สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลีซู,การรักษาพยาบาล,หมอพื้นบ้าน,ภาคเหนือของประเทศไทย
Author ทวิช จตุวรพฤกษ์
Title กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง การรักษาเยียวยา ผู้คน ชุมชน และสภาพสิ่งแวดล้อม(ลีซู)
Document Type ร่างรายงานผลการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลีซู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) Total Pages 33 Year 2545
Source สถาบันวิจัยชาวเขา ปีที่ 20 ฉบับที่1/2545 กรมประชาสงเคราห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
Abstract

ลีซู เชื่อวาสาเหตุความเจ็บป่วยเกิดจากอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจเหนือธรรมชาติ และอำนาจเร้นลับ ที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่างๆ การบำบัดรักษาประกอบด้วยการประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้ พิธีเรียกขวัญ และการใช้ยาสมุนไพร ซึ่งบางครั้งอาจจะใช้ควบคู่กัน หากสาเหตุการเจ็บป่วยเกิดจากธรรมชาติจะใช้ยาสมุนไพรในการรักษา แต่หากเกิดจากสาเหตุอำนาจเหนือธรรมชาติสมาชิกในชุมชนจะมีความรู้สึกร่วมกันเพราะเกรงว่าจะลุกลามในระดับชุมชน สมาชิกในครอบครัวและชุมชนจะเป็นผู้ให้ความดูแลเอาใจใส่ ให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย

Focus

กระบวนการรักษาพยาบาลแบบพื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธ์บนที่สูง ที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบนิเวศวิทยา

Theoretical Issues

ไม่ปรากฏ

Ethnic Group in the Focus

ลีซู คำว่า "ลี"  มาจาก "อี๊หล" หมายถึง "ฮีตคอง" ในภาษาถิ่นเหนือ หรือ "จารีตประเพณี" ในภาษาไทย คำว่า "ซู" หมายถึง "คน" ลีซูจึงหมายถึงกลุ่มคนที่มีเกณฑ์คุณค่า ประเพณีเป็นของตัวเอง และรักอิสระ (หน้า 101)

Language and Linguistic Affiliations

ลีซู มีภาษาพูดเป็นของตัวเอง แต่บางครั้งสามารถพูดภาษาอื่นๆ ได้ เช่น ภาษาจีนยูนนาน(จีนฮ่อ) ไต(ไทใหญ่) มูเซอ อีก้อ รวมถึงภาษาไทยพื้นเมืองเหนือหรือคำเมือง (หน้า 105)

Study Period (Data Collection)

ไม่ปรากฏ

History of the Group and Community

ลีซู เคลื่อนย้ายมาสูประเทศไทยช่วงแรกประมาณปี พ.ศ.2464-2505) (หน้า 108)

Settlement Pattern

ลีซู จำแนกพื้นที่บนภูเขาเป็น 2 แบบคือ 1) พื้นที่ร้อน(ลูหมึ่น) อยู่บริเวณไหล่เขา มีฝนตกน้อย อุณหภูมิสูง จะมีพืชจำพวกต้นสน ไผ่ และต้นก่อ สามารถปลูกฝิ่น ท้อ กาแฟ ข้าวโพด มันฝรั่ง(อาลู)ได้ดี นิยมสำหรับปลูกบ้านแบบยกพื้น 2) พื้นที่เย็น(ยาหมึ่ว) อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,000 -1,500 เมตร มีฝนตกตลอดปี มีพรรณไม้ปกคลุมจำนวนมาก มีอากาศชื้น เหมาะสำหรับทำสวนฝิ่นและพืชเมืองหนาว นิยมสำหรับปลูกบ้านแบบคร่อมดิน ลีซูนิยมสร้างบ้านเรือนบริเวณกึ่งกลางระหว่างพื้นที่ร้อนและพื้นที่เย็น ซึ่งจะมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 700-1,200 เมตร โดยใช้ต้นไผ่ในการปลูกสร้าง (หน้า105-106)

Demography

ไม่ปรากฏ

Economy

ลีซู มีการทำไร่หมุ่นเวียนแบบย้ายที่ เนื่องจากต้องการให้ทรัพยาการได้เกิดการฟื้นตัวและรักษาระยะห่างจากศูนย์ฯ อำนาจต่างๆ ลีซูทำการผลิตเพื่อการยังชีพ นำส่วนเกินจากครัวเรือนแลกเปลี่ยนกับของมีค่าหรือสะสม (หน้า102-103) พืชที่ลีซูนิยมปลูกได้แก่ ข้าวไร่ ข้าวโพด ฝิ่น ข้างฟ่าง พริก ผักกาด ถั่ว ฟัก เผือก มะเขือเทศ มันฝรั่ง มันเทศ งา แตงกวา ฯลฯ พื้นที่ปลูกมักเป็นพื้นที่ที่มีความลาดชัน มีการเลือกพื้นที่ให้เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด ในช่วงแรกที่เข้ามาในประเทศไทยลีซูทำไร่บนภูเขาแบบย้ายที่เพราะพื้นที่อุดมสมบูรณ์ โดย 3-8 ปีจะย้ายไปที่ใหม่ทั้งหมู่บ้าน ต่อมาเมื่อประชากรเพิ่มขึ้น มีการควบคุมการใช้ทรัพยากรของรัฐ การจัดระเบียบชุมชนบนภูเขาของรัฐ ส่งเสริมการเกษตรถาวร ทำให้เกิดการเปลี่ยนระบบการผลิต มีการเพิ่งพาปัจจัยการผลิตใหม่ๆ เช่น รถไถ ปุ๋ย ระบบตลาดภายนอก (หน้า 107-110)

Social Organization

ไม่ปรากฏ

Political Organization

ไม่ปรากฏ

Belief System

ลีซู ลีซูเชื่อว่า "หวู่ซา" เป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งบนโลก (หน้า 117) และมองว่าสถานภาพของคนมี 2 ประการคือ 1) พละกำลัง(มี้) ที่ได้จากหวู่ซาโดยกำเนิดแต่ละคนได้รับเหมือนกันแต่ไม่เท่ากัน ทำให้รูปร่างหน้าตา ชะตากรรมต่างกัน 2) ศักยภาพการจัดการหรือ "โดะ" คือความสามารถ ความสร้างสรรค์ในการผลิต โดยคนจะต้องมีคุณค่าแก่การยกย่อง ซึ่งมาจากการกระทำในชีวิต(หน้า 103-104) ลีซูจำแนกพื้นที่โดยใช้ความเชื่อเรื่องผีออกเป็น 2 ประเภทคือ 1) เขตบ้าน ทั้งที่เป็นพื้นที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านเรือน พื้นที่ฝังศพ มีผีเสื้อบ้านที่สถิตในอาปาหมุฮี(ผู้ชายสูงอายุในบ้าน) หรือศาลผีปูตาคอยคุ้มครอง และพื้นที่ที่ไม่อยู่อาศัยคือพื้นที่ทำกินและเดินทาง 2) เขตป่า เป็นที่ที่ไม่มีใครถือครอง หรือปรับใช้ประโยชน์ รวมถึงแหล่งน้าตามธรรมชาติ(หน้า106)

Education and Socialization

ลีซู ความรู้เรื่องการใช้ยาสมุนไพร จะเกิดจากการฝึกฝนเรียนรู้จากหมอยาอย่างอุตสาหะ เพื่อจะเป็นผระโยชน์ในการดูแลรักษาคนในเครือญาติและช่วยเหลือผู้อื่น การถ่ายทอดมี 3 กรณีคือ 1) การท่ายทอดอย่างเป็นระบบ โดยหมอยาเป็นผู้เลือกผู้สืบทอด โดยเลือกจากในเครือญาติก่อน 2) การถ่ายทอดกับผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3) ถ่ายทอดสู่คนนอกทั่วไป โดยต้องจ่ายค่าผีครูเป็นการตอบแทน แต่ในปัจจุบันไม่นิยมถ่ายทอดให้คนนอกเครือญาติ เพราะไม่คุ้มค่ากับความยากลำบากในการถ่ายทอดกับค่ายกครูซึ่งไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ และบางตัวยาเป็นสูตรที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากสายตระกูล การเป็นหมอยาจะต้องมีความตั้งใจ สติปัญญา จิตใจดี ไม่มีความละโมบ และผู้ที่จะผ่านการเป็นหมอยาที่สมบูรณ์จะต้องทำพิธีตั้งหิ้งบูชาผีครู ข้อห้ามจรรยาบรรณของหมอยาคือ 1) รักษาผู้ป่วยทุกคนอย่างเสมอภาค โดยใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ 2) ไม่เรียกร้องค่ารักษาเกินความเป็นจริง ที่ถูกกำหนดตายตัวมาจากผีครูแต่เดิม 3) ไม่บอกตำรายาหรือตัวยาแก่คนอื่นอย่างพร่ำเพรื่อ 4) ต้องหาผู้สืบทอดไม่ให้ความรู้สูญหายไป (หน้า 122-126)

Health and Medicine

ลีซู ความเจ็บป่วยคือ "นาเผือะ" เจ็บปวดหรือไม่สบายที่ต้องรักษาคือ "นา" อาการไม่สบายเล็กน้อยคือ "อิ๊เคือ" โดยลีซู จำแนกความเจ็บป่วยเป็น 3 ประเภท คือ 1) ชนิดที่รักษาก็ตายไม่รักษาก็ตาย 2) ถ้ารักษาอาจจะหายไม่รักษาจะตาย 3) รักษาก็หายไม่รักษาก็หาย แต่หากแบ่งตามสาเหตุและวิธีการรักษาได้เป็น 2 ประเภทคือ 1)เจ็บป่วยด้วยสาเหตุธรรมชาติ ใช้ยาสมุนไพรรักษา 2)เจ็บป่วยที่มีสาเหตุจากพลังเหนือธรรมชาติ รักษาด้วยพิธีกรรม (หน้า 110-111) สาเหตุความเจ็บป่วย 1.การกินผิด 2.การรักษาความเจ็บป่วยจากกินผิดอื่นๆ 3.ถูกของมีคม 4.เลือดไม่ดี หรือการไหลเวียนของเลือดผิดปกติ เกิดจากอุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลงฉับพลัน 5.ฝุ เกิดจากธาตุภายในร่างกายผิดปกติ ฝุมี 5 ชนิดคือ 1)ฝุบวม เกิดอาการบวมตามเนื้อตัว 2)ฝุผอม ผู้ป่วยจะผอมแห้งไม่มีแรง 3)อายาฝุ ผู้ป่วยดื่มน้ำมากจนท้องบวม 4)หญะหญาฝุ ผู้ป่วยจะกินข้าวไม่รู้จักอิ่ม 5)นุเหะฝุ ผู้ป่วยมีอาการกระดูกผุ ฝุจะรักษาโดยทั้งหมอผีและหมอยา 6. ถูกทำคุณไสย(ไต่) เกิดจากผู้มีคาถาอาคมเสกสิ่งแปลกปลอมเข้าท้อง ต้องแก้ด้วยหมอผีที่เรียนคาถาอาคม 7. ชตากรรมหรือเคราะห์กรรม(มี้) ผู้ป่วยมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง รักษาไม่หาย เชื่อว่าเพราะหวู่ซามอบชีวิตให้เท่านี้ 8. ถูกผีกระทำ(หนี่เคือ) รักษาด้วยสมุนไพรไม่หาย สามารถวินิจฉัยได้โดย 1)ทำนายด้วยกระดูกไก่ 2)เสี่ยงทายด้วยการวัดขนาดกระดาษ 3)อายาแหมะ คือเสี่ยงทายโดยการเป่าน้ำ 4)ถั่ว คือการคาดเดาของผู้รู้หรือหมอผี 5)ยาฟูซัวะ คือการทำนายด้วยไข่ (หน้า 111-114) กระบวนการวินิจฉัยโรค แต่ละครอบครัวจะมีผู้รู้เกี่ยวกับยาสมุนไพร เมื่อมีคนป่วยจะให้ผู้รู้ในครอบครัววินิจฉัยเบื้องต้น หากอาการเล็กน้อยจะรักษากันเองภายในครอบครัว แต่หากไม่อาจรักษาเองได้จะให้ผู้อาวุโสในเครือญาติมาทำพิธีเสี่ยงทายหาสาเหตุ หากเสี่ยงทายแล้วพบว่าเกิดจากธรรมชาติจะให้หมอยาสมุนไพรรักษา(แนจึซือซู) หากเกิดจากผีจะเชิญหมอผีมาทำพิธีรักษา หมอผีหรือหนี่ผะ คือผู้ที่สามารถสื่อสารกับผีวิญญาณได้ จะทำหน้าที่วินิจฉัยหาสาเหตุการเจ็บป่วย ขจัดปัดเป่าเคราะห์ เป็นผู้ที่ถูกเลือกจากผีบรรพบุรุษ โดยหมอผีใหม่จะต้องเข้าไปฝึกการเข้าทรงครั้งแรกในป่าทึบ โดยมีหมอผีอาวุโสมาช่วยแนะนำ ทำพิธีในระยะแรก หมอผีมีข้อห้ามการกินหลายอย่างเช่น ไม่กินเนื้อสัตว์บางอย่าง บางคนจะมีวิชาอื่นๆ ประกอบด้วยเช่น คาถาอาคม คุณไสย หมอยาสมุนไพรรักษา(แนจึซือซู) เป็นผู้ที่หวู่ซามอบหมายให้ดูแลต้นยาสมุนไพร ก่อนเก็บยาสมุนไพรจึงต้องทำพิธีขอใช้ยา(แนจึเดียะ) ก่อน โดยเชื่อว่าหมอยาสุมนไพรคนแรกชื่อ ยินสึมา หรือ ซื่อฝู่มา เป็นหญิงที่ได้เรียนรู้จาก "หวะหวั่น" เทพการเกษตรและการแพทย์พื้นบ้าน ต่อมาจึงถ่ายทอดความรู้สู่ลูกหลาน โดยแหล่งที่มาความรู้เรื่องยาสมุนไพรคือ 1)ได้รับการถ่ายทอดจากหมอยาในเครือญาติ 2)เรียนรู้จากหมอยาคนอื่น 3)ลักลอบเรียนรู้จากหมอยาคนอื่น 4)จาการสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ 5)จากการฝันเห็นผีมาบอกตัวยา (หน้า114-119) วิธีการรักษาพยาบาล หากเกิดจากสาเหตุจากธรรมชาติจะเชิญหมอยามารักษา โดยหมอยาจะถามอาการ กิจกรรมที่ทำก่อนเจ็บป่วย พร้อมปลอบขวัญ จากนั้นจะทำพิธีขอพรจากผีครู และออกไปหาตัวยามาต้มน้ำดื่ม กินสด พอก อบ ฯลฯ หากกระดูกหักหรือมีบาดแพล หมอยาจะเป่าคาถาด้วย ระหว่างรักษาหมอยาจะเป็นผู้ไปดูแลผู้ป่วยทุกวัน จนร่างกายหายเป็นปรกติ ผู้ป่วยจะต้องมาทำพิธีบูชาผีครู จ่ายค่าผีครูตามที่หมอยาบนบานไว้ และจ่ายค่าสมมนาคุณให้กับหมอยาด้วย (หน้า 120-122)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่ปรากฏ

Folklore

ไม่ปรากฏ

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่ปรากฏ

Social Cultural and Identity Change

ลีซู การเข้ามาจำกัดการใช้ทรัพยากรของรัฐและระบบตลาด ทำให้ลีซูต้องเคลื่อนย้ายต่ำลงมาจากเดิมซึ่งใกล้ศูนย์กลางความเจริญมากขึ้น ปลูกพืชตามความต้องการของตลาด ประกอบอาชีพนอกภาคเกษตรมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านการรักษาความเจ็บป่วย การถ่ายทอดความรู้ การรักษาและขายสุมนไพรเพื่อเศรษฐกิจ กระบวนการขัดเกลาทางสังคม (หน้า 126-131)

Critic Issues

ไม่ปรากฏ

Other Issues

ไม่ปรากฏ

Map/Illustration

รูปภาพได้ปรากฏอยู่ในส่วนต่างๆ ของบทความ แต่ไม่ได้ระบุชื่อภาพ โดยเป็นภาพวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆ ประกอบด้วย หน้าที่ 99-104, 107-110, 115-120, 128

Text Analyst รัฐกานต์ ณ พัทลุง Date of Report 30 มิ.ย 2565
TAG ลีซู, การรักษาพยาบาล, หมอพื้นบ้าน, ภาคเหนือของประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง