|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่ ลาฮู,ดนตรี,พิธีฉลองปีใหม่,เชียงใหม่ |
Author |
เจตชรินทร์ จิรสันติธรรม |
Title |
ดนตรีชาวเขาเผ่ามูเซอ กรณีศึกษาหมู่บ้านห้วยหลวง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
165 |
Year |
2545 |
Source |
|
Abstract |
สภาพทั่วไปของชุมชนหมู่บ้านห้วยหลวง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีการพัฒนาจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นอย่างดีและต่อเนื่อง ทำให้หมู่บ้านมีความเจริญในด้านต่างๆมากขึ้น ในด้านวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับดนตรี ได้มีการสืบทอดมาช้านาน ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเกิดขึ้นในยุคสมัยใด บทเพลงใช้บรรเลงประกอบการเต้นรำเป็นส่วนใหญ่ โดยมูเซอถือว่าดนตรีกับการเต้นรำนั้นเป็นสิ่งควบคู่อย่างแยกไม่ออก ดนตรีและการเต้นรำ สำคัญที่สุดของมูเซอคือการเต้นรำในช่วงเทศกาลปีใหม่ การวิเคราะห์ดนตรีที่ใช้ประกอบในพิธีฉลองปีใหม่ ผลการวิจัยพบว่า เครื่องดนตรีหลักที่ใช้ในการดำเนินทำนองคือ “หน่อ” มีความสำคัญในการเป็นผู้นำการเต้นรำของมูเซอ อยู่ในดนตรีตระกูลเครื่องลมที่มีระบบการเทียบเสียง 5 เสียง คือ ซอล ลา ที โด เร หน่อมีส่วนประกอบ 3 ส่วนคือ ตัวน้ำเต้า ท่อเสียง 5 ท่อ และลิ้น สำหรับกรรมวิธีการ สร้าง ใช้วัสดุและเครื่องมือที่สามารถหาได้ง่ายในท้องถิ่น ธรรมชาติของเพลงดนตรีชาวเขา เป็นเพลงที่มีทำนองสนุกสนาน โครงสร้างของเพลงมีท่อนเดียวบรรเลงซ้ำวนไปวนมา แต่ละเพลงมีองค์ประกอบดนตรีครบถ้วนทั้งทำนองเพลง การประสานเสียงและจังหวะ นักดนตรีมีอิสระในการสร้างเสียงสูง ต่ำ แตกต่างจากทำนองเดิม โดยเกิดจากการควบคุมลมหายใจ อันเป็นลักษณะพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ในบทเพลง ทำนองขึ้นต้นและลงจบมีลักษณะแตกต่างจากทำนองอื่นภายในบทเพลง ส่วนเครื่องดนตรีประกอบได้แก่ แจ้โก่(กลอง) บูลูโก่(ฆ้อง) และแป๋แฮะตู(ฉาบ) ทั้งนี้เป็นการบรรเลงในแนวเดียวกันทุกเพลง ลักษณะกระสวนจังหวะที่ปรากฏให้เห็นในบทเพลงทั้งหมดมีอยู่ลักษณะเดียว คือ การบรรเลงด้วยจังหวะสม่ำเสมอตลอดทั้งเพลง ดนตรีมูเซอได้สะท้อนสภาพวัฒนธรรม ทั้งด้านลักษณะโครงสร้างของสังคมที่ค่อนข้างเท่าเทียมกัน และด้านการละเล่นรื่นเริงในพิธีกรรม ที่ก่อให้เกิดความสามัคคีในชุมชน และความบันเทิงในสังคม ความสำคัญของดนตรีชาวเขาเผ่ามูเซอ มีบทบาทและความสำคัญมากสำหรับพิธีกรรมฉลองขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมูเซอ |
|
Focus |
ศึกษาดนตรีในวัฒนธรรมมุขปาฐะที่คงอยู่ในพิธีฉลองปีใหม่ของชาวเขาเผ่ามูเซอ กรณีศึกษาหมู่บ้านห้วยหลวง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาพูดของเผ่ามูเซอ กล่าวกันว่า เป็นภาษาธิเบโตเบอมัน เป็นตระกูลคำโดด ออกเสียงพยางค์เดียว ส่วนภาษามูเซอ เป็นภาษาที่ไม่มีตัวอักษรหรือระบบการเขียน (หน้า 40) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
มูเซอเป็นชาวไทยภูเขาในตระกูลธิเบต-พม่า เช่นเดียวกันกับลีซอและอีก้อ สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า “มกโซ” ในภาษาพม่าซึ่งแปลว่า พรานป่าชาวมูเซอ การตั้งถิ่นฐานเดิม เชื่อว่ามูเซอมีความเจริญรุ่งเรืองด้วยการปกครองอย่างอิสระตามประเพณีนิยมและความเชื่อของเผ่าพันธุ์อยู่ในจีน-ธิเบตมาก่อน ต่อมาจึงได้อพยพมาทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนในช่วง 2,000 – 3,000 ปีก่อนคริสตกาล เพื่อตั้งหลักแหล่งที่มณฑลยูนนาน แต่ด้วยผลจากการขัดแย้งด้านการปกครองกับจีน จึงทำให้มูเซออพยพเข้าสู่ไทย โดยอพยพเข้ามามากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 การอพยพของมูเซอยังมีสาเหตุอื่น เช่น เพื่อแสวงหาที่ทำกินแห่งใหม่ทางตอนใต้ เนื่องจากมีความอุดมสมบูรณ์กว่า เป็นต้น ชุมชนหมู่บ้านห้วยหลวงก่อตั้งเมื่อราว 50 ปีที่ผ่านมา โดยมูเซอดำหรือลาฮูนะ ที่อพยพมาจากบ้านห้วยตาก ตำบลบ้านโป่ง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ประมาณ 9 ครัวเรือน ราว 50 คน โดยการนำของนายปอเอะ จะลอ และนายจะมู แสงฟู ต่อมาจึงได้มีมูเซออีกหลายครัวเรือนอพยพเข้ามาสมทบ การอพยพแต่ละครั้งจะอพยพโดยใช้เส้นทางเดียวกันคือ เดินทางตามป่าสันดอยปู่หมื่น (หน้า 35) |
|
Settlement Pattern |
มูเซอดำบ้านห้วยหลวงนิยมตั้งบ้านเรือนตามที่ราบสันเขา ผังของหมู่บ้านสร้างบ้านเรือนรวมกันเป็นกลุ่มอย่างไม่มีระเบียบ(หน้า 49) |
|
Demography |
บ้านห้วยหลวงมีประชากร 112 หลังคาเรือน 613 คน จำแนกเป็นชาย 322 คน และหญิง 291 คน (หน้า 37) โรงเรียนบ้านห้วยหลวงปัจจุบันมีนักเรียนจำนวน 324 คน ครูผู้สอน 12 คน ครูอัตราจ้าง 1 คน นักการ 1 คนและอาจารย์ใหญ่ชื่อนายประทวน ชัยแก้วมี (หน้า 42) |
|
Economy |
ปัจจุบันมูเซอบ้านห้วยหลวง ทุกครัวเรือนยังชีพด้วยการเกษตร พืชหลักที่ทำการเพาะปลูกคือ ข้าวไร่ และข้าวโพด ด้านปศุสัตว์ นิยมเลี้ยงหมู ไก่ และเป็ดไว้ในครัวเรือนสำหรับประกอบพิธีกรรมต่างๆ นอกจากนี้มูเซอบ้านห้วยหลวงยังดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์และหาของป่าเพื่อจำหน่าย (หน้า 39) |
|
Social Organization |
โครงสร้างพื้นฐานทางสังคมของมูเซอดำบ้านห้วยหลวง เป็นระบบครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นลักษณะครอบครัวเดี่ยว รวมกลุ่มเป็นหมู่บ้านที่มีความเกี่ยวพันด้วยระบบเครือญาติ ตั้งบ้านเรือนรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มตระกูล ฝ่ายหญิงต้องพึ่งพาผู้ชายในการหาอาหาร ส่วนผู้หญิงต้องเลี้ยงดูบุตร ทำงานบ้าน ทำอาหาร และดูแลสมาชิกในครอบครัว สังคมมูเซอบ้านห้วยหลวงยกย่องผู้ชายเป็นใหญ่ มีการสืบทอดตระกูลฝ่ายชาย แต่ละหมู่บ้านมีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้รักษากฎหมาย ส่วนระเบียบและจารีตประเพณีต่างๆภายในหมู่บ้าน ผู้อาวุโสในชุมชนเป็นผู้มีบทบาทและมีความสำคัญต่อชุมชน อาทิ การประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของชุมชน เป็นต้น (หน้า 47 - 49) |
|
Political Organization |
ในอดีต สังคมมูเซอบ้านห้วยหลวงใช้ระบบผู้นำอาวุโสของหมู่บ้านเป็นผู้ปกครองภายใต้ขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชน ต่อมาทางราชการได้นำระบบการปกครองท้องถิ่น โดยมีตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านและกรรมการหมู่บ้าน ทั้งนี้ก็ยังคงยึดถือกฎของชุมชนตามจารีตประเพณีดั้งเดิม (หน้า 48) |
|
Belief System |
มูเซอประมาณสองในสามของประชากรทั้งหมดที่อาศัยในประเทศไทยนับถือศาสนาดั้งเดิม หรือศาสนามูเซอ ส่วนมูเซอบางกลุ่มนับถือคริสต์ศาสนา มูเซอดำบ้านห้วยหลวงนับถือศาสนาคริสต์มากกว่าศาสนามูเซอแบบดั้งเดิม พิธีกรรมมูเซอที่นับถือศาสนาคริสต์ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทุกวันพระของเดือน เรียกว่า “วันชียี” ส่วนพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่สำคัญที่สุดในรอบปีของมูเซอคือการฉลองวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งจะเริ่มในเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมของทุกปีโดยแบ่งช่วงเวลาประกอบพิธีเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงส่งท้ายปีเก่า 2 วัน คือ วันแรม 14 ค่ำและ 15 ค่ำ ส่วนช่วงขึ้นปีใหม่มีกำหนดเวลา 7 – 12 วัน นับแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ต่อจากส่งท้ายปีเก่าเป็นต้นไป ทั้งนี้เพื่อประกอบพิธีบวงสรวงเทพเจ้ากื่อซา โดยทุกคนจะร่วมทำบุญด้วยการทำ "ข้าวปุ๊ก” ซึ่งทำจากข้าวเหนียวร้อนตำละเอียดคลุกกับงาถวายเทพเจ้า เพราะเชื่อว่าเป็นขนมที่เทพเจ้าโปรดปราน นอกจากนี้ภายในงานยังมีการเต้นรำรื่นเริงอย่างสนุกสนาน (หน้า 53 - 54) ด้านความเชื่อเรื่องขลุ่ยของมูเซอพบว่า เมื่อมีผู้หญิงเสียชีวิตในหมู่บ้านเสียชีวิตญาติจะนำกระบอกน้ำและขลุ่ยวางใกล้ศพจากนั้นนำไปฝังหรือเผาพร้อมกับผู้ตายสำหรับเป็นเครื่องใช้ในชีวิตหน้า(หน้า 81) นอกจากนี้การเป่าเพลงแคนในพิธีกรรมทางศาสนาจะเป่าโดยฝ่ายชายเท่านั้น ส่วนการเป่าเพื่อการเกี้ยวพาราสี ผู้หญิงมีสิทธิ์เป่าได้ ยกเว้นแคนขนาดใหญ่“หน่อกู่มา” ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเคารพบูชา จึงไม่อนุญาตให้ผู้หญิงมูเซอเป่าเครื่องดนตรีชนิดนี้ (หน้า 89) |
|
Education and Socialization |
หมู่บ้านห้วยหลวง เริ่มมีการเรียนการสอนเมื่อปี พ.ศ. 2508 – 2509 โดยนายศิริพันธ์ จะลอ ทำการสอนภาษาไทยเป็นคนแรกของหมู่บ้าน มีนักเรียน 14 คน ต่อมาค่ายดารารัศมี อำเภอแม่ริมได้ส่งตำรวจตระเวนชายแดนมาสอนหนังสือแก่เด็กในชุมชน โดยจัดสร้างโรงเรียนขนาดเล็ก ชื่อเดิมว่า โรงเรียนชายแดนบำรุงที่ 49 เมื่อปี พ.ศ. 2513 ต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 ได้รับพระราชทานชื่อโรงเรียนจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเมื่อ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 ว่า “ประพันธ์ – อารีย์ หงษ์สกุล โรงเรียนบ้านห้วยหลวง ” ปัจจุบันทำการสอนระดับประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 นักเรียนที่สำเร็จการศึกษาจะศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ณ โรงเรียนแม่อายวิทยาคม อำเภอแม่อาย โรงเรียนฝางชนูปถัมภ์ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ สังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มีการเรียนการสอนในรับดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 มูเซอบางส่วนศึกษาต่อในสายอาชีพและระดับอุดมศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ สถาบันราชภัฏจังหวัดเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หน้า 41 - 42) |
|
Health and Medicine |
มูเซอบ้านห้วยหลวงในอดีตใช้ฝิ่นเป็นยาสมุนไพรบรรเทาอาการของโรคหลายชนิด เช่น โรคหืดหอบ โรคปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อตลอดจนบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากโรคภัยต่างๆ บ้างก็รักษาโดยหมอผีประจำหมู่บ้าน ปัจจุบันมูเซอบ้านห้วยหลวงนิยมไปพบแพทย์และใช้ยาแผนปัจจุบันในการรักษาโรคมากขึ้น โดยไปรับการรักษาที่สถานีอนามัยประจำหมู่บ้านหรือโรงพยาบาลแม่อาย อำเภอแม่อาย และโรงพยาบาลฝาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 39) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับของหญิงมูเซอดำ นิยมตัดเย็บจากผ้าฝ้ายทอมือสีดำ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ ประกอบด้วย เสื้อ ผ้าถุงและผ้าคาดเอว เสื้อ เป็นเสื้อคอกลมตัวใหญ่ผ่าอกตลอด มีความยาวถึงเอว แขนทรงกระบอก ตกแต่งด้วยริ้วแดง เหลืองและฟ้าเล็กน้อยบริเวณตัวเสื้อด้วยลวดลายสวยงาม ผ้าถุง เป็นผ้ายาวถึงเข่า เชิงผ้าถุงตกแต่งด้วยริ้วสีแดง เหลืองและฟ้าด้วยลวดลายสวยงาม ผ้าคาดเอวหรือเข็มขัดเป็นผ้าสีดำสำหรับพันรอบเอวหรือคาดเอวเพื่อให้ผ้าถุงกระชับกับผู้สวมใส่ ส่วนเครื่องประดับ นิยมประดับเฉพาะงานพิธีสำคัญ เช่นพิธีแต่งงานและฉลองปีใหม่ เครื่องประดับดังกล่าวได้แก่โลหะเงินหรือเหรียญเงินประดับบนตัวเสื้อ บ้างก็มีการประดับห่วงคอและกำไลเงิน(แต่ไม่นิยมในมูเซอบ้านห้วยหลวง) ตลอดจนต่างหู แหวนและสร้อยเงิน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับของชายชาวมูเซอดำ ถูกกำหนดให้ตัดเย็บจากผ้าฝ้ายทอมือสีดำเช่นเดียวกับผู้หญิง เสื้อของผู้ชายมีขนาดใหญ่แขนยาวผ่าอกกลาง ตัวเสื้อสั้น คลุมเอว มีลวดลายประดับเป็นแถบแคบๆตามแนวที่ผ่าลง ติดกระดุมเงินรูปกลมหรือกระดุมเปลือกหอยประดับเป็นแนวลงไปถึงชายเสื้อ กางเกงมีลักษณะขา กว้าง ยาวคลุมเข่า คล้ายกางเกงขาก๊วย แต่ส่วนบนบานแล้วลีบเล็กลงมาตามลำดับ เป้ากางเกงกว้างเกือบเท่ากับความยาวของขากางเกง ผ้าคาดเอวมีลักษณะเป็นผ้าผืนยาวสำหรับพันรอบเอวหรือใช้คาดเอวแล้วผูกเป็นปมด้านหน้าตัวเสื้อ (หน้า 43) เรือนดั้งเดิมของมูเซอบ้านห้วยหลวงสร้างด้วยวัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่น นิยมปลูกเรือนแบบยกพื้นสูงประมาณ 1 เมตรเศษ โดยใช้ไม้ไผ่ทำพื้นฟาก ฝาเรือนและโครงสร้างหลังคา หลังคามุงด้วยแฝก ฝังเรือนแบ่งเป็น 2 ส่วนสำคัญคือ ชานหน้าเรือน และห้องภายในซึ่งถูกจัดแบ่งตามประโยชน์ใช้สอยเป็นส่วนต่างๆ คือ พื้นที่สำหรับก่อไฟหุงข้าว พื้นที่หลับนอน รับแขก เก็บของ และพื้นที่ส่วนตัวสำหรับประกอบพิธีกรรมสำหรับครอบครัวซึ่งจะมีการกั้นฝาไม้ไผ่(หน้า 49) ดนตรีและบทเพลงที่ใช้บรรเลงในกลุ่มชาวเขาเผ่ามูเซอ เกิดจากพิธีกรรมเซ่นสรวง เทวราชกื่อชาด้วยผลิตผลจากการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ตลอดจนพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับผีป่า ผีดอย ผีน้ำ ซึ่งในพิธีมีการเซ่นสรวงด้วยปืน มีด ขวาน หน้าไม้และของมีคมทุกชนิด เพลงและการเต้นรำจึงสอดคล้องกับการใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการล่าสัตว์ มีบทเพลง ดนตรีและจังหวะการเต้นที่สนุกสนาน เช่น การกระทืบเท้า เตาะกระโดด ย่อตัว และหมุนไปมา เลียนแบบธรรมชาติของการใช้ชีวิตในป่าเขา การแต่งกายของนักดนตรีเมื่อบรรเลงดนตรีในพิธีกรรมสำคัญจะแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า เนื่องจากเครื่องดนตรีของมูเซอมีเพียงไม่กี่ชนิด ได้แก่ หน่อ ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีหลักที่ใช้บรรเลง และมี แจ้โก่ บูลูโก่ และแป๋แฮะตู เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ ดังนั้นการประสมวงดนตรีจึงเป็นการรวมเอาเครื่องดนตรีทุกชนิดมาบรรเลงร่วมกัน การถ่ายทอดดนตรีของมูเซอ ถ่ายทอดด้วยวิธีปากเปล่าและประสบการณ์ที่ได้ฟังและได้เห็นวิธีบรรเลงเครื่องดนตรีแต่ละชนิดมาตั้งแต่วัยเยาว์ เครื่องดนตรีสำคัญของมูเซอ ได้แก่ อาถ่า ”หน่อ”หรือแคนน้ำเต้า ขลุ่ย(ปิกกะลุย) แจ้โก่ บูลูโก่ แป๋แฮะตู “อาถ่า” เป็นเครื่องดนตรีดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดอยู่ในเครื่องดนตรีประเภทเป่า ทำจากไม้ไผ่ ลักษณะภายนอกเหมือน “จองหน่อง” หรือที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า “หุน” หรือ ”หืน” หนุ่มสาวนิยมเล่นอาถ่าเพื่อเกี้ยวพาราสี โดยเฉพาะเวลาเดินทางไปทำไร่หรือยามพักผ่อน อาถ่าสามารถทำเสียงได้ประมาณ 3 – 5 เสียง มีข้อจำกัดคือไม่สามารถทำให้เป็นทำนองเพลงที่ชัดเจนและเป็นบันไดเสียง เวลาเล่น ผู้บรรเลงต้องทำให้เกิดเสียงโดยการสอดส่วนลิ้นของอาถ่าไว้ในช่องปากระหว่างเพดานบนและลิ้นคล้ายกับคาบไว้ โดยให้กระพุ้งแก้มเป็นกล่องเสียง จากนั้นใช้มือขวาจับปลายที่ใช้จับแตะกับริมฝีปาก ส่วนนิ้วมือซ้ายดีดตรงปลายอีกด้านหนึ่งเพื่อให้เกิดการสั่นสะเทือนให้เกิดเสียง การจะทำให้เกิดเสียงสูงหรือเสียงต่ำขึ้นอยู่กับการบังคับปริมาณความถี่และความแรงในการดีดอาถ่า “หน่อ” หรือแคนน้ำเต้า ในประเทศไทยมีชาวเขา 4 เผ่า ที่ใช้แคนน้ำเต้าเป็นเครื่องดนตรีประจำเผ่าและใช้ในพิธีกรรม ได้แก่ ชาวเขาเผ่ามูเซอ เผ่าลีซู เผ่าอาข่าและเผ่าม้ง เป็นเครื่องดนตรีที่มีใช้มาแล้วไม่น้อยกว่า 2,000 ปี “หน่อ” เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลม กำเนิดเสียงโดยการเป่าหรือดูด “หน่อ” ทำขึ้นจากวัสดุที่หาได้จากธรรมชาติ เช่น ลูกน้ำเต้า สำหรับทำน้ำเต้า ลำไม้ซางสำหรับทำท่อเสียงหรือเลาแคน และใบไผ่ ใบอ้อหรือโลหะแผ่นบางสำหรับทำลิ้น ระบบเสียงของหน่อจะเสียงทุ้มหรือเสียงแหลมขึ้นอยู่กับขนาดของน้ำเต้า ”หน่อ” มีทั้งหมด 3 ประเภทซึ่งมีความต่างกันที่ขนาดได้แก่ ”หน่อเมอะตู่” เป็นแคนที่มีขนาดเล็ก นิยมใช้ประกอบการเต้นจะคึในพิธีฉลองปีใหม่ “หน่อ” เป็นแคนขนาดกลาง และ ”หน่อกู่มา” ถือเป็นแคนขนาดใหญ่ “หน่อ” ของมูเซอ สามารถจำแนกส่วนประกอบสำคัญได้ 3 ส่วนคือ เต้าแคน กู่แคนหรือเลาแคน 5 เลาและ ลิ้นหรือที่เป่า โดยทั่วไป ”หน่อ”ของมูเซอแต่ละชุมชนส่วนใหญ่มีขนาดใกล้เคียงกัน แต่ “หน่อ” ของมูเซอเฌเล จะมีขนาดใหญ่มาก ปัจจุบัน”หน่อ” ของมูเซอบ้านห้วยหลวงมีแคน 2 ขนาด คือ ขนาดเล็กและขนาดใหญ่(หน้า65 - 80) “ปิกกะลุย”หรือขลุ่ย เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าดั้งเดิมที่ไม่ได้รับการพัฒนามากนัก เป็นขลุ่ยสั้น ขนาด 10 – 12 นิ้ว เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร ไม่มีดากหรือรูปากนกแก้วเช่นขลุ่ยไทย มีรูบังคับเสียงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าพียง 2 – 4 รู ด้านปลายทางปากเป่าเป็นรูปสี่เหลี่ยม ขลุ่ยเป็นเครื่องดนตรีที่หนุ่มสาวนิยมเป่าในไร่ข้าวช่วงระยะเวลาเก็บเกี่ยว และใช้เรียกหาสาวคนรักในยามค่ำคืน “แจ้โก่” เป็นเครื่องดนตรีประเภทตีที่มีมาแต่ครั้งโบราณ ได้รับอิทธิพลแบบอย่างจากพม่า “แจ้โก่” ประกอบด้วยสองส่วนสำคัญคือ ตัวกลองและหนังกลอง ปัจจุบันบ้านห้วยหลวงมีแจ้โก่ 2 ใบ วัดเส้นผ่านศูนย์กลางของหน้ากลองได้ 11 นิ้ว ตัวกลองทำจากไม้เนื้อแข็ง ส่วนหนังกลอง ในอดีตทำจากหนังเลียงผา ปัจจุบันเลียงผาเป็นสัตว์ป่าสงวนจึงหันมาใช้หนังเก้งหรือหนังวัวแทนโดยขึงให้ตึงด้วยหวายหรือเชือก วิธีบรรเลงจะใช้สะพายโดยการใช้เชือกผูกกับตัวกลองและใช้มือทั้งสองข้างตีลงบนหน้ากลองตามความถนัดของผู้บรรเลง “บูลูโก่” หรือฆ้อง ทำจากทองเหลือง มีลักษณะเหมือนฆ้องทั่วไปคือมีปุ่มนูนตรงกลาง “แป๋แฮะตู”หรือฉาบ ทำจากทองเหลืองมีลักษณะคล้ายฉาบของไทย บรรเลงโดยใช้มือแต่ละข้างสอดเข้าไปในหูที่ทำจากผ้าร้อยเข้ากับตัวแป๋แฮะตูอีกข้างหนึ่งแล้วตีกระทบเข้าหากัน (หน้า 80 - 87) การบรรเลงเพลงแคนปีใหม่ประกอบการเต้น ”จะคึ” มีการเป่าหน่อนำในขบวนเต้นรำ มี 3 ขั้นตอนคือ ตอนที่ 1 ผู้นำเป่าหน่อนำชาวบ้านกลุ่มใหญ่ขึ้นไปบนบ้านทีละหลังเพื่อบรรเลงเพลงอวยพรปีใหม่และเต้นรำ ตอนที่ 2 เป็นการบรรเลงดนตรีโดยมีกลุ่มคนเฒ่าคนแก่ หนุ่มสาวและเด็กๆในหมู่บ้านร่วมเต้นรำ ณ ลาน ”จะคึ” รอบต้นวอ โดยงานฉลองปีใหม่แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ปีใหม่หญิงและปีใหม่ชาย ปีใหม่หญิง เป็นพิธีบวงสรวงเทพเจ้าเพื่อขอบคุณที่ให้ผลผลิตจากการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ เพลงที่ใช้จะเป็นเพลงที่ชายหญิงเต้นรำด้วยกัน เพลงดังกล่าว อาทิ เพลง “หน่อมึแหละ อ่อฉ้อกู่เว”แปลว่า เชิญมาร่วมสนุก เพลง ”ออลิเตตู่เว หน่อมิเว” แปลว่า แสดงความเคารพรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เป็นต้น ส่วนปีใหม่ชายเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับผีดอย ผีป่า ผีน้ำที่คุ้มครองไร่นา ป่าเขาและสัตว์ป่า มีการเซ่นสรวงเครื่องมือเกษตรและเครื่องมือล่าสัตว์ เพื่อขอบคุณผีเครื่องมือและขอร้องมิให้ทำอันตรายต่อผู้ใช้ ในพิธีดังกล่าวมีลักษณะท่าเต้นและจังหวะค่อนข้างยาก เนื่องจากเป็นท่าเต้นที่เลียนแบบสัตว์ป่า เช่น กระทืบเท้า กระโดด เตะ ย่อตัว เป็นต้น เพลงที่ใช้บรรเลงในพิธี อาทิ เพลง “หน่อสู้กะคึแล่ อ่อจอตีแหละคึไก่เว” แปลว่า เชิญทุกคนเต้นรำพร้อมกัน เพลง “หน่อมึ ไปซึเว” แปลว่า เต้นรำด้วยท่าทางเลียนแบบสัตว์ป่า เป็นต้น ส่วนการบรรเลงเพลงแคนปีใหม่ตอนที่ 3 เป็นการเป่าเพลงหน่อในหมู่บ้านใกล้เคียง โดยมีพิธีดำหัวหรือและเปลี่ยนบุญกัน ทั้งนี้เพื่อยังผลให้เกิดความสามัคคีรักใคร่ระหว่างหมู่บ้าน (หน้า 87 – 88,90-91) นอกจากนี้ผู้วิจัยได้วิเคราะห์และเก็บข้อมูลบทเพลงที่บรรเลงเนื่องในพิธีฉลองวันขึ้นปีใหม่ “เข๊าะจ๊าวา” ของมูเซอบ้านห้วยหลวง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 13 เพลง จำแนกเป็นบทเพลงในพิธีฉลองปีใหม่หญิง 5 เพลง และเพลงในพิธีฉลองปีใหม่ชาย 8 เพลง ด้วยการนำบทเพลงมาบันทึกในระบบโน้ตสากล (Transcription) และวิเคราะห์จำแนกเป็นประเด็นสำคัญ ได้แก่ ประวัติและที่มาของเพลง รูปพรรณหรือพื้นผิว(ความสัมพันธ์ของทำนองและการประสานเสียง) รูปแบบ ทำนอง จังหวะทำนอง กระสวนจังหวะเพลง การประสานเสียง การขึ้นต้นและลงจบ (ส่วนนำของบทเพลง และส่วนปิดท้ายของบทเพลง) (หน้า 90 -91) |
|
Folklore |
มีตำนานว่า เทวราชกื่อชาอันเป็นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเป็นผู้สร้างโลก โดยใช้ไม้เฆี่ยนตีลงบนพื้นดินและหิน จนกระทั่งเกิดน้ำไหลออกมา ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นบนโลก โดยเทวราชกื่อชาเป็นสร้างมนุษย์ผู้ชายและสรรพสัตว์ ต่อมาจึงสร้างมนุษย์ผู้หญิงคู่กับมนุษย์ผู้ชาย มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นปลา ต่อมาเกิดน้ำท่วมโลก ชายหญิงคู่นี้และสรรพสัตว์ทั้งหลายได้หนีอพยพไปอยู่ในผลน้ำเต้ายักษ์ในป่า จนกระทั่งมนุษย์ผู้หญิงตั้งท้องนาน 3 ปี และได้ให้กำเนิดบุตรหลายคน ซึ่งถือเป็นบรรพบุรุษรุ่นแรกของมูเซอ (หน้า 35,63) ความเชื่อเกี่ยวกับตัวอักษรของมูเซอ เชื่อว่า “เทวราชกื่อชา” เคยมอบตัวอักษรเขียนลงในข้าวปุ๊กงาให้แก่บรรพบุรุษ แต่เผลอกินเข้าไป มูเซอจึงมีการพูดเสมอว่า ความรู้อยู่ในท้อง ไม่ต้องเรียนก็สามารถพูดได้ (หน้า 41) มูเซอบ้านห้วยหลวงไม่รับประทานเนื้อชะนี เพราะมีความเชื่อว่า บรรพบุรุษหญิงคนหนึ่งได้สัมผัสน้ำทิพย์ที่เทวราชกื่อชาให้แก่สามีของนางน้อยเกินไป แทนที่จะลอยขึ้นสวรรค์ แต่กลับกลายเป็นชะนีปีนป่ายตามต้นไม้ เรียกหาสามีจนทุกวันนี้ (หน้า 51) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในอดีตมูเซอบ้านห้วยหลวงมีการปลูกฝิ่นเพื่อจำหน่าย ต่อมารัฐบาลรณรงค์เพื่อความมั่นคงของราชอาณาจักรทำให้เลิกปลูกฝิ่น และได้ส่งเสริมความรู้ด้านการเกษตร มูเซอจึงหันมาปลูกพืชชนิดอื่นมากขึ้น พืชที่นิยมปลูกได้แก่ ฝรั่ง กาแฟ กล้วย กะหล่ำปลี พริกและแตงกวา เป็นต้น (หน้า39) ปัจจุบันมูเซอดำ ทั้งหญิงและชายส่วนใหญ่ไม่นิยมแต่งกายแบบดั้งเดิม โดยหันมานิยมแต่งกายแบบคนไทยพื้นราบ เนื่องจากมีการติดต่อกับสังคมภายนอก กอปรกับความชอบในสีสันและรูปทรงที่มีความหลากหลาย แต่เมื่อมีโอกาสพิเศษหรือพิธีสำคัญ ก็ยังคงนิยมแต่งกายแบบดั้งเดิมอยู่บ้าง (หน้า 44) ปัจจุบันมูเซอบ้านห้วยหลวงนิยมปลูกเรือนตามแบบคนไทยพื้นราบมากขึ้น (หน้า 49) ในอดีตก่อนการเรียนเครื่องดนตรี”หน่อ” จะต้องทำพิธีไหว้ครู โดยการฆ่าไก่ 1 ตัวและนำเหล้ามาเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษเพื่อให้ได้รับทราบและขอให้ครูรับเป็นสิทธิ์ ปัจจุบันผู้เรียนสามารถเรียนกับครูได้โดยไม่ต้องทำพิธีไหว้ครูก่อน (หน้า 65) |
|
Map/Illustration |
- แผนภาพแสดงการอพยพของชาวเขาเข้าสู่ประเทศไทย (หน้า 8) - แผนที่แสดงที่ตั้งของหมู่บ้านห้วยหลวง ตำบลแม่นาวาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 36) - ภาพหมู่บ้านห้วยหลวง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่(หน้า 37) - แสดงการแต่งกายของชาย – หญิงชาวมูเซอดำ(ลาฮูนะ) หมู่บ้านห้วยหลวงในปัจจุบัน(หน้า 47) - บ้านแบบดั้งเดิมของชาวเขาเผ่ามูเซอ บ้านห้วยหลวง(หน้า 50) - บ้านมูเซอในปัจจุบัน(หน้า 50) - อาหารและการนั่งรับประทานอาหาร(หน้า 52) - ผู้วิจัยและครกสำหรับตำข้าวปุ๊ก(หน้า 56) - การเต้นรำในวันสิ้นปี(หน้า 57) - ดนตรีที่บรรเลงประกอบการเต้นรำในวันสิ้นปี(หน้า 57) - หน่อเมอะตู แคนขนาดเล็กที่นิยมบรรเลงประกอบในพีกรรมและการเต้นรำ(หน้า 71) - ท่อเสียง แคนน้ำเต้า ”หน่อ” ของมูเซอ (หน้า 71) - หน่อแคนน้ำเต้าทั้ง 3 ขนาด(หน้า 72) - ลิ้น “หน่อ”(แคน) (หน้า 75) - วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ทำหน่อ(หน้า 76) - ขณะกำลังใช้มีดเจาะท่อเสียงหรือเลาแคนให้ทะลุปล้อง(หน้า 76) - ขณะกำลังประกอบลิ้นเข้ากับหน่อ(แคน)(หน้า 77) - ขณะกำลังทดลองเป่าแคนหลังจากสร้างเสร็จ(หน้า 77) - การจับหน่อ(หน้า 79) - วัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้สร้างแจ้โก่(หน้า 83) - แสดงท่าทางการบรรเลงแจ้โก่(หน้า 84) - แสดงท่าทางการบรรเลงแป๋แฮะตู(หน้า 87) - การเต้นรำในพิธีดำหัวหรือแลกเปลี่ยนบุญกันระหว่างหมู่บ้าน(หน้า 89) - โน้ตเพลงรวมเครื่องดนตรีทั้งหมด(Score)ของชาวเขาเผ่ามูเซอ (หน้า 176 - 234) |
|
|