สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ไทยใหญ่,การปฏิสัมพันธ์,การตั้งถิ่นฐานของผู้อพยพ,กระบวนการกลืนกลาย,ชายแดนไทย-พม่า
Author Ryoko Gaise
Title Tai Yai Migration in the Thai-Burmese Border Area: Its Settlement and Assimilation Process, 1962-1977
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ไทใหญ่ ไต คนไต, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 122 Year 2542
Source สาขาวิชาไทยศึกษา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

งานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่าการตั้งถิ่นฐานของผู้อพยพ และกระบวนการกลืนกลายได้รับอิทธิพลอย่างมากจากประวัติศาสตร์และลักษณะเฉพาะของพื้นที่ซึ่งการอพยพได้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ลักษณะเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดเครือข่ายของผู้อพยพ ซึ่งถือเป็นระบบสนับสนุน และผู้ให้ความเห็นอกเห็นใจในสังคมผู้รับ ดังนั้นการตั้งถิ่นฐานและการกลืนกลายในสังคมผู้รับ จึงดำเนินไปได้ด้วยดีกว่ากรณีอื่นๆ ลักษณะเช่นนี้สามารถนำไปสู่การอธิบายการโยกย้ายครั้งต่อไปของผู้อพยพ การรักษาและการสร้างลักษณะของระบบการอพยพในพื้นที่เขตนี้ และเป็นที่ชัดเจนว่าชาวบ้านมองเห็นและสนองตอบต่อการหลั่งไหลเข้ามาของผู้อพยพด้วยทัศนคติที่แตกต่างไปจากรัฐบาลไทย ดังนั้นการศึกษาในครั้งต่อไปที่ควรจะเป็นคือการวิเคราะห์เกี่ยวกับปรากฏการณ์การอพยพจากมุมมองของท้องถิ่น (หน้า iv)

Focus

สำรวจบริบทท้องถิ่นของการอพยพของชาวไทยใหญ่จากประเทศพม่ามายังจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยการศึกษาว่าชุมชนที่เป็นกลุ่มชนชาติที่มาจากที่อื่นนั้น ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างไรในระดับภูมิภาค (หน้า iv, 5) มุ่งให้ความสนใจกับการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้อพยพกับคนในท้องถิ่นซึ่งแสดงออกมาในการตั้งถิ่นฐานและกระบวนการกลืนกลายของผู้อพยพและเพื่อให้เข้าใจปรากฏการณ์นี้จากมุมมองโดยรวม (หน้า iv, 5-6)

Theoretical Issues

ในการศึกษาการตั้งถิ่นฐานและกระบวนการกลืนกลายของชุมชนไทยใหญ่นั้น ผู้เขียนได้ใช้แนวคิดดังต่อไปนี้ 1) วิธีระบบการอพยพ (The migration systems) ที่มุ่งเน้นศึกษาวิเคราะห์การอพยพอย่างเป็นระบบทั้งทางฝั่งผู้ให้และผู้รับ ควบคู่ไปกับการปฏิสัมพันธ์ เพื่อเข้าถึงพลวัตของการอพยพ (หน้า 7-8) กระบวนการอพยพของกรณีศึกษานี้เริ่มตั้งแต่บนฝั่งพม่า เมื่อวิถีชีวิตของผู้อพยพถูกทำลายลงจากเหตุการณ์ไม่สงบต่างๆ พวกเขาจึงย้ายเข้ามาอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนบนฝั่งไทยซึ่งมีพื้นที่ทางสังคมเปิดกว้างให้กับชาวไทยใหญ่ ผู้อพยพไทยใหญ่สามารถกลับมาดำเนินวิถีชีวิตปกติได้ และได้ขยายเครือข่ายผ่านทางการปฏิสัมพันธ์ จนผู้อพยพกลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนไทยใหญ่ในแม่ฮ่องสอน (หน้า 100) 2) แนวคิดเครือข่ายทางสังคมของผู้อพยพ (Migrant Network) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการภายใต้ทฤษฎีเครือข่าย โดยในงานชิ้นนี้ได้มุ่งเน้นศึกษาบทบาทหน้าที่ของเครือข่ายที่มีอิทธิพลต่อการอพยพและการตั้งถิ่นฐาน อาทิ ช่วยบรรเทาต้นทุนและอุปสรรคให้กับผู้อพยพ เป็นช่องทางข้อมูลข่าวสาร ทรัพยากร และเป็นโครงสร้างบรรทัดฐานในการตั้งรกรากของผู้อพยพ (หน้า 9-10, 67-68) ซึ่งในงานศึกษาชิ้นนี้พบว่าในกลุ่มผู้อพยพไทยใหญ่มีเครือข่ายอยู่หลายระดับ ได้แก่ เครือญาติ, เพื่อนบ้าน, เพื่อนฝูง, และเพื่อนร่วมงาน ทั้งนี้การปฏิสัมพันธ์กันข้ามเครือข่าย การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และการอำนวยความสะดวก เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมการขยายตัวของเครือข่ายทั้งหมดและมีผลต่อการตัดสินใจของผู้อพยพ (หน้า 68-79) 3) กระบวนการกลืนกลาย (Assimilation Process) ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 7 ระดับ (หน้า 80-81) ผู้เขียนได้ทำการวิเคราะห์เอาไว้ 2 ระดับคือ 1) การกลืนกลายในระดับวัฒนธรรม และ 2) การกลืนกลายในระดับโครงสร้าง ซึ่งในระดับแรกนั้น ผู้อพยพไทยใหญ่ในแม่ฮ่องสอนปรับตัวได้โดยง่ายเนื่องจากความรู้สึกร่วมในเชิงชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และภาษา ขณะที่ในระดับที่สองนั้น ผู้อพยพไทยใหญ่รุ่นหลังประสบปัญหา เนื่องจากข้อจำกัดในเชิงกฎหมายและสถาบัน (หน้า 82-86) 4) การวิเคราะห์ผู้อพยพ (Analysis of refugees) ซึ่งผู้อพยพได้ย้ายเข้าไปอยู่ในประเทศหนึ่งๆเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตนไม่สามารถกระทำได้ในถิ่นกำเนิด สำหรับผู้อพยพไทยใหญ่นั้น ตอนอยู่ในพม่าพวกเขาได้ถูกทำลายวิถีชีวิตทั้งในแง่เศรษฐกิจ สังคม และเสี่ยงภยันตราย เป้าหมายหลักของพวกเขาในการย้ายเข้ามาอยู่ประเทศไทย คือการอยู่รอด การฟื้นฟูวิถีชีวิตเบื้องต้น เช่น สามารถทำการเกษตรได้ ไปวัดได้ และพวกเขาบรรลุเป้าหมายเหล่านั้นได้ด้วยการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อาศัยคนอื่นๆ พัฒนาเครือข่าย และกลายเป็นสมาชิกของชุมชนนั้นๆ แต่สำหรับเป้าหมายอื่นๆที่อยู่สูงขึ้นไปถือเป็นเรื่องรอง เนื่องจากข้อจำกัดในการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยในระดับทางการ (หน้า 88-89, 99-100)

Ethnic Group in the Focus

“ไทใหญ่” (Tai Yai) หรือที่ต่างชาติเรียกกันว่า “ฉาน” (Shan) ซึ่งเป็นชาติพันธุ์หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ไท ที่อาศัยอยู่ในหลายๆพื้นที่ อาทิ มณฑลยูนนานในจีนใต้ รัฐฉานในพม่า และภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน แม้ชาวไทยใหญ่จะมีการกระจายประชากรอย่างกว้างขวาง แต่ก็เป็นเพียงชนกลุ่มน้อยในประเทศเหล่านั้น (หน้า 2, 102)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาของชาวไทยใหญ่อยู่ในตระกูลภาษาไต ที่คนไทยโดยทั่วไปฟังไม่รู้เรื่อง แต่คนที่พูดภาษาคำเมืองได้จะพอฟังออกบ้าง (หน้า 2) ภาษาไทยใหญ่เป็นภาษาหลักที่ใช้ในชีวิตประจำวันในแม่ฮ่องสอน ภาษาคำเมืองใช้สำหรับการสื่อสารในวงกว้างขึ้น และภาษาไทยกลางใช้ในการติดต่อราชการ การศึกษา และในสื่อ ซึ่งผู้อพยพไทยใหญ่จำนวนมากไม่มีปัญหากับเรื่องดังกล่าว เนื่องจากภาษาทั้งสามมีความคล้ายคลึงกัน (หน้า 82) ผู้อพยพไทยใหญ่อาจพูดภาษาไทยกลางไม่คล่องแต่ก็เข้าใจได้ดี เพราะพวกเขาได้รับสื่อจากทีวีไทย เนื้อหาจากละครไทยซึ่งเป็นที่นิยมได้กลายเป็นประเด็นสนทนา และพวกเขายังชอบฟังและร้องเพลงไทยด้วย นอกจากนี้เด็กๆยังได้เรียนภาษาไทยที่โรงเรียน (หน้า 82)

Study Period (Data Collection)

ระหว่างเดือนมกราคม-ธันวาคม พ.ศ. 2542

History of the Group and Community

ว่ากันว่าผู้ที่มาตั้งรกรากเป็นกลุ่มแรกๆในจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นชาวกะเหรี่ยงและชาวไทยใหญ่ในลุ่มน้ำสาละวิน ประเทศพม่า โดยก่อนปี พ.ศ. 2374 ได้มีชาวไทยใหญ่จากรัฐฉานเข้ามาบุกเบิกตั้งรกรากและถางป่าเพื่อทำการเพาะปลูกในพื้นที่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน (หน้า 46-48) ราว 170 ปีก่อนได้มีการจัดตั้งหมู่บ้านของชาวไทยใหญ่ขึ้นเป็นแห่งแรกในจังหวัดแม่ฮ่องสอน นั่นคือบ้านปางหมู โดยในปี พ.ศ. 2374 พระยาเชียงใหม่ฯมีบัญชาให้เจ้าแก้วเมืองมาออกไปสำรวจดินแดนหัวเมืองทางตะวันตกของเชียงใหม่ที่เป็นจังหวัดแม่ฮ่องสอนในปัจจุบัน คณะสำรวจได้ผ่านแม่น้ำปายจนมาพบลุ่มแม่น้ำใหญ่ที่มีทำเลดีเหมาะแก่การตั้งหมู่บ้าน เจ้าแก้วเมืองมาได้รวบรวมชาวไทยใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่แถวนั้นให้มาอยู่รวมกัน และได้แต่งตั้งให้นายพะก่าหม่องคนไทยใหญ่เป็นนายบ้าน หลังจากก่อตั้งบ้านปางหมูแล้ว เจ้าแก้วเมืองมาได้ออกไปสำรวจอีกครั้งและพบลุ่มแม่น้ำแห่งใหม่ จึงได้ตั้งหมู่บ้านขึ้นมาอีกแห่ง ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของตัวเมืองแม่ฮ่องสอน (หน้า 40) กลางศตวรรษที่19 ในยุคที่ธุรกิจค้าไม้ในแม่ฮ่องสอนเฟื่องฟู (ราวปี พ.ศ. 2390-2420) บริษัทอังกฤษได้นำเอาแรงงานต่างด้าวเข้ามาด้วยรวมทั้งแรงงานชาวไทยใหญ่ และในช่วงเดียวกันได้เกิดความขัดแย้งขึ้นในหมู่เจ้าฟ้าของรัฐฉาน เจ้าฟ้าโกหล่านแห่งเมืองหมอกใหม่ได้นำไพร่พลชาวไทยใหญ่หนีภัยสงครามเข้ามาและมีส่วนร่วมในการก่อตั้งเมืองแม่ร่องสอน หรืออำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนในปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ. 2417 (หน้า 42) ในช่วงปี พ.ศ. 2505-2540 มีการอพยพหลั่งไหลของชาวไทยใหญ่จากรัฐฉานเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง (หน้า 1, 31) ในประเทศพม่านับจากการรัฐประหารของนายพลเนวินเมื่อปีพ.ศ. 2505 รัฐบาลทหารได้กดขี่ข่มเห่งชนกลุ่มน้อยรวมทั้งชาวไทยใหญ่ด้วย ภัยสงครามและความยากจนข้นแค้นได้ผลักดันให้ชาวไทยใหญ่จำนวนมากอพยพไปยังประเทศใกล้เคียง (หน้า 18-26)

Settlement Pattern

ผู้อพยพชาวไทยใหญ่อาศัยอยู่ตามหุบเขาและมีชุมชนที่ค่อนข้างเหนียวแน่น (หน้า 102) เดิมทีชาวไทยใหญ่ในแม่ฮ่องสอนอาศัยอยู่ตามหุบเขา โดยมักจะพบการตั้งถิ่นฐานของชุมชนไทยใหญ่บนพื้นที่ราบหรือตามชายเขา อย่างเช่นในตำบลป่าโปง, ตำบลหมอกจำแป่, ตำบลห้วยผา แต่เมื่อมีผู้อพยพหลั่งไหลเข้ามามากขึ้น พื้นที่ราบมีเหลือน้อยลง และนั่นทำให้ชาวไทยใหญ่ย้ายขึ้นไปอยู่บนเนินเขาและภูเขากันมากขึ้น ผู้อพยพไทยใหญ่ที่มาใหม่จำนวนมากอาศัยอยู่ในพื้นที่ถัดจากชาวเขาเผ่าต่างๆ จนทำให้บางคนเข้าใจผิดว่าชาวไทยใหญ่เป็นชาวเขา (หน้า 64) รูปแบบการก่อตั้งชุมชนของผู้อพยพชาวไทยใหญ่หลังปี พ.ศ. 2505 ขึ้นอยู่กับแหล่งที่พักอาศัย, จำนวนเวลาที่อยู่ในประเทศไทย, ช่วงเวลาเข้าประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือความสัมพันธ์กับชาวบ้านในท้องถิ่น โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบหลักๆได้แก่ 1) ที่อาศัยของผู้อพยพตั้งอยู่ในใจกลางชุมชนเดิม ซึ่งผู้อาศัยเดิมส่วนใหญ่เป็นชาวไทยใหญ่ที่อพยพเข้ามาก่อนปี พ.ศ. 2505 กับลูกหลาน และ 2) ที่อาศัยของผู้อพยพที่ตั้งอยู่ในชุมชนใหม่ที่แยกตัวออกมาจากบริเวณเดิม (หน้า 61-62, 97) ผู้อพยพราว 70% อาศัยอยู่กับเครือญาติ และ 30% อาศัยอยู่กับเพื่อนๆ (หน้า 63)

Demography

ชุมชนไทยใหญ่ในพื้นที่วิจัย มีประชากร 232 ครัวเรือนอาศัยอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปาย (ก.ค. 2542) 165 ครัวเรือนมีสัญชาติไทย แต่อีก 67 ครัวเรือนยังไม่มีสัญชาติไทย ครอบครัวส่วนใหญ่ที่ไม่มีสัญชาติไทยเป็นผู้อพยพชาวไทยใหญ่ที่มาจากทางฝั่งชายแดนพม่า และมี 3 ครัวเรือนที่เป็นผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง โดยหมู่บ้านส่วนใหญ่ในตำบลปางหมูจะมีประชากรชาวไทยใหญ่ (หน้า 12)

Economy

ผู้อพยพส่วนใหญ่ยึดอาชีพเกษตรกร ปลูกข้าวและพืชผลอื่นๆบนที่ดินของตน บ้างเช่าที่ดินจากคนอื่น และทำธุรกิจอย่างอื่นไปด้วย ปัจจุบันแนวทางเศรษฐกิจของพวกเค้าเริ่มเปลี่ยนผันจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมทุนนิยมมากขึ้น (หน้า 51) ผู้อพยพไทยใหญ่ที่ไร้สัญชาติไทย ถ้าเช่าที่ดินจากคนอื่นได้จะทำการเพาะปลูกข้าว, กระเทียม, ถั่ว และอื่นๆ แต่ก็ต้องกังวลเรื่องค่าเช่าที่อาจจะชำระด้วยเงินสดหรือพืชผลที่เก็บเกี่ยวได้ บ้างเลี้ยงสัตว์ ที่นิยมมากคือสุกร นอกจากนั้นก็ต้องไปเป็นลูกจ้างในไร่นา คนงานก่อสร้าง หรือแรงงานในเมือง ค่าจ้างเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 50-80 บาท (หน้า 58) มีการค้าชายแดนระหว่างไทย-พม่ามาตั้งแต่ก่อนการอพยพครั้งใหญ่ในปีพ.ศ. 2505 โดยส่วนใหญ่เป็นการค้าขายระดับเล็กๆ ที่ชาวบ้านทั่วไปก็มีสิทธิจะเป็นพ่อค้าชายแดนได้ สินค้าที่ค้าขายกันได้แก่ วัวควาย, ของป่า, สินค้าจากพม่าเช่น รองเท้าแตะ, เสื้อผ้า, หมวก และยา พ่อค้าเหล่านี้เก็บสินค้าไว้ในพม่า ขนมาขายที่แม่ฮ่องสอนโดยพำนักอยู่ที่บ้านเพื่อหรือคู่ค้า เสร็จแล้วจึงกลับบ้าน (หน้า 76)

Social Organization

ในชุมชนไทยใหญ่มีองค์กรทางสังคมทั้งที่เป็นกลุ่มทางการ, กลุ่มกึ่งทางการ และเครือข่ายอิสระที่กระจัดกระจายไปทั่ว โดยในหมู่บ้านวิจัยมีองค์กรทางสังคมชื่อ “พลังใหม่” ที่ให้การดูแลช่วยเหลือผู้อพยพที่ไม่มีสัญชาติไทย (หน้า 65-66) มีการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้อพยพกับเจ้าบ้านผ่านทางกิจกรรมต่างๆ เช่น พิธีทางศาสนา การลงแรงก่อสร้างถนนและสะพานในชุมชน ทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน และก่อให้เกิดเป็นกลุ่มกึ่งทางการขึ้นมา (หน้า 66-67) มีเครือข่ายทางสังคมในหลายระดับ ทั้งเครือญาติ, เพื่อนบ้าน, เพื่อนร่วมงาน, เพื่อนฝูง (หน้า 68-71) และมีโอกาสที่เครือข่ายโดยรวมจะขยายใหญ่ขึ้นผ่านทางการปฏิสัมพันธ์ข้ามเครือข่ายหลวมๆเหล่านั้น เช่น โดยผ่านทางการพบปะเยี่ยมเยือน หรือการทำกิจกรรมร่วมกัน (หน้า 71) และเครือข่ายเหล่านั้นไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในหมู่บ้าน แต่แผ่ขยายไปนอกเขตหมู่บ้านด้วย ตัวอย่างเช่น ผู้อพยพไทยใหญ่ที่ไปทำงานในเชียงใหม่หรือกรุงเทพได้สร้างเครือข่ายไว้ที่นั่น ทำให้มีคนย้ายตามกันไปหางานทำ (หน้า 72) มีการสร้างค่านิยม “ความเป็นเรา” ในชุมชนไทยใหญ่ ด้วยความรู้สึกเชื่อมโยงที่ว่าเป็นคนเชื้อชาติเดียวกัน มีรากวัฒนธรรมเหมือนกัน ใช้ภาษาเดียวกัน ซึ่งนี่เป็นพื้นที่เฉพาะทางสังคมของชาวไทยใหญ่ที่ทำหน้าที่ผสมผสานกลมกลืนชาวไทยใหญ่เข้าด้วยกัน ทั้งกับคนในชุมชนเดิมและผู้อพยพที่มาใหม่ (หน้า 74-79, 97-98) ภายใต้ความเป็นเรานี้ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจกัน จนนำไปสู่การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (หน้า 95) เป็นสังคมที่ “ชายเป็นใหญ่” ตามคติพุทธ โดยผู้ชายจะเป็นคนออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ส่วนผู้หญิงจะต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ดังนั้นผู้หญิงจะเป็นแกนกลางในเครือข่ายเพื่อนบ้าน ขณะที่ผู้ชายจะเป็นแกนกลางในเครือข่ายเพื่อนร่วมงาน (หน้า 71)

Political Organization

“ผู้ใหญ่บ้าน” เป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่างสูงในการปกครองชุมชนไทยใหญ่ โดยแนวนโยบายของผู้ใหญ่บ้านจะมีผลกระทบต่อทัศนคติของชาวบ้านที่มีต่อผู้อพยพ ซึ่งในชุมชนวิจัย ผู้ใหญ่บ้านได้ดำเนินนโยบายตามหลักสิทธิมนุษยชนและพยายามที่จะไม่เลือกปฏิบัติ และนั่นทำให้ชุมชนมีความสัมพันธ์อันดี (หน้า 13-14) ผู้ใหญ่บ้านในชุมชนวิจัยเป็นผู้มีอำนาจในการจัดสรรที่ดินให้แก่ผู้อพยพไทยใหญ่ที่มาใหม่ได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัย (หน้า 63-64) ในทางกลับกันพบว่านอกเขตวิจัย มีผู้ใหญ่บ้านบางคนที่ฉวยโอกาสเรียกเก็บสินบนจากผู้อพยพที่อยู่ในฐานะคนผิดกฎหมาย (หน้า 98) ผู้อพยพไทยใหญ่รุ่นก่อนๆที่เข้ามาอยู่ในชุมชนนานแล้ว มีแนวโน้มที่จะได้ครอบครองตำแหน่งผู้นำในชุมชน เช่น ผู้ใหญ่บ้าน, กำนัน และอื่นๆ ขณะที่เจ้าฟ้าและทายาทที่อพยพมาจากรัฐฉานยังธำรงไว้ซึ่งศักดิ์และสถานะทางสังคมที่สูงกว่า (หน้า 50)

Belief System

ชาวไทยใหญ่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท (หน้า 102) ในชุมชนมีพิธีกรรมต่างๆ เช่น งานวัดประจำปี พิธีบวชเณร การก่อเจดีย์ทราย การทำบุญในโอกาสต่างๆ (หน้า 66, 83)

Education and Socialization

ลูกหลานของผู้อพยพไทยใหญ่ที่ไม่มีสัญชาติไทยสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนของไทยได้เช่นเดียวกับเด็กเชื้อสายไทยใหญ่ที่ถือสัญชาติไทย แต่เมื่อจบการศึกษาแล้วจะไม่ได้รับใบประกาศนียบัตร และไม่สามารถศึกษาต่อได้เนื่องจากอุปสรรคทางการเงินและกฎหมาย (หน้า 58) ในชุมชนมีการพยายามรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไทยใหญ่ผ่านทางการจัดเทศกาลต่างๆ ซึ่งจะมีการแสดงรำสิงโต ดนตรีไทยใหญ่ โดยผู้แสดงจำนวนมากเป็นผู้อพยพชาวไทยใหญ่ ซึ่งนอกจากจะเป็นการรักษาวัฒนธรรมแล้ว ยังเป็นการกระชับไมตรีระหว่างเจ้าบ้านกับผู้อพยพอีกด้วย (หน้า 83)

Health and Medicine

ผู้อพยพไทยใหญ่สามารถเข้ารับการรักษาได้ที่สถานีอนามัยในตำบลและโรงพยาบาลในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน นอกจากนี้ยังไปรักษาได้ตามสถานพยาบาลในเขตชายแดนที่มีผู้อพยพเยอะๆ เช่นในจังหวัดตาก เชียงใหม่ และราชบุรี ที่ให้บริการตามหลักสิทธิมนุษยชน (หน้า 59)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ปัจจุบันเรายังสามารถพบเห็นเอกลักษณ์ของไทยใหญ่ได้ในสถาปัตยกรรม, เครื่องแต่งกาย, พิธีกรรม และอาหาร ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอนและตามหมู่บ้าน ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากทางพม่ามากกว่าไทย (หน้า 46) ผู้อพยพชาวไทยใหญ่แต่งกายเหมือนๆกันกับเจ้าบ้านในแม่ฮ่องสอน แต่ปัจจุบันวัยรุ่นส่วนใหญ่นิยมแต่งกายตามแบบตะวันตก (หน้า 82)

Folklore

ผู้เขียนได้ยกตอนหนึ่งจากงานศึกษาของ Nancy Eberhardt ที่กล่าวถึงแนวคิดชายเป็นใหญ่ตามคติพุทธดังนี้ “ชาวไทยใหญ่รับรู้ว่าผู้หญิงอยู่ในฐานะที่ต้อยต่ำกว่าผู้ชาย... การเกิดเป็นหญิงแสดงว่าชาติที่แล้วได้ทำบุญมาน้อยกว่า... ผู้หญิงอ่อนแอและถูกครอบงำได้ง่าย... ดังนั้นผู้หญิงต้องการคู่ครองที่จะมาเป็นผู้คุ้มกัน และควรเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน” (หน้า 71)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ความสัมพันธ์ของไทยใหญ่กับพม่า ตั้งแต่ยุค 60 (ราวปี พ.ศ. 2500) รัฐบาลทหารพม่าได้เปลี่ยนระบอบการปกครองจากสหพันธรัฐมาเป็นรัฐเดี่ยว โดยรวบอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง ผลักดันการสร้างชาติพม่าให้เป็นหนึ่งเดียว และปราบปรามชนกลุ่มน้อย นอกจากนี้ภายใต้แนวทางสู่สังคมนิยม ได้มีการกีดกันทางวัฒนธรรม รวมทั้งห้ามเผยแพร่หนังสือพิมพ์ที่ใช้ภาษาชนกลุ่มน้อยด้วย ชนกลุ่มน้อยตกอยู่ในสถานะพลเมืองชั้นสอง (หน้า 27-29) รัฐฉานมีการเคลื่อนไหวทั้งในรูปของขบวนการชาตินิยมและกองกำลังต่อต้านรัฐบาลทหารของพม่า ทั้งสองฝ่ายมีการปะทะกันตลอด ชาวบ้านไทยใหญ่ถูกทหารข่มเหงรังแกและปล้นสะดม จนหลายคนตัดสินใจอพยพหนี (หน้า 30-31) และผู้อพยพส่วนใหญ่ไม่ต้องการกลับไปประเทศพม่า (หน้า 59) ความสัมพันธ์ของไทยใหญ่กับไทย สาเหตุหนึ่งที่ผู้อพยพไทยใหญ่จากรัฐฉานเลือกเข้ามาอยู่ในภาคเหนือของไทย เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกันทางชาติพันธุ์, วัฒนธรรม และการค้า (หน้า 31) และบริเวณนี้มีผู้อพยพไทยใหญ่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ผู้อพยพรุ่นหลังๆจึงอยู่ร่วมกับชุมชนดั้งเดิมได้อย่างกลมกลืนโดยไม่มีความขัดแย้ง (หน้า 35) ในกลุ่มสังคมย่อยไทยใหญ่ ผู้อพยพจะไม่รู้สึกว่าตนเป็นชนกลุ่มน้อยหรือหวาดวิตกเรื่องการธำรงชาติพันธุ์ ผู้อพยพรายใหม่ๆจะปรับตัวเข้ากับชุมชนไทยใหญ่ได้ง่าย (หน้า 87-88) ในทางกลับกัน ผู้อพยพมีความยากลำบากในการปรับตัวเข้ากับสังคมไทย ที่ถึงแม้จะมีการกลมกลืนทางวัฒนธรรมได้ แต่ก็พบกับอุปสรรคในเชิงโครงสร้าง (หน้า 98) หลังยุค60 รัฐบาลไทยปฏิบัติกับผู้อพยพไทยใหญ่รุ่นหลังในฐานะชนกลุ่มน้อย ที่ไม่ใช่ทั้งผู้ลี้ภัยหรือพลเมือง การขอสัญชาติไทยเป็นไปได้ยาก แต่รัฐบาลก็มิได้กดดันอะไร และชาวไทยใหญ่เองก็มั่นใจว่ารัฐบาลไทยจะไม่ผลักดันพวกเขากลับเข้าประเทศพม่า (หน้า 34-36) แต่หลังปี พ.ศ. 2533 รัฐบาลไทยเข้มงวดมากขึ้นและได้ผลักดันผู้อพยพจำนวนมากกลับเข้าพม่า (หน้า 57) อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลไทยมองผู้อพยพชาวไทยใหญ่ในแง่ลบ เนื่องจากประเด็นปัญหา 2 ข้อได้แก่ 1) การอพยพเข้ามาของกองกำลังไทยใหญ่ที่มีส่วนพัวพันกับการค้าฝิ่นด้วย และ 2) ปัญหาแรงงานเถื่อน (หน้า 2-3, 32) นอกชุมชนไทยใหญ่ ผู้อพยพชาวไทยใหญ่อาจเผชิญกับการเลือกปฏิบัติเมื่อไปพบกับเจ้าหน้าที่ราชการเพื่อออกบัตรสีฟ้าและสีชมพู หรืออาจถูกคนในเมืองมองด้วยสายตาเหยียดหยาม (หน้า 86)

Social Cultural and Identity Change

ชาวไทยใหญ่ในชุมชนเมืองแม่ฮ่องสอนมีความโน้มเอียงมาสู่ความเป็นไทยและโลกทุนนิยมมากขึ้น เนื่องจากกระแสการท่องเที่ยวเฟื่องฟูที่นำพาเอาความเจริญต่างๆเข้ามา อย่างไรก็ตามชาวบ้านในพื้นที่ที่อยู่นอกเขตตัวเมืองและแหล่งท่องเที่ยวยังคงใช้วิถีชีวิตแบบเดิม (หน้า 45) ผู้อพยพไทยใหญ่รุ่นแรกๆที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่นานจนได้สัญชาติและมีที่ดินในครอบครอง มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่ทุนนิยมมากขึ้น กลุ่มคนเหล่านี้มีการศึกษาสูงขึ้น มองหางานที่ดีขึ้น และไปก่อตั้งธุรกิจในจังหวัดอื่นๆ (หน้า 51) บางคนย้ายไปอยู่เชียงใหม่หรือกรุงเทพและเมืองใหญ่ๆเพื่อหางานดีๆ (หน้า 89-90) ปัจจุบันผู้อพยพไทยใหญ่เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการมีสัญชาติไทยของบุตรหลานมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาและการทำงานในประเทศไทย (หน้า 85) สำหรับชาวไทยใหญ่ในแม่ฮ่องสอนที่อยู่มานานจนได้สัญชาติไทย พวกเขาได้ผ่านกระบวนการปลูกฝังความเป็นไทยในระดับหนึ่งโดยผ่านทางการศึกษาในหลักสูตรภาษาไทย การแต่งงานข้ามเชื้อชาติกับคนไทย การรับสื่อไทย การใช้สินค้าไทย ฯลฯ ทำให้ผู้คนเหล่านี้มีความเป็นคนไทยมากขึ้น (หน้า 94)

Other Issues

แนวโน้มที่ผู้อพยพไทยใหญ่จะหลั่งไหลเข้ามาในชุมชนยังไม่มีวี่แววลดลง เนื่องจาก 1) มีการเกื้อหนุนค้ำจุนของเครือข่ายผู้อพยพ และ 2) สถานการณ์ในประเทศพม่ายังไม่ดีขึ้น การเพิ่มจำนวนอย่างฉับพลันของผู้อพยพในยุคหลังๆอาจส่งผลกระทบทั้งทางบวกและลบต่อการอพยพเข้ามาในหมู่บ้าน ในแง่ลบ การกลืนกลายของผู้อพยพจะเป็นไปได้ยากลำบากขึ้น และมีโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งในด้านที่ดินและทรัพยากร รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างผู้ใหญ่บ้านกับรัฐ ผู้อพยพบางส่วนอาจถูกส่งตัวกลับประเทศ ในแง่บวก ผู้อพยพอาจจะได้รับการต้อนรับจากการเข้ามาเป็นแรงงานทดแทน รวมทั้งพระสงฆ์ไทยใหญ่ซึ่งเป็นที่ต้องการของวัดในหมู่บ้านเพื่อการสืบทอดกิจกรรมทางศาสนา (หน้า 103-104) คำถามหลายข้อในการศึกษาปรากฏการณ์การอพยพของชาวไทยใหญ่เพื่อหาทางออกให้กับกรณีปัญหานี้ ไม่สามารถหาคำตอบได้โดยใช้มุมมองของรัฐหรือแง่มุมทางกฎหมายอย่างเดียว แต่ต้องเรียนรู้ผ่านมุมมองของผู้อพยพและมิติทางสังคม (หน้า 104-105)

Map/Illustration

ผู้เขียนได้ใช้แผนภาพอธิบายแนวคิดระบบการอพยพ (หน้า 112) แผนภาพอธิบายรูปแบบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทยใหญ่หลังปี พ.ศ. 2505 (หน้า 113) แผนภาพเครือข่ายทางสังคมของชาวไทยใหญ่ (หน้า 114) แผนภาพพื้นที่ทางสังคมในจังหวัดแม่ฮ่องสอน (หน้า 115) แผนที่แหล่งวิจัย (หน้า 116) แผนที่เส้นทางอพยพในจังหวัดภาคเหนือที่อยู่ใกล้รัฐฉาน (หน้า 117-118) และแผนที่รัฐฉาน (หน้า 119)

Text Analyst อัลเบอท ปอทเจส Date of Report 24 ก.ย. 2567
TAG ไทยใหญ่, การปฏิสัมพันธ์, การตั้งถิ่นฐานของผู้อพยพ, กระบวนการกลืนกลาย, ชายแดนไทย-พม่า, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง