|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กะเหรี่ยง,การรักษาพยาบาล,หมอพื้นบ้าน,ภาคเหนือของประเทศไทย |
Author |
สารณีย์ ไทยานันท์, นิภา ลาชโรจน์ |
Title |
กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง การรักษาเยียวยา ผู้คน ชุมชน และสภาพสิ่งแวดล้อม (กะเหรี่ยง) |
Document Type |
ร่างรายงานผลการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) |
Total Pages |
21 |
Year |
2545 |
Source |
สถาบันวิจัยชาวเขา ปีที่ 20 ฉบับที่1/2545 กรมประชาสงเคราห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม |
Abstract |
กะเหรี่ยง การรักษาพยาบาลแบบพื้นบ้านตามจารีตประเพณี ฮีโข่หรือผู้นำหมู่บ้านจะเป็นผู้ปกครองชมชนและเป็นหมอผีประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ หมอรักษาโรคประกอบด้วยหมอคาถา หมอทำนายโรค หมอตำแย หมอกระดูก หมอยาสมุนไพร โดยมีความเชื่อถือต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ มีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ต้องเคารพยำเกรง แต่จากการพัฒนาทางเศรษฐกิจได้ส่งผลต่อวิถีชีวิต รวมถึงการใช้ทรัพยากรป่าไม้ที่มีน้อยลง |
|
Focus |
กระบวนการรักษาพยาบาลแบบพื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธ์บนที่สูง ที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบนิเวศวิทยา |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศไทย เรียกตัวเองว่า "ปกากะญอ" หรือมีชื่ออื่นๆ เช่น โพล่ง กะยิ่น มี 4 กลุ่มย่อยคือ กะเหรี่ยงสะกอ(ปกาเกอะญอ) กะเหรี่ยงโปว(โพล่ง) กะเหรี่ยงคะยา(กะยิ่น) กะเหรี่ยงตองสูหรือตองตู (หน้า13) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กะเหรี่ยง จัดอยู่ใน กลุ่มตระกูลภาษาจีน-ธิเบต (Sino-Tibetan) (หน้า 13) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยง ตั้งถิ้นฐานในประเทศไทยมากว่า 400 ปี มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศพม่า เมื่อเกิดสถานการณ์ทางการเมือง มีการสู้รบกับกองกำลังรัฐบาล จึงอพยพเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ภาคเหนือถึงภาคใต้ ซึ่งตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทย กะเหรี่ยงมีบทบาทในการร่วมสู้รบจนได้รับการปูนบำเหน็จ แต่งตั้งเป็นขุนนางตามหัวเมืองต่างๆ (หน้า 14) |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยง ตั้งถิ่นฐานบนหุบเขา พื้นที่ไม่สูงนัก ในระดับต่ำกว่า 1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล (หน้า 14) |
|
Demography |
กะเหรี่ยง ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ 15 จังหวัดคือ เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน ลำปาง แพร่ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร อุทัยธานี สุพรรณบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ มี 2,037 หมู่บ้าน 69,821 หลังคาเรือน ประชากร 347,242 คน คิดเป็นร้อยละ 46.18 ของประชากรชาวเขาทั้งหมด (หน้า 16) |
|
Economy |
กะเหรี่ยง สภาพเศรษฐิกจแบบดั้งเดิมจะเป็นการเกษตรกรรมเชิงอนุรักษ์ คือ การทำไร่หมุนเวียน (Rotation Cultivation) เนื่องจากมีนิสัยสันโดษเรียบง่าย ปลูกเพียงเพื่อยังชีพ พืชหลักได้แก่ ข้าว พริก ฝ้าย ยาสูบ ผักต่างๆ เช่น แตงกวา ข้าวโพด ถั่ว งา ฟัก มะเขือ มีการรับจ้างทำไม้ หาของป่า รับจ้างอื่นๆ เป็นอาชีพเสริม ในปัจจุบันหลังจากการพัฒนาของภาครัฐและเอกชนทำให้รูปแบบการเกษตรเปลี่ยนไป เป็นการเกษตรเชิงพาณิชย์ ปลูกพืชในเชิงเดี่ยว มีตลาดเป็นตัวกำหนด (หน้า 14-16) |
|
Social Organization |
กะเหรี่ยง ลักษณะครอบครัวของกะเหรี่ยงส่วนใหญ่เป็นแบบครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family) บางครอบครัวเป็นครอบครัวขยาย ถือระบบสามีภรรยาเดียว (Monogamy) สืบเชื้อสายทางฝ่ายมารดา (Matrilineal) ถือว่าแต่ละครอบครัวเป็นอาณาจักรทางวิญญาณฝ่ายแม่ มีหญิงอาวุโสเป็นหัวหน้าแต่ละสายสกุล ยิ่งมีสมาชิกมากก็จะยิ่งมีการรวมตัวอย่างเหนียวนานและมีบทบาทในการปกครองชุมชน มีลักษณะความสัมพันธ์ของชุมชนแบบเครือญาติ และความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเครือญาติที่ต่างกัน จะมีความเป็นชนเผ่า กฏระเบียบทางสังคมเดียวกัน เป็นสิ่งเชื่อมโยงกันไว้ (หน้า 14-16) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยง มีความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ ที่เกี่ยวกับเรื่องขวัญ วิญญาณ ภูติผี และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเชื่อว่าตามสถานที่ต่างๆ จะมีภูติผีสิงสถิตอยู่ ห้ามล่วงละเมิดหรือทำให้ผีไม่พอใจ จะเป็นการผิดผี ทำให้เกิดความเจ็บป่วย อาเพท ความไม่ปรกติสู่ครอบครัวและชุมชน จะต้องมีการเซ่นไหว้ขอขมา โดยจะมี "ฮีโข่" (หมอผี) เป็นหัวหน้าในการประกอบพิธีกรรม เป็นผู้สื่อสารระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และกำหนดวันเวลาในการประกอบพิธีกรรม นอกจากนี้ ฮีโข่ ยังมีบทบาทในการเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ดูแลความสงบเรียบร้อย และตัดสินข้อพิพาทในหมู่บ้าน (หน้า 16-17) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
กะเหรี่ยง หากเกิดความเจ็บป่วยขึ้นแก่สมาชิกในหมู่บ้าน "หมอพื้นบ้าน" จะทำหน้าที่รักษาความเจ็บป่วย โดยอาศัยความรู้ที่ได้รับสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ แบ่งได้ 5 ประเภทคือ 1. หมอคาถา(สะหระตะอู) ใช้เวทมนตร์คาถามในการรักษา อาจใช้เวทมนตร์เป่าบริเวณที่เจ็บปวด หรือเสกเป่าน้ำ(น้ำมนตร์) ให้คนป่วยดื่ม หรือใช้เวทมนตร์ขับไล่ผีร้ายออกไปจากร่างกายผู้เจ็บป่วย โดยหมอคาถามักมีข้อห้ามหลายอย่างในการดำรงชีวิต (หน้า 17) 2. หมอทำนายโรค(สะหระกาตา) ใช้วีธีการทำนายเพื่อหาสาเหตุของความเจ็บป่วย โดยใช้อุปกรณ์เช่น กระดูกไก่ ข้าวสาร ใบไม้ ในการทำนาย หมอทำนายจะมีการฝึกหัดอย่างละเอียด เป็นผู้มีความน่าเชื่อถือ และต้องผ่านบททดสอบความอดทน หมอทำนายมักมีคาถาและข้อห้ามประจำตัว (หน้า 17-18) 3. หมอตำแย(สะหระกว่าฮี) ทำหน้าที่ดูแลรักษาหญิงมีครรภ์ ตั้งแต่ตั้งครรภ์ถึงคลอดบุตร หมอตำแยจะจัดการการคลอดบุตรทุกอย่าง และคอยแนะนำการดูแลสุขภาพของแม่และเด็ก (หน้า 18-19) 4. หมอกระดูก(สะหระต่อเอ่ะเกปาครึย) มีความชำนาญในการเจ็บป่วยที่เกิดจากกระดูก โดยใช้การรักษาด้วยคาถาอาคมเช็ดเป่า ดึงให้เข้าที่ ใช้ผ้าพันด้วยไม้ไผ่สับฟากไม่ให้กระดูกเคลื่อน และรักษาด้วยการพอกทาสมุนไพร หมอกระดูกจะต้องมีความเข้าใจโครงสร้าง สรีระของเส้นประสาทและกระดูกในร่างกายทุกส่วน (หน้า 19) 5. หมอสมุนไพร(สะหระเตอะซีกะเจ่อ) มีความรู้ในเรื่องพืชและสิ่งของจากธรรมชาติมาเป็นยารักษาโรค เรียกว่า "ยาสมุนไพร" โดยใช้ส่วนต่างๆ ของพืชมาใช้รักษาโรคแต่ละอย่าง มีกรรมวิธีการนำมารักษาที่แตกต่างกัน เช่น นำมาต้มน้ำดื่ม บดเป็นผง โดยความรู้ทางสมุนไพรสามารถเรียนรู้ในระดับพื้นฐานได้ทุกครัวเรือน แต่หากเป็นเชิงลึกต้องเรียนรู้จากผู้รู้อย่างเป็นระบบ หมอสมุนไพรจะต้องมีความอดทนในการแสวงหาตัวยา และการจดจำในชื่อลักษณะ สรรพคุณของสมุนไพร มีความเสียสละ นอกจากเรียนกับครูแล้วยังต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือเกิดจากเทพสังหรณ์ การฝัน ที่เรียกว่า "ยาผีบอก" (หน้า 20-21) จรรยาบรรณของหมอพื้นบ้านโดยทั่วไปแล้ว จะไม่มีการเรียกร้องค่ารักษา โดยเมื่อผู้รับการรักษาหายจากการเจ็บป่วยแล้วจะนำสิ่งของมามอบให้เพื่อตอบแทน ต้องเป็นผู้มีศีลธรรม มีความเสียสละ มีน้ำใจโอบอ้อมอารี มีเมตตา ไม่เห็นแก่ค่าจ้าง และมักมีข้อห้ามที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด (หน้า 21-22) สาเหตุความเจ็บป่วย ตามคติความเชื่อของกะเหรี่ยง เชื่อว่าความเจ็บป่วยล้วนแล้วเป็นอำนาจหนือธรรมชาติ เป็นสิ่งเร้นลับ จะต้องอาศัยผู้รู้ทำนายหาสาเหตุ และวิธีการรักษา เชื่อว่าความเจ็บป่วยที่เกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติ เพราะละเมิดอำนาจของผี วิญญาณ หรือเรียกว่า "ผิดผี(ตะมือล่อออ)" เชื่อว่าผีจะลงโทษผู้ที่กระทำผิด ฝ่าฝืนประเพณีชนเผ่า กะเหรี่ยงเชื่อว่าผีมี 2 ประเภทคือ 1. ผีดี คือผีบรรพบุรุษ ผีเรือนสายมารดา คอยปกป้องสมาชิกในครอบครัว 2. ผีร้าย คือผีที่อยู่นอกบ้านตามป่าเขา ลำห้วย ลำน้ำ ต้นไม้ใหญ่ คอยทำร้ายคนที่ผ่านไปมา ทำร้ายให้เกิดความเจ็บป่วยแก่คนที่ละเมิดหรือทำให้ไม่พอใจ (หน้า22-24) ความเจ็บป่วยที่เกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติ คือ 1. เกิดจากการละเมิดอำนาจของผีเจ้าที่ กะเหรี่ยงมีการจัดสรรพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือพื้นที่ทำการเกษตร(ดูหละ) และพื้นที่หวงห้ามเป็นพื้นที่สิ่งศักดิ์สิทธิ(ดูตะ) ห้ามเข้าไปรบกวนและลบหลู่ ห้ามตัดไม้หรือบุกรุกเข้าไป ห้ามล่าสัตว์ เช่น ป่าต้นน้ำ ป่าสะดือเด็ก(ใช้เป็นที่นำรกและสะดือทารกใส่กระบอกมาแขวนต้นไม้ไว้ เชื่อว่าขวัญเด็กผูกพันกับป่า) นอกจากนี้มีป่าหวงห้ามที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น ทางเข้าออกของสัวต์และภูติผี ซึ่งสถานที่เหล่านี้มีผีคอยครอบครอง หากใครล่วงละเมิดจะถูกผีร้ายลงโทษ (หน้า 24-25) 2. เกิดจากขวัญ(เกอล่า) กะเหรี่ยงเชื่อว่าทุกคนจะมีขวัญประจำตัว ขวัญที่สำคัญจะอยู่ที่ศรีษะ คอ หู และข้อมือทั้งสอง บางครั้งขวัญจะออกจากร่างไปท่องเที่ยวหาทางกลับไม่ถูก หรือถูกผีร้ายจับไว้ ทำให้เกิดความเจ็บป่วย ต้องทำพิธีผูกข้อมือเรียกขวัญ (หน้า25) 3. เกิดจากคุณไสย เกิดขึ้นในกรณีเกิดการทะเลาะเกลียดชัง มีการให้ผู้ทรงคาถาอาคมเสกสิ่งของบางอย่างเข้าท้องคู่อริ ทำให้เกิดการเจ็บป่วย การถูกคุณไสย เรียกว่า "ตู้" (หน้า 25) นอกจากนี้ความเจ็บป่วยอาจเกิดจากะรมชาติ และความเป็นไปตามลักษระสภาพอากาศ คือ 1. อากาศหรือฤดูกาลเปลี่ยนแปลง 2. สิ่งที่เป็นพิษตามธรรมชาติ 3. อาหารเป็นพิษ 4.อาหารแสลงโรค 5. อุบัติเหตุ (หน้า 26) กระบวนการวินิจฉัยโรค กะเหรี่ยงจะใช้การทำนายเพื่อหาสาเหตุการเจ็บป่วย โดยมีอยู่หลายวิธี เช่น ทำนายด้วยกระดูกไก่ โดยใช้กระดูกโคนปีกและกระดูกหน้าแข้งไก่ ทำนายตามลักษณะของการปักไม้ ทำนายด้วยไข่ ด้วยข้าวสาร และใบไม้ ก่อนทำนายจะมีการซักถามการกระทำที่ผ่านมาของผู้ป่วย หากสอบถามแล้วไม่ปรากฏพบว่าทำผิดอะไร อาจจะมีการตรวจในเรื่องขวัญ ที่เรียกว่า "ขวัญหาย" หรือตรวจสอบสาเหตุที่เกิดจากธรรมชาติ (หน้า 27) วิธีการรักษาพยาบาล สามารถสรุปการรักษาได้ 3 วิธีคือ 1. การประกอบพิธีกรรม เมื่อตรวจสอบสาเหตุการเกิดโรคจากหมอทำนายแล้ว ก็จะมีการทำพิธีเรียกขวัญ พิธีเซ่นไหว้ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อขอขมาในสิ่งที่ล่วงเกิน ซึ่งขึ้นอยู่กับคำแนะนำของหมอผีและอาการเจ็บป่วย การรักษาด้วยพิธกรรมอาจจะพิสูจน์ไม่ได้แต่อาจจะมีผลต่อจิตใจผู้ป่วยในด้านขวัญกำลังใจในการดำรงชีวิต (หน้า 27-28) 2. รักษาด้วยคาถาอาคม หมอคาถาจะใช้เวทมนตร์คาถาในการรักษาความเจ็บปวดที่เกิดจากการถูกคุณไสย ขับไล่หรือบังคับให้ของที่ถูกเสกเข้าสู่ร่างกายออกไป ถ้าหากเป็นการรักษาโรคกระดูกจะมีการเสกคาถาเป่าควบคู่กับการใช้ยาสมุนไพร (หน้า 28) 3. รักษาด้วยยาสมุนไพร เป็นการรักษาโรคที่เกิดตามธรรมชาติโดยอาศัยยาสมุนไพร ยาสมุนไพรที่บำบัดอาการเจ็บปวดได้ดีคือ ฝิ่น โดยจะมีหมอยาคอยจัดหา ปรุงให้ แต่สมุนไพรบางอย่างก็มีปลูกไว้รอบบ้าน รักษาโรคบางอย่างได้ (หน้า 29-30) การดูแลในระยะพักฟื้น เมื่อสมาชิกในครอบครัวหรือชุมชนเกิดความเจ็บป่วย กลุ่มเครือญาติจะมาร่วมประกอบพิธี หายาสมุนไพร ให้คำแนะนำ เยี่ยมเยือนอย่างใกล้ชิด เมื่อหายป่วยทุกคนจะมาร่วมยินดี อวยพรในพิธีผูกข้อมือ เพราะถือว่าหากเสาหตุเกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติจะส่งผลไปยังสังคมโดยรวมด้วย (หน้า 30-31) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
กะเหรี่ยง จากการที่รัฐบาลมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นหลัก รูปแบบการเกษตรของกะเหรี่ยงเริ่มเปลี่ยนแปลง เกิดการบุกรุกทำลายป่า เป็นสังคมที่ต้องเพิ่งปัจจัยภายนอก ขาดความเคารพในธรรมชาติ อำนาจในการจัดการทรัพยากรน้อยลงจากเรื่องกรรมสิทธิ์ และถูกครอบครองโดยคนบางกลุ่ม สมาชิกในชุมชนวิตกกังวลในการสูญสลายของทรัพยากรป่าไม้ พิธีกรรม และภูมิปัญญาต่างๆ ปัจจุบันมีการร่วมมือกับองค์กรส่วนท้องถิ่น ในการอนุรักษ์ป่าตามกฎเกณฑ์ของจารีตประเพณี ภูมิปัญญาชาวบ้านในการรักษาความเจ็บป่วย ถูกรื้อฟื้นให้เห็นความสำคัยมากขึ้น (หน้า 31-33) |
|
Map/Illustration |
รูปภาพได้ปรากฏอยู่ในส่วนต่างๆ ของบทความ แต่ไม่ได้ระบุชื่อภาพ โดยเป็นภาพวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆ ประกอบด้วย หน้าที่ 13-15, 20-25, 29-31 |
|
|