|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไท,ภาษา,การรักษาแบบพื้นบ้าน,ความเชื่อ,มุกดาหาร,นครพนม |
Author |
วิษณุ กอปรสิริพัฒน์ |
Title |
ภูมิปัญญาอีสานในพิธีกรรมด้านความเชื่อเพื่อการรักษาพยาบาลผ่านทางภาษาของชาวผู้ไท |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
110 |
Year |
2541 |
Source |
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ |
Abstract |
งานนี้กล่าวถึงการใช้ภาษาของผู้ไทในการรักษาแบบพื้นบ้านของผู้ไทที่อยู่ในหมู่บ้านกรณีศึกษา 3 หมู่บ้าน เช่น ผู้ไทบ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี ,บ้านหนองโอ ตำบลโนนยาง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร และบ้านเรณู ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การรักษาของหมอพื้นบ้านแต่ละประเภทนั้นมีการใช้ภาษาที่แตกต่างกัน ได้แก่ หมอผดุงครรภ์ ใช้ภาษาเข้าใจง่ายมีภาษาอื่นผสมบ้าง เป็นภาษาผู้ไทที่พูดในชีวิตประจำวัน หมอสูตร ภาษาไม่ค่อยมีความหลากหลาย ภาษาที่ใช้เป็นหลักคือภาษาบาลีและสันสกฤต หมอจอด- หมอเป่า ใช้ภาษาเขมร ภาษาธรรมและบาลีสันสกฤต หมอธรรม มีความหลากหลายทางภาษาและใช้ภาษาที่ไม่สุภาพ เพราะต้องสู้กับผีร้าย หมอเหยา ใช้คำเพราะพริ้ง เพราะต้องขอความเมตตาจากผีให้มาช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ในการใช้ภาษาของหมอที่รักษานั้นส่วนใหญ่ชอบใช้ร้อยกรองมากกว่าร้อยแก้วเป็นคำที่มีการสัมผัสคำมีความคล้องจองฟังแล้วไพเราะ บางครั้งใช้ภาษาผู้ไทโบราณหรือฟังแล้วทำให้ทราบความหมาย ทั้งนี้ก็เพราะเชื่อว่าถ้าใช้ภาษาที่เข้าใจยากจะทำให้เกิดความน่าเคารพเป็นที่ไว้วางใจ |
|
Focus |
ศึกษาคติความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การใช้ภาษาในพิธีกรรมที่เกี่ยวกับภูมิปัญญาด้านการรักษาพยาบาล (หน้า 1) และวิเคราะห์ภาษาที่ใช้ในพิธีกรรมด้านการรักษาพยาบาลของผู้ไท (หน้า 2,84) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้ไทที่อยู่บ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี, บ้านหนองโอ ตำบลโนนยาง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร และบ้านเรณู ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม (หน้า 3) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาผู้ไท มีแต่ภาษาพูดไม่มีภาษาเขียน มีการออกเสียงที่มีเอกลักษณ์ดังนี้ อักษร ข ห ฮ บางคำจะใช้คำสลับกัน ตัวอย่างคือ ขา ออกเสียงว่า หา ผ้าห่ม ออกเสียง ผ้าฮม ขาด ออกเสียง ฮาด (ดูตัวอย่างทั้งหมดหน้า 22) สระไอ ไม้มลาย ยังคงออกเสียง ไอ เช่นเดิม ส่วนสระไปไม้ม้วนออกเสียงเป็น เออ อาทิ ผู้ใหญ่ ออกเสียงว่า ผู้เหย่อ ใช้มา ออกเสียง เซ่อมา (หน้า 22) คำที่ใช้ ก สะกดออกเสียงสั้น ตัวอย่าง ลูกใคร ออกเสียงว่า ลุเพอ ข้าวปลูก ออกเสียง เข้าปุ (ดูตัวอย่างหน้า 23) สระเอีย ออกเสียง เอ ตัวอย่างดังนี้ เมียใคร ออกเสียงว่า เมเพอ โรงเรียน ออกเสียง โลงเลน (หน้า 23) สระเอือ ออกเสียงว่า เออ อาทิเช่น เสือ ออกเสียงว่า เสอ เกลือ ออกเสียง เก๋อ (หน้า 23) สระอัว ออกเสียงเป็น โอ ตัวอย่างเช่น ผัวเมีย ออกเสียงว่า โผเม (ดูตัวอย่างหน้า 23) ภาษาในการรักษาพยาบาลของผู้ไท มีการใช้ภาษาในการรักษาที่แตกต่างกันได้แก่ (หน้าบทคัดย่อ) หมอผดุงครรภ์ ภาษาเข้าใจง่ายมีภาษาอื่นผสมบ้าง เป็นภาษาผู้ไทที่พูดในชีวิตประจำวัน หมอสูตร ภาษาไม่ค่อยมีความหลากหลาย ภาษาที่ใช้เป็นหลักคือภาษาบาลีและสันสกฤต หมอจอด- หมอเป่า ใช้ภาษาเขมร ภาษาธรรมและบาลีสันสกฤต หมอธรรม มีความหลากหลายทางภาษาและใช้ภาษาที่ไม่สุภาพ เพราะต้องสู้กับผีร้าย (หน้าบทคัดย่อ,75) หมอเหยา ใช้คำที่เพราะพริ้งอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะต้องขอความเมตตาจากผีให้มาช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บและปกป้องอันตรายต่างๆ (หน้าบทคัดย่อ,87) ในการใช้ภาษาของหมอที่รักษานั้น ส่วนใหญ่ชอบใช้ร้อยกรองมากกว่าร้อยแก้ว เป็นคำที่มีการสัมผัสคำมีความคล้องจองฟังแล้วมีความไพเราะ บางครั้งใช้ภาษาผู้ไทโบราณหรือฟังแล้วทำให้ทราบความหมาย ทั้งนี้ก็เพราะเชื่อว่าถ้าใช้ภาษาที่เข้าใจยากจะทำให้เกิดความน่าเคารพเชื่อถือ เป็นที่วางใจ (หน้าบทคัดย่อ,86) สำหรับภาษาที่ใช้ในพิธีต่างๆ มีดังนี้ ภาษาที่ใช้ในการสู่ขวัญ ใช้ภาษาอีสานกับภาษาบาลี สำหรับตัวอย่างคำบาลีเช่น คำสู่ขวัญแม่ออกบริกรรมว่า “ ชยตุ ภวัง ชยะมังคะลา ชยะมหามงคล ปุน เป็นดีล้ำเลิศ...” คำสู่ขวัญเด็ก เช่น “ ศรี ศรี สิทธิยะมังคละสุขสวัสดี เอทิ ตาตะ ปิยะปุตตะ ปุเรกะ มะมะ ปารมิง หทยัง เม ภิสัญเจกะ ถตรกะ วะจะนัง มะมะ...” (หน้า 59) คำสู่ขวัญบ่าวสาว ตัวอย่างเช่น “ศรี ศรี สิทธิ พระพร บวรแวนวิเศษ ติเรกเตโช ชยตุ ภวัง ชยมังคลัง ตโต โลมัง สุขัง พลัง อาวาหวิวาโห ชยมหามุงคุล...” ฯลฯ (หน้า 59) คำสู่ขวัญนั้นแต่งด้วยฮ่าย (ร่าย) มีคำ 5 -10 คำ ในวรรคแต่ละวรรคจะสัมผัสไปจนจบ ผังการเขียนมีดังนี้ (หน้า 60) 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 ชยตะภวัง ชยมังคะลัง ชยมหามุ่งคุล ปุนเป็นดีล้ำเลิศ วันนี้ประเสริฐพ้อมลือซ่า เฒ่าชุมมุนมาพำพ้อม ลักษณะสัมผัสเน้นที่คำก่าย(คำสัมผัส) โดยแบ่งออกเป็น คำก่ายนอก คือคำในบาทที่หนึ่งต้องคล้องกับกับคำในบาทต่อไป โดยคำสุดท้ายของบาทแรกต้องคล้องกับคำใดคำหนึ่งในบาทที่ 2 คำสุดท้ายของบาทที่ 2 ต้องก่าย(สัมผัส) กับคำใดคำหนึ่งในบทที่ 3 และคำสุดท้ายในบาทที่ 3 ก็จะก่ายกับคำใดคำหนึ่งในบาทที่ 4และคำสุดท้ายของบาทที่ 4ก็จะไปก่ายกับคำใดคำหนึ่งในบาทต้นของวรรคต่อไป (หน้า 60) คำก่ายใน ให้เอาสระหรือพยัญชนะที่มีอยู่ในบาทหนึ่งๆ ให้เป็นสระหรือ พยัญชนะเดียวกัน 2 คำ ขึ้นไป เช่นคำที่กำหนดด้วยพยัญชนะ โดยนำคำพยัญชนะเดียวกันหรือเสียงเหมือนกัน ที่เรียกว่าอักษรคู่เป็นคำสัมผัส อาทิเช่น ขค, ถท, สช, ผพ ฯลฯ (หน้า 60) ภาษาที่ใช้ในการทำคลอดของหมอตำแย หมอตำแยจะใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย โดยใช้ภาษาร้อยแก้วเพื่อให้กำลังใจทำให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยเมื่อคลอดลูก สำหรับการทำขวัญจะเป็นร้อยกรอง ตัวอย่างเช่น ฮายกวาดหนีดึกวาดเข้า ให้เจ้ามาตุ้มมาโฮม เด้อ เจ็บอย่าได้ใกล้ ไข้อย่าได้มี ให้ออกกรรมออกคำ ให้อยู่ดีมีแฮง ...ฯลฯ (หน้า 64) ในการประกอบพิธีนั้นหมอตำแยจะสวดด้วยภาษาบาลีสันสกฤตคำสวดมักขึ้นด้วยคำว่า “นโม” ได้แก่ในพิธีรดน้ำ พิธีเสียเคราะห์ พิธีเชิญพราย พิธีกันพราย คาถาอ่วยเลือดตัวอย่าง คาถาอ่วยเลือด วะโร วะรันยู วะระโท อะเทสาวะ โอมมะภิกขะมะนัง โอมอะนัง มะรานิภิก สวาหะ ฯลฯ (หน้า 65) ภาษาที่ใช้ในการจอดการเป่าและปราบผีของหมอจอด หมอเป่า และหมอธรรม ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาแบบร้อยกรอง คาถาต้องสั้นกระชับ ประกอบไปด้วยภาษาบาลี สันสกฤต จุดประสงค์เพื่อให้ดูขลังน่าเชื่อถือ เช่น โอมทะนูโสด กูจะเป่าให้มึงหดหาย กูจะเป่าให้มึงดีแล้ว กูจะเป่าหนองแก้ว 30 โห(หัว) สุวักเป็นพ่อครูกูนำพระอาจารย์ กูจะสอนสั่งให้ วินะสติ อมสะหายะ (จากตัวอย่างการเป่ารักษาหนองแก้ว-งูสวัด,หน้า 67) ในบางกรณีมีรูปประโยคเป็นแบบคำสั่ง คือ มีทั้งคำไม่สุภาพและมีภาษาบาลีสันสกฤต ตัวอย่างเช่น โอมตูมตั้ง มหาตูมตั้ง แล่ชิ้นขาด แล่ชิ้นติด กระดูกหัก กระดูตั้ง (จากคาถาจอดดู ดูตัวอย่างคาถาต่างๆ หน้า 69) ภาษาที่ใช้ทำพิธีของหมอเหยา ใช้ภาษาที่มีความสุภาพ ไพเราะเนื่องจากร้องขอให้ผีมาช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บหรือให้ความคุ้มครองดูแล ภาษาที่ใช้ส่วนมากจะเป็นร้อยกรอง ตัวอย่างมีดังนี้ ภาษาผู้ไท คำแปล ตกตีนไปต่าง จะเดินทางไกล ตกย่างไปไกล จะไปต่างถิ่น ไปนาขามานำแล้ง ให้ไปตลอดลอดฝั่ง อย่าเห่อเป็นเหตุตอนกลาง อย่าให้ประสบเหตุระหว่างทาง เป็นลางตอนหน้า อย่าให้มีลางร้ายอยู่ข้างหน้า เห่อเลียงลอด ให้รอดปลอดภัย เห่อปลอดเสียงไข้ อย่าให้เจ็บให้ไข้ (ตัวอย่างคำบอกกล่าวต่อผีก่อนจะออกเดินทาง ดูที่หน้า 71) |
|
Study Period (Data Collection) |
ตุลาคม 2540 - ธันวาคม 2541 (หน้า 85) |
|
History of the Group and Community |
บ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร บรรพบุรุษของผู้ไทบ้านคำชะอี เมื่อก่อนนี้ตั้งที่อยู่อาศัยอยู่ที่เมืองแถง หรือเมืองน้ำน้อยอ้อยหนู ในแคว้นสิบสองจุไทยภายหลังจึงย้ายมาอยู่ในเขตประเทศลาว กระทั่งอพยพมาอยู่ประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 3 หลังเสร็จสิ้นทำสงครามปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ สำหรับผู้ไทที่อพยพมาครั้งนั้นมาจากเมืองวัง เมืองตะโปน เมืองพิณ เมืองนอง เมืองคำอ้อคำเคียว เป็นต้น เมื่อเข้ามาอยู่ในฝั่งขวาของแม่น้ำโขงของภาคอีสานก็ตั้งบ้านเรือนอยู่ในหลายพื้นที่เช่น เมืองเรณูนคร กุฉินารายณ์ คำชะอี คำเขื่อนแก้ว และอื่นๆ (หน้า 11) บ้านหนองโอ ตำบลโนนยาง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร บรรพบุรุษของผู้ไทบ้านหนองโอ อพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงในสมัยรัชกาลที่ 3 ในครั้งแรกมาอยู่ที่บ้านคำเห้(หรือบ้านโนนน้ำคำ ) ภายหลังผู้ไทส่วนหนึ่งอพยพไปตั้งหมู่บ้านใหม่ซึ่งอยู่ทิศใต้ของหมู่บ้านเดิม จนกลายเป็นบ้านหนองโอในปัจจุบัน ภายหลังเมื่อมีประชากรเพิ่มขึ้นจึงแยกย้ายกันไปตั้งหมู่บ้านใหม่อีกหลายแห่งจนกระทั่งพ.ศ.2523 ทางการได้แยกตำบลโนนยางออกจากตำบลหนองสูง บ้านหนองโอจึงขึ้นกับตำบลโนนยาง จวบจนปัจจุบัน (หน้า 16) บ้านเรณู ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม - ไม่มีข้อมูล |
|
Settlement Pattern |
บ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร บ้าน ส่วนมากชอบสร้างยกพื้นสูง หลังคามุงแฝก ฝากั้นด้วยไม้ไผ่ขัดแตะพื้นบ้านมีทั้งปูด้วยฟากและไม้กระดาน เสาเป็นไม้เนื้อแข็ง การใช้สอยพื้นที่บริเวณใต้ถุนบ้านจะใช้เป็นที่นั่งเล่นและทำงานจักสานและอื่นๆ ในทุกวันนี้การสร้างบ้านในหมู่บ้านคำชะอี จะสร้างแบบสมัยใหม่ นำวัสดุเช่น ปูน อิฐ มาสร้างบ้าน (หน้า 12) บ้านหนองโอ ตำบลโนนยาง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร - ไม่มีข้อมูล บ้านเรณู ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม - ไม่มีข้อมูล |
|
Demography |
บ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร แบ่งเป็น 3 หมู่ได้แก่ หมู่ 1,4 และหมู่11มีประชากร 2,128 คนเป็นผู้ชาย 1,050 คน ผู้หญิง 1,078 คน มีบ้านเรือน 401 หลังคาเรือน (หน้า 12) บ้านหนองโอ ตำบลโนนยาง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร มีประชากร 958 คนจำนวนครัวเรือน 190 ครอบครัว คือหมู่ 3 มี 84 ครอบครัว ประชากร 460 คน และหมู่ 8 มี 106 ครอบครัว ประชากร 498 คน (หน้า 17) บ้านเรณู ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม มีจำนวน 867 ครัวเรือน เป็นผู้ชาย 2,001 คน ผู้หญิง 2,799 คน โดยแยกเป็นหมู่ต่างๆ คือ หมู่ 1 มี 546 คน 116 ครัวเรือน หมู่ 2 มี 2,314 คน 273 ครัวเรือน หมู่ 5 ประชากร 362 คน 170 ครัวเรือน หมู่ 9 มี 850 คน 128 ครัวเรือน และหมู่ 13 ประชากร 728 คน 180 ครัวเรือน (หน้า 20) |
|
Economy |
บ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ส่วนใหญ่เพาะปลูก เช่นทำนา ปลูกมันสำปะหลัง มะขามหวาน ฯลฯ (หน้า 11) บ้านหนองโอ ตำบลโนนยาง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ทำนาเป็นอาชีพหลัก ทำไร่มันสำปะหลัง สวนกล้วย ปลูกมะขามหวาน ผักและผลไม้ เลี้ยงวัว ควาย หมู ปลา และทอผ้า เป็นอาชีพเสริม ส่วนงานอื่นเช่น ค้าขาย รับราชการ รับจ้าง ฯลฯ (หน้า 18) บ้านเรณู ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ทำนาเป็นอาชีพหลัก หลังฤดูกาลทำนาผู้หญิงจะทอผ้า และผู้ชายก็จะไปค้าขาย ในอดีตผู้ไทเรณูจะทอผ้าเป็นจำนวนมากแต่ในปัจจุบันการทอผ้าลดน้อยลงเพราะคนนิยมสวมใส่เสื้อผ้าสมัยใหม่ ดังนั้นในกลุ่มผู้ชายผู้ไทหลายคนจึงเปลี่ยนมาทำธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูป เดินทางไปขายตามต่างจังหวัด (หน้า 20) |
|
Social Organization |
บ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร - ไม่มีข้อมูล บ้านหนองโอ ตำบลโนนยาง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร - ไม่มีข้อมูล บ้านเรณู ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ผู้ไทบ้านเรณูเป็นสังคมที่อยู่เป็นกลุ่มก้อน รักความยุติธรรม กตัญญู ใจเด็ดเดี่ยวในหมู่บ้านมีความสามัคคีและช่วยเหลือเกื้อกูลกันในกิจกรรมต่างๆ เชื่อผู้นำและชอบทำธุรกิจค้าขาย (หน้า 18) “การแต่งงาน “ เป็นแบบผัวเดียวมีเดียว (หน้า 18) หากหนุ่มสาวตกลงใจพร้อมมีครอบครัว ฝ่ายชายจะให้พ่อล่ามหรือเฒ่แก่ จัดหมากพลูและเงิน 3 บาทไปสู่ขอกับญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง เมื่อผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงรับไว้แล้วก็จะตกลงเรื่องค่าสินสอดและกำหนดวันแต่งงาน เมื่อถึงวันแต่งงาน พ่อล่ามจะเป็นผู้ประกอบพิธี อวยพรและผูกข้อมือให้คู่บ่าวสาว ต่อมาเจ้าบ่าว เจ้าสาวก็จะเอาของไหว้ซึ่งประกอบด้วย หมอนที่นอน ผ้าห่ม ผ้าขาวม้าซึ่งผูกด้วยดอกรักกับเทียนมาขอขมาพ่อล่ามกับญาติผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย เมื่อมอบแล้วก็ถือว่าจบพิธีการแต่งงาน (หน้า 25) |
|
Political Organization |
บ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ประกอบด้วย หมู่ 1 กับหมู่ 11 มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำ และหมู่ 2 กำนันเป็นผู้นำ (หน้า 12) บ้านหนองโอ ตำบลโนนยาง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร มีหมู่ 3 กับหมู่ 8 แต่ละหมู่มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำชุมชน (หน้า 16) บ้านเรณู ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ประกอบด้วย หมู่ 1 กำนันเป็นผู้นำ ส่วนหมู่ 2 หมู่ 5 หมู่ 9 และหมู่ 13 มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำ หมู่ละ 1 คน (หน้า 19) |
|
Belief System |
บ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร นับถือศาสนาพุทธและนับถือผี ปัจจุบันผู้ไทบ้านคำชะอียึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ เหมือนกับคนอีสานยึดถือฮีตสิบสองคองสิบสี่ คือการทำบุญในแต่ละเดือน ดังตัวอย่างเช่น (หน้า 14) เดือนอ้าย บุญเข้ากรรม นิมนต์พระสงฆ์เข้าปริวาสกรรม เพื่อให้พ้นจากการอาบัติในวันนี้ ผู้ไทจะมาบุญจำศีลที่วัด การทำบุญเข้ากรรมนั้นส่วนมากจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนยี่ บุญคูณลาน คือการทำบุญเปิดยุ้งข้าว หลังจากนำข้าวเก็บในยุ้งเรียบร้อยแล้วก็จะเลี้ยงแม่โพสพ เพื่อขอบคุณที่ทำให้ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ เมื่อพิธีเปิดยุ้งข้าวเรียบร้อยแล้วจึงจะสามารถตักข้าวจากยุ้งได้ การทำพิธีเจ้าของยุ้งของแต่ละครัวเรือนจะกำหนดวันทำพิธีกันเอง (หน้า 14) เดือนสาม บุญข้าวจี่ คือการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษที่เสียชีวิตแล้วและทำบุญให้กับผีไม่มีญาติด้วย โดยจะเอาข้าวเหนียวชุบไข่จากนั้นก็จี่ไฟ แล้วนำไปทำบุญที่วัด (หน้า 14) เดือนสี่ บุญมหาชาติ การทำบุญจะทำเป็นเวลา 3 วัน วันแรกผู้ไทจะช่วยกันเตรียมงานการเตรียมงานผู้ชายจะสานไม้ไผ่เป็นเรือนผเวส ”กระแตะ” แล้วมัดฟางข้าวเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เช่น นก หนู ไก่ และอื่นๆ ส่วนผู้หญิงจะทำขนมและข้าวต้มมัด วันที่สองก็จะสร้างหอพระอุปคุต โดยจะเอากระแตะที่สานนั้นมากั้นพื้นที่สำหรับเทศน์มหาชาติ เมื่อถึงช่วงบ่ายก็จะยกเสาผเวสและเอาข้าวต้มมัด กล้วยผูกกับเสาไม้ไผ่ที่อยู่ลานวัด ต่อมาก็จะรดน้ำหอม ผูกผ้าผืนยาว (หน้า 14) หรือผ้าผเวส เชิญผ้าผเวสเข้าหมู่บ้าน นำดอกไม้มาบูชาต่อมาก็จะแห่ผ้าผเวสเข้าเมือง ในวันที่สามจะแห่ข้าวพันก้อนซึ่งจะทำตั้งแต่ตี 3 ของวันใหม่ ช่วงบ่ายก็จะฟังเทศน์มหาชาติ แห่กัณฑ์หลอนและอื่นๆ ส่วนเช้าวันต่อมาก็จะทำบุญตักบาตรก็ถือว่าจบการจัดงาน (หน้า 15) เดือนห้า วันสงกรานต์ จัดวันแรกวันที่ 13 เมษายนช่วงเช้าก็จะไปทพบุญที่วัด สรงน้ำพระพุทธรูป และสรงน้ำปู่ตา ต่อด้วยเล่นน้ำสงกรานต์ ช่วงเย็นก็จะตักน้ำไปให้ญาติผู้ใหญ่ และทำพิธีแห่ดอกไม้ วันต่อมาจะก่อเจดีย์ทรายที่ลานวัด วันที่สามจะสรงน้ำพระ (หน้า 15) เดือนหก - ไม่มี เดือนเจ็ด ทำพิธีขอฝน เลี้ยงผีตาแฮก (หน้า 15) เดือนแปด เข้าพรรษา ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ ช่วงเช้าจะไปทำบุญที่วัดเพื่อให้พระอยู่จำพรรษา ช่วงเย็นก็จะไปฟังเทศน์ที่วัดตลอดช่วงเข้าพรรษา (หน้า 15) เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน คือการทำบุญเพื่ออุทิศให้กับญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว (หน้า 15) เดือนสิบ บุญข้าวสาก(บุญข้าวสลาก) การทำบุญจะนำสิ่งของหลายอย่างเขียนเป็นสลากแล้วนำไปถวายพระ การทำบุญก็เพื่ออุทิศให้กับญาติที่เสียชีวิตไปแล้วและผีไม่มีญาติ การทำบุญมี 2 วัน คือ วันแรกก็จะห่อข้าวต้มมัด ช่วงเย็นจะนำกระบุงข้าวสากไปเคารพปู่กับย่า หากเป็นครอบครัวที่แยกออกมาจากครอบครัวของพ่อแม่ ก็จะเป็นหน้าที่ของสะใภ้ที่จะต้องนำกระบุงข้าวสากไปแสดงความเคารพ สำหรับสิ่งของต่างๆที่อยู่ในกระบุงนั้นมีหลายอย่างเช่น ดอกไม้ ธูปเทียน ข้าวต้มมัดกล้วย อ้อย และอื่นๆ ส่วนปู่ย่าก็จะเอาสิ่งของเหล่านี้ไปทำพิธีเซ่นไหว้ผีเรือน วันต่อมาผู้ไทจะไปทำบุญที่วัดและเอากระบุงข้าวสลาก ถวายพระ ซึ่งขณะที่ยกกระบุงถวายพระหนุ่มสาวก็จะแย่งของที่อยู่ในกระบุง เมื่อถวายเรียบร้อยแล้วก็จะเอาสลากที่เขียนไว้ออกมาทั้งนี้ในกระดาษจะเขียนถึงพระคุณของพ่อแม่ (หน้า 15) เดือนสิบเอ็ด ออกพรรษา การจัดงานตรงกับวันขึ้น 14-15 ค่ำกับแรม 3 ค่ำ การทำพิธีจะจัด 3 วัน วันแรกจะห่อข้าวต้มมัด วันที่สองจะจัดเตรียมต้นไม้เพื่อเอาไปแห่ในช่วงเย็น สำหรับต้นไม้เชื่อว่าสร้างไว้เพื่อเป็นที่อยู่ของญาติพี่น้องที่เสียชีวิต ช่วงบ่ายก็จะเตรียม ดอกไม้ธูปเทียนไปทำพิธีชักดูกหรือการทำบุญอัฐิที่วัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติพี่น้องที่เสียชีวิตโดยจะมีพระทำพิธีให้ครอบครัวต่างๆ เพื่อชักดูกเรียบร้อยแล้วก็จะจุดประทัดบอกผี ให้มารับผลบุญ สำหรับวันที่สามในช่วงเช้าก็จะมาทำบุญที่วัด ในช่วงออกพรรษาระหว่างวันแรม 1 ค่ำ-วันขึ้น 12 ค่ำก็จะทำบุญกฐินเพื่อถวายกฐินให้กับพระที่อยู่จำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน (หน้า 15) เดือนสิบสอง ลอยกระทง ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ คือเป็นการทำบุญเพื่อล้างสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายที่ทำในช่วง 1 ปี ช่วงเช้าจะไปทำบุญที่วัดแล้วกลับบ้านไปทำกระทงเพื่อนำไปลอยในแม่น้ำช่วงกลางคืน (หน้า 15) บ้านหนองโอ ตำบลโนนยาง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร นับถือศาสนาพุทธและปฏิบัติตามประเพณีฮีตสิบสองคองสิบสี่ นอกจากนี้ยังนับถือผี แต่ละปีจะประกอบพิธีเลี้ยงผีปู่ตา เป็นต้น (หน้า 18) บ้านเรณู ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม นับถือศาสนาพุทธและนับถือผีเช่น วิญญาณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับซึ่งผู้ไทเชื่อว่าบรรพบุรุษจะคอยดูแลลูกหลานให้อยู่เย็นเป็นสุข (หน้า 21) สำหรับงานประเพณีที่สำคัญ ได้แก่ บุญข้าวจี่,บุญพระเวสในเดือนสี่, วันสงกรานต์ (หน้า 23) บุญบั้งไฟจัดระหว่างเดือนหก-เดือนแปด,บุญข้าวประดับดิน,บุญข้าวสากในเดือนสิบ,ออกพรรษา และบุญกฐิน เป็นต้น (หน้า 24) |
|
Education and Socialization |
บ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ในตำบลคำชะอีมีสถานศึกษา 2 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนชุมชนคำชะอี เปิดสอนในระดับประถมศึกษา กับโรงเรียนคำชะอีพิทยาคม ซึ่งสร้างเมื่อ พ.ศ.2535 (หน้า 12) บ้านหนองโอ ตำบลโนนยาง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร มีโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ชื่อ โรงเรียนบ้านหนองโอ เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีครู 11 คนและนักเรียน 145 คน (หน้า 16) บ้านเรณู ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม โรงเรียนประจำหมู่บ้านชื่อโรงเรียนเรณูวิทยาคารเปิดสอนในระดับอนุบาลและประถมศึกษา มีครู 23 คน นักเรียน 43 คน ภารโรง 2 คน มีอาคาร 6 หลัง ประกอบด้วยอาคารเรียน 4 หลัง อาคารเอนกประสงค์ 1 หลังและโรงฝึกงาน 1 หลัง นอกจากนี้ในหมู่บ้านยังมีโรงเรียนอนุบาลเอกชนอีก 1 แห่งชื่อโรงเรียนอนุบาลเรณูนคร (หน้า 20) |
|
Health and Medicine |
บ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ในหมู่บ้านคำชะอี เมื่อมีการเจ็บป่วย ผู้ไทมีวิธีรักษาแบบพื้นบ้านเช่น รักษาด้วยหมอน้ำมัน ได้แก่ การต่อกระดูก รักษาแผล เป่าตาแดง เป็นต้น ส่วนการใช้สมุนไพรจะใช้ในช่วงอยู่ไฟหลังคลอดลูก ด้วยการต้มกินแก่นแดง (ได้มาจากแก่นไม้จิก ไม้รัง) และต้มเปลือกต้นกระโดนแล้วนำมาทาเพื่อรักษาโรคน้ำกัดเท้า ฯลฯ (หน้า 13) บ้านหนองโอ ตำบลโนนยาง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร - ไม่มีข้อมูล บ้านเรณู ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม มีสถานรักษาพยาบาลดังนี้ โรงพยาบาล 1 แห่ง สถานีอนามัย 1 แห่ง และคลินิกเอกชน 1 แห่ง (หน้า 20) การรักษาพยาบาลแบบพื้นบ้านของผู้ไท ในหมู่บ้านกรณีศึกษาทั้ง 3 หมู่บ้านมีการรักษาต่างๆ เช่น การบายศรีสู่ขวัญ เนื่องจากว่า อาการเจ็บป่วยเกิดจากขวัญไปอยู่ที่อื่นต้องเรียกขวัญกลับมาอยู่ที่ร่างกายเช่นเดิมจึงจะหายป่วย หมอสูตรจะเป็นผู้ทำพิธีและกำหนดวันทำพิธี สิ่งของที่ใช้ประกอบพิธีมีหลายอย่างเช่น พานบายศรี ขัน 5 เทียน 5 คู่ ดอกไม้ 5 คู่ ด้าย ไข่ต้ม ข้าวต้มมัด เสื้อผ้า เป็นต้น (หน้า 27) พิธีกรรมเกี่ยวกับหมอเป่า หมอจอด หมอธรรม การรักษาของหมอจะมีความชำนาญในการรักษาแตกต่างกันไป เช่น เป่าคางทูม เป่างูสวัด เป่าน้ำร้อนลวก เป่ากระดูก ฯลฯ (หน้า 44) พิธีเหยารักษาคนป่วย คือการทำพิธีเพื่อให้รู้ถึงสาเหตุของการป่วยและรักษาให้หายจากการเจ็บป่วยและสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ป่วย (หน้า51) และขณะทำพิธีจะมีหมอแคนเป่าแคนไปพร้อมกับการทำพิธี (หน้า 52) ส่วนการคลอดลูกนั้นจะมีหมอตำแยทำคลอดและทำพิธีเพื่อให้ผู้หญิงที่คลอดลูกมีกำลังใจและรู้สึกปลอดภัยขณะทำคลอด (หน้า 34) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
บ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร -ไม่มีข้อมูล บ้านหนองโอ ตำบลโนนยาง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร -ไม่มี ข้อมูล บ้านเรณู ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม “การแต่งกาย” ทุกวันนี้ผู้ไทแต่งกายตามสมัยนิยม จะแต่งกายชุดพื้นเมืองเมื่อมีงานบุญ หรือเทศกาลสำคัญ สำหรับการแต่งกายในอดีตนั้น (หน้า 22) ผู้ชาย จะนุ่งผ้าเมล็ดงาดำ บางครั้งก็นุ่ง ผ้าขาวม้าสีขาว สวมเสื้อสีดำ เกล้าผมไว้บนศีรษะ เมื่อมีงานบุญนิยมนุ่งผ้าไหม สวมเสื้อชั้นในห่มผ้าเก็บดอก คล้องคอด้วยลูกปัดแก้ว สวมข้อมือและพันผม (หน้า 22) ผู้หญิง สวมซิ่น เสื้อพื้นเมืองสีดำบางครั้งก็นำเสื้อมาพาดบ่าผูกเฉียงบ่าแล้วมัดแขนเสื้อไว้ด้วยกัน สวมกำไลมือที่ทำด้วยเงิน และต่างหูที่เป็นเงินหรือทองเหลือง ไว้ผมยาวแล้วเกล้าไว้บนศีรษะ ในการมวยผมนั้นไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงหากร่ำรวย ก็จะรัดผมไว้ด้วยผ้าเก็บดอกผืนขนาดเล็ก สำหรับการเกล้าผมนั้นเป็นเครื่องหมายบอกวัยและสถานภาพการแต่งงานดังนี้ ผู้สูงอายุมักเกล้าผมกลางศีรษะ, สาวโสด เกล้าผมไว้ตรงท้ายทอย หรับแม่หม้ายจะเกล้าผมเอียงไว้ด้านข้างของศีรษะ เมื่อมีงานบุญสำคัญนิยมสวมซิ่นไหม สวมเสื้อแขนยาวทรงรัดรูปผ่าด้านหน้าแล้วติดกระดุม คล้องลูกปัดแก้วหรือเหรียญเงินที่นำมาร้อย ที่คอและข้อมือ (หน้า 22) |
|
Folklore |
บ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร “ที่มาของชื่อหมู่บ้านคำชะอี “ มีที่มาจากทิศเหนือมีลานหินชื่อ “ดานตึง” ซึ่งมีหนองน้ำอยู่ใกล้ๆ ที่นี่มีแมลงรูปร่างเหมือนจักจั่น ผู้ไทเรียกว่า “แมงอี” จึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า ”คำแมงอี” ภายหลังได้ออกเพี้ยนเสียงเป็น ”คำชะอี” (หน้า 11) ส่วนอีกข้อสันนิษฐานบอกว่าชื่อหมู่บ้านผู้ไทนำมาจากชื่อดอก”คำชะอี” ซึ่งเป็นดอกไม้สีเหลืองมีกลิ่นหอมชื่นใจ ผู้ไทจะเอาไปอบเสื้อผ้าเพื่อให้มีกลิ่นหอม ซึ่งต้นไม้ชนิดนี้ทุกวันนี้ไม่มีให้เห็นในหมู่บ้านคำชะอีกันแล้ว (หน้า 11) บ้านหนองโอ ตำบลโนนยาง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร “ที่มาของชื่อหมู่บ้านหนองโอ” บรรพบุรุษของผู้ไทบ้านหนองโอ อพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงในสมัยรัชกาลที่ 3 ในครั้งแรกได้มาตั้งรกรากอยู่ที่บ้านคำเห้ (ทุกวันนี้คือบ้านโนนน้ำคำ ตำบลหนองสูงเหนือ อำเภอหนองสูง ) ภายหลังได้มีผู้ไทส่วนหนึ่งอพยพไปตั้งหมู่บ้านใหม่ซึ่งอยู่ทิศใต้ของหมู่บ้านที่เคยอยู่ เมื่อไปถึงก็พบหนองน้ำกลางป่า จึงพักเหนื่อยกินข้าวที่ฝั่งหนองน้ำ เมื่อกินข้าวอิ่มแล้วก็เดินทางกลับแต่ได้ลืมขันไว้ที่ฝั่งแม่น้ำ ( “ขันตักน้ำ” ผู้ไทเรียกว่า ”โอ๋” ) นับจากนั้นจึงเรียกหนองน้ำว่า ”หนองโอ๋” กระทั่งผู้ไทอพยพมาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณนี้จึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า”บ้านหนองโอ๋” ภายหลังชื่อได้เปลี่ยนแปลงเป็น “บ้านหนองโอ” เมื่อเขียนชื่อหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ ต่อมาเมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้นคนในหมู่บ้านจึงย้ายไปตั้งหมู่บ้านใหม่ ได้แก่ บ้านโนนยางหรือบ้านหนองโอน้อย บ้านคำพอก บ้านวังนอง บ้านเหล่ากว้างและบ้านหนองเม็ก (หน้า 16) บ้านเรณู ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม - ไม่มีข้อมูล |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
สำหรับหลักปฏิบัติต่างๆและข้อห้ามของหมอพื้นบ้านมีพอสังเขปดังนี้ หมอสูตร ให้ใช้ชีวิตตามปกติแต่ไม่ให้ผิดศีลธรรมเช่น เล่นการพนัน ลักเล็กขโมยน้อย ฆ่าสัตว์ (หน้า 76)ห้ามพูดคำหยาบ ห่ามโกหก ฯลฯ (หน้า 77) หมอเป่า หมอจอด ห้ามพูดคำหยาบ ไม่ให้กินเนื้อสัตว์ต้องห้าม เช่น เนื้อคน เสือ ช้าง งู หมา หมี ลิง ค่าง ม้า เป็นต้น (หน้า 78) หมอธรรม ไม่ให้โกหก อย่าด่าว่าผู้อื่น ห้ามกินเนื้อคน ม้า หมา งู หมี ฯลฯ (หน้า 83) หมอเหยา มีข้อห้าม เช่น ห้ามด่าว่าคนอื่น ห้ามพูดเท็จ ห้ามกินสัตว์ป่า (หน้า79) |
|
Map/Illustration |
ภาพ บ้านโนนยาง ตำบลโนนยาง จังหวัดมุกดาหาร (หน้า 98) โรงเรียนบ้านหนองโอ อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร, ศาลเจ้าปู่ดานตึง พระเจ้าปู่มเหศักดิ์ บริเวณดอนปู่ตาทางทิศเหนือสุดเขตหมู่บ้านคำชะอี (หน้า 99) เรือนผู้ไท ตำบลคำชะอี (หน้า 100) ยุ้งข้าวผู้ไท (หน้า 101) วัดโพธิ์ศรีหล้า บ้านคำชะอี ตำบลคำชะอี อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร,หมอสูตรผู้ไท บ้านคำชะอี (หน้า 102) หมอตำแยชาวอำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร (หน้า 103) หมอตำแย อำเภอคำชะอี ,หมอตำแยชาวเรณูนคร จังหวัดมุกดาหาร (หน้า 104) ฟืนสำหรับอยู่กรรม (หน้า 105) แหแขวนไว้ใต้ถุนบ้าน เพื่อกันผีกันพราย (หน้า 106) แม่อยู่กรรมย่างมดลูกให้เข้าอู่,หมอเป่าที่เกิดจากผีทำ (หน้า 107) หมอเป่าล่องแก้ว,หมอเป่ารักษาหนองแก้ว ปากเปื่อย (หน้า 108) หมอเหยา (หน้า 109,110) |
|
|