|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อิวเมี่ยน(เย้า),การรักษาพยาบาล,หมอพื้นบ้าน,พะเยา |
Author |
สมเกียรติ จำลอง |
Title |
กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง การรักษาเยียวยา ผู้คน ชุมชน และสภาพสิ่งแวดล้อม(อิวเมี่ยน) |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อิ้วเมี่ยน เมี่ยน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) |
Total Pages |
20 |
Year |
2545 |
Source |
สถาบันวิจัยชาวเขา ปีที่ 20 ฉบับที่1/2545 กรมประชาสงเคราห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม |
Abstract |
เย้า กระบวนการรักษาพื้นบ้านจะมีความผูกพันกับศาสนาและความเชื่อในการนับถือผีบรรพบุรุษ และอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งสาเหตุการเจ็บป่วยอาจมาจากละเมิดอำนาจเหนือธรรมชาติ ขวัญไม่อยู่ หรือสาเหตุอื่นๆ โครงสร้างทางการเมืองจะประกอบด้วยหัวหน้าหมู่บ้าน หมอผี คณะผู้อาวุโส ทำหน้าที่ปกครองและประกอบพิธีกรรม |
|
Focus |
กระบวนการรักษาพยาบาลแบบพื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธ์บนที่สูง ที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบนิเวศวิทยา |
|
Ethnic Group in the Focus |
เย้า ชาวไทยเรียกว่า "เย้า" เรียกตัวเองว่า "อิวเมี่ยน" หรือ "เมี่ยน" แปลว่าคน (หน้า 62-63) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
เย้า มีภาษาพูด ขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นเอกลักษณ์ตนเอง สามารถจำแนกตามภาษาพูดได้ 4 กลุ่มภาษาหลัก คือ 1)กลุ่มภาษาเย้า สาขาภาษาแม้ว-เย้า ตระกุลจีน-ธิเบต
2)กลุ่มภาษาแม้ว พูดภาษาแม้วท้องถิ่นแบบหนึ่ง
3)กลุ่มภาษาจ้วง/ต้ง ตระกูลภาษาไท/กะได
4)กลุ่มภาษาจีนกลาง ผสมสำเนียงทางใต้ เย้าในประเทศไทยเป็นกลุ่มพูดภาษาเย้า (หน้า 63) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
เย้า มีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเหลือง(ภูเขาหวงเหอ) ตอนเหนือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน ต่อมาถูกจักรพรรดิหวงตี้และจักรพรรดิเหยียนตี้กวาดล้าง จึงอพยพลงมาทางตอนใต้พร้อมชนเผ่าหนานหมานช่วงปลายราชวงศ์ซวง(1,700-1,100 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ในสมัยต้นราชวงศ์ Zhou (1,100-711 ปีก่อนคริสต์ศักราช) กลุ่มที่อยู่บริเวณภูเขาจิงชานก็ถูกเผ่าอื่นรุกราน บางส่วน จึงอพยพมาอยู่มณฑลเจียงหลิง มณฑลอี้ซาง ในสมัยชุนเชียว(770-476 ปีก่อนคริสต์ศักราช) หลังเกิดกบฎในสมัยราชวงศ์เหนือใต้จึงมีการอพยพครั้งใหญ่ จนมีการผสมกับชนเผ่าหลายเผ่า จนเรียกว่า "โมเย้า" จนในสมัยราชวงศ์สุยและถัง จึงเรียกว่า "เย้า" ในสมัยราชวงศ์หยวนและหมิง เย้าอพยพตั้งถิ่นฐานในมณฑลกวางสี กวางตุ้ง บางส่วนอพยพไปยังมณฑลกุ้นโจว ยูนนาน อีกส่วนอพยพเข้าไปในประเทศเวียดนาม ลาว และไทย เมื่อปี พ.ศ.2518 สิ้นสุดสงครามปลดแอกในลาว เย้าจึงมีการอพยพไปตั้งถิ่นฐานในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส และบางประเทศในทวีปยุโรป (หน้า63-64) |
|
Settlement Pattern |
เย้า ชุมชนประกอบด้วยหลายแซ่ตระกุล ตั้งบ้านเรือนรวมกันเป็นหมู่บ้านระหว่างหุบเขาสองลูก พื้นที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000-1,300 เมตร มีแหล่งน้ำใกล้หมู่บ้าน นิยมปลูกบ้านเรือนคร่อมลงบนพื้นดิน โดยใช้วัสดุในพื้นที่ (หน้า 65) |
|
Demography |
เย้า ในประเทศไทยมีเย้าประมาณ 164 หมู่บ้าน 5,848 ครอบครัว ประชากร 42,551 คน กระจายตัวในพื้นที่ 9 จังหวัดคือ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง น่าน พะเยา กำแพงเพชร สุโขทัย ตาก และเพชรบูรณ์ จังหวัดเชียงรายมีเย้ามากที่สุด (หน้า 65) |
|
Economy |
เย้า ส่วนใหญ่ทำการเกษตรเพื่อยังชีพ เช่น ปลูกข้าว ข้าวโพด และผักต่างๆ และพืชเชิงพาณิชย์เช่น ส้ม ลิ่นจี่ ท้อ ชา กาแฟ สัตว์เลี้ยงที่นิยมคือ หมู ไก่ เพราะใช้ทั้งเป็นอาหารและประกอบพีกรรม มีการเก็บของป่าเป็นอาชีพเสริม นอกจากนี้มีการรับจ้างนอกหมู่บ้านและต่างประเทศด้วย (หน้า 67) |
|
Social Organization |
เย้า ระบบครอบครัว(ฮ้วงต่อย) เป็นครอบครัวขยาย มีสมาชิกไม่น้อยกว่า 4 รุ่นอายุคน เมื่อแต่งงานภรรยาต้องมาอยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่สามี จนกว่าพ่อมแม่จะเสียชีวิตจึงแยกย้ายไปตั้งบ้านเรือนของตนได้ หากยากครอบครัวไปขณะพ่อแม่ชีวิตอยู่ต้องมีเหตุผลอันสมควร เช่น บ้านเรือนคับแคบ หากพ่อแม่ไม่เต็มใจถือว่าไม่เคารพพ่อแม่ เป็นที่ตำหนิของสังคม ระบบเครือญาติ เย้าเชื่อว่าบรรพบุรุษเป็นสุนัขมังกรห้าสี ทำความดีความชอบจึงได้อภิเษกกับราชธิดาจักรพรรดิจีน มีบุตร 12 คน กลายเป็นต้นกำเนิดบรรพบุรุษ 12 ตระกูลหรือกลุ่มแซ่ เย้าให้ความสำคัญต่อญาติใกล้(เชี่ยนฟัด) เป็นสิ่งแรกเพราะเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน รับผิดชอบผีบรรพบุรุษ ประกอบพิธีกรรมสายตระกูลร่วมกัน รองลงมาคือญาติห่างๆ(เชี่ยนไง) ซึ่งเป็นผู้ที่มีบรรพบุรุษร่วมสายเลือดกัน ต่อมาแยกสาแหรกไป ถัดไปคือญาติทางการแต่งงาน(ชิ่งจาหมั่วต่อย) ญาติร่วมหมู่บ้าน(โต้งอั๋วจ่วงหลางเย้าหมั่วต่อย) และญาติร่วมเผ่า(เย้าหมั่วต่อย) ตามลำดับ โครงสร้างทางสังคม เย้าถือว่าคนคือแรงงานสำคัญ มีการแบ่งหน้าที่ระหว่างชายหญิงชัดเจนคือ ผู้ชายมีหน้าที่ทางสังคม ประเพณี พิธีกรรม และตดัสินปัญหาในบ้าน ผู้หญิงมีหน้าที่เลี้ยงดูลูก ปรนนิบัติผู้สูงอายุ ทำงานบ้านงานครัว(หน้า 65-66) |
|
Political Organization |
เย้า หมู่บ้านเป็นหน่วยการปกครองที่ใหญ่ที่สุด ไม่มีหัวหน้าเผ่าที่มีอำนาจสูงสุด ในแต่ละชุมชนมีหัวหน้าหมู่บ้าน ดูแลความสงบเรียบร้อย ตัดสินคดี เป็นตัวแทนติดต่อสังคมภายนอก หมอผีเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมและชี้ขาดด้านวัฒนธรรม คณะอาวุโสเป็นที่ปรึกษาแก่หัวหน้าหมู่บ้าน (หน้า 66) |
|
Belief System |
เย้า นับถือบรรพบุรุษและอำนาจเหนือธรรมชาติ มีหนังสือรายชื่อผีต้นตระกูลประจำบ้าน และเชื่อเรื่องผีจากธรรมชาติ มีบางส่วนนับถือศาสนาพุทธและคริสต์ (หน้า 66-67) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
เย้า สาเหตุความเจ็บป่วย 1. อำนาจเหนือธรรมชาติ 1.1 ผีทำ(เมี้ยนมั๊ว) เย้าเชื่อว่า "ผี (เมี้ยน)" คือเทพยาดา วิญญาณของคนและสิ่งมีชีวิต เป็นสิ่งมีอำนาจเหนือมนุษย์ ให้ทั้งคุณและโทษ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์ต่อผี แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มคือ ผีใหญ่(ต้มต้องเมี้ยน) หรือเทพยดาในลัทธิเต๋าที่เย้านับถือ เป็นผู้ควบคุมโลก จักรวาล และกลุ่มที่เกิดจากมนุษย์และอาศัยอยู่บนฟ้า มีอำนาจเหนือสิ่งทั้งปวง ผีใหญ่สามารถทำให้คนเจ็บและตายได้หากนำรูปผีใหญ่มาใช้โดยไม่ประกอบพิธี ทำรูปสกปรกเสียหาย หรือประกอบพิธีไม่ถูกต้อง ผีเรือน (เบี้ยวเยเมี้ยน) มี 2 ประเภท คือ 1)ผีบรรพบุรุษ (องถายเมี้ยนหรือจ่าฟิน) ซึ่งสามารถทำร้ายลูกหลานได้หากเมื่อมีชีวิตอยู่ได้ทำกรรมไว้มาก หลังจากเสียชีวิตต้องทรมาน ต้องการให้ลูกหลานซื้อเวรซื้อกรรม ทำความสะอาด(โจ๋วซิน)ให้ โดยหากลูกทำให้พ่อแม่เจ็บช้ำขณะมีชีวิต หรือทำผิดต่อผีพ่อแม่ก็จะเจ็บป่วย 2)ผีประจำพื้นที่ต่างๆ ในบ้าน คือ ผีประตู(หม่วนเกวนเมี้ยน) ทหารประจำตัวผีบรรพบุรุษ(ห้าต้านแปง) จะไม่ทำร้ายผู้คน เว้นแต่ ผีเตาไฟ(โหยเมี้ยน) จะดุร้ายหากมีคนล่วงเกิน ทำให้เจ็บป่วย ผีนอก (กะเหยี่ยเยยเมี้ยน) คือผีทุกชนิดหรือวิญญาณของสรรพสิ่งทุกอย่างบนโลก มีจำนวนมาก ไม่มีเจ้าปกครอง อยู่ร่วมโลก ใกล้ชิดมนุษย์ ผีนอกบางตนอาจทำให้คนตายได้ แต่บางตนก็ช่วยเหลือคน ผีนอกจะทำร้ายคนเมื่อต้องการเครื่องเซ่นไหว้ หรือเมื่อมีผู้ละเมิดล่วงเกิน ผีนอกที่สำคัญคือ 1)ผีนาคหรือผีน้ำใหญ่ที่สุด มีฤทธิ์มากแต่ไม่ทำร้ายคน 2)ผีน้ำธรรมดา จะบัลดาลให้ปวดท้อง อก แข้งขา ไข้หนาวสั่น เมื่อทำให้น้ำสกปรก 3)ผีหนองน้ำ (ย่างเมี้ยน) จะทำร้ายหากถูกรบกวน 4)ผีดิน (ปามเมี้ยน) 5)ผีเส้นเลืดดิน(ล่วงมี้ยน) หากล่วงเกินจะทำมาหากินและเลี้ยงสัตว์ไม่รุ่งเรือง 6)ผีตายโหง(ซูงเมี้ยน) เป็นผีไม่มีญาติ 7)ผีลม มีฤทธิ์ทำลายบ้านเรือน 8)ผีนางไม้ (เหยี่ยนฟิวเมี้ยน)อาศัยตามต้นไม้ใหญ่ ถ้า หน้าผา ทำร้านคนเมื่อละเมิดที่อยู่ หรือเมื่อต้องการนำวิญญาณไปเป็นสามีภรรยา (หน้า 67-69) 1.2 ผีประจำตัว(ฝีงเมี้ยน/เปี้ยงเมี้ยน) เย้าเชื่อว่าทุกคนจะมีผีประจำตัว แต่ละวัยเรียกแตกต่างกัน วัยเด็กเรียกว่า "เปี้ยงเมี้ยน" หรือผีดอกไม้เพราะเชื่อว่ามนุษย์เกิดมาจากดินแดนดอกไม้(โต่หย่วงต่ง) เมื่ออายุ 15 ขึ้นไปหรือผ่านพิธีออกจากวัยเด็ก(ชวดเปี้ยงเลี่ยม) เข้าสู่วัยผู้ใหญ่เรียกว่า "ฝีงเมี้ยน" เย้าไม่นิยมดุด่าเด็กด้วยวาจารุนแรงหรือขู่ฆ่าเพราะเชื่อว่าจะทำให้ "เปี้ยงเมี้ยน" ตกใจหนีไป เด็กอาจตายได้ (หน้า 69) 1.3 ขวัญ (เวิ่นหรือเวิ่นแบะ) เย้าเชื่อว่าทุกคนจะมีขวัญประจำตัว หากขวัญมีพลังก็จะให้ให้ร่างกายจิตใจเข้มแข็ง ขวัญเด็กเรียกว่า "เปี้ยง" ขวัญผู้ใหญ่เรียกว่า "เวิ่น" ขวัญจะติดตัวไปจนตาย สามารถเข้าออกร่างกายได้ตามต้องการ ต้องการการเซ่นไหว้จากเจ้าของ บางครั้งขวัญไม่อยู่กับร่างกาย (เวิ่นแบะอึมเอียนซิน) เพราะ 1)ขวัญหลง (เวิ่นต่อง) เกิดจากเจ้าของขวัญไม่ทำพิธีเซ่นไหว้หลายปี ทำให้เจ้าของขวัญตัวเหลือง อ่อนเพลีย ไม่รับประทานอาหาร เจ็บป่วยได้ง่าย 2)ขวัญหนี (จุ๊เฮ้ย) เมื่อผู้นั้นตกใจรุนแรง กลัวสุดขีด ทำให้ร่างกายจิตใจอ่อน ไม่มีแรง ควบคุมตัวเองไม่ได้ 3)ขวัญหนีไปเกิดใหม่ (ฝาวทอย/เปี้ยวทอย) เกิดเมื่อขวัญไม่อยากอยู่กับเจ้าของต้องการเกิดใหม่ หากแก้ไขหรือทำพิธีเรียกขวัญกลับไม่สำเร็จ เจ้าของขวัญจะตาย ลักษณะอาการคือ ตัวเหลือง ตาเหลือง ตัวบวม ป่วยเรื้อรัง มีเส้นเลือดขึ้นบริเวณหลังใบหูกับข้อนิ้วมือ (หน้า 69-70) 1.4 คุณไสย (ปู๋งเจียม) เย้าเชื่อว่าเป็นวิชาที่เรียนมาจากเผ่าอื่น เป็นการเสกสิ่งของด้วยคาถาเข้าร่างกายของคนที่เป็นเป้าหมาย หากแก้ไม่ทันอาจทำให้ตายได้ หากปล่อยไม่ทันคุณไสยจะไปหากินในรูปของแมลง หรือเข้าผู้เป็นเจ้าของเอง (หน้า 70-71) 1.5 ชะตาตก(เวิ่นเฉียไอ๊) เย้าเชื่อว่าชะตาชีวิตมีทั้งขึ้นสูง(เวิ่นเฉียฮลัง) จะทำให้ชีวิตราบรื่น หากชะตาชีวิตตกต่ำ(เวิ่นเฉียไอ๊) มักจะพบแต่สิ่งไม่ดี ผีจะไม่เกรงกลัว รังแกได้ง่าย ทำให้เจ็บป่วยโดยไม่มีสาเหตุ เกิดสิ่งไม่ดีต่างๆ (หน้า 71) 1.6 เคราะห์ร้าย(เห้นโต่) "เคราะห์(เห้นโต่)" คือสิ่งไม่ดีที่แทรกเข้ามาในชีวิต มีทั้งเคราะห์ใหญ่(ต้มเห้นโต่) และเคราะห์เล็ก(ฟิวเห้นโต่) สามารถคาดเดาจากการตรวจดวงชะตากับวันเดือนปีเกิด บางครั้งหากจะมีเคราะห์ใหญ่เกิดขึ้น ผีบรรพบุรุษจะบอกให้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เรียกว่า ผีบอก(เมี้ยนปู๋ไกว่) จะทำให้สามารถแก้ไขได้ทัน (หน้า 71-72) 2. เกิดขึ้นตามธรรมชาติ 2.1 สภาพภูมิอากาศ สภาพภูมิอากาศจะทำให้คนเราเจ็บป่วยได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม หากไม่สามารถปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลง เย้าแบ่งฤดูกาลออกเป็น 4 ฤดูกาล ฤดูกาลละ 3 เดือน ตามลักษณะภูมิอากาศแบบอบอุ่นของถิ่นที่อยู่เดิม 1) ฤดูใบไม้ผลิ(ชุนก๋วย) เริ่มเดือนมกราคมหรือต้นกุมภาพันธ์ ภูมิอากาศร้อน เป็นช่วงเตรียมการเพาะปลูก มักจะเจ็บป่วยเป็นไข้ ไข้หวัด ไข้หนาว ไข้มาลาเรีย อีสุกอีใส 2) ฤดูร้อน(ห่าก๋วย) เริ่มปลายเดือนเมษายน ฝนตกชุก ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงง่าย เป็นช่วงเพาะปลูก มักจะเจ็บป่วยเป็นไข้ ไข้หวัด มาลาเรีย ปัสสาวะปวดขัดแสบ 3) ฤดูใบไม้ร่วง(เชียวก๋วย) เริ่มปลายเดือนสิงหาคม ภูมิอากาศเย็นสบาย เป็นช่วงกำจัดวัชพืช มักจะเจ็บป่วยเป็น ไข้ข้าวเหลือง(เบี้ยวย่างจ๊วง) 4) ฤดูหนาว(ตงก๋วย) เริ่มกลางเดือนพฤศจิกายน ภูมิอากาศหนาว เป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต มักจะเจ็บป่วยเป็นไข้หวัด ไอ (หน้า 72-73) 2.2 เกิดเองตามธรรมชาติ(ป้วนซินแปง) เป็นการเจ้บป่วยที่เกิดขึ้นเองตามสภาวะร่างกาย เช่น กินของเป็นพิษ(หยั่นต่องกะหน้าย) กินผิดหรือประมาท(ไม๊ไฝ่ฟิม) ความเจ็บป่วยทั่วไป อวัยวะต่างๆ ทำงานไม่สมบูรณ์ (หน้า 73) กระบวนการวินิจฉัยโรค เพื่อค้นหาสาเหตุความเจ็บป่วยโดยการทำพิธีที่เรียกว่า "โบ๊วกว่า" มี 2 แบบคือ 1) พิธีแบบใหญ่(โบ๊วต้มโบ๊ว) ใช้ในกรณีเจ็บป่วยรุนแรง หมอผีและผุ้ช่วยเข้าทรง(ปุดต้ง) เป็นผู้ประกอบพิธีสอบถามสาเหตุจากผีบรรพบุรุษให้บอกผ่านร่างทรง โดยทำพิธีหน้าหิ้งผี 2)พิธีแบบเล็ก(ดบ๊วบะกว่าตอน) ใช้ในกรณีเจ็บป่วยเล็กน้อย เป็นการสอบถามสาเหตุจากผีบรรพบุรุษให้บอกผ่านเครื่องมือหรืออุปกรณืในลักษระการเสี่ยงทาย ไม่จำเป็นต้องทำพิธีหน้าหิ้งผี (หน้า 75-76) วิธีการรักษาพยาบาล จากการที่เย้านับถือผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะผีบรรพบุรุษ ภูติผีตามธรรมชาติ และโชคลาง หากเกิดความเจ็บป่วยจึงมักคิดว่าเป็นการกระทำของผี ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากลบหลู่สถานที่มีผีประจำอยู่ หรือลบหลุ่ผีบรรพบุรุษ จึงนิยมให้หมอผีประกอบพิธีรักษา เพื่อแสดงการขอขมา ร่วมกับการใช้สมุนไพร หมอผีจึงมีอิทธิพลต่อคติความเชื่อเย้าเป็นอย่างมาก หมอผีสามารถแบ่งได้ 2 ระดับคือ 1) หมอผีเล็ก(หาจ๋ายเมี้ยน) มี 2 ประเภทคือ "ซิบเมี้ยนตอน" ทำพิธีเล็กๆ 2-3 พิธี "โจ๋วไซตอน" ประกอบพิธีได้ทุกพิธี แต่ไม่มีสิทธิประกอบพิธีเป่าเขาควายสื่อสารผีเทวดาที่ปกครองโลกและจักรวาลได้ 2) หมอผีใหญ่(จ่างจ๋ายเมี้ยน) ทำพิธีกรรมสื่อสารไปยังผีทุกกลุ่ม มีสิทธิประกอบพิธีเป่าเขาควายสื่อสารผีเทวดาที่ปกครองโลกและจักรวาลได้ มี 2 ประเภทคือ "โจ๋วไซอง" สามารถประกอบพิธีได้ทุกพิธียกเว้นพีบวชใหญ่ "ต่มไซต้มโต่ (โซปิ้ว)" มีสถานภาพสูงสุด สามารถประกอบพิธีได้ทุกพิธี หมออีกประเภทหนึ่งคือ หมอยาสมุนไพร เกิดจากการสืบทอดโดยตรง ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ ไม่มีการบันทึกเป็นตำรา ครูหมอยาแต่ละท่านมีความรู้เฉพาะด้านไม่เหมือนกัน (หน้า 75) โดยการรักษาการเจ็บป่วยที่เกิดจากการกระทำของอำนาจเหนือธรรมชาติจะเป็นการประกอบพิธีกรรมเป็นหลัก หรือใช้วิธีขอขมา แต่หากเกิดจากสาเหตุขวัญไม่อยู่กับตัวจะมีการประกอบพิธีหลายลักษณะขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น ขวัญหลงจะทำพิธีสู่ขวัญ(โจวเวิ่น) ผู้ที่ถูกคุณไสยก็ต้องใช้หมอผีแก้ไขเวทมนตร์คาถา และหากเกิดจากความเจ็บป่วยตามธรรมชาติ ไม่สามารถรักษาด้วยพิธีกรรม ต้องรักษาด้วยยาสมุนไพร หรืออื่นๆ ประกอบ เช่น เวทมนตร์คาถา (หน้า76-77) ในอดีตหมอพื้นบ้านจะมีบทบาทสำคัญในการรักษาพยาบาล แต่ในปัจจุบันหมอพื้นบ้านโดยเฉพาะหมอยาสมุนไพรได้พยายามปรับเปลี่ยนเป็นเป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้น แต่ด้วยความนิยมที่มีน้อย พืชสมุนไพรบางชนิดหายาก และมียาแผนใหม่ที่รักษาได้ทุกโรค หาซื้อได้ง่าย ทำให้การรักษาแบบพื้นบ้านลดลง (หน้า 77-78) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
รูปภาพได้ปรากฏอยู่ในส่วนต่างๆ ของบทความ แต่ไม่ได้ระบุชื่อภาพ โดยเป็นภาพวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆ ประกอบด้วย หน้าที่ 61, 63-64, 70, 72, 74, 76 |
|
|