สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ไทดำ,สังคม,ประเพณี,พิธีกรรม,ความเชื่อ,ประเทศลาว
Author Prachan Rakphong
Title Tai Dam (Black Tai) in Lao P.D.R. (Important Rituals and Beliefs)
Document Type บทความ Original Language of Text -
Ethnic Identity ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 28 Year 2541
Source Inter - Ethnic Relations in the Making of Mainland southeast Asia.Vol.1, Compiled by Hayashi, Yukio, pp. 260 - 287, Center for Southeast Asian Studies Kyoto University.
Abstract

ผู้เขียนศึกษาไทดำใน สปป.ลาว กล่าวถึงความเป็นมาของไทดำว่ามีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ที่สิบสองจุไททางภาคเหนือของเวียดนาม ฝรั่งเศสที่เข้ายึดครองเวียดนามเรียกชาติพันธุ์นี้ว่า "ไทดำ" โดยดูจากการสวมใส่เสื้อกางเกงสีดำ (ส่วนคนไทยเรียกไทดำในประเทศไทยว่า "ลาวโซ่ง") อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของไทดำ ดูได้จากวิถีชีวิตความเป็นอยู่ จารีตประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ผู้เขียนได้พรรณนาให้เห็นถึงลักษณะทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของไทดำ เช่น การแต่งกาย ระบบครอบครัวและเครือญาติ ลักษณะของชุมชน และชนชั้นในสังคม ประเพณีการหาคู่ของหนุ่มสาวและการแต่งงาน พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิด-การตาย พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการรักษาผู้ป่วย และพิธีเซ่นไหว้ผีเรือนหรือผีบรรพบุรุษ เป็นต้น

Focus

ศึกษาด้านสังคม ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อของไทดำในประเทศลาว

Theoretical Issues

ไม่มีข้อมูล

Ethnic Group in the Focus

"ไทดำ" (Tai Dam) หรือ ผู้ไทยดำ (Phu Tai Dam) ในประเทศลาว ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำดำ ถูกฝรั่งเศสเรียกว่า "ไทดำ" (Tai Dam) เพราะว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่แต่งกายในชุดสีดำ เช่นเดียวกับที่เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่สวมใส่เสื้อผ้าสีขาวว่า "ไทขาว" (Tai Khao) และกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีผ้าสีแดงขลิบที่ชายเสื้อว่า "ไทแดง" (Tai Daeng) (หน้า 260) ในประเทศไทยเรียกไทดำว่า "ลาวโซ่ง" (Lao Song) คำว่า "โซ่ง" มาจากคำว่า "ซ่วง" (suang) หรือ "ซ่ง" (song) ซึ่งมีความหมายว่า "กางเกง" ไทดำต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์ไทอื่น ๆ ตรงที่ไทดำไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ และไม่ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของศาสนาใด ๆ ไทดำนับถือผี อัตลักษณ์ของไทดำดูได้จากภาษาพูดและภาษาเขียน เครื่องแต่งกาย ประเพณี พิธีกรรม และวิถีชีวิต (หน้า 262)

Language and Linguistic Affiliations

ไทดำมีภาษาพูดและภาษาเขียนของตัวเอง

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุชัดเจนถึงช่วงเวลาที่ใช้ในการศึกษา แต่เมื่อดูจากบรรณานุกรมหน้า 273 การสัมภาษณ์และการสังเกตในพื้นที่ มีระบุเวลาไว้บางส่วน ดังนี้ วันที่ 18 - 20 ตุลาคม ค.ศ.1994, วันที่ 9 - 10 พฤษภาคม ค.ศ.1995, วันที่ 1 เมษายน ค.ศ.1996

History of the Group and Community

"ไทดำ" หรือ "ผู้ไทดำ" เป็นชาติพันธุ์เก่าแก่ชาติพันธุ์หนึ่งที่มีถิ่นฐานอยู่ที่สิบสองจุไท (Sip Song Ju Tai) บนแถบลุ่มแม่น้ำดำและลุ่มแม่น้ำแดงตอนเหนือของเวียดนาม ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของไทขาวด้วย ไทดำตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองแถง (Muang Thaeng) เมืองควาย (Muang Khwai) เมืองตุง (Muang Tung) เมืองม่วย (Muang Muay) เมืองลา (Muang Laa) เมืองโมะ (Muang Mo) เมืองหวัดหรือเมืองวาด (Muang Wad) และเมืองซาว (Muang Sao) ไทดำในประเทศลาวอพยพมาจากเมืองไลเจา (Muang Lai Chao) และเมืองเดียนเวียนฟู (Muang Dei Bien Fu) หรือ เมืองแถง อพยพมาที่เมืองหลวงน้ำทา (Muang Luang Nam Tha) ในลาวปี ค.ศ.1895 เนื่องจากมีการรบกันระหว่างหัวหน้าในกลุ่มไทดำ มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านปุ่ง (Ban Pung) บ้านทุ่งดี (Ban Thung Dee) บ้านทุ่งอ้ม (Ban Thung Om) บ้านน้ำแง้น (Ban Nam Ngaen) ต่อมาเกิดศึกฮ่อในสิบสองจุไท ทำให้ไทดำอพยพจากเมืองสะกบ (Muang Sa Kob) และเมืองวา (Muang Wa) (เมืองไลเจาในปัจจุบัน) มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านปุ่ง บ้านนาลือ (Ban Na Lue) และบ้านใหม่ (Ban Mai) ในปี ค.ศ.1896 และเมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้น ไทดำได้กระจายตั้งถิ่นฐานอยู่ทั่วเขตทุ่งราบหลวงน้ำทา บ้านทุ่งไจ้เหนือ ทุ่งไจ้ใต้ ป่าปวก ทุ่งดีเก่า ทุ่งดีใหม่ นาน้อย บ้านแป บ้านใหม่ บ้านปุ่ง ป่าสัก ดวนแล นาลือ น้ำแง้น ทุ่งอ้ม หัวขัว และทุ่งก๋าง ปัจจุบัน ไทดำตั้งถิ่นฐานอยู่มากที่สุดที่แขวงหลวงน้ำทา และมีตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ แขวงบ่อแก้ว แขวงอุดมไซ แขวงพงสาลี และแขวงอื่น ๆ ใน สปป.ลาว สำหรับไทดำในประเทศไทย อพยพมาในปี ค.ศ.1779 ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีไปตีเวียงจันทน์ได้กวาดต้อนไทดำที่อพยพมาจากสิบสองจุไทในลาวมาอยู่ในไทย โดยให้ไปอยู่ที่เมืองเพชรบุรี ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 (ค.ศ.1792) และรัชกาลที่ 3 (ค.ศ.1838) มีการกวาดต้อนไทดำมาอีก โดยตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ในจังหวัด ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี พิจิตร พิษณุโลก กาญจนบุรี ลพบุรี และสระบุรี (หน้า 260, 262)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ไม่มีข้อมูล

Social Organization

ลักษณะครอบครัว : ในครอบครัวไทดำถือว่าบิดามีอำนาจ สมาชิกในครอบครัวแบ่งเป็นสองแบบ คือเป็นเครือญาติโดยสายเลือดและโดยแต่งงาน หลังแต่งงานภรรยาจะต้องเข้าถือผีบรรพบุรุษของสามี เมื่อพ่อแม่ตายมรดกจะตกแก่ลูกชาย โดยลูกชายคนโตจะได้รับมากที่สุด เพราะเป็นผู้เลี้ยงดูพ่อแม่และเป็นผู้สืบสกุลและสืบผีบรรพบุรุษ ส่วนลูกสาวเมื่อแต่งงานจะได้รับทรัพย์สินบ้างตามฐานะของครอบครัว แต่จะไม่ได้รับมรดกที่เป็นบ้านและที่ดิน เพราะจะต้องย้ายไปอยู่บ้านพ่อแม่สามี (หน้า 271-272) ลักษณะชุมชน : โครงสร้างชุมชนไทดำยึดมั่นความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะเครือญาติในสกุลที่ถือผีเดียวกัน สังคมไทดำได้รับอิทธิพลจากความเชื่อเรื่องผีต่าง ๆ เช่น ผีเรือน ผีบ้าน (ผีประจำหมู่บ้าน) ผีเมือง เป็นต้น ในอดีตความเชื่อเรื่องผีและจารีตประเพณี เป็นกลไกสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมทางสังคมและสมาชิกในชุมชน หลังการปฏิวัติปี ค.ศ.1975 รัฐบาล สปป.ลาวได้ยกเลิกการปฏิบัติตามความเชื่อเรื่องผี ทำให้ไม่มีการบูชาผีบ้านและผีเมืองอีก ส่วนพิธี "เสนเรือน" (sen ruan) หรือการบูชาผีบรรพบุรุษ พิธี "เสนเหยา (sen yao) ซึ่งเป็นพิธีกรรมแสดงความเคารพ "หมอมด" (mor mod) ก่อนที่จะทำการรักษา และพิธี "ขับมด" (khab mod) ยังมีการปฏิบัติกันอยู่ เพื่อให้อยู่เย็นเป็นสุข (หน้า 272) ชนชั้นทางสังคมของไทดำ : ชนชั้นทางสังคมของไทดำแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ "สิงต้าว" (Sing Thao) และ "สิงผู้น้อย" (Sing Phu Noi) "สิงต้าว" เป็นกลุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากชนชั้นปกครองจากถิ่นฐานดั้งเดิมที่สิบสองจุไทในเวียดนาม เช่น ครอบครัวของ "สิงลอคำ" (Sing Law Kham) ทางตอนเหนือของลาว เป็นต้น ส่วนสิงผู้น้อยประกอบด้วยสามัญชนของชุมชนไทดำในลาว เช่น ตระกูล "สิงลวง" (Sing Luang) สิงวี (Sing Wee) "สิงกว้าง" (Sing Kwang) "สิงลู" (Sing Luu) เป็นต้น ความแตกต่างระหว่างสองชนชั้นนี้ดูได้จากการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีเสนเรือน และพิธีศพ เป็นต้น กลุ่มสิงต้าวจะจัดใหญ่โตกว่า เครื่องเซ่นไหว้มีมากกว่า และในขณะที่สิงต้าวกำลังทำพิธีเชิญผีบรรพบุรุษในการเสนเรือน จะห้ามสิงผู้น้อยเข้าไปอยู่ในบริเวณพิธี อย่างไรก็ตาม การใช้ชีวิตประจำวันของทั้งสองชนชั้นมีความแตกต่างกันน้อยมาก สิงต้าวกับสิงผู้น้อยแต่งงานกันได้ ทำงานร่วมกันได้ (หน้า 272, 286) ประเพณีการเลือกคู่ : เมื่อถึงวัยหนุ่มสาวควรแก่การหาคู่ได้แล้ว ผู้สาวจะชวนเพื่อน ๆ ไป "ลงข่วงปั่นฝ้าย" ซึ่งมักจะเป็นช่วงค่ำของฤดูหนาว ส่วนผู้บ่าวจะชวนกันไปเกี้ยวสาวปั่นฝ้าย วนเวียนไปตามข่วงต่าง ๆ มีการเป่าปี่ขับไทดำโต้ตอบกันระหว่างหนุ่มสาวจนดึกจึงกลับเรือน โดยมีผู้บ่าวที่ชอบพอกันไปส่ง เมื่อเกิดความรักต่อกันผู้บ่าวจะบอกพ่อแม่ พ่อแม่จะปรึกษาญาติ ๆ แล้วส่ง "แม่ใช้" ไปถามพ่อแม่ฝ่ายหญิง ปกติถามครั้งที่หนึ่งและสองพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะยังไม่ตอบตกลง จะตอบตกลงเมื่อถูกถามเป็นครั้งที่สามเรียกว่า "ถามขาด" จากนั้นฝ่ายชายก็จะเตรียมทำพิธี "กินดองน้อย" หรือพิธีสู่ขอ (หน้า 264, 278) พิธีกินดองน้อย หรือ พิธีสู่ขอ : พิธีกินดองน้อย เรียกว่า "ไปส่อง" ฝ่ายชายจะเตรียมขันหมากสู่ขอ ฆ่าไก่ 4 ตัวแยกเป็น 4 ห่อ สิ่งของประกอบพิธีสู่ขอแยกเป็น 4 ห่อ ได้แก่ ปลาปิ้ง 4 ห่อ หนังหาด 4 ห่อ (เปลือกไม้ใช้เคี้ยวกับหมาก) พลู 4 ห่อ เหล้า 4 ขวด มอบให้เฒ่าแก่ฝ่ายหญิงแล้วมอบตัวเป็น "เขยกว้าน" ในวันนั้น เพื่อเตรียมตัวเข้าพิธี "กินดองใหญ่" (แต่งงาน) ระหว่างนี้เขยกว้านจะอาศัยอยู่บ้านฝ่ายหญิงสองเดือนถึงหนึ่งปี บางคนอาจอยู่นาน 3 - 4 ปี ในระหว่างนี้ยังไม่ได้ยู่กันฉันสามีภรรยา เพราะผิดผีเรือน จะต้องนอนอยู่ทาง "กว้าน" คือปลายเท้าของพ่อตาแม่ยาย ในขณะที่ฝ่ายหญิงหลังพิธีส่องยังมีสิทธิพูดคุยกับชายอื่นที่มาเกี้ยวได้ โดยว่าที่สามีจะต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่โกรธ เพื่อฝึกความอดทนอดกลั้นสำหรับเป็นเขยและสามีที่ดี (หน้า 264-265, 278) พิธีกินดองใหญ่ หรือ แต่งดอง (แต่งงาน) : พิธีกินดองใหญ่หรือพิธีแต่งงานของไทดำใช้เวลา 3 วัน วันแรกคู่บ่าวสาวจะไหว้ผีเรือน (ผีบรรพบุรุษ) เครื่องเซ่นไหว้ ฆ่าหมู่ 1 ตัว ไก่ 8 ตัว ปลาปิ้ง หาด และ พลู อย่างละ 8 ห่อ เหล้า 2 ไห เงินสินเลี้ยง หรือ ค่าน้ำนม 5 หมัน 2 บี้ และฆ่าควาย 1 ตัวเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน วันที่สอง เวลาเช้าคู่แต่งงานไปกราบไหว้พ่อแม่สามี โดยสะใภ้จะต้องมีของไหว้ไปมอบให้ด้วย เช่น "ผ้าเปียว" (ผ้าคลุมศีรษะของหญิงไทดำ) ผ้าปูที่นอน ซิ่นไหม ถุงย่าม เป็นต้น โดยทั้งหมดทำจากฝีมือตนเอง ส่วนพ่อแม่สามีจะให้เงินรับไหว้จำนวน 5-10 หมัน หรือให้สิ่งของตามสมควรแก่ฐานะ จากนั้นไปไหว้ญาติผู้ใหญ่ของสามี บ่ายเดินทางกลับไปกินอาหาร เรียกว่า "กินงายหัว" วันที่สาม ส่งคืนข้าวของที่ยืมมาจัดงาน และทำอาหารเลี้ยงคนที่มาช่วยงาน ตามธรรมเนียมดั้งเดิมของไทดำ เขยจะต้องอยู่บ้านฝ่ายภรรยานาน 12 ปี จึงจะมีสิทธิ์กลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ของตนหรือออกไปปลูกเรือนใหม่ได้ ต่อมาลดลงเหลือ 8 ปี ปัจจุบันลดลงเหลือ 4 ปี หากเขยไม่สามารถอยู่จนครบกำหนดตามที่ตกลงกันไว้ จะต้องเสียค่าแต่งดองกลับคืนให้พ่อตาแม่ยาย คิดปีละ 5 หมันของจำนวนปีที่เหลือ ค่าน้ำนมอีก 5 หมัน 2 บี้ และฆ่าหมู 1 ตัวบอกกล่าวผีเรือน หากออกไปตั้งครอบครัวใหม่ พ่อตาแม่ยายจะแบ่งทรัพย์สินให้ ได้แก่ แม่ควาย แม่หมู แม่ไก่ อย่างละ 1 ตัว ฟักลูกเป็ดให้ 1 คอก เครื่องครัว และเครื่องนอน ให้ไปสำหรับตั้งครอบครัวใหม่ ส่วนพ่อแม่ฝ่ายชายจะแบ่งมรดกให้ตามฐานะ เช่น แบ่งที่ดินทำกินและควาย 1 ตัวให้ เป็นต้น สำหรับลูกชายที่เลี้ยงพ่อแม่จะได้มรดกมากกว่าพี่น้อง และได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของพ่อแม่ด้วย (หน้า 265, 279) หลังแต่งงานแล้ว หากสามีไปมีชู้กับหญิงอื่นที่มีสามีแล้ว หรือภรรยามีชู้ จะถูกปรับไหมเป็นเงิน 60 - 120 หมัน (หน้า 280) มันทาง (Maan Thang) : หญิงท้องนอกสมรส เรียกว่า "มันทาง" ในสังคมไทดำไม่ยอมรับหญิงท้องนอกสมรส จะถูกสังคมลงโทษ ทั้งชายและหญิงจะถูกปรับเป็นเงิน 1 หมัน 5 บี้ (10 บี้เท่ากับ 1 หมันประมาณ 6 ดอลลาร์สหรัฐ) เรียกว่า "เงินล้างน้ำล้างท่า" แล้วให้อยู่กินเป็นสามีภรรยากัน หากฝ่ายชายไม่ยอมรับฝ่ายหญิงเป็นภรรยา จะต้องจ่ายเพิ่มต่างหากอีก 3 หมัน (หน้า 280 บอกว่า หากฝ่ายชายไม่ยอมรับเป็นภรรยา จะต้องเสียเงินค่าปรับไหมให้ฝ่ายหญิง 30 หมัน (text analyst) ในกรณีที่หญิงนั้นตาย ฝ่ายชายจะถูกปรับไหมเรียกว่า "เฮียวซาวฎ (hiew saaw) ฆ่าควาย 1 ตัวเพื่อเลี้ยงผู้มาช่วยงานศพ ฝ่ายชายจะต้องรับภาระจัดงานศพทั้งหมด (หน้า 266, 280)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ไทดำนับถือผี (animist) มีความเชื่อเกี่ยวกับผีป่า (spirit of forests) ผีบ้าน (spirits of houses) และผีบรรพบุรุษ (ancestral) (หน้า 262) ความเชื่อและประเพณีการเกิด หญิงไทดำเมื่อเจ็บท้องใกล้คลอด จะมีพิธีเซ่นไหว้ผีเรือนที่เรียกว่า “วานขวัญผีเรือน” (wan khan pee ruan) มีหมอขวัญเป็นผู้ทำพิธี โดยการฆ่าไก่ 1 ตัว เซ่นไหว้ผีญาติพี่น้องที่ตายท้องกลมหรือตายระหว่างคลอดก่อนผีอื่น เพื่อไม่ให้มารบกวนระหว่างการทำคลอด เมื่อเด็กคลอดแล้ว จะตัดสายสะดือ หรือสายแห่ (sai hae) ด้วยไม้ไผ่ แต่จะเหลือสายสะดือไว้ยาว 2 นิ้ว แล้วนำเด็กไปอาบน้ำอุ่น แล้ววางเด็กไว้บนกระด้ง เมื่อหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป สายสะดือ 2 นิ้วที่เหลือไว้จะหลุดออก พ่อของเด็กจะนำไปใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่ แขวนไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ใน “ป่าบั้งแห่” (paa bang hae) ซึ่งเป็นป่าสำหรับเก็บรักษาสะดือเด็กเกิดใหม่ของหมู่บ้าน โดยแขวนกระบอกสายสะดือให้สูงระดับศีรษะของคนที่เดินผ่านไปมา (หน้า 262-263) ความเชื่อและการปฏิบัติของหญิงหลังคลอด หญิงเพิ่งคลอดจะมีการอยู่ไฟ โดยหันหน้าเข้าหาเตาไฟ ควักเขม่าควันไฟมากิน ดื่มน้ำร้อน และอาบน้ำร้อนที่ต้มกับสมุนไพร จนครบเดือน เรียกหญิงที่อยู่ไฟว่า “แม่กรรมเดือน” (mae kam duan) สามวันแรกต้องอยู่ที่เตาไฟตลอดเวลา เรียกว่า “อยู่กรรมไฟ” (yuu kam fai) เมื่อพ้นสามวันแล้วจะสระผม แต่ไม่อาบน้ำ มี “ผ้าฮ้ายฝั้นไต้ไฟ” พันที่เอวเพื่อให้ความอบอุ่น เมื่อกลับถึงเรือน จะทำพิธีไหว้ “ผีย่าไฟ” (pee yaa fai) ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษของบ้าน โดยนำไข่ไก่ 1 ฟองไปวางไว้ตรงที่ทารกคลอด ทำพิธีสู่ขวัญทารก สู่ขวัญนม และสู่ขวัญที่นอน เพื่อปกป้องคุ้มครองเด็กเกิดใหม่ จากนั้นมีพิธีสู่ขวัญแม่ มีหมอขวัญทำพิธีโดยใช้ไก่ต้ม ข้าวต้ม และขนม เมื่อถึงเวลากลางคืนแม่และเด็กจะย้ายไปนอนที่นอนปกติ แต่ตัวแม่ต้องอยู่ไฟต่อจนครบ 30 วัน จึงจะออกกรรมเดือน ระหว่างที่อยู่กรรมไฟ 3 วัน แม่มักจะกินข้าวเหนียวกับเกลือ และระหว่างอยู่ไฟ 30 วัน จะไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควาย หมู เป็นต้น จะกินเนื้อปลาและผัก แต่เมื่ออยู่ไฟผ่านไป 20 วัน ครอบครัวจะฆ่าเป็ด 1 ตัวเพื่อไหว้ “ผีเต่ท่า” (pee te thaa) จากนั้นแม่จึงจะกินเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น เริ่มจากเป็ดก่อน แล้วจึงไก่ หมู ปลาย่าง ปลาไหลย่าง แต่ยังคงกินสัตว์ใหญ่ไม่ได้จนกว่าจะออกกรรมเดือน โดยเฉพาะ เนื้อควายเผือก ถือเป็นอาหารต้องห้าม หากกินเข้าไปอาจแสลงถึงตายได้ (หน้า 262-263, 267) พิธีเกี่ยวกับการตาย หากมีคนตายในหมู่บ้าน จะมีการยิงปืนขึ้นฟ้าสามนัด เมื่อได้ยินเสียงปืนชาวบ้านจะหยุดงานเตรียมตัวมาร่วมงานศพ จะมีการอาบน้ำศพแล้วสวมใส่ชุดไทดำตามประเพณี แล้วนำศพใส่เข้าไปในถุงผ้าแพรสีขาว เย็บติดให้เรียบร้อย นำใส่โลงโดยมีผ้าคลุมหน้าไว้ผืนหนึ่ง หากเป็นเด็กตายจะไม่มีงานศพ เมื่อตายก็จะฝังในทันที ถ้าหนุ่มสาวตายตอนกลางคืน เช้าวันรุ่งขึ้นจะมีการฆ่าหมูหรือควายเป็นอาหารเซ่นไหว้วิญญาณผู้ตาย การไหว้นี้เรียกว่า “เฮ็ดงาย” (hed ngai) ตอนเย็นจึงนำศพไปฝังใน “ป่าเฮียว” (paa hiew) นอกหมู่บ้าน ในกรณีของวัยกลางคนหรือผู้สูงอายุ จะเก็บศพไว้ที่บ้านผู้ตาย 1 – 2 คืน แล้วจึงนำไปฝัง ในวันฝังมีการฆ่าหมูหรือวัวหรือควาย 1 ตัว เฮ็ดงายให้แก่วิญญาณผู้ตาย อาหารที่ใช้เซ่นไหว้นี้เรียกว่า “หมูเข้าขุม” (moo khao khum) หลังจากฝังแล้ว 3 วัน จะมีพิธี “เฮ็ดเฮียว” (hed hiew) อุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย โดยนำเครื่องเฮียวไปส่งให้ที่ป่าช้า (หน้า 266, 280) ตามประเพณีของไทดำ ผู้จัดการเรื่องงานศพคือ “เขยกก” (kery kok) คือ สามีของลูกสาวคนโต ในกรณีที่ไม่มีลูกสาวคนโต ก็ให้ลูกเขยคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นเขยกก หากผู้ตายไม่มีลูกสาว จะขอให้เขยในครอบครัวญาติสนิทคนใดคนหนึ่งมาทำหน้าที่เป็นเขยกกก็ได้ พิธีฝังศพ : ลูกเขยและลูกสะใภ้ของผู้ตายจะแต่งชุดขาว ส่วนเขยกกจะคาดผ้าสีขาวที่ศีรษะด้วย เขยกกจะนำขบวนศพจากบ้านไปยังที่ฝัง ของเซ่นไหว้และของใช้ส่วนตัวของผู้ตายจะอยู่ในขบวนด้วย ก่อนฝังจะทำพิธีโยนไข่ไก่เสี่ยงทาย หากโยนแล้วไข่ไม่แตกก็หาที่ต่อไป หากโยนแล้วไข่แตกแสดงว่าเป็นที่ทำเลดีให้ขุดหลุมตรงที่ไข่แตก จากนั้นใช้เชือกไหมพันรอบอกของศพคลุมหัวใจไว้ เรียกว่า “สายใจ” แล้วหย่อนศพลงหลุมกลบดินฝัง ให้ดินพูนเหนือระดับพื้นเล็กน้อย สร้างเรือนจำลองเล็ก ๆ คร่อมหลุมฝังศพไว้ ใส่ของใช้ส่วนตัวและเงินเสี้ยนไว้ในเรือนหลังเล็ก โยงเชือกสายใจจากหลุมฝังศพขึ้นไปบนเรือนจำลอง ผูกติดกับปลายเสาหลวง เพื่อส่งวิญญาณผู้ตายไปสู่สวรรค์ บนปลายยอดเสาหลวงจะมีหุ่นม้าจำลองตั้งไว้ (หากผู้ตายเป็นชาย) หรือมีเก้าอี้จำลองตั้งไว้ (หากเป็นศพผู้หญิง) และมีร่มกั้นไว้เหนือหุ่น ทั้งนี้เพื่อเป็นพาหนะนำวิญญาณผู้ตายไปสู่สวรรค์ (หน้า 268, 282) หลังพิธีฝังศพเสร็จสิ้นลง ผู้เข้าร่วมงานศพจะต้องอาบน้ำในแม่น้ำก่อนกลับบ้าน เพื่อชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ ในตอนค่ำ จะทำพิธี “สู่ขวัญ” ผู้เข้าร่วมพิธีศพโดยหมอขวัญ (หน้า 268-269) เช้าวันรุ่งขึ้น ครอบครัวของผู้ตายจะนำอาหารไปทานอุทิศให้แก่ผู้ตายที่หลุมฝังศพ ทำเช่นนี้เป็นเวลา 7 วัน (หน้า 282) หลังจากนั้นเขยกกจะไปที่หลุมฝังศพทำพิธีเชิญดวงวิญญาณผู้ตายกลับเรือน โดยเชิญไปไว้ห้องที่อยู่ด้านในสุดของเรือน ห้องนี้เรียกว่า “กะลอหอง” จากนั้นเซ่นไหว้ทุก 10 วัน เรียกว่า “เสนปาดตง” หรือ “มื้อปาดตง” โดยนำอาหารปกติที่ครอบครัวรับประทานไปวางไว้ที่ห้องผีเรือน ส่วนเสนปาดตงพิเศษจะทำในช่วงหลังการเก็บเกี่ยว เพื่ออุทิศข้าวใหม่ให้ผีเรือนกินก่อน เป็นการแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เพื่อเป็นสิริมงคล (หน้า 268-269, 282) พิธีบอกทางผู้ตาย : พิธีบอกทางเป็นพิธีส่งวิญญาณผู้ตายให้ไปสวรรค์ จะทำพิธีที่เรือนผู้ตายหลังการฝังศพแล้ว 3 วัน ของที่จะใช้ในพิธี เช่น เฮียว เงิน ของใช้จำลองประเภทต่าง ๆ เช่น เครื่องเรือน เครื่องมือประกอบอาชีพ สัตว์เลี้ยง เป็นต้น กระจาดใส่อาหาร เช่น ข้าวเหนียว อาหาร น้ำ ฯลฯ และกระบุงใส่เสื้อผ้าของใช้ส่วนตัว กับเหล้า 1 ขวด เมื่อได้เวลา “เขยกก” จะอัญเชิญผีเรือนมารับเครื่องเซ่นไหว้ จากนั้นเขยกกจะอ่านคำบอกทาง จากบ้านของผู้ตายกลับไปเมืองไล (Muang Lai) และเมืองแถง (Muang Thaeng) ถิ่นฐานดั้งเดิมของไทดำ ซึ่งวิญญาณของผู้ตายจะได้รับการชี้ทางไปเฝ้าพระยาแถน (Phraya Thaen) บนสวรรค์ (หน้า 267, 280-281) พิธีเฮ็ดเฮียว (Hed Hiew) : เป็นพิธีกรรมที่ทำหลังการฝังศพแล้วสามวันเพื่อส่งผู้ตายไปสวรรค์ เครื่องประกอบที่ใช้ในพิธีกรรมนี้ เรียกว่า “เฮียว” (hiew) เป็นธงผ้าไหมรูปสามเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยมติดกับก้านไม้ไผ่จัดเป็นรูปวงกลมติดรอบเสาที่เรียกว่า “เสาหลวง” (Sao Luang) สูงจากพื้นดิน 3 – 4 เมตร ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าหลุมฝังศพ (grave) (หน้า 267) แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ 1) เฮียวเครื่องใหญ่ ประกอบด้วยธง 80 อัน แบ่งเป็น 2 กอ ๆ ละ 40 อัน เซ่นไหว้ด้วยอาหาร และฆ่าวัวหรือควาย 1 ตัว เฮียวเครื่องใหญ่ใช้ในพิธีของสิงต้าวหรือชนชั้นปกครองที่สืบเชื้อสายมาจากสิบสองจุไท เช่น ครอบครัวของสิงลอคำ เป็นต้น (หน้า 267) 2) เฮียวเครื่องกลาง ประกอบด้วยธง 40 อัน ฆ่าวัวหรือควายเซ่นไหว้ เฮียวเครื่องกลางใช้ในพิธีของสามัญชน หรือ สิงผู้น้อย หากสิงต้าวตายพร้อมกับสิงผู้น้อย ศพของสิงต้าวจะได้รับการทำพิธีก่อน เพราะหากสิงผู้น้อยได้ทำพิธีศพก่อน วิญญาณของสิงต้าวที่เสียชีวิตจะไม่มีพลังอำนาจมากพอที่จะเดินทางไกล (หน้า 268) 3) เฮียวเครื่องเล็ก เป็นพิธีกรรมแบบเรียบง่าย ใช้ธง 1 อันและข้าวของเล็กน้อย มีการฆ่าหมู 1 ตัว หากเป็นคนยากจน อาจไม่สามารถฆ่าสัตว์เซ่นไหว้ได้ ก็จะเซ่นไหว้วิญญาณผู้ตายด้วยอาหาร (หน้า 268) พิธีเสนเรือน : พิธีเสนเรือนหรือพิธีเซ่นไหว้ผีเรือนหรือผีบรรพบุรุษ เป็นพิธีสำคัญของไทดำ จะทำพิธีทุก 2 – 3 ปีครั้ง เพื่อให้ผีเรือนหรือผีบรรพบุรุษปกป้องคุ้มครองให้คนในครอบครัวมีความสุขปลอดภัย ขนาดของพิธีขึ้นกับฐานะและสถานภาพของครอบครัว ผู้ทำพิธีคือ “หมอเสน” ผู้เข้าร่วมพิธีประกอบด้วยสมาชิกในครอบครัวและแขกที่เชิญมา สมาชิกในครอบครัวแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ กลุ่มที่เป็นเครือญาติโดยสายเลือด (แต่งกายแบบธรรมดา) และกลุ่มที่เป็นเครือญาติจากการแต่งงาน (เขยสะใภ้จะแต่งกายพิเศษด้วยเสื้อฮี เพื่อเป็นการเคารพผีเรือนและให้รู้ว่าใครเป็นเขยสะใภ้) อาหารที่ใช้ในพิธี ได้แก่ เหล้า 1 ขวด หมู 1 ตัว อาหาร (พวกยำ ซุปหน่อไม้ ซุปผัก แกง ข้าวเหนียว) และของหวาน (เผือกต้ม อ้อย ผลไม้ และน้ำ) หมอเสนจะทำพิธีตอนเช้าในห้องผีเรือน สมาชิกโดยสายเลือดเท่านั้นที่เข้าร่วมพิธีในห้อง ส่วนเขยสะใภ้จะอยู่นอกห้อง (ในหน้า 271 บอกว่าลูกสะใภ้เข้าร่วมพิธีเสนเรือนได้ – text analyst) เริ่มพิธีโดยหัวหน้าครอบครัวยกถาดเครื่องเซ่นขึ้นไหว้ผีเรือน จากนั้นหมอเสนจะเชิญผีเรือนจาก “ปั๊บ” (pab) รายชื่อผีเรือนมากินของเซ่นไหว้ ขณะที่เรียกชื่อผีเรือนหมอเสนจะใช้ตะเกียบคีบอาหารให้ผีเรือนกิน โดยหย่อนอาหารลงในช่องเล็ก ๆ บนพื้นห้องลงใต้ถุนเรือน แล้วหยอดน้ำตามลงไป จนเรียกชื่อผีเรือนครบทุกชื่อ พิธีนี้ทำสองครั้งคือ เช้า และ กลางวัน ส่วนตอนบ่ายจะทำพิธี “เสนเหล้าหลวง” ใช้เหล้า 1 ขวดและกับแกล้มเป็นเครื่องเซ่น หมอเสนจะเรียกชื่อผีเรือนในปั๊บผีเรือนมาดื่มกินจนครบทุกชื่อเป็นเสร็จพิธี (หน้า 269-270, 283) พิธีขับมด : พิธีขับมดเป็นพิธีกรรมรักษาคนป่วยเรื้อรังที่รักษาด้วยหมอยาและหมอเหยาแล้วยังไม่หาย ก็จะเชิญหมอมดมารักษาด้วยการขับมดและเสี่ยงทาย การรักษาเริ่มด้วยการให้ผู้ช่วยหมอมด 2 คนช่วยกันเป่าปี่ หมอมดจะทำพิธีขับมดเพื่อเชิญผีมดมาหาสาเหตุของอาการป่วย โดยสุ่มถามผีมดว่าผู้ป่วยถูกผีอะไรทำ บอกชื่อผีแล้วเสี่ยงทายว่าใช่หรือไม่ใช่ โดยการสาดข้าวสารลงบนพื้น 3 ครั้งให้ได้จำนวนคู่คี่สลับกัน เช่น ถ้าครั้งแรกได้จำนวนคู่ ครั้งที่สองต้องได้จำนวนคี่ และครั้งที่สามเป็นจำนวนคู่ แสดงว่าใช่ผีที่สุ่มถาม เป็นต้น แต่ถ้าเสี่ยงทายไม่ได้จำนวนคู่คี่สลับกัน ก็จะเป่าปี่ขับมดต่อไปจนจบคำขับมด แล้วเสี่ยงทายใหม่ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผลจะออกมาว่าใช่ เมื่อทราบเหตุของการเจ็บป่วยแล้วว่าถูกผีอะไรทำ ก็จะให้ญาติผู้ป่วยจัดเตรียมเหล้า อาหาร และสิ่งของสำหรับเซ่นไหว้ผีที่เป็นสาเหตุ เพื่อให้เลิกทำร้ายผู้ป่วย การรักษาของหมอมดไม่มีข้อห้ามถ้าจะรักษาร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบัน ส่วนค่ารักษาของหมอมดเดิมจะมีค่าคาย (ขึ้นครู) 2 บี้ แต่ปัจจุบันใช้ 1,000 กีบ เทียน 8 คู่ ไข่ 2 ฟอง กระเทียม 2 – 3 หัว ฝ้าย 1 มัด เกลือ 1 ห่อ ข้าวสารใส่กะละมัง หวี และปอยผม เพื่อถวายให้ผีมด (หน้า 270, 284)

Education and Socialization

การอบรมสั่งสอนเยาวชน : พ่อแม่มีหน้าที่อบรมฝึกฝนลูก ๆ โดยพ่อจะสอนวิธีทำการเกษตร สอนเกี่ยวกับการเผาปลูก การใช้เครื่องมือทางการเกษตร สอนการสานกระบุง เครื่องดักปลา เป็นต้น ส่วนแม่จะสอนลูกสาวเกี่ยวกับการรับผิดชอบครัวเรือน รู้จัก “เวียกเย้าการเรือน” สอนปั่นด้าย เลี้ยงไหม ทอผ้า เป็นต้น (หน้า 263-264, 278)

Health and Medicine

การคลอดและการปฏิบัติตนของแม่หลังคลอดดูที่หัวข้อ Belief System การรักษาผู้เจ็บป่วยอาการหนักดูที่หัวข้อ Belief System เรื่องพิธีขับมด

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ในชีวิตประจำวัน ชายไทดำจะสวมใส่เสื้อกางเกงผ้าฝ้ายทอมือสีดำทั้งชุด กางเกงยาวครึ่งแข้ง เสื้อแขนกระบอกผ่าหน้าติดกระดุมโลหะหรือเงินประมาณ 10 - 12 เม็ด เรียกว่า "หมากแป่ม" และคาดผ้าโพกศีรษะเรียกว่า "ผ้าขันเฮี้ยว" ยาวประมาณ 4 เมตร ส่วนในโอกาสพิเศษ เช่น แต่งงาน เป็นต้น จะนุ่งกางเกงขายาว สวมเสื้อฮีแขนยาว ผ่าอก ยาวคุมถึงสะโพก คอเสื้อและและแนวกระดุมประดับด้วยแถบผ้าไหมสีแดงหรือสีขาว ตัวเสื้อตกแต่งลวดลายสวยงาม สำหรับหญิงไทดำ จะนุ่งซิ่นผ้าฝ้ายหรือไหม มีแถบสลับสีดำ-ขาวเป็นลายตั้ง ด้านล่างต่อเชิงลายจกยาวประมาณ 3 นิ้ว สวมเสื้อแขนกระบอกสามส่วนสีดำหรือน้ำเงินเข้ม ผ่าอกติดกระดุมโลหะหรือเงิน 10 - 12 เม็ด เกล้าผมมวยตั้งเหนือศีรษะเอียงไปด้านข้างเล็กน้อย ส่วนหญิงสาวมวยผมจะค่อนไปทางด้านหลังเล็กน้อย ถอดปลายผมให้แผ่ออกพองาม อาจใช้ "ผ้าเปียว" (มักเป็นสีดำ) คลุมศีรษะในขณะเดินทาง หากเป็นโอกาสพิเศษจะนุ่งซิ่นไหมลายตั้งสลับสีดำ-ขาว ต่อเชิงลายจกผ้าไหมสีดำ สวมเสื้อฮีแบบคอกลม อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน การแต่งกายของไทดำได้รับอิทธิพลการแต่งกายของคนลาวในท้องถิ่น (หน้า 271, 285)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ผู้เขียนนำเสนออัตลักษณ์ของไทดำที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมความเชื่อ ลักษณะทางสังคมและครอบครัว การแต่งกาย และประเพณีต่าง ๆ ดูที่หัวข้อ Social Organization, Belief Systems และ Arts and Crafts

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

1. แผนที่ไทดำในทางเหนือของ สปป.ลาว หน้า 261

Text Analyst บุญสม ชีรวณิชย์กุล Date of Report 24 ก.ย. 2567
TAG ไทดำ, สังคม, ประเพณี, พิธีกรรม, ความเชื่อ, ประเทศลาว, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง