติดอาวุธ ที่ทำการต่อสู้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง อาทิ ยึดคืนมาตุภูมิ เปลี่ยนระบอบการปกครอง หรือรักษาสถานะรัฐอิสระ (หน้า 8) ชุมชนนักรบมอญพลัดถิ่นเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองมากที่สุด และทำหน้าที่เป็นสื่อบุคคลในการส่งสารทางการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้สมาชิกในกลุ่มยังมีการเปลี่ยนแปลงบทบาทตัวเองอย่างเป็นระบบเพื่อตอบสนองเป้าหมายทางการเมือง อาทิ ผู้อพยพ นักรบเฉพาะกาล นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และสายลับ (หน้า 90) มีการเผยแพร่อุดมการณ์และดำเนินกิจกรรมทางการเมืองผ่านเครือข่ายสังคม สมาคมมอญ และสื่อ (หน้า 34, 50) มีการใช้สื่อต่างๆเพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง เช่น สื่อวิทยุ สิ่งพิมพ์ ส่งตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายในเครือข่ายชาติพันธุ์มอญ (หน้า 91) เยาวชนมอญในไทยมีบทบาทในการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะที่เกาะเกร็ดและในจังหวัดปทุมธานี (หน้า 47) ในปี พ.ศ. 2531 ซึ่งมีเหตุการณ์นองเลือดในพม่า ผู้นำชุมชนไทยมอญจากหลายๆแห่งที่ยังรำลึกถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ของรัฐมอญ ได้ระดมทุนช่วยเหลือผู้อพยพชาวมอญ ชาวไทยมอญหลายคนในจังหวัดราชบุรีได้รุดไปชายแดน บางคนได้พยายามทำการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพรรคมอญใหม่ (หน้า 64-65) พรรคมอญใหม่ มีการจัดตั้งพรรคการเมืองอย่าง “พรรคมอญใหม่” (New Mon State Party / NMSP) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และเป็นผู้นำในการต่อต้านพม่า (หน้า 37) โดยมี “สื่อ” เป็นหนึ่งในอาวุธที่สำคัญ (หน้า 38) พรรคมอญใหม่ก่อตั้งขึ้นในประเทศพม่าในยุค 70 โดยมีนายเสว จิน เป็นหัวหน้า แต่สมาชิกพรรคส่วนใหญ่ต้องหนีออกจากมาตุภูมิเนื่องจากรัฐบาลทหารพม่าได้ทำการกวาดล้างปฏิปักษ์ทางการเมือง (หน้า 40) พรรคมอญใหม่นำรายได้จากเศรษฐกิจในรัฐ เช่น แหล่งทรัพยากร การตั้งด่านเก็บค่าผ่านทาง และการให้การคุ้มกันแก่นักธุรกิจต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจผิดกฎหมาย ฯลฯ มาใช้พัฒนากองกำลังติดอาวุธ และฐานทัพทหารที่ใหญ่ที่สุดที่อำเภอสังขละบุรีในประเทศไทย เพื่อธำรงรักษารัฐชาติ หลังจากที่ทางพรรคถูกขับไล่ออกมาจากรัฐมอญ (หน้า 41, 76) การกดดันอย่างหนักจากรัฐพม่า และการไม่ให้ความร่วมมือของรัฐไทย ทำให้พรรคมอญใหม่ต้องยอมจำนนแก่รัฐบาลพม่า และเซ็นสัญญาหยุดยิง (หน้า 77-78) นายเสวจิน หัวหน้าพรรคมอญใหม่ถูกสมาชิกพรรคโน้มน้าวให้เจรจากับรัฐบาลพม่า โดยเชื่อว่านั่นเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ชนชาติมอญอยู่รอด (หน้า 78) และในวันปีใหม่มอญ [4 ก.พ. 2539] นายเสวจินได้ประกาศยุติการต่อสู้กับรัฐบาลพม่า และให้สัญญาว่าจะพัฒนาประเทศให้มีเสถียรภาพและมีเศรษฐกิจที่ดี (หน้า 80) รัฐพม่า ในมุมมองของมอญ “รัฐบาลทหารพม่า” ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของกลุ่มชาติพันธุ์มอญ (หน้า 38-39) การเปิดประเทศของพม่าในปลายทศวรรษ 1980 มีผลกระทบต่อการเมืองในภูมิภาคอย่างมาก รัฐบาลพม่าต้องการปฏิรูปเศรษฐกิจและเข้าเป็นสมาชิกของ ASEAN ประเทศมหาอำนาจอย่างจีนรวมทั้งไทยต่างก็หาทางผูกมิตรกับพม่า โดยจีนนั้นให้การสนับสนุนอาวุธแก่พม่าในการปราบปราบชนกลุ่มน้อย ขณะที่ไทยเองก็เปลี่ยนท่าทีต่อชนกลุ่มน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับพม่า ไทยลดความร่วมมือและความช่วยเหลือกับบรรดาชนกลุ่มน้อยรวมทั้งมอญด้วย (หน้า 60-61) ตั้งแต่ทศวรรษ 1990 รัฐบาลพม่ากุมความได้เปรียบเหนือชนกลุ่มน้อยเนื่องจาก 1) ทหารพม่าประสบความสำเร็จในการผลักดันชนกลุ่มน้อย และมีความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ 2) รัฐบาลพม่ามีแต้มต่อทางเศรษฐกิจจากการติดต่อลงทุนกับต่างชาติ และ 3) การที่ไทยดำเนินนโยบายการมีปฏิสัมพันธ์ในเชิงสร้างสรรค์ (Constructive Engagement) กับพม่า ทำให้รัฐบาลพม่ามีช่องทางในการจัดการกับชนกลุ่มน้อยได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น (หน้า 67) การที่พม่าตัดท่อน้ำเลี้ยงทางการเงินของรัฐมอญ ทำให้สถานะทางการเงินของรัฐมอญย่ำแย่ และการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเป็นไปอย่างยากลำบาก (หน้า 75) ใน พ.ศ. 2535 รัฐบาลทหารพม่าดำเนินการกวาดล้างชาติพันธุ์มอญอย่างหนัก ภายใต้แผนการรวมชาติพม่าให้เป็นหนึ่งเดียว มีผลกดดันทำให้ผู้นำรัฐมอญต้องยอมเจรจาหยุดยิง (หน้า 76) รัฐไทย โดยสรุป ก่อนปี พ.ศ. 2536 รัฐไทยแสดงบทบาทเป็นผู้อารีย์แก่กลุ่มผู้อพยพชาวมอญ แต่นับจาก พ.ศ. 2536 รัฐไทยได้หันไปผูกมิตรกับพม่าภายใต้นโยบายการมีปฏิสัมพันธ์ในเชิงสร้างสรรค์ พร้อมกับลดบทบาทในการช่วยเหลือกลุ่มผู้อพยพชาวมอญไปพร้อมๆกัน (หน้า 85) ในทศวรรษ 1970-1990 รัฐบาลไทยยอมให้ผู้อพยพชาวมอญอยู่บนแผ่นดินไทยนานๆ เนื่องด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม และส่วนหนึ่งเป็นเพราะตามประวัติศาสตร์ ชาวไทยรับรู้ว่ามอญเป็นมิตรที่ดีและเป็นไส้ศึกที่จงรักภักดี (หน้า 60) ในสงครามเย็นระหว่างทศวรรษ 70-80 ไทยต้องรับมือกับภัยคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคอินโดจีน โดยไทยได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากชาติตะวันตกและอเมริกา ชายแดนทางภาคตะวันตกกลายเป็นพื้นที่เปราะบาง เพราะนอกจากจะต้องคอยระวังพม่าที่เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว พรรคมอญใหม่ยังถือโอกาสตั้งฐานทัพอยู่ในสังขละบุรี ทำให้เกิดการปะทะกันบนชายแดนหลายครั้ง (หน้า 61-62) ไทยต้องการที่จะลดระดับความเคลื่อนไหวของขบวนการชาตินิยมมอญ โดยผ่านการผลักดันผู้อพยพมอญส่วนหนึ่งกลับประเทศ (หน้า 62) ขณะเดียวกันรัฐไทยก็เห็นว่าการมีอยู่ของพรรคมอญใหม่ก่อนทศวรรษ 90 มีผลดีมากกว่าเสีย ตัวอย่างเช่น ไทยสามารถใช้มอญเป็นสายลับทางการเมือง และใช้ศูนย์ผู้อพยพเป็นเขตกันชนบนชายแดน (หน้า 63) ระหว่างที่รัฐบาลทหารพม่ายังไม่เปิดประเทศ ไทยดำเนินนโยบายคู่ขนาน โดยทำการค้าขายกับพม่า ขณะเดียวกันก็ให้ความช่วยเหลือแก่ชนกลุ่มน้อยจากพม่าไปด้วย แต่ทางการไทยก็ได้จำกัดการเคลื่อนไหวของขบวนการชาตินิยมมอญให้อยู่ในขอบเขต (หน้า 64) การอพยพเข้ามาในไทยของชาวมอญเริ่มกลายเป็นประเด็นใหญ่ทางการเมืองในปี พ.ศ. 2531 เมื่อการปราบปราบชนกลุ่มน้อยของรัฐบาลพม่าทำให้มีผู้ลี้ภัยทางการเมืองอพยพเข้ามาอยู่ในไทย และนี่เป็นสาเหตุทำให้เกิดความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างไทยกับพม่าเป็นเวลายาวนาน รัฐบาลไทยลดความตึงเครียดด้วยการดึง UNHCR เข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้อพยพชาวมอญตามแนวชายแดนไทย-พม่า (หน้า 54) ไทยในฐานะผู้ให้ที่พำนักแก่ผู้อพยพชาวมอญ อยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะทางพม่ามองว่าไทยไปอุ้มชูผู้อพยพชาวมอญที่เป็นพวกหัวรุนแรง ขณะที่ทางฝ่ายตะวันตกวิจารณ์ว่าไทยไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออย่างพอเพียงแก่ผู้อพยพที่เดือดร้อนจริงๆ (หน้า 54-55) ไทยไม่มีนโยบายสนับสนุนการต้อนรับให้คนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในสังคมไทย เนื่องด้วยประเด็นเรื่องความมั่นคงภายในประเทศ โดยมีปัญหาต่างๆ อาทิ แรงงานต่างด้าวเถื่อนล้นเมือง กลุ่มนักรบพลัดถิ่นที่เป็นตัวการทำให้เกิดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐไทยจึงจัดให้ผู้อพยพมอญอยู่ในสถานะ “ผู้ลี้ภัย” (หน้า 55-56) นอกจากนี้การอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยมอญอยู่บนแผ่นดินไทยนานๆ จะเป็นการเพิ่มภาระทางเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลไทยในอนาคตอีกด้วย (หน้า 57) การเคลื่อนไหวของขบวนการชาตินิยมมอญได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-พม่า ภายหลังรัฐไทยจึงมีการเฝ้าระวังอย่างหนัก (หน้า 65) ในยุคหลังๆ รัฐบาลไทยมีมาตรการเข้มงวดในการจำกัดการเผยแพร่สื่อสิ่งพิมพ์ของชาวมอญที่ส่งสารชาตินิยม ผลลัพธ์คือการรณรงค์ทางการเมืองตามศูนย์ชุมชนมอญแทบจะต้องหยุดดำเนินการ (หน้า 53-54) ในสมัย พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกฯ ได้มีการใช้นโยบาย “เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า” เพื่อกระชับสัมพันธไมตรีกับเพื่อนบ้าน สร้างบรรยากาศที่ดีในการลงทุน (หน้า 73) การดำเนินนโยบายการมีปฏิสัมพันธ์ในเชิงสร้างสรรค์ (Constructive Engagement) กับพม่า มีผลทำให้ไทยต้องยุติความสัมพันธ์ทางทหารกับมอญ การสานสัมพันธ์กับพม่าจะทำให้ไทยได้รับผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและตลาดการค้าขนาดใหญ่ของพม่า (หน้า 68) ไทยได้เปลี่ยนบทบาทจากผู้สนับสนุนกลุ่มชาติพันธ์มอญมาเป็น “ตัวกลาง” ในการคลี่คลายความขัดแย้งกับรัฐบาลพม่า ซึ่งเป็นผลดีต่อผลประโยชน์แห่งชาติและความมั่นคงของไทยในระยะยาว (หน้า 69) ในปี พ.ศ. 2537 รัฐบาลไทยได้พูดคุยกับผู้นำพรรคมอญใหม่ในประเด็นการส่งตัวผู้อพยพกลับประเทศ เพื่อกดดันให้พรรคมอญใหม่ยุติสงครามกับรัฐบาลพม่า (หน้า 42) นาย Yuan Thon หนึ่งในสมาชิกพรรคมอญใหม่ ยืนยันว่าเป็นเพราะนโยบายของรัฐบาลไทยที่ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือจากสากลเข้าถึงชาวมอญที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย-พม่า ไทยต้องการกดดันให้ผู้อพยพชาวมอญกลับประเทศ และนำไปสู่การตกลงหยุดยิงของพรรคมอญใหม่กับรัฐบาลทหารพม่า (หน้า 59) รัฐจีน ในยุค 90 จีนกลายเป็นคู่ค้าใหญ่ของพม่า ในปี พ.ศ. 2538 มูลค่าการค้าขายของสองประเทศสูงถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์ จีนเข้ามาลงทุนสร้างท่าเรือและถนนในพม่า จีนให้ความช่วยเหลิอทางเศรษฐกิจและทางทหารแก่พม่า ทำให้รัฐบาลพม่ามีความได้เปรียบเหนือพรรคมอญใหม่ของรัฐมอญ (หน้า 69-70) องค์กรสากล ประเด็นปัญหาผู้อพยพชนกลุ่มน้อยจากพม่ายังได้ส่งผลกระทบต่อการเมืองในระดับภูมิภาค UNได้เข้ามามีบทบาทโดยขอร้องให้ประเทศเจ้าบ้านอย่างไทยไม่ผลักดันผู้อพยพกลับเข้าประเทศพม่าที่ยังมีความขัดแย้งคุกรุ่นอยู่ (หน้า 58) องค์กรสากลอย่างเช่น UN และ ASEAN มีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินนโยบายของพม่าและไทย ซึ่งจะมีผลกระทบต่อรัฐมอญและผู้อพยพชาวมอญ (หน้า 3, 87) ลัทธิการเมืองประชาธิปไตย/คอมมิวนิสต์ ในยุคสงครามเย็น การแข่งขันกันระหว่างลัทธิสังคมนิยมกับประชาธิปไตยมีผลต่อการเมืองในภูมิภาค โดยในยุค 70-80 ที่สถานการณ์ยังตึงเครียด ไทยกับพม่าอยู่ในสถานะศัตรูที่ยึดถืออุดมการณ์คนละขั้ว และไทยให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพมอญ โดยได้ประโยชน์จากการเป็นเขตกันชน แต่เมื่อสงครามเย็นจบลง พม่าเปิดประเทศขานรับกระแสทุนนิยม และไทยได้หันมากระชับความสัมพันธ์กับพม่า พร้อมกับลดบทบาทการช่วยเหลือผู้อพยพชาวมอญ (หน้า 82-83) องค์กรศาสนา “วัดมอญ” มีส่วนสำคัญในการปลุกระดมทางการเมือง โดยมีการนำความเชื่อของศาสนาพุทธในเรื่องการกลับชาติมาเกิดมาเชื่อมโยงกับนิทานปรัมปราการเมืองของมอญ มีวัดมอญหลายแห่งในภาคตะวันตกของไทยที่ให้ที่พักพิงแก่นักศึกษามอญอพยพจาก ปี พ.ศ. 2531 ยิ่งกว่านั้นวัดมอญยังกลายเป็นแหล่งระดมทุนไปอีกด้วย และพรรคมอญใหม่ยังใช้วัดเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูล ที่นัดพบ หรือที่ตีพิมพ์ข่าวสารทางการเมือง (หน้า 53) มีการให้การสนับสนุนทางการเงินจากองค์กรทางศาสนาในต่างประเทศ และจากกลุ่มคนไทยมอญที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์มอญสามารถแพร่กระจายสื่อตีพิมพ์ที่เผยแพร่แนวคิดกู้ชาติได้อย่างกว้างขวาง (หน้า 39-40)

Belief System

ชุมชนมอญโดยทั่วไปยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีเหมือนชาวมอญในพม่าตามวิถีพุทธแบบมอญ พิธีกรรมอย่างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของมอญ ได้แก่ งานศพพระมอญ (หน้า 46) ศาสนาพุทธมีความเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของชาวมอญในทุกระดับชั้น มีค่านิยมว่า ความเป็นมอญประการหนึ่งได้แก่การเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี ชาวมอญส่วนใหญ่จึงยึดถือหลักปฏิบัติของศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด (หน้า 47, 53) วัดเป็นศูนย์กลางในการรักษาศาสนาพุทธแบบมอญและการดำเนินกิจกรรมทางสังคม รวมทั้งเป็นที่หล่อหลอมจิตวิญญาณแห่งชนชาติมอญ (หน้า 47, 53)

Education and Socialization

ผู้นำทางการเมืองในชุมชนนักรบมอญพลัดถิ่นได้พยายามส่งเสริมการรู้ภาษามอญในค่ายอพยพ และปลุกสำนึกชาติพันธุ์มอญกับบรรดาคนมอญในไทย โดยใช้ประวัติศาสตร์และชุมชนชาติพันธุ์เป็นเครื่องมือ (หน้า 35) นักวิชาการและปัญญาชนบางคนเป็นห่วงเรื่องการอยู่รอดทางวัฒนธรรมประเพณีของมอญที่ล้ำค่า จึงได้ทำโครงการศึกษาวิจัยอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับวิถีสังคมมอญและภูมิปัญญามอญ (หน้า 38) มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยมอญและโครงการศึกษาวัฒนธรรมมอญขึ้นมาเพื่อการฟื้นฟูชาติพันธุ์ (หน้า 39) มีการเผยแพร่สื่อสิ่งพิมพ์ทั้งในภาษาอังกฤษ ไทย และมอญ เพื่อส่งสารทางการเมือง ปลุกสำนึกรักชาติ และกระตุ้นความรู้สึกร่วมทางวัฒนธรรม (หน้า 39) ในการใช้สื่อเพื่อถ่ายทอดอุดมการณ์ชาตินิยมมอญนั้น มีการผสมผสานกันของสารระหว่าง 1) ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ 2) ตำนาน 3) แนวคิดสมัยใหม่ โดยเฉพาะ “ตำนาน” นั้นมีบทบาทสำคัญในแง่จิตวิทยาในการกระตุ้นให้ชนชาติมอญอยู่รอดอย่างมีความหวัง ตำนานเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นผ่านสมัยโดยผู้นำท้องถิ่น พระเกจิชื่อดัง (หน้า 42) ภาษามอญยังมีบทบาทสำคัญในชุมชนมอญ อย่างเช่น ที่ตลาดในจังหวัดราชบุรี หรือแม้แต่ที่โรงเรียนในต่างจังหวัด มีการใช้ภาษามอญในการสื่อสารที่เป็นส่วนตัว (หน้า 49)

Health and Medicine

ไม่มีปรากฏ

Art and Crafts (including Clothing Costume)

วัดมอญมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งได้แก่ “เสาหงส์” ซึ่งเป็นเสาขนาดใหญ่ที่มีรูปหงส์อยู่บนยอด (หน้า 47) พระประแดงหรือเมืองปากลัดเป็นชุมชนมอญที่ขึ้นชื่อเรื่องเทศกาลสงกรานต์ที่มีสีสัน (หน้า 46)

Folklore

มีการใช้ตำนานการเมืองเพื่อสร้างความจงรักภักดีทางการเมืองให้กับชนชาวมอญ โดยตำนานพวกนี้ส่วนใหญ่ทำนายว่าการดำรงอยู่ของพรมแดนวัฒนธรรมมอญจะแผ้วถางทางไปสู่เอกราชและความชอบธรรมทางการเมืองในที่สุด (หน้า 37) มีการนำความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ของศาสนาพุทธมาโยงกับตำนานการเมืองของมอญ (หน้า 53)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ในชุมชนนักรบมอญพลัดถิ่น ผู้นำได้พยายามปลุกสำนึกชาติพันธุ์โดยใช้ประวัติศาสตร์และการดำรงอยู่ของชุมชนมอญ ชาวมอญได้ใช้อดีตอันรุ่งโรจน์มาเป็นแรงบันดาลใจให้กับชนรุ่นแล้วรุ่นเล่า (หน้า 35) ในประเทศพม่า รัฐบาลทหารพม่าได้ดำเนินนโยบายแปลงชนกลุ่มน้อยให้เป็นพม่า (Burmanization) มีการสังหารผู้ขัดขืนต่อต้าน ทำให้ชาวมอญหลายพันคนต้องอพยพเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย (หน้า 37) มีการปลุกกระแสชาตินิยมกับกลุ่มนักรบมอญพลัดถิ่น และชาวไทยสายเลือดมอญ โดยตอกย้ำว่าเผ่าพันธุ์มอญมีศัตรูร่วมกันคือ “รัฐบาลทหารพม่า” (หน้า 38) ตามประวัติศาสตร์ อาณาจักรสยาม(ไทย)นับมอญเป็นพันธมิตรในการทำสงครามต่อเนื่องกับพม่า มีการมอบตำแหน่งสำคัญๆให้กับคนมอญ (หน้า 45) ชาวไทยมองว่ามอญเป็นมิตรที่ดี หรือเป็นไส้ศึกที่จงรักภักดี (หน้า 60) ในยุคหลังๆ ความเป็นเมืองและความเจริญเป็นตัวการหนึ่งที่บั่นทอนอัตลักษณ์มอญ (หน้า 47-48) อัตลักษณ์ความเป็นมอญของคนไทยมอญมีระดับความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ บางที่เข้มแข็งบางที่อ่อนแอ ตัวอย่างเช่น ชุมชนมอญในจังหวัดกาญจนบุรีและราชบุรีที่มีวัฒนธรรมเข้มแข็ง ชาวไทยมอญที่นั่นบอกเล่าว่าตนเป็นลูกหลานของพระยาราม และยึดถือขนบประเพณีของศาสนาพุทธมอญอย่างเคร่งครัด มีการอธิบายว่าความเป็นมอญคือการเป็นชาวพุทธที่ดีและมีความจงรักภักดีต่อเมืองมอญ(รัฐมอญในพม่า) ขณะที่กลุ่มเยาวชนมอญในเกาะเกร็ดมีความตื่นตัวทางการเมืองสูง ในทางกลับกัน กลุ่มคนไทยมอญรุ่นหลังในพระประแดงที่ได้เรียนในโรงเรียนไทยไม่ต้องการเรียกตัวเองว่าเป็นคนมอญ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าตนมีเชื้อสายมอญ (หน้า 46-47) มีการใช้สื่อทั้งแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่เพื่อกระตุ้นสำนึกชาติพันธุ์แก่คนมอญในไทย และเพื่อการคงอัตลักษณ์ในหมู่คนไทยเชื้อสายมอญด้วย (หน้า 92) ปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในภูมิภาคเป็นบ่อเกิดของปัญหาข้ามรัฐหลายๆประการ อาทิ การลักลอบค้าของเถื่อน การค้าอาวุธ การหลั่งไหลของผู้อพยพ และอื่นๆ (หน้า 67)

Social Cultural and Identity Change

ปัจจุบันในประเทศไทยยากที่จะแยกแยะว่าใครเป็นมอญหรือไม่ เนื่องจากหลายคนได้สัญชาติไทย และมีการกลืนกลายในระดับสูง ในอดีตเราสามารถสังเกตความเป็นมอญได้ง่ายกว่า เนื่องจากชาวมอญมีเอกลักษณ์ทั้งในทางประเพณีและอาชีพอย่างเด่นชัด (หน้า 45) ความเป็นเมือง (Urbanization) ได้บั่นทอนความเข้มแข็งทางสังคมและวัฒนธรรมของมอญ โดยเฉพาะกับชุมชนมอญรอบๆ กรุงเทพ ปัจจัยอย่างเช่นราคาที่ดินสูงขึ้น และการขยายตัวของพื้นที่เมืองเข้าสู่จังหวัดใกล้เคียง ทำให้หมู่บ้านมอญจำนวนหนึ่งในนนทบุรีและปทุมธานีต้องย้ายออกและหายไปในที่สุด เช่นเดียวกับในเขตพระประแดงที่ความเป็นเมืองได้ผลักดันการกลืนกลายและการแต่งงานข้ามเชื้อชาติระหว่างชาวไทยกับชาวมอญ หรือชาวมอญกับชาวจีน นอกจากนี้การศึกษาในโรงเรียนที่เน้นภาษาไทยเป็นหลักก็ได้มีส่วนทำให้ภาษามอญอ่อนแอลง (หน้า 47-48)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

มีแผนที่ภูมิภาค ข่าวจากหนังสือพิมพ์ และรูปถ่าย

Text Analyst อัลเบอท ปอทเจส Date of Report 24 ก.ย. 2567
TAG มอญ, อุดมการณ์ชาตินิยม, เครือข่ายของกระบวนการชาตินิยม, มิติของสื่อและสาร, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง