|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),อาหาร,ความเชื่อ,การบริโภค,เศรษฐกิจ,สังคม,สุพรรณบุรี,ภาคกลาง |
Author |
ฐนันดร์ศักดิ์ เวียงสารวิน |
Title |
“จู่ต่าเอาะ” : ความเชื่อเกี่ยวกับอาหารและพฤติกรรมการบริโภคของชาวกะเหรี่ยง: ศึกษากรณีชุมชนบ้านกล้วย อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
154 |
Year |
2533 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยวิทยา ภาควิชามานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
งานเขียนกล่าวถึง “จู่ต่าเอาะ” ซึ่งเป็นความเชื่อเกี่ยวกับอาหารและพฤติกรรมการบริโภคอาหารของกะเหรี่ยงบ้านกล้วย ตำบลบ้านกล้วย อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่มีความเชื่อเกี่ยวกับอาหารในด้านต่างๆ ที่ถ่ายทอดกันมาหลายชั่วอายุคน อันเป็นการแสดงสถานภาพทางสังคม วัฒนธรรมการบริโภคและสังคม บทบาทของ”จู่ต่าเอาะ” ได้ทำให้สังคมกะเหรี่ยงมีความผูกพันสนิทสนมต่อกัน เช่นการนำอาหารมาเยี่ยมเยียนคนป่วย หรือหญิงมีครรภ์ และให้คำแนะนำว่าอาหารชนิดใดไม่ควรกิน เพราะหากกินอาจทำให้ป่วยหรือเสียชีวิต ซึ่งคำเตือนนี้มักมาจากคนสูงอายุเพราะเคยประสบมาด้วยตนเองและเมื่อเตือนลูกหลานก็มักจะเชื่อฟัง แต่ความเชื่อเรื่องอาหารและสภาพสังคม เศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อทางการได้ตัดถนนเข้ามายังบ้านกล้วย จึงทำให้สภาพสังคมเปลี่ยนไปเช่น แต่เดิมที่เคยทำการเกษตรแบบยังชีพ เช่น ทำนา ทำไร่ ก็เปลี่ยนมาเป็นการปลูกกระวาน(เครื่องเทศชนิดหนึ่ง)พืชเศรษฐกิจที่ขายได้ราคาดี ดังนั้นจึงทำให้สังคม เศรษฐกิจและความเชื่อในบ้านกล้วยเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้ง”จู่ต่าเอาะ”ความเชื่อและพฤติกรรมการบริโภคอาหารของกะเหรี่ยง |
|
Focus |
ศึกษาถึงความเชื่อเกี่ยวกับอาหาร นิสัยการบริโภคและพฤติกรรมการบริโภค ขบวนการ รูปแบบ ค่านิยมและความคิดเกี่ยวกับอาหารของกะเหรี่ยงบ้านกล้วย และศึกษาปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดความเชื่อ นิสัยการบริโภคและพฤติกรรมการบริโภค ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรมของกะเหรี่ยง (หน้า 4) และเป็นข้อมูลในการศึกษาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ (หน้า 5) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงบ้านกล้วยเป็นกลุ่มที่อพยพมาอยู่ในพื้นที่อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี มาเนิ่นนานโดยมีประวัติศาสตร์ ประเพณีวัฒนธรรม ความเชื่อ อันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่สืบต่อกันมาหลายรุ่น (หน้า 4) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ในอดีตกะเหรี่ยงบ้านกล้วยส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทยไม่ได้ คนที่พูดไทยได้มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น (หน้า 67) |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ระบุเวลาที่ชัดเจน เพียงแต่บอกว่าเข้าไปสังเกตการณ์ในพื้นที่เป็นเวลา 1 เดือน จากนั้นก็เข้าไปหมู่บ้านกล้วยอีกครั้ง 2 ครั้งต่อเดือน (หน้า 113) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติบ้านกล้วย ตำบลบ้านกล้วย อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี บ้านกล้วย มีอายุการก่อตั้งมาประมาณ 100 ปีมีชื่อภาษากะเหรี่ยงว่า “เฮละวุ่ง” แปลว่า “ดินแดนแห่งเมตตา” บริเวณนี้เมื่อก่อนกะเหรี่ยงใช้เป็นทางสัญจรไปหมู่บ้านตะเพินขี้ (เป็นภาษากะเหรี่ยงแปลว่า “ยอดห้วย” หรือต้นลำน้ำตะเพินขี้) (หน้า 113,134) การเดินทางต้องใช้เวลาหลายวันบางครั้งก็ต้องพักค้างแรมระหว่างทาง กะเหรี่ยงจึงนำเมล็ดพืชเช่น กล้วย มะม่วง อ้อย แตงโม ฯลฯ มาปลูกเพื่อจะได้มีกินหากหิวในตอนเดินทาง สำหรับพืชผักผลไม้ที่ปลูก ใครจะกินก็ได้เพราะไม่มีใครเป็นเจ้าของ ภายหลังจึงมีคนอพยพเข้ามาสร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณนี้ (หน้า 113) |
|
Settlement Pattern |
บ้าน สร้างด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงหญ้าแฝก ใต้ถุนสูงใช้เป็นที่เก็บฟืน ยุ้งข้าวตั้งไม่ไกลจากตัวบ้าน (หน้า 135 ภาพหน้า 143) |
|
Demography |
กะเหรี่ยงบ้านกล้วย ตำบลบ้านกล้วย อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี มีประชากร 228 คน เป็นผู้ชาย 137คน ผู้หญิง 91 คน มีครัวเรือน 77 ครัวเรือน (หน้า 31,134) คนส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยง และมีคนจากภายนอก 5-7 คน ที่เข้ามาทำงานและแต่งงานกับคนในหมู่บ้าน (หน้า 67) |
|
Economy |
จู้ต่าเอาะ (อาหารกับความเชื่อและพฤติกรรมการบริโภค) “จู่ต่าเอาะ” เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรมของกะเหรี่ยงที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เป็นความเชื่อและพฤติกรรมการบริโภค ที่ยังปฏิบัติกันอยู่ (หน้า 104) เช่นเมื่อเป็นไข้ไม่สบายญาติก็จะแนะนำว่าอาหารชนิดใดกินไม่ได้ เป็นอาหารต้องห้าม หากกินอาจจะป่วยหนักหรือเสียชีวิต คำเตือนของผู้เฒ่าผู้แก่ก็เพื่อให้คนป่วยเกิดกำลังใจหายป่วยไวๆ (หน้า 105) บทบาทของ”จู่ต่าเอาะ” มีผลดีต่อสังคมหลายด้านเช่นทำให้เกิดความสามัคคี เช่นเมื่อเป็นไข้ ตั้งครรภ์หรือใกล้คลอด เมื่อญาติมาเยี่ยมก็จะให้คำแนะนำด้านอาหารจึงทำให้เครือญาติและเพื่อนบ้านเกิดความสนิมสนมและไว้วางใจซึ่งกันและกัน (หน้า 106) นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการยอมรับนับถือคำเตือนของผู้เฒ่าผู้แก่ เพราะคำเตือนเรื่องอาหารของผู้เฒ่าผู้แก่นั้นเป็นประสบการณ์ที่พบเจอกับตนเอง (หน้า 107) ในการศึกษาเรื่องความเชื่อและพฤติกรรมการบริโภคนั้นได้บอกถึงแหล่งอาหารของกะเหรี่ยงบ้านกล้วยว่าได้มาจากหลายแหล่งด้วยกัน เช่น สวนหรือไร่ ส่วนมากเป็นผักสวนครัว เช่น พริก มะเขือ มะเขือเทศ มะนาว ตะไคร้และอื่นๆ ป่า เช่น เนื้อสัตว์ป่า ผักป่าต่างๆ ร้านค้าทั้งในหมู่บ้าน และนอกหมู่บ้าน การแบ่งปันจากญาติและเพื่อนบ้าน ได้แก่ ผักผลไม้ที่เป็นฝากหรือแลกเปลี่ยนกัน (หน้า 116,85 ) สำหรับความเชื่อและธรรมเนียมเกี่ยวกับการบริโภคอาหารมีอยู่ในกลุ่มต่างๆ ดังนี้ 1) หญิงมีประจำเดือน ห้ามกินอาหารรสเปรี้ยวหรือใส่มะนาว เช่น ส้ม ผักดอง เพราะจะทำให้เลือดประจำเดือนไหลผิดปกติอาจจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียกระทั้งเจ็บไข้ไม่สบาย (หน้า 87) 2) หญิงมีครรภ์ ห้ามกินอาหารดังนี้ ประเภทข้าวและแป้ง ไม่ให้กินขนมจีน ข้าวเหนียว เผือก เพราะจะทำให้เด็กในท้องผมร่วง (หน้า 87) ประเภทเนื้อสัตว์ ห้าม 1) กินเนื้อวัว เนื้อควายเพราะเชื่อว่าพังผืดจะพันคอลูก รกจะโตและคลอดลำบาก ส่วนเนื้อสัตว์ป่าห้ามกินเนื้อลิง เนื้อหมี เนื่องจากจะทำให้ลูกในท้องคันตามลำตัว ห้ามกินเนื้อสัตว์ที่ถูกสัตว์อื่นฆ่า อาทิ เก้งที่หมาป่ากัดตายเพราะเขี้ยวหมาป่าที่ฝังอยู่นั้นถ้ากินจะทำให้แท้งลูก ประเภทผักไม่ให้กินยอดต้นหมากเพราะจะทำให้เด็กพิการ ส่วนผักผลไม้ชนิดอื่นกินได้ตามปกติ(หน้า 88 ตารางหน้า 91) 2) หญิงหลังคลอด ห้ามกินเนื้อสัตว์ป่า เช่น เนื้อหมี เนื้อเต่า ตุ่น และเนื้อวัว ควาย เพราะจะทำให้มดลูกไม่เข้าอู่ และถ้าลูกดื่มนมอาจทำให้เป็นไข้ไม่สบาย ผักที่ห้าม เช่น ผักเครือฟ้า ผักชะอม สะเดา มะรุมและผลไม้เช่น ส้ม ลิ้นจี่ ลำไย น้อยหน่า มะปราง เพราะเมื่อแม่กินพืชผลไม้ดังกล่าวหากลูกดื่มนมลูกอาจเป็นไข้ (หน้า 89 ตารางหน้า 92) 3) ทารก เด็กอายุ1-ปีครึ่ง ห้ามกินส้ม ลิ้นจี่ ลำไย มะปราง เพราะร่างกายจะไม่แข็งแรงเพราะอาจป่วยกระทั่งเสียชีวิต (หน้า 90 ตารางหน้า 92) อาหารเลี้ยงผี ประกอบด้วยข้าวที่ขอมาจากบ้านที่ตั้งอยู่ทั้ง 4 ทิศ คือ ทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก นำข้าวที่ได้มานั้นมาตำสำหรับคนตำข้าวต้องเป็นผู้ชายตำเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีผลไม้เช่น กล้วย อ้อย บัวลอย และอื่นๆ สำหรับอาหารเหล่านี้คนจะทำให้ผีที่มาทำให้เป็นไข้ไม่สบายกิน โดยจะให้หมอผีเป็นผู้เชิญผีมากินที่จัดเตรียมไว้ (หน้า 97) อาหารของคนป่วย ห้ามกินอาหารทะเล ของหมักดอง เนื้อเต่า ตะพาบน้ำ ตะกวด กระรอก เนื่องจากจะทำให้อาการป้วยทรุดหนักกว่าเดิม (หน้า 97) หมอผี ห้ามกินผัก เช่น น้ำเต้า ยอดตำลึง ฟัก รวมทั้งอาหารในงานต่างๆ เช่นงานแต่งงาน งานศพ เพราะจะทำให้เวทย์มนตร์เสื่อม (หน้า 98) ข้อห้ามเกี่ยวกับอาหาร ลักษณะของอาหาร ไม่ให้กินอาหารที่มีหน้าตาผิดปกติ เช่น สีหมองคล้ำ มีพิษ เพราะถ้ากินอาจเป็นอันตราย ป่วยหรือระคายเคืองในร่างกาย (หน้า 98) ชื่ออาหาร ถ้าหากผักชื่อไม่เป็นมงคลก็ไม่ควรเก็บมาทำอาหารเช่น ผักขี้ขม ต้นช้างโศก (หน้า 99) ลักษณะตัวแทนของอาหาร ห้ามกินอาหารที่เป็นตัวแทนของสิ่งสูงส่งหรืออยู่บนท้องฟ้าเช่น นกฟ้า นกเค้าแมว เพราะถ้ากินผีป่าจะรบกวนบางครั้งอาจรุนแรงถึงตาย ส่วนผักที่ห้ามกินเช่น ต้นยอดฟ้า ยอดฟ้าลั่น เป็นต้น(หน้า 99) ความร้อน เย็น ของอาหาร เป็นความเชื่อเกี่ยวกับธาตุที่อยู่ในร่างกายเช่น ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อาหารที่กินต้องมีความสมดุลกับธาตุในร่างกายกลุ่มที่ค้องระมัดระวังเรื่องการกินอาหารเช่น หญิงมีครรภ์ หญิงที่คลอดลูกใหม่ๆ คนป่วยและคนสูงอายุเป็นต้น สำหรับตัวอย่างธาตุอาหารต่างๆเช่น ธาตุดินได้แก่ ผัก ผลไม้ เนื้อหมู เนื้อวัว ธาตุน้ำเช่น ฟัก บวบ น้ำเต้าและอื่นๆ ธาตุลมเช่น ฝรั่ง ทุเรียน ธาตุไฟเช่น เนื้อหมี เนื้องู เป็นต้น (หน้า 99) โลกทัศน์เกี่ยวกับอาหาร แสดงให้เห็นถึงความเชื่อเกี่ยวกับอาหารและสถานภาพทางสังคมกะเหรี่ยงดังนี้ อาหารกับนิเวศน์วิทยา กะเหรี่ยงทำนาไร่เป็นอาชีพหลัก มีการเซ่นไหว้ผีพืชที่ปลูกคือ ข้าว ข้าวโพด เป็นอาหารหลักที่ประกันความมั่นคงในชีวิตในแต่ละปี (หน้า 117,101) สถานภาพของผู้หญิงในสังคม คือในสังคมผู้ชายมีสถานภาพที่สูงกว่าผู้หญิงเป็นผลให้มีการกำหนดลำดับการกินอาหารก่อนหรือหลัง (หน้า 117) คือห้ามผู้หญิงกินข้าวก่อนผู้ชาย เพราะถ้ากินก่อนผีเรือนจะรบกวนทำให้เป็นไข้ไม่สบาย แต่ทุกวันนี้ได้มีการผ่อนปรนไม่เคร่งครัดเหมือนในอดีต เพราะผู้หญิงต้องทำงานช่วยครอบครัว และมีข้อจำกัดเรื่องเวลาการทำงาน หรือกลับบ้านไม่ตรงกันระหว่างสามี ภรรยา (หน้า 101) สถานภาพทางชนชั้น เช่น ถ้าไปล่าสัตว์ถ้าพบสัตว์พิการหรือสัตว์ที่ถูกสัตว์อื่นกัดตายก็จะไม่นำเนื้อสัตว์ชนิดนั้นไปฝากผู้เฒ่าผู้แก่ที่นับถือ (หน้า 102)ไม่กินผักที่ถือว่าเป็นของสูงส่ง เช่น ผักยอดฟ้า (หน้า 118) เศรษฐกิจ ของกะเหรี่ยงบ้านกล้วย แต่เดิมกะเหรี่ยงบ้านกล้วยทำอาชีพ ทำนา ทำไร่ ปลูกข้าวโพด และอื่นๆ มีลักษณะทางเศรษฐกิจแบบยังชีพ ปลูกพืชแบบพึ่งพาธรรมชาติ ใช้แรงงานคนและสัตว์เลี้ยง ภายหลังเมื่อมีการตัดถนนเข้าหมู่บ้านจึงทำให้กะเหรี่ยงบ้านกล้วยติดต่อกับสังคมภายนอกได้สะดวกสบายมากกว่าในอดีต ภายหลังคนในหมู่บ้านได้เปลี่ยนมาทำไร่ปลูกกระวาน (เครื่องเทศชนิดหนึ่ง) ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจเป็นอาชีพหลัก (หน้า 114) การปลูกกระวานได้รับความนิยมเป็นอันมากโดยมีคนที่ปลูกคิดเป็น 70 %ของประชากรในหมู่บ้าน (หน้า 43) สำหรับการปลูกกระวานนั้น สาเหตุที่ชาวบ้านปลูกกันมากเพราะราคาดีขายได้กิโลกรัมละ 260 - 280 บาท แต่การปลูกกระวานนั้นมีทิศทางว่าราคาจะตก เพราะปลูกเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงที่ปลูกกระวานและขายในราคาที่ถูกกว่าชาวบ้านกล้วย (หน้า 48) อย่างไรก็ดีการปลูกกระวานนั้นได้ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของคน ในหมู่บ้านเช่น มีการสร้างบ้านหลังใหม่ ซื้อรถยนต์ และเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ (หน้า 50) การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จึงทำให้กะเหรี่ยงอพยพกลับไปอยู่หมู่บ้านตระเพินขี้ ซึ่งส่วนใหญ่คนที่ไปจะเป็นผู้สูงอายุ เพราะไม่สามารถปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว (หน้า 53) |
|
Social Organization |
ครอบครัว กะเหรี่ยงบ้านกล้วย ถือการสืบสายเลือดฝ่ายพ่อ และถือผีฝ่ายพ่อ ครอบครัวในหมู่บ้านกล้วย เป็นแบบครอบครัวเดี่ยวสมาชิกในบ้านมี พ่อ แม่ ลูกและบางครอบครัวก็มีปู่ ย่า อยู่ด้วย (หน้า 62) เมื่อคิดจำนวนแล้วในหมู่บ้านเป็นครอบครัวเดี่ยว 70 % และครอบครัวขยาย 30 %(14 ครอบครัว , หน้า 66) การแต่งงาน หากหนุ่มสาวชอบพอกัน เมื่อตกลงใจจะแต่งงานมีครอยครัว ฝ่ายชายจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอ ถ้าฝ่ายหญิงตกลงก็จะให้หมอผีกำหนดวันแต่งงาน ซึ่งจะเลยวันหมั้นไปประมาณ 1 เดือน เมื่อถึงวันแต่งงานฝ่ายชายจะไปไหว้ผีเรือนบ้านฝ่ายหญิง โดยสิ่งของที่ใช้ประกอบด้วย ไข่ต้ม เหล้า ข้าว เป็นต้น สำหรับของใช้อื่นๆ ที่เอาไปด้วยได้แก่ เสื้อผ้า จอบ มีด เสียมและอื่นๆ (หน้า 64) ฝ่ายชายจะไปนอนที่ชานบ้านฝ่ายหญิง 3 เดือน(ปัจจุบันลดลงเหลือ 1 เดือน) การมาอยู่ก็เพื่อดูนิสัยใจคอว่าขยันทำมาหากิรในไร่นาหรือไม่ ในช่วงนี้จะห้ามชายหญิงหลับนอนด้วยกัน แต่ถ้าฝ่าฝืนก็จะประกอบพิธีขอขมาผีเรือนพร้อมกับเสียค่าปรับให้ฝ่ายหญิง เมื่อครบ 3 เดือน พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะพาเจ้าบ่าว เจ้าสาว ทำพิธีไหว้ผีเรือน โดยให้หมอผีเป็นผู้นำในการทำพิธี จากนั้นฝ่ายหญิงก็จะให้ญาติผู้ใหญ่ที่นับถือมาปูเสื่อและกางมุ้ง ในตอนเย็นเจ้าภาพจะทำอาหารเลี้ยงขอบคุณแขกเหรื่อที่มาช่วยงาน (หน้า 65) เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายหญิงจะต้องเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของฝ่ายชาย (หน้า 66) ส่วนผู้ชายจะย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง 1-3 ปีจึงจะแยกครอบครัวออกมา สำหรับการแต่งงานของกะเหรี่ยงเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว ไม่ค่อยมีการหย่า (หน้า 62) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านกล้วยมีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ.2524 ซึ่งเปลี่ยนจากอดีตที่ผู้นำทางการเมืองจะเป็นผู้นำทางพิธีกรรมด้วย (หน้า 53) หน้าที่ของผู้นำอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ คือ ไกล่เกลี่ยหากมีความขัดแย้งหรือทะเลาะวิวาทในหมู่บ้านและติดต่องานกับหน่วยงานราชการ (หน้า 55) ทางด้านการเมืองในระยะแนกผู้นำของหมู่บ้านจะมีลักษณะเป็นตัวแทนของชาวบ้านมากกว่าตัวแทนของรัฐ ภายหลังเมื่อมีหน่วยงานของรัฐเข้ามาทำงานในโครงการต่างๆ เป็นจำนวนมาก ดังนั้นในภายหลังผู้นำชุมชนจึงมีลักษณะเป็นตัวแทนของหน่วยงานราชการซึ่งต่างจากในอดีตที่ผู้นำชุมชนนั้นจะมีลักษณะเป็นตัวแทนของคนในชุมชน (หน้า 114) สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองในพื้นที่บ้านกล้วยในอดีตนั้น ช่วง พ.ศ.2516 ได้มีนักศึกษาจำนวนหนึ่งได้ใช้เส้นทางนี้เดินทางไปยังฐานที่มั่นและได้เคลื่อนไหวทางการเมืองจึงทำให้มีชาวบ้านส่วนหนึ่งเข้าร่วมต่อสู้ทางการเมืองกับกลุ่มนักศึกษา กระทั่งเหตุการณ์ต่างๆ ได้คลี่คลายลง เมื่อรัฐบาลใช้นโยบายที่ 66 / 2523 โดยยึดนโยบายการเมืองนำหน้าการทหาร เมื่อ พ.ศ.2524 (หน้า 41) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงบ้านกล้วย นับถือศาสนาพุทธและนับถือผี ได้แก่ ผีเรือน คือผีบรรพบุรุษที่ล่วงลับ คนที่ถือผีเรือนคือ ลูกชายคนโต บางครั้งอาจเป็นลูกคนอื่นด้วยก็ได้ ถ้าหากเลี้ยงดูให้เป็นผู้สืบผีเรือน สำหรับการเซ่นไหว้ผีเรือนแบ่งออกเป็นการเซ่นไหว้ทั่วไป คือแล้วแต่ครอบครัวจะกำหนด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวันที่ตรงกับบรรพบุรุษเสียชีวิต ตัวอย่างเช่นหากเสียชีวิตในวันเสาร์ ก็จะทำพิธีในวันเสาร์ ส่วนสิ่งของที่ใช้เซ่นไหว้ ได้แก่ อาหารคาว หวาน และอื่นๆ (หน้า 56) และการเซ่นไหว้ประจำปีจะเลือกวันที่สะดวกหากกำหนดวันได้แล้ว ก็จะเชิญญาติๆ มาช่วยงาน นำอาหารมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับ เพื่อขอให้คุ้มครองลูกหลานให้มีสุขภาพแข็งแรง ชีวิตการงานเจริญก้าวหน้า (หน้า 57) ผีบ้าน คือผีประจำหมู่บ้าน มีหน้าที่ปกปักรักษาคนในหมู่บ้านให้อยู่อย่างสงบสุข การเซ่นไหว้ไม่มีเวลาที่แน่นอน กรณีมีคนในหมู่บ้านป่วยบ่อยๆ ก็จะร่วมกันประกอบพิธี ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการเลี้ยงผีบ้านจะทำพร้อมกับพิธีเลี้ยงผีเรือน สำหรับสิ่งของที่ใช้เลี้ยงผีบ้าน ได้แก่ อาหารและเหล้านำใส่ถาดแล้วยกไปเลี้ยงผีที่ทางเข้าหมู่บ้าน การทำพิธีอาจจะทำกันเองหรือให้หมอผีเป็นผู้ทำพิธีก็ได้ (หน้า 60) ส่วนการเซ่นไหว้ผีบ้านในช่วงปีใหม่ หมอผีจะเป็นผู้ทำพิธีและกำหนดวัน คนในหมู่บ้านจะนำอาหารมารวมกันที่ศาลาประจำหมู่บ้าน เมื่อทำพิธีแล้วหัวหน้าครอบครัวจะนำด้ายที่ผ่านการทำพิธีมาผูกข้อมือให้ลูกหลานที่บ้าน (หน้า 59) และฉลองวันปีใหม่ (หน้า 60) ส่วนพิธีเกี่ยวกับการเลี้ยงผีอื่นๆ เช่น “ผีไร่” เจ้าของไร่จะเริ่มทำพิธีตั้งแต่เริ่มถางไร่กระทั่งเก็บเกี่ยวข้าว ขนข้าวลำเลียงไปเก็บในยุ้ง พิธีจะทำในช่วงต่างๆ เช่นพิธีการเลี้ยงผีประจำไร่จะทำเมื่อต้นข้าวสูงประมาณ 18 นิ้ว สำหรับเครื่องเซ่นได้แก่ ไก่ 6 ตัวและหมู 6 ตัว การทำพิธีก็เพื่อขอให้ผีคุ้มครองพืชผลที่ปลูก และพิธีเรียกขวัญข้าวจะทำพิธีเมื่อข้าวออกรวง เป็นต้น (หน้า 61) วัดบ้านกล้วย ตั้งอยู่ทางเข้าหมู่บ้านใกล้ลำห้วยตระเพินขี้ มีพระสงฆ์ 4 ถึง 7 รูป (หน้า 40) สร้างเมื่อ พ.ศ.2517 ในระยะแรกกะเหรี่ยงบ้านกล้วยไม่ค่อยชอบมาทำบุญที่วัด เพราะเกรงว่าจะผิดผี และไม่ค่อยสนใจนับถือศาสนาพุทธเพราะเชื่อว่าพระกับผีเป็นศัตรูกัน สาเหตุของการไม่ชอบมาทำบุญที่วัดมีอยู่ระยะหนึ่งทำให้วัดบ้านกล้วยเป็นวัดร้างไม่มีพระอยู่ถึง 3 ปี สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากชาวบ้านไม่ค่อยทำบุญ ส่วนพระเองก็ต้องการความสงบเงียบ ดังนั้นจึงทำให้วัดไม่ค่อยมีบทบาทโดดเด่นในชุมชนเท่าที่ควร (หน้า 38) งานศพ หากมีคนเสียชีวิต กะเหรี่ยงบ้านกล้วยจะตีเกราะบอกคนในหมู่บ้านให้มาช่วยทำพิธี ขั้นตอนการทำพิธีญาติๆ จะช่วยกันอาบน้ำเปลี่ยนชุดกะเหรี่ยงให้กับผู้ตาย โดยจะพลิกเสื้อด้านในออกด้านนอก ตอนเคลื่อนศพไปป่าช้าจะให้ลูกชายหรือญาติที่เป็นผู้ชายเป็นคนจูง ส่วนบ้านที่อยู่ข้างทางต้องปิดประตูหน้าต่างให้สนิท เมื่อไปถึงป่าช้าก็จะยกสำรับอาหารมาเซ่นไหว้คนตาย ในระหว่างนี้ก็จะช่วยกันขุดหลุมฝังศพ ต่อมาก็จะยกศพลงฝัง รดน้ำมะพร้าวที่ปากหลุมและใบหน้าผู้ตาย ปิดฝาโลงแล้วกลบดินอย่างแน่นหนา บริเวณหลุมจะคลุมไว้ด้วยกิ่งไม้ เมื่อกลับจากฝังศพ ต้องทำความสะอาดร่างกายก่อนจะเข้าบ้าน และการทำพิธีจะไม่อนุญาติให้พระเข้าร่วมพิธีเพราะเชื่อว่าพระกับผีเป็นศัตรูกัน ถ้าฝ่าฝืนจะทำให้คนในครอบครัวเจ็บป่วย ในตอนเย็นจะเชิญหมอผีมาทำพิธีที่บ้านและเลี้ยงอาหารเพื่อนบ้านที่มาร่วมทำพิธี นับจากวันที่ฝังศพลูกหลานจะนำสำรับอาหารไปวางให้ผู้ตายเป็นเวลา 7 วัน เมื่อครบตามกำหนดก็จะเชิญวิญญาณของญาติมาอยู่ที่บ้าน (หน้า 57) |
|
Education and Socialization |
โรงเรียนชุมชนบ้านกล้วย สร้างประมาณ พ.ศ.2529-2530 เปิดสอนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่1 ถึง 6 มีครู 5 คน และนักเรียน 56 คน ทั้งที่อยู่ในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียง (หน้า 39) การศึกษา หญิงกะเหรี่ยงบ้านกล้วยยังเรียนหนังสือน้อย ความรู้ทักษะในการดำเนินชีวิตด้านต่างๆ ได้เรียนรู้มาจากผู้สูงอายุ เช่น เรื่องอาหารและพฤติกรรมการกินฯลฯ (หน้า 119) |
|
Health and Medicine |
การรักษาพยาบาล บ้านกล้วยมีสถานีอนามัยที่นี่มีเจ้าหน้าที่ 2 คน ให้การบริการรักษาพยาบาล ฉีดวัคซีน ทำคลอด ฯลฯ (หน้า 39) การคลอดลูก เมื่อเด็กคลอดในวันแรก หัวหน้าครอบครัว จะเซ่นไหว้ผีเรือนด้วยอาหารและเหล้า เพื่อบอกว่ามีสมาชิกในบ้านเพิ่มขึ้นหนึ่งคนและขอให้ช่วยปกป้องดูแล ให้เจริญก้าวหน้าในชีวิต เมื่อเด็กอายุ 4 วัน ก็จะนำผมเด็กที่โกนไปวางไว้ที่ต้นไม้ แล้วให้หมอผีหรือคนสูงอายุตั้งชื่อให้เด็ก ส่วนการเลี้ยงดูแม่จะเป็นคนเลี้ยงและให้นม หากไม่มีเวลาก็จะให้ผู้เฒ่าผู้แก่ที่อยู่บ้านดูแล บางครั้งก็ให้ลูกคนโตช่วยดูแล (หน้า 58) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย ผู้ชาย ชอบซื้อเสื้อผ้าจากภายนอกหมู่บ้าน ผู้หญิง ยังชอบแต่งกายแบบดั้งเดิม แต่ไม่มีการทอผ้าใช้เหมือนในอดีตอีกแล้ว สำหรับการแต่งกายชุดประจำเผ่า นิยมแต่งเมื่อมีงานบุญหรืองานเทศกาล (หน้า 52) (ภาพการแต่งกายของหญิงกะเหรี่ยงในอิริยาบถต่างๆ ดูหน้า 144,147,148,150,151) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้านกล้วยเริ่มจากรัฐบาลได้ดำเนินการสร้างทางสาย องค์รักษ์-ทุ่งมะกอก จึงทำให้การคมนาคมติดต่อกับภายนอกสะดวกสบายกว่าในอดีต ในช่วง พ.ศ 2528-2530 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน เช่น กะเหรี่ยงชอบสวมเสื้อผ้าที่ซื้อในตลาด เพราะราคาย่อมเยา และไม่ต้องทอให้เหนื่อย ด้านภาษาก็มีการพูดภาษาไทยมากขึ้น เปลี่ยนจากการปลูกพืชแบบยังชีพมาปลูกพืชเศรษฐกิจเช่นปลูกกระวานซึ่งขายได้ราคาดี ฯลฯ (หน้า114-115 ) |
|
Map/Illustration |
แผนภูมิ กรอบแนวความคิด (หน้า 130) ความสัมพันธ์ระหว่างบริโภคนิสัยกับแหล่งที่มาของอาหาร (หน้า 131) กรอบแนวคิดการพัฒนาพฤติกรรมการกินเพื่อพัฒนาภาวะโภชนาการ (หน้า 132) ขบวนการเปลี่ยนแปลงบริโภคนิสัย (หน้า 133) ตาราง การทำงานของชาวบ้าน (หน้า 141) ความเชื่อเกี่ยวกับอาหารและพฤติกรรมการบริโภค (หน้า 91) โรคที่กะเหรี่ยงเป็นมาก (หน้า 96) แสดงอาหารที่ถูกจัดไว้ตามธาตุต่างๆ (หน้า 99) ข้อมูลชุมชนบ้านกล้วย (หน้า 134) เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน (หน้า 138) ลักษณะพื้นฐานด้านโภชนาการในชุมชน (หน้า 141) การกระจายความถี่ของการบริโภคอาหาร (หน้า 142) แผนที่ ชุมชนบ้านกล้วย (หน้า 76) ภาพ บ้านแบบดั้งเดิม (หน้า 143) หญิงชรากะเหรี่ยง (หน้า 143) ความเปลี่ยนแปลงด้านการแต่งกาย ,การแต่งกายของเด็กสาวกะเหรี่ยงบ้านกล้วย(หน้า 151) ข้าวเปลือก ,การปลูกข้าวโพด (หน้า 144) ครัวเรือนของกะเหรี่ยง (หน้า 145) ปลาที่ชาวบ้านนำมาหมัก (หน้า 145) สัตว์เลื้อยคลานบางชนิดที่กะเหรี่ยงนำมาทำอาหาร,สุนัขที่คนต่างถิ่นเลี้ยง (หน้า 146) อาหารประเภทผัก ,การทำอาหาร (หน้า 147) ผักสวนครัว (หน้า 148,149) เพิงที่พักผ่อนเวลากลางวัน (หน้า 149) |
|
|