|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทยใหญ่,การปฏิสัมพันธ์,การตั้งถิ่นฐานของผู้อพยพ,กระบวนการกลืนกลาย,ชายแดนไทย-พม่า |
Author |
Ryoko Gaise |
Title |
Tai Yai Migration in the Thai-Burmese Border Area: Its Settlement and Assimilation Process, 1962-1977 |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ไทใหญ่ ไต คนไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
122 |
Year |
2542 |
Source |
สาขาวิชาไทยศึกษา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่าการตั้งถิ่นฐานของผู้อพยพ และกระบวนการกลืนกลายได้รับอิทธิพลอย่างมากจากประวัติศาสตร์และลักษณะเฉพาะของพื้นที่ซึ่งการอพยพได้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ลักษณะเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดเครือข่ายของผู้อพยพ ซึ่งถือเป็นระบบสนับสนุน และผู้ให้ความเห็นอกเห็นใจในสังคมผู้รับ ดังนั้นการตั้งถิ่นฐานและการกลืนกลายในสังคมผู้รับ จึงดำเนินไปได้ด้วยดีกว่ากรณีอื่นๆ ลักษณะเช่นนี้สามารถนำไปสู่การอธิบายการโยกย้ายครั้งต่อไปของผู้อพยพ การรักษาและการสร้างลักษณะของระบบการอพยพในพื้นที่เขตนี้ และเป็นที่ชัดเจนว่าชาวบ้านมองเห็นและสนองตอบต่อการหลั่งไหลเข้ามาของผู้อพยพด้วยทัศนคติที่แตกต่างไปจากรัฐบาลไทย ดังนั้นการศึกษาในครั้งต่อไปที่ควรจะเป็นคือการวิเคราะห์เกี่ยวกับปรากฏการณ์การอพยพจากมุมมองของท้องถิ่น (หน้า iv) |
|
Focus |
สำรวจบริบทท้องถิ่นของการอพยพของชาวไทยใหญ่จากประเทศพม่ามายังจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยการศึกษาว่าชุมชนที่เป็นกลุ่มชนชาติที่มาจากที่อื่นนั้น ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างไรในระดับภูมิภาค (หน้า iv, 5) มุ่งให้ความสนใจกับการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้อพยพกับคนในท้องถิ่นซึ่งแสดงออกมาในการตั้งถิ่นฐานและกระบวนการกลืนกลายของผู้อพยพและเพื่อให้เข้าใจปรากฏการณ์นี้จากมุมมองโดยรวม (หน้า iv, 5-6) |
|
Theoretical Issues |
ในการศึกษาการตั้งถิ่นฐานและกระบวนการกลืนกลายของชุมชนไทยใหญ่นั้น ผู้เขียนได้ใช้แนวคิดดังต่อไปนี้ 1) วิธีระบบการอพยพ (The migration systems) ที่มุ่งเน้นศึกษาวิเคราะห์การอพยพอย่างเป็นระบบทั้งทางฝั่งผู้ให้และผู้รับ ควบคู่ไปกับการปฏิสัมพันธ์ เพื่อเข้าถึงพลวัตของการอพยพ (หน้า 7-8) กระบวนการอพยพของกรณีศึกษานี้เริ่มตั้งแต่บนฝั่งพม่า เมื่อวิถีชีวิตของผู้อพยพถูกทำลายลงจากเหตุการณ์ไม่สงบต่างๆ พวกเขาจึงย้ายเข้ามาอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนบนฝั่งไทยซึ่งมีพื้นที่ทางสังคมเปิดกว้างให้กับชาวไทยใหญ่ ผู้อพยพไทยใหญ่สามารถกลับมาดำเนินวิถีชีวิตปกติได้ และได้ขยายเครือข่ายผ่านทางการปฏิสัมพันธ์ จนผู้อพยพกลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนไทยใหญ่ในแม่ฮ่องสอน (หน้า 100) 2) แนวคิดเครือข่ายทางสังคมของผู้อพยพ (Migrant Network) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการภายใต้ทฤษฎีเครือข่าย โดยในงานชิ้นนี้ได้มุ่งเน้นศึกษาบทบาทหน้าที่ของเครือข่ายที่มีอิทธิพลต่อการอพยพและการตั้งถิ่นฐาน อาทิ ช่วยบรรเทาต้นทุนและอุปสรรคให้กับผู้อพยพ เป็นช่องทางข้อมูลข่าวสาร ทรัพยากร และเป็นโครงสร้างบรรทัดฐานในการตั้งรกรากของผู้อพยพ (หน้า 9-10, 67-68) ซึ่งในงานศึกษาชิ้นนี้พบว่าในกลุ่มผู้อพยพไทยใหญ่มีเครือข่ายอยู่หลายระดับ ได้แก่ เครือญาติ, เพื่อนบ้าน, เพื่อนฝูง, และเพื่อนร่วมงาน ทั้งนี้การปฏิสัมพันธ์กันข้ามเครือข่าย การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และการอำนวยความสะดวก เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมการขยายตัวของเครือข่ายทั้งหมดและมีผลต่อการตัดสินใจของผู้อพยพ (หน้า 68-79) 3) กระบวนการกลืนกลาย (Assimilation Process) ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 7 ระดับ (หน้า 80-81) ผู้เขียนได้ทำการวิเคราะห์เอาไว้ 2 ระดับคือ 1) การกลืนกลายในระดับวัฒนธรรม และ 2) การกลืนกลายในระดับโครงสร้าง ซึ่งในระดับแรกนั้น ผู้อพยพไทยใหญ่ในแม่ฮ่องสอนปรับตัวได้โดยง่ายเนื่องจากความรู้สึกร่วมในเชิงชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และภาษา ขณะที่ในระดับที่สองนั้น ผู้อพยพไทยใหญ่รุ่นหลังประสบปัญหา เนื่องจากข้อจำกัดในเชิงกฎหมายและสถาบัน (หน้า 82-86) 4) การวิเคราะห์ผู้อพยพ (Analysis of refugees) ซึ่งผู้อพยพได้ย้ายเข้าไปอยู่ในประเทศหนึ่งๆเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตนไม่สามารถกระทำได้ในถิ่นกำเนิด สำหรับผู้อพยพไทยใหญ่นั้น ตอนอยู่ในพม่าพวกเขาได้ถูกทำลายวิถีชีวิตทั้งในแง่เศรษฐกิจ สังคม และเสี่ยงภยันตราย เป้าหมายหลักของพวกเขาในการย้ายเข้ามาอยู่ประเทศไทย คือการอยู่รอด การฟื้นฟูวิถีชีวิตเบื้องต้น เช่น สามารถทำการเกษตรได้ ไปวัดได้ และพวกเขาบรรลุเป้าหมายเหล่านั้นได้ด้วยการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อาศัยคนอื่นๆ พัฒนาเครือข่าย และกลายเป็นสมาชิกของชุมชนนั้นๆ แต่สำหรับเป้าหมายอื่นๆที่อยู่สูงขึ้นไปถือเป็นเรื่องรอง เนื่องจากข้อจำกัดในการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยในระดับทางการ (หน้า 88-89, 99-100) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทใหญ่ (Tai Yai) หรือที่ต่างชาติเรียกกันว่า ฉาน (Shan) ซึ่งเป็นชาติพันธุ์หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ไท ที่อาศัยอยู่ในหลายๆพื้นที่ อาทิ มณฑลยูนนานในจีนใต้ รัฐฉานในพม่า และภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน แม้ชาวไทยใหญ่จะมีการกระจายประชากรอย่างกว้างขวาง แต่ก็เป็นเพียงชนกลุ่มน้อยในประเทศเหล่านั้น (หน้า 2, 102) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาของชาวไทยใหญ่อยู่ในตระกูลภาษาไต ที่คนไทยโดยทั่วไปฟังไม่รู้เรื่อง แต่คนที่พูดภาษาคำเมืองได้จะพอฟังออกบ้าง (หน้า 2) ภาษาไทยใหญ่เป็นภาษาหลักที่ใช้ในชีวิตประจำวันในแม่ฮ่องสอน ภาษาคำเมืองใช้สำหรับการสื่อสารในวงกว้างขึ้น และภาษาไทยกลางใช้ในการติดต่อราชการ การศึกษา และในสื่อ ซึ่งผู้อพยพไทยใหญ่จำนวนมากไม่มีปัญหากับเรื่องดังกล่าว เนื่องจากภาษาทั้งสามมีความคล้ายคลึงกัน (หน้า 82) ผู้อพยพไทยใหญ่อาจพูดภาษาไทยกลางไม่คล่องแต่ก็เข้าใจได้ดี เพราะพวกเขาได้รับสื่อจากทีวีไทย เนื้อหาจากละครไทยซึ่งเป็นที่นิยมได้กลายเป็นประเด็นสนทนา และพวกเขายังชอบฟังและร้องเพลงไทยด้วย นอกจากนี้เด็กๆยังได้เรียนภาษาไทยที่โรงเรียน (หน้า 82) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่างเดือนมกราคม-ธันวาคม พ.ศ. 2542 |
|
History of the Group and Community |
ว่ากันว่าผู้ที่มาตั้งรกรากเป็นกลุ่มแรกๆในจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นชาวกะเหรี่ยงและชาวไทยใหญ่ในลุ่มน้ำสาละวิน ประเทศพม่า โดยก่อนปี พ.ศ. 2374 ได้มีชาวไทยใหญ่จากรัฐฉานเข้ามาบุกเบิกตั้งรกรากและถางป่าเพื่อทำการเพาะปลูกในพื้นที่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน (หน้า 46-48) ราว 170 ปีก่อนได้มีการจัดตั้งหมู่บ้านของชาวไทยใหญ่ขึ้นเป็นแห่งแรกในจังหวัดแม่ฮ่องสอน นั่นคือบ้านปางหมู โดยในปี พ.ศ. 2374 พระยาเชียงใหม่ฯมีบัญชาให้เจ้าแก้วเมืองมาออกไปสำรวจดินแดนหัวเมืองทางตะวันตกของเชียงใหม่ที่เป็นจังหวัดแม่ฮ่องสอนในปัจจุบัน คณะสำรวจได้ผ่านแม่น้ำปายจนมาพบลุ่มแม่น้ำใหญ่ที่มีทำเลดีเหมาะแก่การตั้งหมู่บ้าน เจ้าแก้วเมืองมาได้รวบรวมชาวไทยใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่แถวนั้นให้มาอยู่รวมกัน และได้แต่งตั้งให้นายพะก่าหม่องคนไทยใหญ่เป็นนายบ้าน หลังจากก่อตั้งบ้านปางหมูแล้ว เจ้าแก้วเมืองมาได้ออกไปสำรวจอีกครั้งและพบลุ่มแม่น้ำแห่งใหม่ จึงได้ตั้งหมู่บ้านขึ้นมาอีกแห่ง ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของตัวเมืองแม่ฮ่องสอน (หน้า 40) กลางศตวรรษที่19 ในยุคที่ธุรกิจค้าไม้ในแม่ฮ่องสอนเฟื่องฟู (ราวปี พ.ศ. 2390-2420) บริษัทอังกฤษได้นำเอาแรงงานต่างด้าวเข้ามาด้วยรวมทั้งแรงงานชาวไทยใหญ่ และในช่วงเดียวกันได้เกิดความขัดแย้งขึ้นในหมู่เจ้าฟ้าของรัฐฉาน เจ้าฟ้าโกหล่านแห่งเมืองหมอกใหม่ได้นำไพร่พลชาวไทยใหญ่หนีภัยสงครามเข้ามาและมีส่วนร่วมในการก่อตั้งเมืองแม่ร่องสอน หรืออำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนในปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ. 2417 (หน้า 42) ในช่วงปี พ.ศ. 2505-2540 มีการอพยพหลั่งไหลของชาวไทยใหญ่จากรัฐฉานเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง (หน้า 1, 31) ในประเทศพม่านับจากการรัฐประหารของนายพลเนวินเมื่อปีพ.ศ. 2505 รัฐบาลทหารได้กดขี่ข่มเห่งชนกลุ่มน้อยรวมทั้งชาวไทยใหญ่ด้วย ภัยสงครามและความยากจนข้นแค้นได้ผลักดันให้ชาวไทยใหญ่จำนวนมากอพยพไปยังประเทศใกล้เคียง (หน้า 18-26) |
|
Settlement Pattern |
ผู้อพยพชาวไทยใหญ่อาศัยอยู่ตามหุบเขาและมีชุมชนที่ค่อนข้างเหนียวแน่น (หน้า 102) เดิมทีชาวไทยใหญ่ในแม่ฮ่องสอนอาศัยอยู่ตามหุบเขา โดยมักจะพบการตั้งถิ่นฐานของชุมชนไทยใหญ่บนพื้นที่ราบหรือตามชายเขา อย่างเช่นในตำบลป่าโปง, ตำบลหมอกจำแป่, ตำบลห้วยผา แต่เมื่อมีผู้อพยพหลั่งไหลเข้ามามากขึ้น พื้นที่ราบมีเหลือน้อยลง และนั่นทำให้ชาวไทยใหญ่ย้ายขึ้นไปอยู่บนเนินเขาและภูเขากันมากขึ้น ผู้อพยพไทยใหญ่ที่มาใหม่จำนวนมากอาศัยอยู่ในพื้นที่ถัดจากชาวเขาเผ่าต่างๆ จนทำให้บางคนเข้าใจผิดว่าชาวไทยใหญ่เป็นชาวเขา (หน้า 64) รูปแบบการก่อตั้งชุมชนของผู้อพยพชาวไทยใหญ่หลังปี พ.ศ. 2505 ขึ้นอยู่กับแหล่งที่พักอาศัย, จำนวนเวลาที่อยู่ในประเทศไทย, ช่วงเวลาเข้าประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือความสัมพันธ์กับชาวบ้านในท้องถิ่น โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบหลักๆได้แก่ 1) ที่อาศัยของผู้อพยพตั้งอยู่ในใจกลางชุมชนเดิม ซึ่งผู้อาศัยเดิมส่วนใหญ่เป็นชาวไทยใหญ่ที่อพยพเข้ามาก่อนปี พ.ศ. 2505 กับลูกหลาน และ 2) ที่อาศัยของผู้อพยพที่ตั้งอยู่ในชุมชนใหม่ที่แยกตัวออกมาจากบริเวณเดิม (หน้า 61-62, 97) ผู้อพยพราว 70% อาศัยอยู่กับเครือญาติ และ 30% อาศัยอยู่กับเพื่อนๆ (หน้า 63) |
|
Demography |
ชุมชนไทยใหญ่ในพื้นที่วิจัย มีประชากร 232 ครัวเรือนอาศัยอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปาย (ก.ค. 2542) 165 ครัวเรือนมีสัญชาติไทย แต่อีก 67 ครัวเรือนยังไม่มีสัญชาติไทย ครอบครัวส่วนใหญ่ที่ไม่มีสัญชาติไทยเป็นผู้อพยพชาวไทยใหญ่ที่มาจากทางฝั่งชายแดนพม่า และมี 3 ครัวเรือนที่เป็นผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง โดยหมู่บ้านส่วนใหญ่ในตำบลปางหมูจะมีประชากรชาวไทยใหญ่ (หน้า 12) |
|
Economy |
ผู้อพยพส่วนใหญ่ยึดอาชีพเกษตรกร ปลูกข้าวและพืชผลอื่นๆบนที่ดินของตน บ้างเช่าที่ดินจากคนอื่น และทำธุรกิจอย่างอื่นไปด้วย ปัจจุบันแนวทางเศรษฐกิจของพวกเค้าเริ่มเปลี่ยนผันจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมทุนนิยมมากขึ้น (หน้า 51) ผู้อพยพไทยใหญ่ที่ไร้สัญชาติไทย ถ้าเช่าที่ดินจากคนอื่นได้จะทำการเพาะปลูกข้าว, กระเทียม, ถั่ว และอื่นๆ แต่ก็ต้องกังวลเรื่องค่าเช่าที่อาจจะชำระด้วยเงินสดหรือพืชผลที่เก็บเกี่ยวได้ บ้างเลี้ยงสัตว์ ที่นิยมมากคือสุกร นอกจากนั้นก็ต้องไปเป็นลูกจ้างในไร่นา คนงานก่อสร้าง หรือแรงงานในเมือง ค่าจ้างเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 50-80 บาท (หน้า 58) มีการค้าชายแดนระหว่างไทย-พม่ามาตั้งแต่ก่อนการอพยพครั้งใหญ่ในปีพ.ศ. 2505 โดยส่วนใหญ่เป็นการค้าขายระดับเล็กๆ ที่ชาวบ้านทั่วไปก็มีสิทธิจะเป็นพ่อค้าชายแดนได้ สินค้าที่ค้าขายกันได้แก่ วัวควาย, ของป่า, สินค้าจากพม่าเช่น รองเท้าแตะ, เสื้อผ้า, หมวก และยา พ่อค้าเหล่านี้เก็บสินค้าไว้ในพม่า ขนมาขายที่แม่ฮ่องสอนโดยพำนักอยู่ที่บ้านเพื่อหรือคู่ค้า เสร็จแล้วจึงกลับบ้าน (หน้า 76) |
|
Social Organization |
ในชุมชนไทยใหญ่มีองค์กรทางสังคมทั้งที่เป็นกลุ่มทางการ, กลุ่มกึ่งทางการ และเครือข่ายอิสระที่กระจัดกระจายไปทั่ว โดยในหมู่บ้านวิจัยมีองค์กรทางสังคมชื่อ พลังใหม่ ที่ให้การดูแลช่วยเหลือผู้อพยพที่ไม่มีสัญชาติไทย (หน้า 65-66) มีการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้อพยพกับเจ้าบ้านผ่านทางกิจกรรมต่างๆ เช่น พิธีทางศาสนา การลงแรงก่อสร้างถนนและสะพานในชุมชน ทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน และก่อให้เกิดเป็นกลุ่มกึ่งทางการขึ้นมา (หน้า 66-67) มีเครือข่ายทางสังคมในหลายระดับ ทั้งเครือญาติ, เพื่อนบ้าน, เพื่อนร่วมงาน, เพื่อนฝูง (หน้า 68-71) และมีโอกาสที่เครือข่ายโดยรวมจะขยายใหญ่ขึ้นผ่านทางการปฏิสัมพันธ์ข้ามเครือข่ายหลวมๆเหล่านั้น เช่น โดยผ่านทางการพบปะเยี่ยมเยือน หรือการทำกิจกรรมร่วมกัน (หน้า 71) และเครือข่ายเหล่านั้นไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในหมู่บ้าน แต่แผ่ขยายไปนอกเขตหมู่บ้านด้วย ตัวอย่างเช่น ผู้อพยพไทยใหญ่ที่ไปทำงานในเชียงใหม่หรือกรุงเทพได้สร้างเครือข่ายไว้ที่นั่น ทำให้มีคนย้ายตามกันไปหางานทำ (หน้า 72) มีการสร้างค่านิยม ความเป็นเรา ในชุมชนไทยใหญ่ ด้วยความรู้สึกเชื่อมโยงที่ว่าเป็นคนเชื้อชาติเดียวกัน มีรากวัฒนธรรมเหมือนกัน ใช้ภาษาเดียวกัน ซึ่งนี่เป็นพื้นที่เฉพาะทางสังคมของชาวไทยใหญ่ที่ทำหน้าที่ผสมผสานกลมกลืนชาวไทยใหญ่เข้าด้วยกัน ทั้งกับคนในชุมชนเดิมและผู้อพยพที่มาใหม่ (หน้า 74-79, 97-98) ภายใต้ความเป็นเรานี้ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจกัน จนนำไปสู่การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (หน้า 95) เป็นสังคมที่ ชายเป็นใหญ่ ตามคติพุทธ โดยผู้ชายจะเป็นคนออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ส่วนผู้หญิงจะต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ดังนั้นผู้หญิงจะเป็นแกนกลางในเครือข่ายเพื่อนบ้าน ขณะที่ผู้ชายจะเป็นแกนกลางในเครือข่ายเพื่อนร่วมงาน (หน้า 71) |
|
Political Organization |
ผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่างสูงในการปกครองชุมชนไทยใหญ่ โดยแนวนโยบายของผู้ใหญ่บ้านจะมีผลกระทบต่อทัศนคติของชาวบ้านที่มีต่อผู้อพยพ ซึ่งในชุมชนวิจัย ผู้ใหญ่บ้านได้ดำเนินนโยบายตามหลักสิทธิมนุษยชนและพยายามที่จะไม่เลือกปฏิบัติ และนั่นทำให้ชุมชนมีความสัมพันธ์อันดี (หน้า 13-14) ผู้ใหญ่บ้านในชุมชนวิจัยเป็นผู้มีอำนาจในการจัดสรรที่ดินให้แก่ผู้อพยพไทยใหญ่ที่มาใหม่ได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัย (หน้า 63-64) ในทางกลับกันพบว่านอกเขตวิจัย มีผู้ใหญ่บ้านบางคนที่ฉวยโอกาสเรียกเก็บสินบนจากผู้อพยพที่อยู่ในฐานะคนผิดกฎหมาย (หน้า 98) ผู้อพยพไทยใหญ่รุ่นก่อนๆที่เข้ามาอยู่ในชุมชนนานแล้ว มีแนวโน้มที่จะได้ครอบครองตำแหน่งผู้นำในชุมชน เช่น ผู้ใหญ่บ้าน, กำนัน และอื่นๆ ขณะที่เจ้าฟ้าและทายาทที่อพยพมาจากรัฐฉานยังธำรงไว้ซึ่งศักดิ์และสถานะทางสังคมที่สูงกว่า (หน้า 50) |
|
Belief System |
ชาวไทยใหญ่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท (หน้า 102) ในชุมชนมีพิธีกรรมต่างๆ เช่น งานวัดประจำปี พิธีบวชเณร การก่อเจดีย์ทราย การทำบุญในโอกาสต่างๆ (หน้า 66, 83) |
|
Education and Socialization |
ลูกหลานของผู้อพยพไทยใหญ่ที่ไม่มีสัญชาติไทยสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนของไทยได้เช่นเดียวกับเด็กเชื้อสายไทยใหญ่ที่ถือสัญชาติไทย แต่เมื่อจบการศึกษาแล้วจะไม่ได้รับใบประกาศนียบัตร และไม่สามารถศึกษาต่อได้เนื่องจากอุปสรรคทางการเงินและกฎหมาย (หน้า 58) ในชุมชนมีการพยายามรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไทยใหญ่ผ่านทางการจัดเทศกาลต่างๆ ซึ่งจะมีการแสดงรำสิงโต ดนตรีไทยใหญ่ โดยผู้แสดงจำนวนมากเป็นผู้อพยพชาวไทยใหญ่ ซึ่งนอกจากจะเป็นการรักษาวัฒนธรรมแล้ว ยังเป็นการกระชับไมตรีระหว่างเจ้าบ้านกับผู้อพยพอีกด้วย (หน้า 83) |
|
Health and Medicine |
ผู้อพยพไทยใหญ่สามารถเข้ารับการรักษาได้ที่สถานีอนามัยในตำบลและโรงพยาบาลในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน นอกจากนี้ยังไปรักษาได้ตามสถานพยาบาลในเขตชายแดนที่มีผู้อพยพเยอะๆ เช่นในจังหวัดตาก เชียงใหม่ และราชบุรี ที่ให้บริการตามหลักสิทธิมนุษยชน (หน้า 59) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ปัจจุบันเรายังสามารถพบเห็นเอกลักษณ์ของไทยใหญ่ได้ในสถาปัตยกรรม, เครื่องแต่งกาย, พิธีกรรม และอาหาร ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอนและตามหมู่บ้าน ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากทางพม่ามากกว่าไทย (หน้า 46) ผู้อพยพชาวไทยใหญ่แต่งกายเหมือนๆกันกับเจ้าบ้านในแม่ฮ่องสอน แต่ปัจจุบันวัยรุ่นส่วนใหญ่นิยมแต่งกายตามแบบตะวันตก (หน้า 82) |
|
Folklore |
ผู้เขียนได้ยกตอนหนึ่งจากงานศึกษาของ Nancy Eberhardt ที่กล่าวถึงแนวคิดชายเป็นใหญ่ตามคติพุทธดังนี้ ชาวไทยใหญ่รับรู้ว่าผู้หญิงอยู่ในฐานะที่ต้อยต่ำกว่าผู้ชาย... การเกิดเป็นหญิงแสดงว่าชาติที่แล้วได้ทำบุญมาน้อยกว่า... ผู้หญิงอ่อนแอและถูกครอบงำได้ง่าย... ดังนั้นผู้หญิงต้องการคู่ครองที่จะมาเป็นผู้คุ้มกัน และควรเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน (หน้า 71) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์ของไทยใหญ่กับพม่า ตั้งแต่ยุค 60 (ราวปี พ.ศ. 2500) รัฐบาลทหารพม่าได้เปลี่ยนระบอบการปกครองจากสหพันธรัฐมาเป็นรัฐเดี่ยว โดยรวบอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง ผลักดันการสร้างชาติพม่าให้เป็นหนึ่งเดียว และปราบปรามชนกลุ่มน้อย นอกจากนี้ภายใต้แนวทางสู่สังคมนิยม ได้มีการกีดกันทางวัฒนธรรม รวมทั้งห้ามเผยแพร่หนังสือพิมพ์ที่ใช้ภาษาชนกลุ่มน้อยด้วย ชนกลุ่มน้อยตกอยู่ในสถานะพลเมืองชั้นสอง (หน้า 27-29) รัฐฉานมีการเคลื่อนไหวทั้งในรูปของขบวนการชาตินิยมและกองกำลังต่อต้านรัฐบาลทหารของพม่า ทั้งสองฝ่ายมีการปะทะกันตลอด ชาวบ้านไทยใหญ่ถูกทหารข่มเหงรังแกและปล้นสะดม จนหลายคนตัดสินใจอพยพหนี (หน้า 30-31) และผู้อพยพส่วนใหญ่ไม่ต้องการกลับไปประเทศพม่า (หน้า 59) ความสัมพันธ์ของไทยใหญ่กับไทย สาเหตุหนึ่งที่ผู้อพยพไทยใหญ่จากรัฐฉานเลือกเข้ามาอยู่ในภาคเหนือของไทย เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกันทางชาติพันธุ์, วัฒนธรรม และการค้า (หน้า 31) และบริเวณนี้มีผู้อพยพไทยใหญ่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ผู้อพยพรุ่นหลังๆจึงอยู่ร่วมกับชุมชนดั้งเดิมได้อย่างกลมกลืนโดยไม่มีความขัดแย้ง (หน้า 35) ในกลุ่มสังคมย่อยไทยใหญ่ ผู้อพยพจะไม่รู้สึกว่าตนเป็นชนกลุ่มน้อยหรือหวาดวิตกเรื่องการธำรงชาติพันธุ์ ผู้อพยพรายใหม่ๆจะปรับตัวเข้ากับชุมชนไทยใหญ่ได้ง่าย (หน้า 87-88) ในทางกลับกัน ผู้อพยพมีความยากลำบากในการปรับตัวเข้ากับสังคมไทย ที่ถึงแม้จะมีการกลมกลืนทางวัฒนธรรมได้ แต่ก็พบกับอุปสรรคในเชิงโครงสร้าง (หน้า 98) หลังยุค60 รัฐบาลไทยปฏิบัติกับผู้อพยพไทยใหญ่รุ่นหลังในฐานะชนกลุ่มน้อย ที่ไม่ใช่ทั้งผู้ลี้ภัยหรือพลเมือง การขอสัญชาติไทยเป็นไปได้ยาก แต่รัฐบาลก็มิได้กดดันอะไร และชาวไทยใหญ่เองก็มั่นใจว่ารัฐบาลไทยจะไม่ผลักดันพวกเขากลับเข้าประเทศพม่า (หน้า 34-36) แต่หลังปี พ.ศ. 2533 รัฐบาลไทยเข้มงวดมากขึ้นและได้ผลักดันผู้อพยพจำนวนมากกลับเข้าพม่า (หน้า 57) อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลไทยมองผู้อพยพชาวไทยใหญ่ในแง่ลบ เนื่องจากประเด็นปัญหา 2 ข้อได้แก่ 1) การอพยพเข้ามาของกองกำลังไทยใหญ่ที่มีส่วนพัวพันกับการค้าฝิ่นด้วย และ 2) ปัญหาแรงงานเถื่อน (หน้า 2-3, 32) นอกชุมชนไทยใหญ่ ผู้อพยพชาวไทยใหญ่อาจเผชิญกับการเลือกปฏิบัติเมื่อไปพบกับเจ้าหน้าที่ราชการเพื่อออกบัตรสีฟ้าและสีชมพู หรืออาจถูกคนในเมืองมองด้วยสายตาเหยียดหยาม (หน้า 86) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ชาวไทยใหญ่ในชุมชนเมืองแม่ฮ่องสอนมีความโน้มเอียงมาสู่ความเป็นไทยและโลกทุนนิยมมากขึ้น เนื่องจากกระแสการท่องเที่ยวเฟื่องฟูที่นำพาเอาความเจริญต่างๆเข้ามา อย่างไรก็ตามชาวบ้านในพื้นที่ที่อยู่นอกเขตตัวเมืองและแหล่งท่องเที่ยวยังคงใช้วิถีชีวิตแบบเดิม (หน้า 45) ผู้อพยพไทยใหญ่รุ่นแรกๆที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่นานจนได้สัญชาติและมีที่ดินในครอบครอง มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่ทุนนิยมมากขึ้น กลุ่มคนเหล่านี้มีการศึกษาสูงขึ้น มองหางานที่ดีขึ้น และไปก่อตั้งธุรกิจในจังหวัดอื่นๆ (หน้า 51) บางคนย้ายไปอยู่เชียงใหม่หรือกรุงเทพและเมืองใหญ่ๆเพื่อหางานดีๆ (หน้า 89-90) ปัจจุบันผู้อพยพไทยใหญ่เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการมีสัญชาติไทยของบุตรหลานมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาและการทำงานในประเทศไทย (หน้า 85) สำหรับชาวไทยใหญ่ในแม่ฮ่องสอนที่อยู่มานานจนได้สัญชาติไทย พวกเขาได้ผ่านกระบวนการปลูกฝังความเป็นไทยในระดับหนึ่งโดยผ่านทางการศึกษาในหลักสูตรภาษาไทย การแต่งงานข้ามเชื้อชาติกับคนไทย การรับสื่อไทย การใช้สินค้าไทย ฯลฯ ทำให้ผู้คนเหล่านี้มีความเป็นคนไทยมากขึ้น (หน้า 94) |
|
Other Issues |
แนวโน้มที่ผู้อพยพไทยใหญ่จะหลั่งไหลเข้ามาในชุมชนยังไม่มีวี่แววลดลง เนื่องจาก 1) มีการเกื้อหนุนค้ำจุนของเครือข่ายผู้อพยพ และ 2) สถานการณ์ในประเทศพม่ายังไม่ดีขึ้น การเพิ่มจำนวนอย่างฉับพลันของผู้อพยพในยุคหลังๆอาจส่งผลกระทบทั้งทางบวกและลบต่อการอพยพเข้ามาในหมู่บ้าน ในแง่ลบ การกลืนกลายของผู้อพยพจะเป็นไปได้ยากลำบากขึ้น และมีโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งในด้านที่ดินและทรัพยากร รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างผู้ใหญ่บ้านกับรัฐ ผู้อพยพบางส่วนอาจถูกส่งตัวกลับประเทศ ในแง่บวก ผู้อพยพอาจจะได้รับการต้อนรับจากการเข้ามาเป็นแรงงานทดแทน รวมทั้งพระสงฆ์ไทยใหญ่ซึ่งเป็นที่ต้องการของวัดในหมู่บ้านเพื่อการสืบทอดกิจกรรมทางศาสนา (หน้า 103-104) คำถามหลายข้อในการศึกษาปรากฏการณ์การอพยพของชาวไทยใหญ่เพื่อหาทางออกให้กับกรณีปัญหานี้ ไม่สามารถหาคำตอบได้โดยใช้มุมมองของรัฐหรือแง่มุมทางกฎหมายอย่างเดียว แต่ต้องเรียนรู้ผ่านมุมมองของผู้อพยพและมิติทางสังคม (หน้า 104-105) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้แผนภาพอธิบายแนวคิดระบบการอพยพ (หน้า 112) แผนภาพอธิบายรูปแบบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทยใหญ่หลังปี พ.ศ. 2505 (หน้า 113) แผนภาพเครือข่ายทางสังคมของชาวไทยใหญ่ (หน้า 114) แผนภาพพื้นที่ทางสังคมในจังหวัดแม่ฮ่องสอน (หน้า 115) แผนที่แหล่งวิจัย (หน้า 116) แผนที่เส้นทางอพยพในจังหวัดภาคเหนือที่อยู่ใกล้รัฐฉาน (หน้า 117-118) และแผนที่รัฐฉาน (หน้า 119) |
|
|