|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กะเหรี่ยงสกอว์,เพศ,การเคลื่อนย้ายถิ่น,การเปลี่ยนแปลง,ความสัมพันธ์,กลุ่มชาติพันธุ์,เชียงใหม่ |
Author |
Yoko Hayami |
Title |
Mobility and Interethnic Relationships among Karen Women and Men in Northwest Thailand : Past and Present |
Document Type |
ร่างรายงานผลการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
21 |
Year |
2541 |
Source |
Inter – Ethnic Relations in the Making of Mainland southeast Asia.Vol.1, Compiled by Hayashi, Yukio, pp. 288 - 308, Center for Southeast Asian Studies Kyoto University. |
Abstract |
บทความนี้มาจากการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการย้ายถิ่น (mobility) ของกะเหรี่ยง (โดยเฉพาะกะเหรี่ยงสกอว์) ที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งกล่าวถึงความต่อเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนย้ายถิ่นของกะเหรี่ยงในสองประเด็น คือ 1) บรรทัดฐานทางสังคม (norms) ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายถิ่นซึ่งแบ่งแยกตามเพศ (gender) 2) ความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์และเครือข่ายทางสังคมและภูมิภาค ถูกกำหนดนิยามใหม่โดยการเคลื่อนย้ายถิ่นที่ถูกแบ่งแยกตามเพศ (หน้า 289) แนวโน้มของการเคลื่อนย้ายถิ่นในหมู่กะเหรี่ยงเปลี่ยนแปลงไปจากการเคลื่อนย้ายเพื่อการค้า ไปสู่การเคลื่อนย้ายเพื่อเป็นแรงงานรับจ้างในระดับภูมิภาค และสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่คือการเคลื่อนย้ายเพื่อแสวงหาโอกาสทางการศึกษาและไปเป็นแรงงานรับจ้างในเมือง ซึ่งปรากฏเพิ่มขึ้นในหมู่หนุ่มสาวโดยเฉพาะหญิงสาวกะเหรี่ยง โดยปกติมีมาตรฐานทางสังคมจำกัดการย้ายถิ่นของผู้หญิงในหมู่บ้านกะเหรี่ยงบนเขา ทำให้ผู้หญิงมีการเคลื่อนย้ายถิ่นน้อยกว่าผู้ชาย ฉะนั้น การเพิ่มขึ้นของจำนวนหญิงสาวกะเหรี่ยงในเมือง จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ บรรทัดฐานทางสังคมที่ควบคุมการย้ายถิ่นของผู้หญิงไม่ได้เพียงสะท้อนมโนคิดของกะเหรี่ยงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์เท่านั้น แต่ยังกำหนดรูปลักษณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่มาตรฐานทางสังคมที่ควบคุมการเคลื่อนย้ายถิ่นของผู้หญิงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่โดยตัวของผู้หญิงเองก็ท้าทายและฝ่าฝืนต่อบรรทัดฐานทางสังคมดังกล่าว และด้วยกระบวนการเช่นนี้ได้กำหนดนิยามหรือขอบเขตใหม่ให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ (หน้า 290, 304) |
|
Focus |
บรรทัดฐานสังคม (norms) ในการเคลื่อนย้ายถิ่น (mobility) ของกะเหรี่ยง สกอว์ (Sgaw) ในหมู่บ้านทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถูกแบ่งแยกความแตกต่างตามเพศ และเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์และเครือข่ายทางสังคม (หน้า 289, เชิงอรรถ 3 หน้า 290) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงสกอว์ (Sgaw Karen) ในหมู่บ้านทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ เรียกตัวเองว่า “ปกาเกอะญอ” (pga k’ nyau) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ปกาเกอะญอ (pga k’ nyau) คำศัพท์เกี่ยวกับทิศทางของกะเหรี่ยง : ในคำศัพท์ของกะเหรี่ยงมีคำว่า “ตะวันออก” คือ “mu hae thau” หมายถึงด้านที่พระอาทิตย์ขึ้นส่องสว่าง มีคำว่า “ตะวันตก” คือ “mu lau nuu” ด้านที่พระอาทิตย์ตก และทางตะวันตกมักจะเป็นทิศทางที่ถือกันว่า เป็นทิศทางที่บรรพบุรุษจากมา อย่างไรก็ตาม ไม่มีคำที่สอดคล้องกับทิศเหนือและทิศใต้ มีเพียงคู่ของคำที่แสดงให้เห็นภาพของทิศทาง คือคู่ของคำเฉพาะที่บ่งบอกตำแหน่ง ได้แก่คำว่า “thi khi” หมายถึง “ต้นน้ำ / upstream” และ “thi ta” หมายถึง “ปลายน้ำ / downstream” เป็นต้น (เชิงอรรถ 8 หน้า 292-293) คำที่ใช้เกี่ยวกับการเดินทาง : ในคำกะเหรี่ยงสำหรับคำว่าเดินทาง (traveling) เปลี่ยนแปลงไปตามวัตถุประสงค์ เช่น เดินทาง “ไปทำงาน” ใช้คำว่า “lae ta”, “ไปเรียน” ใช้คำว่า “lae ma lo ta”, “ไปค้าขาย” ใช้คำว่า “lae cha ta bwae ta”, หากไม่มีวัตถุประสงค์เฉพาะ เป็นการเดินเล่น ใช้คำว่า “ha” มีความหมายว่า “เดิน” หากเป็นการเดินอย่างไม่มีวัตถุประสงค์ไม่มีความหมายใช้คำว่า “ha lo lo” หากเป็นผู้หญิงเดินทางออกไปนอกหมู่บ้านโดยไม่มีวัตถุประสงค์เฉพาะ มักถูกกล่าวถึงด้วยน้ำเสียงในทางเสื่อมเสียว่า “a ha na jau” หมายถึงเป็นการท่องเที่ยวที่ไม่ดีงาม (หน้า 295) |
|
Study Period (Data Collection) |
ดำเนินงานภาคสนามตั้งแต่ปี ค.ศ.1987-1989 และช่วงเวลาสั้น ๆ ในปี ค.ศ.1996 และ 1997 (เชิงอรรถ 3 หน้า 290) และงานวิจัยนี้ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยต่อเนื่อง ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ (หน้า 288) |
|
History of the Group and Community |
จากคำบอกเล่าของชาวบ้านในพื้นที่ที่ผู้เขียนศึกษาเกี่ยวกับการเดินทางเคลื่อนย้ายของตนและชาวบ้านในหมู่บ้านระบุว่า ชาวบ้านที่มาตั้งถิ่นฐานเริ่มแรกเมื่อต้นศตวรรษที่ผ่านมาเดินทางมาจากพม่า ผู้ชายหลายคนในหมู่บ้านมีประสบการณ์ทำงานกับบริษัทตัดไม้ในทั้งสองฝั่งของพรมแดน เช่น ในพื้นที่รัฐฉาน ในแม่ฮ่องสอน และมาทางตะวันตก หรือพื้นที่ใกล้เคียงกับแม่สะเรียง จนกระทั่งทศวรรษที่ 1960 พรมแดนที่ชัดเจนเริ่มมีผลกระทบต่อการอพยพเคลื่อนย้ายของชาวบ้าน ตามข้อมูลของชายคนหนึ่งที่ทำงานในฝั่งพม่าเมื่อทศวรรษที่ 1950 บอกว่า ในเวลานั้น พื้นที่เหล่านี้ไม่มีพรมแดน ไม่มีวันรู้ว่าอยู่ในพม่าหรืออยู่ในไทย แต่ปัจจุบันหากเดินทางตามเส้นทางหลัก จะเดินผ่านหมุดปักเขตแดน และจำเป็นต้องรับบัตรประจำตัวผ่านแดน อย่างไรก็ตาม การแบ่งเขตพรมแดนที่ชัดเจนนี้ได้เพิ่มการโยกย้ายถิ่นจากทั้งสองด้าน ไม่ใช่มีเพียงผู้อพยพลี้ภัยและพ่อค้าที่มาจากพม่าเท่านั้น แต่กะเหรี่ยงจากประเทศไทยและชาวบ้านจากหมู่บ้านในพื้นที่นี้ก็ข้ามไปฝั่งพม่าเช่นกัน เช่น การไปตัดไม้ในฝั่งพม่า เป็นต้น เนื่องจากมีกิจการตัดไม้เกิดขึ้นในฝั่งพม่ามาก (หน้า 290, 292) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 สามารถยังชีพได้ด้วยตัวเองและมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ กะเหรี่ยงจึงไม่ค่อยออกไปเป็นแรงงานรับจ้างให้กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ หลังทศวรรษที่ 1920 จังหวัดทางภาคเหนือถูกรวมเข้ากับการปกครองของกรุงเทพ กะเหรี่ยงจำนวนมากถอยกลับไปอยู่บนดอย และเมื่อประชากรบนเขามีเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดแรงกดดันด้านที่ดินทำกิน ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างหนักจนต้องขายทรัพย์สินที่มี และเริ่มไปเป็นแรงงานรับจ้างในเหมืองดีบุก ตัดไม้สัก เป็นต้น (Renard 1980) การเปลี่ยนแปลงจากการเคลื่อนย้ายถิ่นเพื่อการค้าไปเป็นเพื่อเป็นแรงงานรับจ้างตามที่ Renard อธิบาย เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งรวมถึงกลุ่มกะเหรี่ยงในหมู่บ้านที่ผู้เขียนศึกษาด้วย (หน้า 296) ผู้เขียนแบ่งขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนย้ายถิ่นของกะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษาเป็น 3 ขั้นตอน โดยมีช่วงเวลาที่เหลื่อมซ้อนกัน ซึ่งสัมพันธ์กับเศรษฐกิจและการยังชีพของครัวเรือนกะเหรี่ยงในพื้นที่ที่ศึกษา (รายละเอียดดูหัวข้อ Socio-cultural and Identity Change) “สหาย” (sahais) ในบางพื้นที่มีรายงานว่า กะเหรี่ยงบนเขาสร้างความสัมพันธ์กับพ่อค้าคนกลางพื้นราบที่มีอิทธิพล ซึ่งช่วยกะเหรี่ยงเหล่านี้ในเรื่องการค้า จัดหาแผงขายของและบางครั้งก็ขยายสินเชื่อให้ ในปี ค.ศ.1960 ร้อยละ 50 ของครอบครัวกะเหรี่ยงสกอว์ในพื้นที่จอมทองมี “สหาย” (sahais) เป็นพันธมิตรอย่างไม่เป็นทางการ (Marlowe 1979 : 185-6) ในอีกด้านหนึ่งกะเหรี่ยงก็จะให้การต้อนรับดูแลคนพื้นราบที่ขึ้นไปบนดอยเช่นกัน และในยามจำเป็นกะเหรี่ยงก็พึ่งพาขอยืมข้าวจาก “สหาย” (sahais) ความสัมพันธ์บางครั้งกลายเป็นพื้นฐานของการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ ความสัมพันธ์ระหว่างกะเหรี่ยงกับคนไทยภาคเหนือในลักษณะนี้ มีรายงานพบในจอมทองและสะเมิง แต่ไม่ปรากฏในแม่แจ่มตะวันตกและแม่สะเรียง ในพื้นที่แม่สะเรียงมีการค้าระหว่างกะเหรี่ยงกับหมู่บ้านลัวะ หรือกะเหรี่ยงกับพ่อค้าคนไทยภาคเหนือในเมือง ทั้งสองกรณีดังกล่าวเป็นคู่ค้าที่เหนียวแน่น แต่ไม่ใช่ “สหาย” (sahais) (kunstadter 1979, 143, 150) จากพื้นที่ที่ผู้เขียนศึกษาในแม่แจ่มตะวันตก มีผู้ชายเพียงคนเดียวที่กล่าวกันว่ามีคนไทยภาคเหนือเป็น “สหาย” (sahai) (หน้า 297) ตัวอย่างการเดินทางไกลของผู้ชาย T ในช่วงวัยรุ่น (1940s) เดินทางและทำการค้าร่วมกับพ่อ จากเชียงรายถึงลาว จากแม่สะเรียงถึงพม่า บรรทุกผ้าไหมไปขาย ในช่วงวัยหนุ่มทำงานลากซุงกับช้างในบริษัทตัดไม้ทั้งของคนเมืองในพื้นที่แม่สะเรียง และทำกับบริษัทต่องสู้ (Tongsu) ใกล้ ๆ กับ Loi Kaw ในพม่า รายได้ที่ได้มาใช้ไปกับการเพิ่มพูนทรัพย์สิน T เรียนไบเบิลในโรงเรียนสอนไบเบิลของกะเหรี่ยงและแต่งงานกับกะเหรี่ยงในพม่า ช่วงทศวรรษที่ 1950 กลับประเทศไทยแต่งงานใหม่ T มีเครือข่ายเพื่อนและความเฉลียวฉลาดทางการค้า T เป็นคนเดียวในพื้นที่ที่มี “สหาย” (Sahai) T ให้ข้อมูลว่า ในเวลานั้นฤดูกาลหนึ่ง ๆ ของการทำงานหรือการทำการค้าจะหาเงินได้จำนวนมาก เงินทั้งหมดที่มีอยู่สะสมมาจากการเดินทางทำงานและทำการค้าในวัยหนุ่ม แต่ปัจจุบันการทำงานหรือทำการค้าฤดูกาลหนึ่งหาเงินได้ไม่เพียงพอ และทุกวันนี้สิ่งที่สะสมมาได้ตกเป็นของลูก ซึ่งไม่สามารถทำมาหากินเลี้ยงตัวเองได้ ลูก ๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับทรัพย์สิน T บอกว่าพวกเขาไม่คิด พวกเขาไม่เดินทาง และแต่งงานตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม คิดแต่จะแต่งงานแล้วลงหลักปักฐาน S เกิดในพื้นที่กะเหรี่ยง-ฉานในอำเภอปาย เดินทางไกลจากเชียงใหม่ไปแม่สะเรียงและแม่ฮ่องสอน ในวัย 50 ปีเขาซื้อผ้าและเส้นด้ายจากเชียงใหม่ซื้อลูกปัดและเครื่องประดับจากคนฉาน (Shan) ในแม่สะเรียงหรือจากพม่า และขายให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านบนดอย N อยู่ในพม่า 8 ปี ในทศวรรษที่ 1960 ทำงานกับบริษัทตัดไม้ แต่งงานในพม่ากับกะเหรี่ยงขาว (Bwe) จากนั้นเดินทางกลับมาอยู่กับญาติ ๆ ในประเทศไทย และแต่งงานกับภรรยาคนปัจจุบัน C กับช้างร่วมกันไปทำงานในกิจการตัดไม้ โดยข้ามพรมแดนไป จนกระทั่งทศวรรษที่ 1980 เดินทางไปกับช้างระหว่างฤดูแล้ง ในบางปีก็ให้บริษัทตัดไม้ในลำปางเช่าช้าง หรือในบางปีก็ไปทำงานในรัฐฉานประเทศพม่า (หน้า 300-301) |
|
Social Organization |
ผู้เขียนนำเสนอบรรทัดฐานสังคม (norms) บางประการที่แบ่งแยกการเคลื่อนย้ายถิ่นระหว่างหญิงกับชายในสังคมกะเหรี่ยงบนดอย ซึ่งมีเส้นแบ่งพฤติกรรมการเคลื่อนย้ายถิ่นระหว่างชายกับหญิงไว้อย่างชัดเจน ในกรณีของผู้ชายกะเหรี่ยง ชายหนุ่มที่ยังไม่แต่งงานมักไม่มีสถานที่ให้นอนในบ้านของพ่อแม่ จะเดินเตร่อยู่ในบ้านและนอกบ้าน มักอยู่กับเพื่อน บางครั้งก็อยู่คนเดียว หลังแต่งงานผู้ชายกะเหรี่ยงจะอาศัยอยู่ในบ้านของฝ่ายภรรยา ผู้ชายจึงมีโอกาสสร้างเครือข่ายคนรู้จักคุ้นเคยผ่านการเดินทางเที่ยวเตร่ ซึ่งรวมถึงเครือญาติจากการแต่งงานด้วย และด้วยเครือข่ายทางสังคม ประสบการณ์ และความรู้ที่ผู้ชายได้รับจากการเดินทางไกล ทำให้ผู้ชายมีสถานภาพและได้รับความนับถือ สำหรับผู้หญิงกะเหรี่ยง มีสถานภาพสำคัญและมีอิสระในครัวเรือนและในชุมชน ชีวิตแต่งงานของหญิงกะเหรี่ยงจะมีความมั่นคง หลังแต่งงานจะอยู่แต่ในหมู่บ้านกับญาติพี่น้องของตน ชีวิตประจำวันไม่ว่าจะก่อนหรือหลังแต่งงานไม่ต่างกันมากนัก ชีวิตหญิงกะเหรี่ยงถูกกำหนดขอบเขตไว้ภายในโลกของหมู่บ้าน ผู้หญิงไม่ควรเดินเข้าป่าตามลำพัง โดยให้เหตุผลว่าผู้หญิงอ่อนแอกว่า เปราะบางมาก อาจได้รับอันตรายจากผีและสัตว์ร้ายในป่า ผีร้ายในป่านั้นรวมถึง “ผู้ชายไทยภาคเหนือ” ด้วย เพราะอาจจะนำความเสื่อมเสียมาสู่ผู้หญิงได้ ผู้หญิงที่เดินเที่ยวเตร่อย่างอิสระภายนอกหมู่บ้าน จะถูกกล่าวถึงด้วยน้ำเสียงในทางไม่ดีด้วยคำว่า “ha na jau” ซึ่งมีความหมายถึงการเดินทางเร่ร่อนเสื่อมเสีย หญิงกะเหรี่ยงที่ไม่รู้ภาษาคำเมืองจะไม่กล้าเผชิญหน้า พูดคุย หรือเดินทางไปในหมู่บ้านคนเมือง หรือแม้จะอยู่ในหมู่บ้านของตัวเองก็ตามมาตรฐานทางสังคมเดียวกันนี้ก็ใช้กับผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่ใช่กะเหรี่ยงด้วย เช่น เจ้าหน้าที่ไทย ทหาร ตำรวจ หรือคนแปลกหน้าอื่น ๆ ที่เข้ามาในหมู่บ้าน ผู้หญิงกะเหรี่ยงที่แม้จะรู้ภาษาไทยก็จะหลีกเลี่ยงที่จะพูดด้วย การพูดคุยกับชายแปลกหน้าที่ไม่ใช่กะเหรี่ยงแม้จะโดยบังเอิญ ก็จะทำให้ชื่อเสียงของผู้หญิงเสื่อมเสียได้ ดังนั้น ในแง่ของสถานที่ (space) และการสื่อสาร (communication) เป็นมาตรฐานทางสังคมที่ควบคุมการเคลื่อนย้ายของผู้หญิงกะเหรี่ยงเข้มงวดมากกว่าผู้ชาย อย่างไรก็ตาม หญิงกะเหรี่ยงไม่ได้ถูกจำกัดให้มีแต่ชีวิตในหมู่บ้านโดยสิ้นเชิง มีหนทางที่เหมาะสมสำหรับหญิงกะเหรี่ยงในการเดินทางออกนอกหมู่บ้านได้โดยที่ไม่ต้องฝ่าฝืนมาตรฐานทางสังคม เช่น ก่อนแต่งงานได้ร่วมเดินทางช่วงสั้น ๆ เพื่อไปค้าขายกับกลุ่มญาติผู้ชายหรือกลุ่มผู้หญิง เป็นต้น (หน้า 297) โดยเฉพาะในปัจจุบันสภาพทางเศรษฐกิจสังคมทำให้การเคลื่อนย้ายถิ่นของคนเป็นเรื่องจำเป็น ผู้หญิงมีการเดินทางเพื่อการศึกษาและเพื่อไปเป็นแรงงานรับจ้างในเมืองเพิ่มขึ้น (หน้า 295-296) |
|
Education and Socialization |
สมัยก่อน ชาวบ้านที่ไม่ใช่คริสเตียนในหมู่บ้าน จะส่งเด็กชายไปบวชเณรที่วัดโสดา เพื่อให้ได้รับการศึกษาด้วย วัดโสดาเป็นวัดที่อยู่ในโครงการธรรมจาริก ซึ่งอยู่ในเชียงใหม่ สอนทั้งศาสนาพุทธและสอนหลักสูตรปกติของทางโลกควบคู่ไปด้วย (เชิงอรรถ10 หน้า 301) เมื่อมีโรงเรียนชั้นประถมตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1978 ครอบครัวที่มีอันจะกินเริ่มส่งลูกชายลูกสาวไปเรียนหนังสือในโรงเรียนประถมของหมู่บ้าน และบางคนก็ส่งไปเรียนต่อนอกหมู่บ้าน ส่วนชั้นมัธยม มีโรงเรียนมัธยมต้น (ถึงมัธยมสาม) ) สองโรงเรียนตั้งอยู่ในตำบล (subdistrict) และทั้งสองโรงเรียนตั้งอยู่ในหมู่บ้านกะเหรี่ยง แห่งหนึ่งก่อตั้งโดยกะเหรี่ยงแบ็บตีสท์ (Karen Baptist Convention) ส่วนอีกแห่งหนึ่งเป็นโรงเรียนรัฐบาล ในกรณีที่ส่งลูกไปเรียนนอกหมู่บ้าน เด็กนักเรียนจะพักอยู่ในหอพักของโรงเรียน หรือพักอยู่กับญาติในหมู่บ้านนั้น ๆ สำหรับชั้นมัธยมปลาย ที่ปาย (Pai) มีหอพักของกะเหรี่ยงคริสเตียน (Christian Karen dormitory) สำหรับในเรื่องการศึกษาในโรงเรียน ดูเหมือนว่ากะเหรี่ยงให้การศึกษาแก่ลูกชายพอๆ กับให้กับลูกสาว อย่างน้อยที่สุดก็ในระดับประถมจนถึงมัธยมต้น มีเหตุผลหลายประการที่พออธิบายได้ คือ 1) โอกาสทางการศึกษาเริ่มแรกมาจากองค์กรทางคริสต์ศาสนาแบบทิสต์ ซึ่งก่อตั้งโรงเรียนในตำบล และเพื่อเป็นการขยายการศึกษามีการจัดตั้งหอพักกะเหรี่ยง และโรงเรียนสอนไบเบิลในเชียงใหม่ เด็กสาวกะเหรี่ยงที่เป็นคริสเตียนมีแนวโน้มเดินตามเส้นทางการศึกษาที่องค์กรคริสเตียนจัดไว้ให้ คือ หลังจากจบการศึกษาชั้นประถมและมัธยมต้นแล้ว ก็จะไปเรียนระดับมัธยมปลายที่ปาย 2) ชาวบ้านได้เห็นตัวอย่างผู้หญิงที่ได้รับการศึกษามีโอกาสในการประกอบอาชีพที่ได้ค่าตอบแทนดี เช่น เป็นครู เป็นนักพัฒนา เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือทำงานในองค์กรคริสเตียน เป็นต้น 3) การศึกษาเป็นหนทางที่จะทำให้ผู้หญิงสามารถหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ (หน้า 301-302) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
“Sgaw Karen” (กะเหรี่ยงสกอว์) คำว่า “Karen” เป็นชื่อภาษาอังกฤษที่ใช้เรียกคนที่พูดภาษา Karenic มาจากคำในภาษาพม่าว่า “Kayin” ส่วนคำว่า “Kariang” (กะเหรี่ยง) ที่คนไทยใช้เรียกมาจากภาษามอญ (Mon) สำหรับคนทางภาคเหนือของไทยนิยมเรียกว่า “ยาง” (Yang) มากกว่า นอกจากนี้ ในแต่ละกลุ่มภาษาย่อย Karenic จะมีชื่อเรียกของตัวเอง กะเหรี่ยงสกอว์ (Sgaw) เรียกตัวเองว่า “ปกาเกอะญอ” (pga k’ nyau) ซึ่งมีความหมายว่าเป็น “คน” และคนที่พวกเขายอมรับว่าเป็น “ปกาเกอะญอ” ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไปตามท้องถิ่น ตัวอย่างจากข้อมูลในพื้นที่ที่ผู้เขียนศึกษา pga k’ nyau chgau (กะเหรี่ยงสกอว์), pga k’ nyau pgho (Pwo Karen), bghe (Bgwe/บเว), tosu (Tongsu/ ต่องสู้) และ b’tau (Padaung/ ปะด่อง) เป็นกลุ่มต่าง ๆ ที่เป็นปกาเกอะญอเหมือนกัน แม้แต่ “ละว้า” (k’wa/ Lawa) และ “ขมุ” (kh’mu/ Khamu) ซึ่งเป็นคนที่พูดภาษาตระกูลมอญ-เขมร (Mon-Khmer) ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็นับเนื่องว่าอยู่ในกลุ่ม “ปกาเกอะญอ” เช่นกัน (หน้า 293, ตารางหน้า 294) ตามตำนานเรื่องเล่า (Legend) กะเหรี่ยงมักพูดถึงความเป็นพี่เป็นน้อง (brothers) ซึ่งได้แก่ กะเหรี่ยง ชาติพันธุ์เพื่อนบ้านที่พูดภาษาไท (Tai) คนพม่า (Burmese/ bu yau) คนต่างชาติผิวขาว (white foreigner/ go la wa) และคนต่างชาติผิวดำ (black foreigner/ go la su ใช้กับคนที่มาจากอินเดีย) และในหมู่ชาติพันธุ์เพื่อนบ้านที่พูดภาษาไทย กะเหรี่ยงผู้ให้ข้อมูลเรียกคนไทยภาคเหนือ หรือ “คนเมือง” (khon Moung) ว่า “yau” หรือ “zau” เรียก “คนฉาน” (Shan) หรือ “ไทใหญ่” (Thai yai) ว่า “nyau” ส่วนคนเมืองและคนฉานเรียกกะเหรี่ยงว่า “ยาง” (yang) ในตำนานเรื่องเล่าจะไม่ค่อยพูดถึงคนไทยภาคกลาง (jau tae) และกลุ่มที่ถูกเรียกว่า “khae” ซึ่งได้แก่ “khae” (เป็นคนจีนในพื้นที่ซึ่งส่วนใหญ่คือ “ฮ่อ” (Haw) บางครั้งก็ปรากฏในเรื่องเล่า แต่จะอยู่ในฐานะเป็นคนแปลกหน้า (strangers) ไม่ใช่เป็นพี่เป็นน้อง), “khae meo” (Hmong/ ม้ง), “khae ikaw” (Akha/ อาข่า), khae liso (Lisu/ ลีซู), และ “khae muso” (Lahu/ ลาหู่) ผู้คนเหล่านี้ กะเหรี่ยงในพื้นที่ที่ศึกษาจัดให้เป็นประเภทเดียวกันในภาพรวม ยังมีการเรียกชื่อในอีกลักษณะหนึ่ง คือ คำว่า “yau” (คนเมือง) และคำว่า “jau tae” (คนไทยภาคกลาง) ในมุมมองของกะเหรี่ยง สามารถประยุกต์การเรียกชื่อคน ๆ หนึ่งด้วยคำเรียกที่ต่างกัน ตามบทบาทหน้าที่และความสนิทสนมใกล้ชิด เช่น คนที่เป็นเจ้าหน้าที่มักถูกเรียกชื่อด้วยความหมายที่แสดงระยะห่างไกลว่า “jau tae” ส่วนคนที่พูดภาษาเหนือที่มีการติดต่อสัมพันธ์กันอย่างสนิทสนมใกล้ชิด มักถูกเรียกว่า “yau” สรุปคือ “yau” ใช้เรียกในความหมายเป็นคนพื้นราบที่ใกล้ชิดสนิทสนมคุ้นเคยกัน ส่วน “jau tae” เป็นคนแปลกหน้าที่ห่างไกล ในขณะที่ “khae” จัดเป็นประเภทกลุ่มที่แตกต่างรวมอยู่ด้วยกัน (หน้า 293-294) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ลิก (Catholic dormitories) ในช่วงทศวรรษที่ 1980 ดูเหมือนว่า อัตราส่วนร้ผู้เขียนได้พรรณนาถึงบรรทัดฐานทางสังคม (norms) ที่จำกัดการย้ายถิ่น (mobility) ของผู้หญิงและการท้าทายฝ่าฝืนมาตรฐานนั้น โดยได้นำเสนอรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนย้ายถิ่นของกะเหรี่ยง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงเวลาที่มีความเหลื่อมซ้อนกัน ดังนี้ ช่วงที่ 1 ช่วงเวลาก่อนหน้าจนถึงทศวรรษที่ 1960 ลักษณะการเคลื่อนย้ายถิ่น (mobility) เป็นการเดินทางเพื่อการค้าย่อย (petty trading) และเพื่อให้ได้สิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1940 ถึง 1970 เบื้องต้นต้องการสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการยังชีพ เกลือ และมีการซื้อข้าวเพิ่มขึ้นในระยะหลัง เนื่องจากในช่วงทศวรรษที่ 1970 กะเหรี่ยงจำนวนมากไม่สามารถปลูกข้าวเลี้ยงชีพได้อย่างเพียงพอ (หน้า 296-297) การเดินทางมักเป็นเรื่องของผู้ชาย ระหว่างทศวรรษที่ 1940 และ 1950 ผู้หญิงมีการเดินทางไกลบ้างหนึ่งถึงสองครั้งก่อนแต่งงาน ซึ่งเป็นการเดินทางร่วมไปกับคนกลุ่มใหญ่ บางครั้งผู้หญิงก็มีการเดินทางเพื่อการค้าย่อย แต่เป็นการเดินทางที่ไม่ไกลนัก และเป็นการไปกับกลุ่มญาติที่เป็นผู้ชาย มีเหมือนกันที่เดินทางไปในกลุ่มผู้หญิงล้วน แต่ส่วนใหญ่เป็นการเดินทางไปในหมู่บ้านกะเหรี่ยงและหมู่บ้านคนเมืองในเมือง Paeng ซึ่งเดินทางได้ในวันเดียว ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 หญิงกะเหรี่ยงเริ่มเดินทางไปเมือง Paeng บ่อยขึ้น เนื่องจากมีความใกล้ชิดทั้งในเรื่องระยะทางและความเข้าใจในภาษาปกาเกอะญอของคนเมือง (zau) ในเมือง Paeng (หน้า 297-298) ช่วงที่ 2 ปลายทศวรรษที่ 1960 ถึง 1980 เป็นแรงงานในภูมิภาค : การเดินทางเพื่อการค้าย่อยเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบไปค้าย่อยด้วย และไปเป็นแรงงานรับจ้างด้วย การเพิ่มขึ้นของแรงงานรับจ้างกะเหรี่ยงในพื้นที่เกิดขึ้นหลังทศวรรษที่ 1960 มูลเหตุมาจากการพัฒนาถนนและเศรษฐกิจระบบตลาด ทำให้เกิดความต้องการเงินสดเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น การเพิ่มขึ้นของประชากรบนดอย การหดลงของนาข้าวอันเนื่องมาจากการแบ่งมรดก และการเพาะปลูกแบบตัดต้นไม้แล้วเผา (swidden) ถูกรัฐควบคุมในช่วงทศวรรษที่ 1980 ทำให้เกิดแรงกดดันด้านที่ดินทำกิน การเพาะปลูกเพื่อการยังชีพไม่เพียงพออีกแล้ว จึงจำเป็นต้องไปเป็นแรงงานรับจ้าง โดยเฉพาะในครอบครัวที่ยากจนทั้งลูกสาวและภรรยาก็มักต้องไปเป็นแรงงานรับจ้างในหมู่บ้านคนเมือง ชาวบ้านให้ข้อมูลว่าในช่วงเวลานี้ ฐานะทางเศรษฐกิจระหว่างกะเหรี่ยงกับคนเมืองเริ่มมีความแตกต่างกัน เดิมคนเมืองมีชีวิตความเป็นอยู่เหมือนกับกะเหรี่ยง แต่หลังจากที่คนเมืองหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อเงินสด (cash crops) บ้าน อาหารการกิน และรูปแบบความเป็นอยู่ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป (หน้า 298-299) นอกจากนี้ ผู้ชายกะเหรี่ยงที่อยากแสวงหาความก้าวหน้า กล้าได้กล้าเสีย จะเดินทางไกลเพื่อไปค้าขายและเป็นแรงงานรับจ้าง ซึ่งไปไกลถึงพม่า บางรายก็ไปกับช้างเพื่อรับจ้างในกิจการตัดไม้ (หน้า 300-301) (รายละเอียดดูหัวข้อ Economy) ผู้หญิงที่เดินทางไปค้าขายและเป็นแรงงานรับจ้าง เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงานเป็นหลัก แม้จะมีคนกล่าวว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วไม่สามารถค้างแรมได้ แต่ในระยะหลังผู้หญิงในกลุ่มกะเหรี่ยงที่ยากจนก็มีการค้างแรม (หน้า 298-299) เมื่อเกิดความจำเป็นทางเศรษฐกิจ เด็กสาวที่ยังไม่แต่งงาน เดินทางไปเป็นแรงงานรับจ้างในหมู่บ้านคนเมือง แม้จะไม่ถูกประณาม แต่ก็มักถูกพูดถึงคาดเดาไปในทางเสื่อมเสีย ซึ่งสะท้อนถึงความรู้สึกของชาวบ้านที่มีต่อการเคลื่อนย้ายเพื่อไปเป็นแรงงานของผู้หญิง ผู้เขียนมองว่า ไม่มีอะไรมาขวางกั้นผู้หญิงจากการทำงานเพื่อให้ได้เงินมาดูแลครอบครัวได้ ตราบใดที่การทำงานนั้นอยู่ในลักษณะที่ยอมรับได้ (หน้า 299-300) ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ กะเหรี่ยงไม่ได้เดินทางไปหมู่บ้านคนเมืองเพียงฝ่ายเดียว แต่คนเมืองก็เดินทางไปหมู่บ้านกะเหรี่ยงด้วยเช่นกัน ไปเพื่อการค้าหรือการท่องเที่ยว นอกจากหมู่บ้านคนเมืองในเมือง Paeng แล้ว ผู้ชายกะเหรี่ยงส่วนหนึ่งยังไปเป็นแรงงานที่หมู่บ้านม้ง (khae meao) ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน แต่ผู้หญิงกะเหรี่ยงจะไม่ไปทำงานในหมู่บ้านม้ง การแต่งงานระหว่างกะเหรี่ยงกับม้งก็ไม่อยู่ในความคิดเช่นกัน มีหญิงและชายกะเหรี่ยงเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ไปเที่ยวงานปีใหม่ในหมู่บ้านม้ง แต่ไม่มีม้งเคยเข้าไปเยี่ยมเยือนหมู่บ้านกะเหรี่ยงในลักษณะนี้ นอกจากไปเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้าเท่านั้น (หน้า 299-300) ช่วงที่ 3 การเคลื่อนย้ายถิ่นในทศวรรษที่ 1990 (การเคลื่อนย้ายถิ่นเพื่อการศึกษาและการอพยพเข้าเมือง) ทศวรรษที่ 1970 ถนนและโครงการสาธารณะอันหลากหลายเริ่มเข้ามาในพื้นที่ หญิงกะเหรี่ยงที่มีการศึกษา มีรายได้จากการทำงาน การศึกษาเป็นหนทางเพิ่มรายได้ในการทำมาหากิน เด็กสาวมีความกระตือรือร้นที่จะเรียน เพราะเป็นหนทางที่เปิดกว้างขึ้นสำหรับความเป็นไปได้ของความคาดหวังในชีวิต มีเด็กสาวออกจากบ้านเพื่อไปเรียนที่เชียงใหม่มากกว่าเด็กผู้ชาย เด็กผู้ชายมีแนวโน้มที่จะหมุนเวียนอยู่ระหว่างเมืองกับดอยตามงานที่จะมีให้ทำ หรือมีเหตุผลอื่น ๆ อีก แต่สำหรับเด็กสาว การศึกษาเป็นเหตุผลที่ดีในการเดินทางเข้าเมือง การเดินทางของผู้หญิงในปัจจุบันมีลักษณะที่แตกต่างจากทศวรรษที่ 1940 และทศวรรษที่ 1950 ซึ่งเป็นการเดินทางของผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่ปัจจุบันผู้หญิงมักจะเดินทางไปเชียงใหม่อยู่เสมอทั้งก่อนและหลังแต่งงาน นอกจากนี้ ในหมู่กะเหรี่ยงทั้งชายและหญิงยังมีการเดินทางเข้าเมืองเพื่อความเพลิดเพลินเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้น แม้ว่าในด้านหนึ่งตามมาตรฐานทางสังคมจะมีความรู้สึกขัดแย้งต่อการเคลื่อนย้ายถิ่นของผู้หญิง แต่ในอีกด้านหนึ่ง การเคลื่อนย้ายถิ่นด้วยวิถีที่ถูกต้องจะไม่ถูกประณาม และสามารถเป็นเครื่องแสดงสถานภาพได้อีกด้วย (หน้า 301-304) มีบรรทัดฐานทางสังคมที่กีดขวางหรือห้ามปรามเด็กสาวไม่ให้ไปเรียนที่เชียงใหม่ ชีวิตในเมืองถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับความเสื่อมถอยทางศีลธรรม เด็กสาวที่ไปอยู่ในเมืองมักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า กำลังลืมความรับผิดชอบของลูกสาวและประเพณีกะเหรี่ยง ดังนั้น ในหมู่บ้านการไปเชียงใหม่ของเด็กสาวยังมีน้อย ผู้เขียนยังไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน แต่จากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขยายตัวอย่างมากของหอพักคาทอลิก (Catholic dormitories) ในช่วงทศวรรษที่ 1980 ดูเหมือนว่า อัตราส่วนร้ผู้เขียนได้พรรณนาถึงบรรทัดฐานทางสังคม (norms) ที่จำกัดการย้ายถิ่น (mobility) ของผู้หญิงและการท้าทายฝ่าฝืนมาตรฐานนั้น โดยได้นำเสนอรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนย้ายถิ่นของกะเหรี่ยง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงเวลาที่มีความเหลื่อมซ้อนกัน ดังนี้ ร้อยละของเด็กสาวกะเหรี่ยงในเมืองเริ่มเพิ่มขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 และเพิ่มอย่างก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษที่ 1990 อย่างไรก็ตาม แม้หญิงสาวจะมีการศึกษาสูงและได้รับการยอมรับนับถือจากเพื่อน ๆ ในเชียงใหม่ แต่เมื่อกลับสู่หมู่บ้านก็ไม่ได้รับการยกเว้นจากมาตรฐานทางสังคมของหมู่บ้าน ในขณะเดียวกัน แม้อยู่ในเมืองมาตรฐานทางสังคมก็ไม่ได้หายไปโดยสิ้นเชิง ชายกะเหรี่ยงในเมืองจะพูดคาดการณ์ล่วงหน้าถอยละของเด็กสาวกะเหรี่ยงในเมืองเริ่มเพิ่มขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 และเพิ่มอย่างก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษที่ 1990 อย่างไรก็ตาม แม้หญิงสาวจะมีการศึกษาสูงและได้รับการยอมรับนับถือจากเพื่อน ๆ ในเชียงใหม่ แต่เมื่อกลับสู่หมู่บ้านก็ไม่ได้รับการยกเว้นจากมาตรฐานทางสังคมของหมู่บ้าน ในขณะเดียวกัน แม้อยู่ในเมืองมาตรฐานทางสังคมก็ไม่ได้หายไปโดยสิ้นเชิง ชายกะเหรี่ยงในเมืองจะพูดคาดการณ์ล่วงหน้าถึงความล้มเหลวในการปกป้องตนเองจากเรื่องทางเพศของผู้หญิงกะเหรี่ยงที่ออกไปกับคนเมือง (หน้า 302-303) หนุ่มสาวกะเหรี่ยงในโรงเรียนไทยจะได้พบปะกับหนุ่มสาวกะเหรี่ยงที่มาจากหมู่บ้านห่างไกลและกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ การแต่งงานระหว่างชาติพันธุ์จึงมีเพิ่มขึ้นในหมู่หนุ่มสาวเหล่านี้ ซึ่งเป็นการพบและแต่งงานกันในบริบทไทย (Thai context) และเนื่องจากทั้งคนเมืองและกะเหรี่ยงมีการเคลื่อนไหวในภูมิภาคเพิ่มขึ้น การแต่งงานระหว่างชาติพันธุ์จึงมีเพิ่มขึ้นในหมู่ชาวบ้านที่เคลื่อนย้ายเพื่อไปเป็นแรงงานด้วยเช่นกัน แต่มีลักษณะที่แตกต่างจากการแต่งงานระหว่างชาติพันธุ์ที่เพิ่มขึ้นในบริบทไทย (หน้า 303) |
|
Map/Illustration |
1) แผนที่พื้นที่ที่ศึกษา หน้า 291 2) ตารางการจำแนกชาติพันธุ์ที่กะเหรี่ยงในพื้นที่ที่ศึกษารู้จัก หน้า 294 |
|
|