|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กลุ่มชาติพันธุ์,ความเป็นมา,ถิ่นฐาน,ความเชื่อ,วัฒนธรรม,เชียงใหม่ |
Author |
อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว |
Title |
Ethnic Groups in Chiangmai |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
36 |
Year |
2541 |
Source |
Inter - Ethnic Relations in the Making of Mainland southeast Asia.Vol.1, Compiled by Hayashi, Yukio, pp. 40 75, Center for Southeast Asian Studies Kyoto University. |
Abstract |
ในจังหวัดเชียงใหม่มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันจำนวนมากอาศัยอยู่ร่วมกันมายาวนานตั้งแต่โบราณ จนในปัจจุบัน ประชาชนบนพื้นราบส่วนใหญ่เกิดการผสมกลมกลืนกับคนเมืองซึ่งเป็นชนกลุ่มหลัก สามารถพูดคำเมืองซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นได้ รับประทานอาหารพื้นเมือง แต่งกายแบบคนเมือง และเข้าร่วมกิจกรรมในงานเทศกาลและพิธีกรรมของท้องถิ่น ผู้เขียนมองว่าเชียงใหม่ประสบความสำเร็จในการผสมผสานกลมกลืนวัฒนธรรมของกลุ่มอื่น ๆ เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวัฒนธรรมล้านนา ประชาชนอยู่ร่วมกันได้อย่างประสานกลมกลืนด้วยวัฒนธรรมที่พิเศษเฉพาะตัวของล้านนา (หน้า 56-57) |
|
Focus |
ความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยยวน : ไทโยนก คนยวน ในล้านนาหรือเชียงใหม่ ปัจจุบันคือ คนเมือง คำว่า คนเมือง ที่คนล้านนาเรียกตัวเอง มีการสันนิษฐานที่มาต่างกันออกไป แต่ผู้เขียนเสนอว่า คำว่า คนเมือง น่าจะมาจาก อักษรเมือง หรือ ตัวเมือง ที่คนล้านนาใช้จารในใบลาน และเรียกภาษาพูดของตนว่า คำเมือง และเรียกคนพูดคำเมืองว่า คนเมือง (หน้า 40, 60) เอกสารโบราณ เรียก คนเชียงใหม่และล้านนาในสมัยโบราณว่า คนไทโยน หรือ ชาวพิงค์ (หน้า 64) ลัวะ : เป็นชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อยู่บนพื้นที่ซึ่งเป็นเชียงใหม่ในปัจจุบัน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก อาศัยอยู่บริเวณดอยสุเทพ สืบเชื้อสายมาจากขุนหลวงวิรังคะ อีกกลุ่มมีบรรพบุรุษชื่อปู่แสะย่าแสะ และฤาษีวาสุเทพ และยังมีอีกกลุ่มที่อยู่บริเวณดอยตุงมีหัวหน้าชื่อ ปู่เจ้าลาวจก (หน้า 41, 61) ปัจจุบัน ลัวะในเมืองเชียงใหม่เรียกตัวเองว่า คนเมือง เช่นเดียวกับไทยวน เนื่องจากเกิดการผสมกลมกลืนกับไทยวน (หน้า 43,62) อย่างไรก็ตาม ยังมีลัวะอีกกลุ่มหนึ่งที่อพยพขึ้นไปอยู่บนเขาตั้งแต่อดีต เป็นลัวะที่เป็นชาติพันธุ์บนเขา หรือที่เรียกกันว่า ชาวเขา (หน้า 44,63) มอญ หรือ เม็ง : ชาวล้านนาเรียกมอญว่า เม็ง อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำปิง ประชาชนส่วนใหญ่ของหริภุญไชยตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวีเป็นเม็ง มีหลักฐานแสดงถึงการมีอยู่ของมอญในล้านนา เช่น มี ปฏิทินแบบมอญ ปรากฏในศิลาจารึกและคัมภีร์ใบลานล้านนา ซึ่งจะเขียนศักราชเป็นวันไท และวันเม็ง ควบคู่กันไปเสมอ อักษรมอญเป็นต้นกำเนิดของตัวเมือง เป็นต้น วรรณกรรมท้าวหุ้งขุนเจืองเล่าว่า พระมารดาของขุนเจือง (พ.ศ.1625 1705) เป็นเม็ง แม่น้ำปิงมีชื่ออีกอย่างว่า แม่น้ำเม็ง หมายถึง แม่น้ำของชาวเม็ง ในจามเทวีวงศ์เรียกชาวลุ่มน้ำปิงว่า เมงคบุตร หรือ ลูกเม็ง (หน้า 44,63) นอกจากนี้ หลังจากที่เชียงใหม่กลายเป็นเมืองร้างระหว่างปี พ.ศ.2318 - 2338 พระเจ้ากาวิละได้ฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่โดยย้ายผู้คนจากเมืองต่าง ๆ ในล้านนาและที่อยู่เหนือล้านนาขึ้นไปให้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเชียงใหม่ ซึ่งเมื่อดูจากหลักฐานการสำรวจวัด จำนวนพระภิกษุและสามเณร ในปี พ.ศ.2440 ที่เขียนลงบนพับสาของวัดเจดีย์หลวง ทำให้เห็นภาพคนที่ตั้งถิ่นฐานในเมืองเชียงใหม่ มีดังนี้ (หน้า 48-52,66-68) 1.คนไท ไม่ได้ระบุว่าเป็นไทอะไร จารึกว่า คนนิกายไท แต่ไม่น่าจะเป็นไทใหญ่ เพราะคนล้านนาเรียก ไทใหญ่ว่า เงี้ยว 2.คนพม่า ชาวล้านนาเรียกคนพม่าว่า ม่าน (Maan) 3.ไทใหญ่ หรือ เงี้ยว 4.ชาวคง คือ คนที่มาจากลุ่มน้ำสาละวิน คนล้านนาเรียก แม่น้ำสาละวิน ว่า แม่น้ำคง 5.ไทเขิน หรือ เขิน ล้านนาเรียกคนจากเมืองเชียงตุงรัฐฉานว่า เขิน หรือ ไทเขิน คำว่า เขิน หมายถึง resistance ความหมายนี้มาจากธรรมชาติของแม่น้ำเขินที่ไหลจากทางใต้ขึ้นไปทางเหนือ ในขณะที่แม่น้ำโดยทั่วไปไหลลงใต้ 6.ชาวยอง เป็นไทลื้อกลุ่มหนึ่งที่อพยพมาจากเมืองยองในรัฐฉาน แต่ถือว่าตนเป็นคนเมืองยอง ไม่ใช่ไทลื้อ 7.ไทลื้อ จะมีไทลื้อที่อพยพมาจากเมืองลวง สิบสองปันนา ไทลื้อเมืองหลวยในรัฐฉาน และไทลื้อเมืองเลนจากรัฐฉาน 8.กลุ่มที่หลักฐานบันทึกไว้ว่า นิกายเชียงใหม่ ได้แก่ ชาวเมืองวะ มาจากเมืองวะ ชาวเมืองวะเวียงแก่น มาจากเมืองวะเวียงแก่น ชาวเมืองขอน มาจากเมืองขอน ปัจจุบันคือเมืองมั่งซือ เขตเต้อหง ผลจากยุคสมัยอาณานิคม กิจกรรมของเจ้าอาณานิคมยุโรปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เกิดทิศทางใหม่ของการอพยพของประชากรในภูมิภาคนี้ และมีผู้อพยพเข้ามาในเมืองเชียงใหม่อีกหลายกลุ่มด้วยกัน เช่น 1.จีนฮ่อ คนเมืองเรียกชาวจีนจากยูนนานที่เดินทางมาทางบกว่า ห้อ หรือ ฮ่อ ซึ่งมีทั้งที่นับถือศาสนาพุทธ คริสต์ และ อิสลาม แต่ที่นับถืออิสลามจะมีจำนวนมากที่สุด 2.คนจีน มีหลายเชื้อสาย ทั้งแต้จิ๋ว กวางตุ้ง ไหหลำ ฮกเกี้ยน เป็นชาวจีนที่อพยพมาทางเรือจากทางใต้ของแผ่นดินใหญ่จีน มากรุงเทพ แล้วอพยพขึ้นมาที่เชียงใหม่ คนเมืองและคนไทยภาคกลางเรียกว่า เจ๊ก แต่เมื่อเกิดการผสมกลมกลืนคนจีนรุ่นหลังเรียกตัวเองว่าคนเมือง พูดคำเมือง และแต่งตัวเหมือนคนเมือง (หน้า 53,70) 3.ชาวตะวันตก หรือ ชาวฝรั่ง มีหลายชาติ เช่น อังกฤษ และมิชชันนารีอเมริกัน เป็นต้น (หน้า 54, 70) 4. แขกปาทาน ส่วนใหญ่มาจากปากีสถาน บางส่วนมาจากอินเดีย คนเมืองสมัยก่อนเรียก ผู้อพยพแขก ว่า กุลวา (กุ-ละ-หวา) (หน้า 55, 71) 5. แขกมาเลย์ มาจากมาเลเซีย (หน้า 55) นอกจากนั้น จังหวัดเชียงใหม่ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายที่อาศัยอยู่บนเขาที่เรียกกันว่า ชาวเขา ได้แก่ กะเหรี่ยง ลัวะ มูเซอร์หรือละหู่ แม้วหรือม้ง ลีซอหรือลีซู อีก้อหรืออาข่า เย้าหรือเมี่ยน และ ปะหล่อง (คนไทยเรียก) หรือที่เรียกตัวเองว่า ดาละอั้ง (Dalaang) อพยพมาจากพม่าในปี พ.ศ. 2527 (หน้า 55-56,71-72) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องภาษา มีกล่าวถึงเล็กน้อยว่า อักษรมอญเป็นต้นกำเนิดของอักษรธรรมล้านนา หรือ ตัวเมือง (หน้า 44,63) คนบนพื้นราบภาคเหนือใช้คำเมืองเป็นภาษาพูดมาตรฐาน จีนฮ่อ คนจีน ลัวะ ไทลื้อ และ ไทเขิน สามารถพูดคำเมืองได้ (หน้า 56) |
|
Study Period (Data Collection) |
ศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ในเมืองเชียงใหม่ช่วงเวลาตั้งแต่ก่อนตั้งเมืองเชียงใหม่จนถึงเมืองเชียงใหม่ในปัจจุบัน |
|
History of the Group and Community |
ประวัติเมืองเชียงใหม่ : ก่อนที่พญามังรายจะสร้างเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ.1839 บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง มีแคว้นหริภุญไชย ซึ่งเป็นที่อยู่ของมอญ หรือ เม็ง (รายละเอียดดูหัวข้อ Ethnic Groups) ส่วนบริเวณเชิงดอยสุเทพเป็นที่อยู่ของลัวะ จากการศึกษาด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์ ตำนาน และประเพณี พบว่า ลัวะเป็นเจ้าของถิ่นนี้มาแต่เดิม ตัวอย่างประเพณีที่สืบต่อกันมาซึ่งแสดงว่าลัวะอยู่มาก่อน เช่น ประเพณีบูชาเสาอินทขิลในปัจจุบัน มีตำนานของคนเมืองเชื่อกันว่า พระอินทร์ประทานเสาอินทขิลให้แก่ลัวะ หรือที่ธรรมเนียมปฏิบัติการให้ลัวะเป็นผู้ เบิก ในการทำพิธีต่าง ๆ ในคราวที่เจ้ากาลวิละเสด็จเข้าครองเมืองเชียงใหม่ โดยให้ ลัวะจูงหมาพาแชกหาบไก่ นำขบวนเสด็จเข้าเมือง (แชกเป็นเครื่องสานทรงสอบสำหรับใส่สิ่งของ ใช้สะพายหลังคล้ายเป้) หรือ เมื่อพญาหลวงผู้ปกครองเวียงป่าเป้าทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ ก็ให้ลัวะมาทำพิธีขึ้นบ้านก่อน หรือเมื่อมีการทำพิธีต่าง ๆ ก็มักให้ลัวะทำเป็นปฐมฤกษ์ ซึ่งมาจากความเชื่อที่ถือว่า ลัวะเป็นเจ้าของแผ่นดินเดิม (หน้า 41-43, 61-62) หลักฐานทางโบราณคดี กล่าวถึง ถิ่นฐานของลัวะอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำปิงและเชิงดอยสุเทพ มีเวียงเรียกว่า เวียงเชษบุรี ต่อมาพระยาสามฝั่งแกนได้สร้างเวียงไว้ที่นี่ เรียกว่า เวียงเจ็ดลิน ซึ่งปัจจุบันคือ ที่ตั้งของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลเชียงใหม่ ที่ตั้งถิ่นฐานอีกแห่งของลัวะ เรียกว่า เวียงนพบุรี เป็นบริเวณเดียวกับที่พญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่ ตามตำนานกล่าวว่า หลังจาก พญามังรายยึดเมืองหริภุญไชยได้แล้ว ประทับอยู่ที่เวียงกุมกาม ทรงออกล่าสัตว์บริเวณทิศเหนือของเวียงกุมกามเชิงดอยสุเทพ ได้พบชัยภูมิที่เหมาะแก่การสร้างเมือง บริเวณนั้นคือ เมืองนพบุรีของลัวะ ที่กลายเป็นเมืองร้างแล้ว เมื่อพญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่แล้ว ทรงให้คนออกเสาะถามถึงพิธีกรรม และประเพณีของบ้านเมืองที่ลัวะเคยปฏิบัติมาก่อน และพญามังรายได้ถือปฏิบัติต่อมา มีประเพณีหนึ่งที่ปฏิบัติมาตั้งแต่สมัยพญามังราย คือการบูชาเสาอินทขิล (เสาหลักเมืองเชียงใหม่) เป็นประจำทุกปี (หน้า 42, 61) หลังจากราชวงศ์มังราย (พ.ศ.1839 2101) เมืองเชียงใหม่ก็ตกเป็นของพม่าในระหว่างปี พ.ศ.2101 2317) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่ปรากฏหลักฐานมากนัก ต่อมาสมัยของราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน มีพระเจ้ากาวิละเป็นต้นวงศ์ พ.ศ.2317 2482) ซึ่งตรงกับสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (หน้า 60) ระหว่างปี พ.ศ.2318 2338 เมืองเชียงใหม่กลายเป็นเมืองร้าง เนื่องจากชาวบ้านหนีภัยสงครามไปอยู่ที่อื่น ปี พ.ศ.2338 พระเจ้ากาวิละฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ ให้ชาวบ้านกลับมาตั้งถิ่นฐานใหม่ ซึ่งรวมทั้งผู้คนที่มาจากเมืองอื่น ๆ ในล้านนา เช่น ลำปาง แพร่ น่าน เป็นต้น และมาจากดินแดนที่อยู่เหนือล้านนาขึ้นไป เช่น ไทเขิน ไทลื้อ จากพม่าและสิบสองปันนา ที่พระเจ้ากาวิละกวาดต้อนมาจากนโยบาย เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง นอกจากนี้ยังมี ชาวคงจากลุ่มน้ำสาละวิน ชาวแม่ปละบริเวณน้ำแม่ปละในรัฐฉาน ไทใหญ่หรือเงี้ยวในพม่า เป็นต้น ผู้คนที่อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองเชียงใหม่ดังกล่าว ประกอบด้วยช่างฝีมือแขนงต่าง ๆ พระนิกายต่าง ๆ ตามชาติพันธุ์ที่นำเข้ามา ตลอดจนถึงศิลปะแขนงการแสดง ตัวอย่างผู้คนในเมืองเชียงใหม่ (หน้า 48,66) (รายละเอียดชาติพันธุ์และผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานในเมืองเชียงใหม่ ดูหัวข้อ Ethnic Groups Community Site และ Other Issue) |
|
Settlement Pattern |
คติการใช้พื้นที่ในเวียงเชียงใหม่ในสมัยโบราณ อาศัยความเชื่อเรื่องทักษาเมืองหรือดวงเมือง คนล้านนาเชื่อว่า เมืองมีชีวิตเหมือนคน คือ มีหัว มีสะดือ มีหางหรือส่วนล่างตามทิศต่าง ๆ และมีดวงเหมือนคนด้วย แต่ละเมืองจะมีทิศของดวงไม่เหมือนกัน หากเมืองมีภัย ก็ต้องทำพิธีสืบชะตาเมือง ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือน 9 ของล้าน (มิถุนายน กรกฎาคม) เมืองเชียงใหม่ ทักษาเมือง กำหนดให้ทิศเหนือเป็น เดชเมือง คือที่ ประตูช้างเผือก ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็น ศรีเมือง คือบริเวณที่เรียกว่า แจ่งศรีภูมิ ทิศตะวันออกเป็น มูลเมือง คือบริเวณประตูท่าแพ ทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็น อุตสาหเมือง ตรงนี้เรียก แจ่งคะท้ำ ทิศใต้เป็น มนตรีเมือง คือที่ประตูเชียงใหม่ ทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็น กาลกิณี คือบริเวณแจ่งกู่เรือง ทิศตะวันตกเป็น บริวารเมือง คือที่ประตูสวนดอก ทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็น อายุเมือง อยู่ในบริเวณ แจ่งหัวลิน และมีประตูผี อยู่ที่ประตูสวนปรุง ทั้งนี้ การประกอบกิจกรรม หรือ การแบ่งเขตที่อยู่ของคนระดับชั้นต่างๆ ก็จะถูกกำหนดโดยทักษาเมือง ว่าคนระดับชั้นใดจะอยู่บริเวณใด (หน้า 45,64) เขตพระราชวัง : เรียกว่า เวียงแก้ว จะตั้งอยู่บริเวณชัยภูมิที่เป็นมงคล คือ บริเวณอายุเมือง เดชเมือง และศรีเมือง ปัจจุบันคือที่ตั้งของวิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ ตั้งอยู่บริเวณอายุเมือง ส่วนพวกเจ้านายจะสร้างคุ้มอาศัยอยู่บริเวณด้านเหนือของศูนย์กลางหรือสะดือเมือง (หน้า 45-46, 64) เขตอาศัยของขุนนางและไพร่พลเมือง : สันนิษฐานว่าพื้นที่กว้างใหญ่ทางใต้ของศูนย์กลางเมือง เป็นตำแหน่งของมูลเมือง อุตสาหเมือง และมนตรีเมือง ตามหลักทักษาเมือง เป็นที่ตั้งบ้านเรือนของขุนนาง พวก ช่าง และวัดต่าง ๆ ที่สร้างและอยู่ในอุปถัมป์ของขุนนางระดับต่าง ๆ ในเขตกำแพงเมืองและกำแพงเมืองชั้นนอก พบหลักฐานมีวัดจำนวนมากโดยตั้งชื่อตามชื่อและตำแหน่งขุนนางระดับต่าง ๆ (ร้อย พัน หมื่น แสน) เช่น วัดร้อยข้อ (ปัจจุบันชื่อวัดลอยเคราะห์) วัดพันแหวน วัดพันแจ่ม วัดหมื่นสาร วัดหมื่นตูม วัดแสนฝาง วัดแสนตาห้อย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีวัดของขุนนางระดับต่ำที่เรียกว่า พวก, ช่าง เช่น วัดพวกแต้ม (ช่างวาดรูป) วัดพวกเปี๊ยะ (ช่างทำเปี๊ยะ) วัดช่างฆ้อง (ช่างทำฆ้อง) วัดช่างคำ (ช่างทอง) เป็นต้น ซึ่งบางวัดก็เป็นวัดร้าง (หน้า 46-47,64-65) เขตคุมขังนักโทษและป่าช้าของเมือง : ภายในกำแพงเมืองมีตำแหน่งที่เรียกว่า กาลกิณีเมือง หรือ แจ่งกู่เรือง มีสถานที่ที่เป็นคุกของเมือง สร้างตั้งแต่สมัยราชวงศ์มังรายตอนต้น พญาแสนภู โปรดให้สร้างเพื่อขังขุนเครืออาของพระองค์ซึ่งถูกจับในฐานเป็นกบฏ ทิศนี้จึงถือเป็นทิศอัปมงคล ต่อมามีการสร้างประตูอีกทางด้านใต้ เรียกว่า ประตูผี สำหรับชาวเมืองนำศพจากเมืองไปเผานอกเมือง ปัจจุบัน ชาวเมืองเชียงใหม่ที่อาศัยอยู่ในกำแพงเมืองยังนำศพผ่านประตูสวนปรุงซึ่งเป็นประตูผีไปสู่ป่าช้าประตูหายยา แนวความคิดเรื่องนี้ตรงกับข้อปฏิบัติของชาวเชียงตุง (หน้า 47, 65) ข่วงหลวง : เป็นที่โล่งกลางเมือง มักตั้งอยู่ในศูนย์กลางของเมือง สันนิษฐานว่า เป็นที่ชุมนุมของประชาชนในพิธีต่าง ๆ ของเมือง เช่น คล้ายทุ่งพระเมรุในสมัยอยุธยา เป็นที่สำหรับถวายพระเพลิงพระบรมศพกษัตริย์หรือเจ้านายในราชวงศ์กาวิละตอนปลาย เป็นที่ชุมนุมพลในสงคราม เป็นที่จัดงานสงกรานต์ งานรื่นเริง งานประเพณีทางศาสนา เป็นต้น (หน้า 47, 65) วัดหัวข่วง : เป็นวัดสำคัญอยู่ทางหัวของข่วงหลวง (หัว หมายถึงทิศเหนือของเมือง) สร้างติดกับข่วงหลวง ใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรม ชื่อวัดหัวข่วงพบอยู่หลายเมืองในล้านนา และล้วนเป็นวัดสำคัญของเมือง เช่น เมืองลำปาง เมืองแพร่ เมืองน่าน เมืองพะเยา และมีในเมืองเชียงตุง และเมืองยอง ในพม่าด้วย (หน้า 47, 65) สะดือเมือง : คือบริเวณศูนย์กลางเมือง เมืองเชียงใหม่มีวัดสะดือเมือง เป็นที่ประดิษฐานเสาหลักเมือง คือ เสาอินทขิล ต่อมาเมื่อพระเจ้ากาวิละเข้ามาฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ได้ย้ายเสาอินทขิลไปประดิษฐานไว้ที่วัดเจดีย์หลวง (หน้า 47-48, 65) |
|
Demography |
ผู้เขียนไม่ได้ระบุชัดเจนว่าในเมืองเชียงใหม่มีจำนวนประชากรเท่าไร แต่ได้ระบุว่า มีชนกลุ่มน้อยที่เรียกว่า ชาวเขา อาศัยอยู่ในเขตภูเขาในจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีตัวเลขจากกองสงเคราะห์ชาวเขาระบุไว้ในปี พ.ศ.2538 ว่า มีชุมชนบนพื้นที่สูงในเขตจังหวัดเชียงใหม่ 270,000 คน (ตัวเลขนี้รวมถึงคนไทยบนพื้นราบที่ไปอาศัยอยู่บนพื้นที่สูงด้วย) แต่ไม่ได้ระบุถึงจำนวนประชากรของแต่ละชาติพันธุ์ กล่าวเพียงว่าปัจจุบันมีจำนวนกะเหรี่ยงเป็นครึ่งหนึ่งของชาวเขาทั้งหมดคือ 123,000 คน และในปี พ.ศ.2527 มี ดาละอั้ง อพยพจากพม่าเข้ามาอยู่ในเชียงใหม่ประมาณ 2,000 คน (หน้า 55-56, 71-72) |
|
Economy |
ในอดีต ไทใหญ่ ชาวพม่า และ ฮ่อ เป็นพ่อค้าดั้งเดิมที่ผูกขาดการค้าในล้านนา มีการค้าไปมาระหว่างล้านนากับพม่า และแถบมณฑลยูนนาน โดยใช้ม้าและวัวเป็นพาหนะ จัดเป็นกองคาราวานบรรทุก เกลือ ผ้า ของป่า ถ้วยชาม เป็นต้น นอกจากนี้ ไทยใหญ่ และชาวพม่ายังชำนาญในการทำไม้ ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ อังกฤษได้รับสัมปทานทำไม้ในภาคเหนือ ก็จ้างไทใหญ่และชาวพม่าร่วมทำงานด้วยจำนวนมาก และไทใหญ่ บ้านเมืองกุง อำเภอหางดง ปัจจุบันยังทำเครื่องปั้นดินเผาน้ำต้นอยู่ (หน้า 49-50,67) ไทเขินที่อยู่ในกำแพงเมืองชั้นนอกด้านใต้ มีอาชีพทำเครื่องเขิน และเครื่องเงินมาจนปัจจุบัน ไทเขินบ้านป่ากล้วยมีอาชีพทำหม้อ ส่วนไทเขินอำเภอสันกำแพง อำเภอดอยสะเก็ด และอำเภอสันทราย มีอาชีพเป็นเกษตรกร ไม่ใช่ช่างฝีมือ ไทเขินจากเมืองงัวลายรัฐฉานที่อพยพมาอยู่บริเวณใกล้ประตูหายยามีฝีมือในการทำเครื่องเงิน (หน้า 50-51, 67-68) นอกจากนี้ยังมีพวกปาทานที่อพยพมาจากปากีสถานและอินเดีย มาทำอาชีพปศุสัตว์ ส่วนคนฮินดูมีอาชีพ เช่น ค้าขายผ้า หรือ ออกเงินกู้ เป็นต้น (หน้า 71) พ่อค้าจีนเป็นพ่อค้ากลุ่มเดียวที่ค้าขายทางเรือติดต่อกับกรุงเทพฯ เริ่มเข้ามาตั้งหลักแหล่งและค้าขายในเชียงใหม่ในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช โดยตั้งร้านค้าเรียงรายไปตามริมฝั่งแม่น้ำปิงและบริเวณท่าเรือของแต่ละเมือง เช่น บริเวณวัดเกตุการาม เชียงใหม่ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เป็นต้น มีการติดต่อค้าขายอย่างใกล้ชิดกับพ่อค้านครสวรรค์และกรุงเทพฯ ต่อมาเติบโตกลายเป็นนักธุรกิจสำคัญในเชียงใหม่และภาคเหนือ หลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งในปี พ.ศ.2398 (ค.ศ.1855) บริษัทการค้าของตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษเข้ามาทำธุรกิจไม้สัก ก่อตั้งบริษัทบอร์เนียว อังกฤษยังได้เข้ามาผูกขาดการค้าส่งออกแทนพ่อค้าจีน ทำให้พ่อค้าจีนหันมาทำการค้าภายในประเทศแทนการส่งออก พ่อค้าจีนในกรุงเทพได้อพยพขึ้นเหนืออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเริ่มมีรถไฟสายเหนือ (พ.ศ.2464 หรือ ค.ศ.1921) จากนั้น การค้าในเชียงใหม่และภาคเหนือก็ตกอยู่ในมือของพ่อค้าจีนแทนชาวพม่าหรือไทใหญ่ตั้งแต่ยุคต้นรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา (หน้า 53-54, 70) |
|
Belief System |
จากหลักฐานการสำรวจวัด นิกายสงฆ์ในวัด จำนวนพระภิกษุและสามเณรในปี พ.ศ.2440 ระบุว่า มีวัดและนิกายของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเชียงใหม่ไว้ในชุมชนของตน เช่น ลัวะที่อาศัยอยู่นอกเมืองเชียงใหม่มีวัดและแนวทางปฏิบัติทางศาสนาของตัวเอง เรียกว่า นิกายลัวะ (ส่วนลัวะที่อยู่บนเขาเป็นชาวเขายังคงนับถือผีอย่างเคร่งครัด แม้จะมีศาสนาพุทธหรือคริสต์เข้าไปเผยแพร่แล้วก็ตาม) แต่ปัจจุบันกลืนกลายไปเป็น คนเมือง แล้ว (หน้า 44, 62-63) มอญ หรือ เม็ง มีวัดและการปฏิบัติทางศาสนาของตนเอง เรียกว่า นิกายมอญ อย่างไรก็ตาม มีความเชื่อและพิธีกรรมของเม็งในเมืองเชียงใหม่ที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน คือ ประเพณีการไหว้ผีเม็ง หรือ ฟ้อนผีเม็ง นอกจากนี้ ยังมีพิธีกรรมความเชื่อเรื่องพระอุปคุตว่าสามารถช่วยป้องกันมิให้เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทในงานเทศกาล หรือมหรสพตามวัด จึงต้องมีการอาราธนาพระอุปคุตจากแม่น้ำมาไว้ในหอพระอุปคุตตลอดระยะเวลาที่มีการจัดงาน (หน้า 44-45, 63) นอกจากนั้น ยังมีนิกายยอง นิกายแพร่ นิกายลวง นิกายเชียงแสน นิกายเขิน นิกายม่าน นิกายลวง เป็นต้น ซึ่งแต่ละนิกายก็จะมีวัดประจำนิกายของตนอยู่ในชุมชน แต่ในปัจจุบัน การผสมผสานทางวัฒนธรรมทำให้ความแตกต่างระหว่างนิกายเจือจางลงมากแล้ว (หน้า 48, 66) นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่า ขุนนางแต่ละระดับในอดีตจะมีวัดประจำครอบครัวและผู้ใต้บังคับบัญชา ชุมชนช่างฝีมือ หรือขุนนางระดับต่ำ ก็มีวัดเป็นของตนเอง เช่น วัดพวกช้าง วัดช่างแต้ม (ช่างวาดรูป) วัดพวกเปี๊ยะ (ช่างเล่นเปี๊ยะ) วัดช่างคำ (ช่างทอง) วัดช่างเคี่ยน (ช่างกลึง) เป็นต้น ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีมิชชันนารีอเมริกันเข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ในเมืองเชียงใหม่ และมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเจริญให้แก่เมืองเชียงใหม่ ได้สร้างโรงเรียน โรงพยาบาลไว้หลายแห่ง ที่ยังมีชื่อเสียงอยู่จนทุกวันนี้ เช่น โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย โรงพยาบาลแมคคอร์มิค เป็นต้น มิชชันนารีคนสำคัญ ที่ได้รับการยกย่องของคนเมืองให้เป็น พ่อครูหลวง คือ ดร. ดาเนียล แมคกิลวารี (54-55, 71) |
|
Education and Socialization |
มีข้อมูลเล็กน้อยกล่าวถึงบทบาทของมิชชันนารีอเมริกันที่มาเผยแพร่ศาสนา และได้นำการศึกษาสมัยใหม่เข้ามาด้วยการสร้างโรงเรียนและให้การศึกษากับคนเมือง (หน้า 54-55, 71) |
|
Health and Medicine |
มีข้อมูลเล็กน้อยกล่าวถึงบทบาทของมิชชันนารีอเมริกันที่มาเผยแพร่ศาสนา และได้นำการรักษาพยาบาลสมัยใหม่เข้ามาด้วยการสร้างโรงพยาบาลไว้หลายแห่งในเมืองเชียงใหม่ (หน้า 54-55, 71) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ไทเขินที่อพยพที่อพยพมาจากน้ำแม่ปละที่อาศัยอยู่บริเวณวัดแม่ยอยหลวง วัดแม่ยอยใต้ มีฝีมือในการทำเครื่องเงินจนมีชื่อเสียง "ลายแม่ยอย" เป็นชื่อลายระดับคลาสสิก และปัจจุบันชาวบ้านยังคงมีอาชีพทำเครื่องเงินอยู่เช่นเดิม (หน้า 51, 68) |
|
Folklore |
มีเรื่องของลัวะปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในตำนานพระธาตุ ตำนานพระพุทธบาท และตำนานพระเจ้าเลียบโลกของล้านนา ทุกเรื่องจะกล่าวถึงลัวะว่าเป็นผู้สร้างพระธาตุพระบาท โดยอธิบายว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดลัวะและประทานพระเกศธาตุ (หรือรอยพระพุทธบาท) ไว้ให้แก่ลัวะ นอกจากนี้ ยังมีนิทานพื้นเมืองเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างลัวะที่เชิงดอยสุเทพกับชนชาติมอญที่แคว้นหริภุญไชย เรื่องกล่าวว่า ขุนหลวงวิรังคะทรงขออภิเษกสมรสกับพระนางจามเทวี กษัตริย์หริภุญไชย แต่ถูกปฏิเสธ พระองค์จึงยกทัพไปรบกับเมืองหริภุญไชย แต่พ่ายแพ้คับแค้นใจจนอกแตกสิ้นพระชนม์ (หน้า 41,61) มีตำนานของคนเมืองเชื่อกันว่า เสาอินทขิล ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงได้มาจากการที่ลัวะเมืองนพบุรีขอเสาอินทขิลบนสวรรค์จากพระอินทร์ พระอินทร์ทรงประทานให้โดยให้ยักษ์ 2 ตนนำเสาศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวมาให้ลัวะที่เมืองนพบุรี (ซึ่งต่อมาคือที่ตั้งเมืองเชียงใหม่) (หน้า 42,62) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
"ไทลื้อเมืองลำพูน" นับเนื่องตัวเองว่าเป็น "คนเมืองยอง" ไม่ใช่ไทลื้อ เนื่องจากตอนอพยพมาที่ลำพูน อพยพมาทั้งเมือง รวมทั้งเจ้าเมืองด้วย เจ้าเมืองลำพูนจึงให้สร้างเป็นเวียงยองอยู่ในจังหวัดลำพูน ซึ่งปัจจุบันยังมีชื่อบ้านเวียงยองปรากฏอยู่ (หน้า 68, 50-51) "จีนฮ่อ" นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าตั้งถิ่นฐานอยู่ในเชียงใหม่มานานแล้ว มีการค้าขายกับเชียงใหม่มาตั้งแต่สมัยพระเจ้ามังราย มีการอพยพครั้งใหญ่ระหว่างการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ในจีน ประชาชนและทหารในยูนนานก่อตัวเป็นองค์กรต่อต้านคอมมิวนิสต์ เรียกตัวเองว่า "ก๊กมินตั๋ง" หรือ "กองพล 93" ตามที่คนไทยเรียกกัน มีฐานปฏิบัติการใหญ่อยู่ในพม่า เมื่อถูกกวาดล้างอย่างหนักในปี พ.ศ.2496 และปี พ.ศ.2404 บางส่วนอพยพไปอยู่ไต้หวัน ส่วนที่เหลือลี้ภัยเข้ามาอยู่ในประเทศไทย รัฐบาลไทยจัดให้อยู่ที่ดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง เพื่อให้เป็นแนวกันชนลัทธิคอมมิวนิสต์ ปัจจุบัน จีนฮ่อที่อพยพมาจากพม่าตั้งถิ่นฐานในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน แหล่งที่อยู่ที่ใหญ่ที่สุด คือที่อำเภอเชียงดาว ฝาง และเวียงแหง (Wiang Haeng) ในจังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 53, 69-70) |
|
|