|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อาข่า,การรักษาพยาบาล,หมอพื้นบ้าน,ภาคเหนือของประเทศไทย |
Author |
อุไรวรรณ แสงศร |
Title |
กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง การรักษาเยียวยา ผู้คน ชุมชน และสภาพสิ่งแวดล้อม(อาข่า) |
Document Type |
ร่างรายงานผลการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อ่าข่า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) |
Total Pages |
22 |
Year |
2545 |
Source |
สถาบันวิจัยชาวเขา ปีที่ 20 ฉบับที่1/2545 กรมประชาสงเคราห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม |
Abstract |
อาข่า มีความเชื่อในพลังเหนือธรรมชาติ วิญญาณ ภูตผี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเทพเจ้า ซึ่งเป็นที่มาของกฎเกณฑ์ ข้อห้าม จารีตประเพณีในชุมชน ขั้นตอนการวินิจฉัยโรค การรักษาพยาบาลมีทั้งการประกอบพิธีกรรม การใช้ยาสมุนไพร คาถาอาคม โดยหมอพื้นบ้านจะมีการรักษากฎจรรยาบรรณเพื่อให้การรักษาได้ผลดี และรักษาความศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ |
|
Focus |
กระบวนการรักษาพยาบาลแบบพื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธ์บนที่สูง ที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบนิเวศวิทยา |
|
Ethnic Group in the Focus |
อาข่า เรียกตัวเองว่า "อาข่า" คนไทยและพม่าเรียกว่า "อาข่า, ข่าก้อ, อีก้อ" ลาวและชนชาติอินโดจีนตอนเหนือเรียกว่า "โก๊ะ" คนจีนเรียกว่า "โวนี" หรือ "ฮานี" (หน้า 134) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
อาข่า จัดอยู่ใน กลุ่มตระกูลภาษาจีน-ธิเบต กลุ่มธิเบต-พม่า ในกลุ่มย่อยโล-โล (หน้า 133) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
อาข่า เชื่อว่าสืบเชื้อสายมาจากชนชาติ โล-โล ที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน หมู่บ้านอาข่าบางแห่งจึงมีลักษณะเป็นสังคมผสมระหว่างอาข่าและชาวจีน (หน้า 133) โดยอ่าข่าทั้ง 7 กลุ่มได้สืบเชื้อสายมาจากพี่น้อง 7 คนที่กำเนิดจากมารดาคนเดียวกัน และได้แยกย้ายกันไปสร้างเผ่าพันธุ์อาข่า หลักฐานการบอกเล่ากล่าวว่าแต่เดิมอาข่ามีอาณาจักรเป็นของตนเองอยู่ที่ต้นแม่น้ำไท้ฮั้ยสุย แคว้นธิเบต ต่อมาถูกชนชาติอื่นรุกรานต้องย้ายลงมามณฑลยูนนาน ไกวเจา และจากการศึกษาค้นคว้าพบว่าอาข่าตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณภูเขาสูงทางตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ในมณฑลยูนนาน กวางเจา แคว้นสิบสองปันนา ต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์เข้าครอบครองจีน อาข่าและเผ่าอื่นๆ ได้อพยพมาทางใต้ กระจายตัวไปในแคว้นเชียงตุง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประเทศพม่า แคว้นหัวโขง พงสาลีของประเทศลาว และภาคเหนือของไทย โดยในประเทศไทยได้อพยพมากว่า 100 ปีแล้ว โดยเฉพาะในช่วงพ.ศ.2490 ประเทศจีนได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ อาข่าได้อพยพสู่ประเทศไทยมากขึ้น โดยส่วนใหญ่อพยพมาจากแคว้นเชียงตุงประเทศพม่า มาตั้งถิ่นฐานแห่งแรกบริเวณดอยตุง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายเมื่อ 50-60 ปีที่แล้ว โดยมีผู้นำคือ แสนอุ่นเรือน ส่วนญาติพี่น้องได้แยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่ต่างๆ เช่น แสนพรม(น้อง)ตั้งชุมชนที่บ้านผาหมี อำเภอแม่สาย แสนใจ(หลาน)ตั้งชุมชนที่บ้านแสนใจ อำเภอแม่จัน อาข่ากลุ่มล่าสุดที่อพยพเข้ามาคือ กลุ่มแคว้นสิบสองปันนามาตั้งชุมชนบริเวณอำเภอเชียงแสน แล้วย้ายไปอยู่ที่บ้านผามีอำเภอแม่สาย ปัจจุบันพบว่ามีหมู่บ้านผาหมี หมู่บ้านผาฮี้ (หน้า 134-137) |
|
Settlement Pattern |
อาข่า นิยมตั้งบ้านเรือนตามสันดอย ในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,000-4,000 ฟุต ที่เหมาะสมที่สุดในการตั้งหมู่บ้านคือ ดอยลูกกลางที่ล้อมรอบไปด้วยดอยสูงอื่นๆ เชื่อว่าจะทำให้มีความเป็นอยู่ที่ดี อุดมสมบูรณ์ และเป็นบริเวณที่มีลำธารไปผ่านหลายสาย พื้นที่ตั้งหมู่บ้านจะมีลานกว้างเพื่อประกอบพิธีกรรม มีเส้นทางคมนาคมเพื่อติดต่อกับหมู่บ้านอื่นอย่างสะดวก มีพื้นที่ทำกินเพียงพอกับประชากร และสามารถขยายพื้นที่ได้หากประชากรมากขึ้น ลักษณะชุมชนประกอบด้วย 1)หมู่บ้าน(พู) ตั้งอยู่บนสันดอยลูกกลาง 2ปป่าชุมชน(ยาคุ้มตี) ป่ารอบๆ หมุ่บ้าน มี 2 ชนิดคือ ป่าไม้ใช้สอยและป่าศักดิ์สิทธิ์ 3)พื้นที่ทำกิน(ยาข่องย้าล่อ) (หน้า 138) |
|
Demography |
อาข่า มีทั้งหมด 7 กลุ่มย่อยคือ ปุลี ยึเชอะ นาคี มาเจ ทูลา อาเข่อ ยึเยาะ (หน้า 134) ในประเทศไทยมีประมาณ 256 หมู่บ้าน ประชากร 49,903 คน กระจายตัวในจังหวัดเชียงราย 219 หมู่บ้าน จำนวน 43,109 คน จังหวัดเชียงใหม่ 23 หมู่บ้าน จำนวน 4,001 คน จังหวัดตาก 2 หมู่บ้าน จำนวน 1,237 คน จังหวัดเพชรบูรณ์ 1 หมู่บ้าน จำนวน 4 คน จังหวัดพะเยา 1 หมู่บ้าน จำนวน 6 คน จังหวัดแพร่ 2 หมู่บ้าน จำนวน 333 คน จังหวัดลำปาง 8 หมู่บ้าน จำนวน 1,213 คน (หน้า137-138) |
|
Social Organization |
อาข่า เชื่อว่าในอดีตคนและผีอยู่ร่วมกันเรียกว่า "อูซี้" ได้มีการสืบสายสกุลมาถึงลำดับที่ 5 คือ "อูหง้อ" คนและผีจึงเริ่มแยกออกจากกัน และต่อมาอีก 10 ลำดับคือ "ซุมมิโอ" คนและผีแยกกันเด็ดขาด และตระกูลซุมมิโอได้เริ่มสร้างประตูผีหรือประตูหมู่บ้าน(ลกข่อ) อาข่าจึงยกย่องว่าตระกูลซุมมิโอเป็นบรรพบุรุษของตน และอาข่าเป็นเครือยาติกันทั้งหมด และเครือญาติช่วงที่ 7 ชั่วคนเป็นญาติใกล้ชิดห้ามแต่งงานกัน เพราะจะทำให้เกิดสิ่งชั่งร้ายในลูกหลาน (หน้า 139) |
|
Political Organization |
อาข่า มีการประกอบพิธีกรรมเป็นศูนย์รวมของชุมชน เป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือในสังคม ซึ่งวันประกอบพิธีจะเป็นวันหยุดงานของหมู่บ้าน ไม่มีกฏหมายปกครองในสังคม ใช้ความเชื่อพิธีกรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีในการควบคุมสังคม มีผู้นำตามจารีตประเพณีในการควบคุมสมาชิก (หน้า 139) |
|
Belief System |
อาข่า มีความเชื่อในพลังเหนือธรรมชาติ จิตวิญญาณ ภูตผี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเทพเจ้า ความเชื่อมี 2 ลักษณะคือ 1)การนับถือเทพเจ้า ที่สำคัญคือ "อะพือหมิแย" ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของอาข่าที่สร้างสรรพสิ่งในโลก มีน้องชายชื่อ "ยะบี้เอ่อลอง" เป็นผู้ดูแลชีวิตทั้งหลายในโลก นอกจากนี้ยังมี อึ่มซา(เทพลม) อึมแยะ(เทพฝน) อะกือ(เทพแสงสว่าง) และมีการเซ่นบวงสรวงเทพทุกปี มี "หยื่อมะ" เป็นผู้ประกอบพิธี 2)การนับถือผี อาข่าเรียกผีว่า "แหนะ" โดยระมัดระวังไม่ให้ผีโกรธ ผีมีทั้งดีและร้าย ผู้ที่เป็นสื่อกลางติดต่อกับผีคือ "พิมะ" และ "ผิยะ" ผีดีคือผีบ้านผีเรือน ผีที่สำคัญที่สุดคือ ผีบรรพบุรุษ (อะพีเปาะเลาะหรืออะเพอเปาะเลาะ) อาข่าเชื่อว่าถึงแม้ตายไปขวัญหรือวิญญาณยังคงอยู่ใกล้ๆ ลูกหลาน ทุกครอบครัวจึงต้องสร้างหิ้งผีบรรพบุรุษ ลูกหลานจะต้องบูชาผีบรรพบุรุษอย่างน้อยปีละ 9 ครั้ง นอกจากนี้ยังมี "อะเพออะพี" หรือผีใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้าผี อยู่บนสวรรค์ ดูแลทุกข์สุขของทุกคน บันดานสิ่งที่ต้องการ และผีที่ให้ความคุ้มครองหมู่บ้านคือ ผีเสาชิงช้า ผีประตูหมู่บ้าน ผีเรือน ผีร้ายคือ ผีที่เป็นต้นเหตุความชั่วร้ายทั้งหมด เช่น ความเจ็บป่วย มีความโกรธง่าย เช่น ผีป่า ผีน้ำ ผีภูเขา ผีลม เป็นผีนอกหมู่บ้าน หากเข้ามาในหมู่บ้านจะทำให้เจ็บป่วย จึงต้องสร้างประตูหมู่บ้าน "ลกข่อ" ทั้งด้านหน้าและหลังหมู่บ้าน ที่ประตูจะมีเครื่องไล่ผีเช่น "เฉลว" และอาวุธต่างๆ ถือเป็นประตูศักดิ์สิทธิ์ห้ามแตะต้อง ผู้ละเมิดต้องทำพิธีขอขมา (หน้า 139-142) |
|
Education and Socialization |
อาข่า หมอยาอาข่าเรียกว่า "เถอะก้า ยาก๊า สิยาแมะ หรือ ยาก๊าสิยะ" หมอยาจะเลือกผู้สืบทอดจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้ 1)ความสนใจพื้นฐาน 2)ความขยันหมั่นเพียร 3)ความจำดี 4)อายุไม่จำกัดแต่ต้องมีวุฒิภาวะในการเก็บความลับได้ การสืบทอดการเป็นหมอยามี 3 ลักษณะคือ 1)สืบทอดตามสายตระกูลและเครือญาติ โดยเลือกลูกหลานที่มีความสนใจและขยันหมั่นเพียร ไม่มีการยกครู 2)ถ่ายทอดให้คนนอกตระกูล เมื่อเรียนครบทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติจะต้องทำพิธียกครูก่อนออกทำการรักษา 3)การถ่ายทอดให้แก่คนไข้ที่มาขอรักษา เมื่อรักษาหายแล้ว 1 ปีคนไข้จะมาเสียค่ายกครู หมอยาจะบอกตัวยาและการรักษา ถือว่าเป็นศิษย์คนหนึ่ง แต่จะรักษาคนอื่นไม่ได้ หมอยาจะสอนคนนอกตระกูลเฉพาะตัวยาทั่วไป สูตรยาตระกูลจะถ่ายทอดเฉพาะในตระกูลเท่านั้น (หน้า 147-149) โดยหมอยาจะมีข้อห้ามและจรรยาบรรณคือ 1)ขณะทำการรักษาห้ามหลับนอนกับสามีหรือภรรยา
2)หมอยาจะไม่ไปขอรักษาคนไข้ ผู้ป่วยต้องมาขอทำการรักษาเอง นอกจากญาติ ห้ามอวดอ้างตัวเอง
3)ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวพันกับการรักษา
4)คิดค่ารักษาเท่ากันทุกคน โดยคิดเท่ากับค่ายกครู
5)คิดเสมอว่าชีวิตผู้ป่วยสำคัญที่สุด หากรักษาไม่ได้ต้องบอกไปตามความจริง
6)จะไม่รักษาให้แก่ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ หมอยาอาข่าจึงต้องเป็นคนดี ใจกว้าง อดทน อยู่ในกรอบธรรมเนียมประเพณี(หน้า 151-152) |
|
Health and Medicine |
อาข่า สาเหตุความเจ็บป่วย ความเจ็บป่วยเรียกว่า "ถ่องผ่อง ยอเจาะ" คือการผิดปกติหรือผิดธรรมชาติของร่างกาย มีสาเหตุคือ 1. ขวัญ อาข่าเชื่อว่ามนุษย์มีองค์ประกอบคือ ขวัญและร่างกาย ผู้ชายมี 12 ขวัญ ผู้หญิงมี 9 ขวัญอยุ่ตามร่างกาย ขวัญจะอ่อนไหวง่าย และชอบออกจากร่างกายไปเที่ยว หากขวัญถูกผีจับไว้ ก็จะทำให้เจ้าของเจ็บป่วย จะต้องมีพิธีเรียกขวัญและผูกข้อมือ ถ้าขวัญออกจากร่างกายหลายขวัญ อาการป่วยจะมากขึ้น จะต้องทำพิธีเลี้ยงผี หากขวัญออกจากร่างกายหมดผู้ป่วยก็จะตาย เมื่อร่างกายสลายไป ขวัญจะอยุ่ที่หลุมฝังศพ 1 ขวัญ บนสวรรค์ 1 ขวัญ เมืองผี 1 ขวัญ ขวัญที่เหลือจะวนเวียนในโลกมนุษย์ (หน้า 142-143) 2. การทำผิดผี เป็นสาเหตุการเจ็บป่วยส่วนใหญ่ ที่ผู้ป่วยไปทำให้ผีไม่พอใจ จนทำให้เกิดความเจ็บป่วยทางกาย เช่น ปวดหัว ตัวร้อน และทางใจ เช่น รับประทานอาหารไม่ได้ (หน้า 143) 3. เชื้อโรค มีอาการชัดเจนหาสาเหตุได้ง่าย เช่น เป็นหวัด เป็นไข้ สามารถรักษาได้ภายในครอบครัว (หน้า 143) 4.มีเคราะห์หรือดวงไม่ดี เกิดจากคนในครอบครัวประพฤติตัวไม่ดี ผีบ้านผีเรือนไม่ชอบ หัวหน้าครอบครัวจะทำบุญบ้าน(ซะเดาะยอโอะ) เลี้ยงผีบ้าน และสะเดาะเคราะห์ (หน้า 143) 5. กรรมพันธุ์ อาข่าเชื่อว่าโรคที่เกิดจากกรรมพันธุ์ได้แก่ โรคลมบ้าหมู โรคทางจิตประสาท ปัญญาอ่อน พิการ และกำเนิดลูกฝาแฝด จึงได้มีกฏห้ามสายเลือดใกล้ชิดแต่งงานกัน ในอดีตกำหนด 10 ชั่วคน ปัจจุบันเหลือ 7 ชั่วคน และหากมีการเกิดลูกฝาแฝดจะมีการฆ่าเด็กทั้ง 2 ทันทีเพราะเชื่อว่าเป็นการผิดผี จะทำลายเผ่าพันธุ์ (หน้า143-144) 6. การกินผิดหรือของแสลง พืช ผัก และอาหารบางชนิด อาข่าเชื่อว่าหากกินเข้าไปจะทำให้เสียสติ หากกินอาหารที่มีผีสิงจะทำให้เกิดอันตรายได้ (หน้า 144) 7. ถูกคุณไสย อาจเจ็บป่วยหลายอย่างขึ้นอยู่กับผู้ทำคุณไสย ต้องให้ "สะหสะ" หรือหมอเวทมนต์คาถารักษา (หน้า 144-145) 8. ความเจ็บปวดในอดีต เช่น โรคปวดกระดูก ปวดแขน ปวดขา อาจจะหายขาดไปแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาการดังกล่าวได้เกิดขึ้นอีก (หน้า 145) การเจ็บป่วยมี 2 ประเภทคือ 1)ความเจ็บป่วยที่รักษาได้ อาการจะเห็นได้จากภายนอก รู้สาเหตุที่แน่นอน สามารถวินิจฉัยโรคได้ง่าย 2)ความเจ็บป่วยที่รักษาไม่ได้ คืออาการที่แสดงออกมาไม่บ่งชัด ตั้งสมมุติฐานอาการได้ลำบาก รักษาหายขาดไม่ได้ ส่วนมากเป็นโรคกรรมพันธุ์หรือโรคแต่กำเนิด (หน้า 145-146) กระบวนการวินิจฉัยโรค หากเกิดความเจ็บป่วย หัวหน้าครอบครัวจะเป็นผู้วินิจฉัยโรคเป็นคนแรก รักษาเบื้องต้นตามความสามารถ ถ้าไม่หายหรือไม่ดีขึ้นจะไปหา ยึผ่า(หมอผีหรือคนเข้าทรง เป็นได้ทั้งชายหญิง ไม่สืบตามสายตระกูล) หรือพมะ(เป็นเฉพาะผู้ชาย วินิจฉัยโรคและประกอบพิธีกรรม ทำพิธีเลี้ยงผี สืบทอดตามบรรพบุรุษ) ให้วินิจฉัย (หน้า 146) หากเกิดจากการทำของผีจะให้ไปหาหมอผี เพื่อรักษาด้วยพิธีกรรม ถ้าไม่ได้เกิดจากการทำของผีจะให้ไปรักษากับหมอสมุนไพร (หน้า 153) วิธีการรักษาพยาบาล อาข่าใช้สมุนไพร(เบาะฉ่อง เฮอะเออะ ยาก๊า) รักษาการเจ็บป่วยมาแต่อดีตและสืบทอดมาจน ปัจจุบัน อาข่าวัยครองเรือนจะรู้จักยาสมุนไพรใช้รักษาอาการพื้นฐานเกือบทุกคน มีการปลูกพืชสมุนไพรไว้ในสวนครัว แต่ละครัวเรือนมีความรู้ทางสมุนไพรแตกต่างกันไป แต่หากเป็นหมอยาจะรู้ตัวยา ตำหรับยามากกว่าคนทั่วไป และมีกระบวนการถ่ายทอดเรียนรู้เป็นขั้นตอน (หน้า146-147) เมื่อมีผู้ป่วยมาขอรับการรักษาจากหมอยา หมอยาจะวินิจฉัยโรคโดยการซักถามอาการ เมื่อรู้สาเหตุหมอยาจะรักษาโดยมีขั้นตอนดังนี้ 1)การกินยาแก้ เพื่อดับพิษหรือสกัดไม่ให้เชื้อลุกลาม 2)การกินยารักษา รุ่งขึ้นหมอยาจะให้ผู้ป่วยกินยาเพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยกินเป็นเวลา 3 วันหากอาการไม่ดีขึ้นจะเปลี่ยนยาชุดใหม่ ถ้าอาการดีขึ้นจะเพิ่มตัวยา กินจนครบ 7 วันก็จะหายหลังจากนั้นต้องกินยาอีก 2 ชุดๆ ละ 3 วัน 3)การกินยาตัด เมื่อหมอเห็นว่าผู้ป่วยหายสนิทแล้วจะให้กินยาชุดอีก 2-3 วันเพื่อไม่ให้โรคกลับมาอีก โดยหากกินยาทั้ง 3 ชุดแล้วไม่หายหมอยาจะบอกให้ไปรักษากับหมอยาคนอื่น และถ้าหมอยาภายในหมู่บ้านรักษาไม่หายจะให้ไปรักษาโดยการทำพิธีกรรมจาก พิมะ เมื่อผู้ป่วยหายแล้วจะมาจ่ายค่ารักษาหลังจากนั้น 1 ปีเพื่อให้แน่ใจว่าอาการไม่กลับมาอีก ค่ารักษาจะเป็นหมู 1 ตัว เสื้อผ้า เงิน จากนั้นหมอยาจะบอกตัวยาและวิธีการรักษาและสวดอวยพรให้แก่ผู้ป่วย (หน้า 149-151) การรักษาความเจ็บป่วยจึงสามารถสรุปได้ 4 วิธีคือ 1)การใช้ยาสมุนไพร 2)การใช้คาถาอาคม ผู้รักษาคือ หมออาคม(สะมะ) รักษาโรคเกี่ยวกับคุณไสยและใช้สมุนไพรบางชนิดควบคู่กันไป 3)การรักษาด้วยพิธีกรรม ผู้ทำการรักษาคือ หมอผี(พิมะหรือผิยะ) 4)การรักษาการเจ็บป่วยเล็กน้อย (หน้า 154) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
รูปภาพได้ปรากฏอยู่ในส่วนต่างๆ ของบทความ แต่ไม่ได้ระบุชื่อภาพ โดยเป็นภาพวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆ ประกอบด้วย หน้าที่ 133-137, 144-145, 150, 153 |
|
|