|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กะเหรี่ยง,ความมั่นคงทางอาหาร,ความตกต่ำของผลผลิตข้าว,การปรับตัวเพื่อหารายได้เสริม,เชียงใหม่ |
Author |
Panomsak Promburom |
Title |
An Integrated Approach for Assessing Rice Sufficiency Level in Highland Communities of Northern Thailand |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
65 |
Year |
2540 |
Source |
A thesis submitted to the graduate school in partial fulfillment of the requirements for the degree of master of science (Agriculture) in agriccultural systems, graduate school, Chiangmai University |
Abstract |
การประเมินความเพียงพอของข้าวมีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ 1. ผลผลิตเฉลี่ยของทั้งข้าวไร่หรือข้าวซึ่งปลูกบนที่ราบสูง และข้าวนาดำหรือข้าวที่ปลูกบนที่ลุ่ม 2. พื้นที่การปลูกข้าวและการเปลี่ยนแปลงพื้นที่การปลูกข้าว 3. ความต้องการบริโภคอาหาร และ วิธีในการปรับตัวของชาวนาต่อปัญหาความไม่เพียงพอของอาหาร (หน้า 11) การทำนาดำ หรือนาในที่ลุ่มได้มีการขยายพื้นที่เพิ่มจาก 74.1 เฮกเตอร์(2.49% ของพื้นที่ทั้งหมด) ในปี 1954 เป็น 148.2 เฮกเตอร์(4.98%) ในปี 1983 และเพิ่มขึ้นอีกเป็น 205.56 เฮกเตอร์(6.91%) ในปี 1994 (หน้า 43) ชาวนาได้พยายามทดลองหลายวิธีในการจัดการกับปัญหาผลผลิตข้าวเสียหาย โดยที่ร้อยละ 87 หางานทำนอกภาคเกษตร ร้อยละ 65 ยืมจากธนาคารข้าว ร้อยละ 51 ขายสัตว์เลี้ยง ร้อยละ 47 ยืมข้าวจากญาติ ร้อยละ 43 ทำการปลูกพืชเศรษฐกิจ (หน้า 51) |
|
Focus |
ผู้ศึกษาอธิบายถึงการเพิ่มขึ้นของประชากรบนที่ราบสูง และความขาดแคลนพื้นที่ทำกิน ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องประเมินความเพียงพอของข้าวด้วยการจัดประเภทการใช้ที่ดิน (หน้า 1) โดยส่วนประกอบที่สำคัญมี 3 ส่วน คือ หนึ่ง ผลผลิตเฉลี่ยของทั้งข้าวไร่หรือข้าวซึ่งปลูกบนที่ราบสูง และข้าวนาดำหรือข้าวที่ปลูกบนที่ลุ่ม สอง พื้นที่การปลูกข้าวและการเปลี่ยนแปลงพื้นที่การปลูกข้าว สาม ความต้องการบริโภคอาหาร และกลยุทธ์ในการปรับตัวของชาวนาต่อปัญหาความไม่เพียงพอของอาหาร (หน้า 11) |
|
Theoretical Issues |
ผู้ศึกษาได้นำแนวทางการศึกษาของ Ekasingh และคณะ(1995) มาใช้วิเคราะห์ พบว่าเทคนิคการตีความข้อมูลแบบ Landsat TM ไม่สามารถสร้างความแตกต่างมากเท่าใดนักในเรื่องภูมิประเทศของหมู่บ้าน เพราะเทคนิคนี้ได้รวมทั้งต้นไม้นานาพันธุ์ ไม้ผลที่ปลูก และโครงสร้างทางกายภาพต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ไม่อาจบ่งชี้ลักษณะการใช้ประโยชน์ของที่ดินได้ แต่เทคนิค Landsat TM มีประโยชน์ในแง่ที่นำไปใช้แยกประเภทผลผลิตในพื้นที่ราบสูงได้ (หน้า 45) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาพุทธ และคริสต์ (หน้า 25) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ช่วงเวลาที่ผู้ศึกษาทำการเก็บข้อมูลนั้นไม่ได้ระบุไว้ในเอกสาร แต่ผู้ศึกษาใช้ภาพถ่ายทางอากาศปี 1954 และ 1983 แผนที่แสดงการใช้ประโยชน์จากที่ดินในรูปแบบ Landsat TM ปี 1994 มาใช้ทำการวิเคราะห์ข้อมูล (หน้า 12 และ 20) |
|
History of the Group and Community |
ชุมชนวัดจันทร์ก่อตั้งขึ้นมามากกว่า 100 ปีมาแล้ว (หน้า 25) |
|
Demography |
ประชากรรวมทั้ง 4 หมู่บ้านมีทั้งหมด 263 ครัวเรือน หรือ 1,495 คน โดยจำนวนประชากรเฉลี่ยต่อครัวเรือนเท่ากับ 5.68 คน (หน้า 25) อย่างไรก็ดี จำนวนประชากรของพื้นที่การศึกษาเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า ระหว่างปี 1954 ถึงปี 1983 (หน้า 58) |
|
Economy |
สำหรับพื้นที่ราบสูงในภาคเหนือตอนบนนั้น ข้าวไร่ หรือข้าวซึ่งปลูกบนที่ราบสูง(Upland Rice) ด้วยระบบการเกษตรแบบไร่เลื่อนลอย มีสัดส่วนถึงร้อยละ 90 ของพื้นที่ทั้งหมดในฤดูนาปี (หน้า 1) ซึ่งชาวนาในพื้นที่การศึกษาเองเกือบทุกรายก็ปลูกข้าวดอย และมีการเพาะปลูกแบบหมุนเวียน (Shifting cultivation) พวกเขาจะเคยชินอยู่กับการทิ้งแปลงนาบนที่ราบสูงเป็นเวลา 10 ถึง 15 ปี ภายหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว เพื่อให้ดินฟื้นความอุดมสมบูรณ์จึงจะเข้ามาทำกินในพื้นที่เดิมอีกครั้ง (หน้า 26) มีการปลูกข้าวหลากหลายพันธุ์ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นพันธุ์พื้นเมือง ชาวนาจะเลือกพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับลักษณะของพื้นที่ และความอุดมสมบูรณ์ของน้ำในที่ดินแต่ละแห่ง (หน้า 26) พันธุ์ข้าวบางพันธุ์นั้นชาวนาที่นี่ได้รับถ่ายทอดแนะนำจากเพื่อนบ้าน และญาติซึ่งเดินทางไปนอกชุมชนแล้วนำกลับเข้ามาอย่างไรก็ดี ไม่มีพันธุ์ข้าวรุ่นใหม่ที่ได้รับการแนะนำจากหน่วยงานราชการเลย (หน้า 26) โครงการหลวงมีบทบาทสำคัญในการแนะนำพืชเศรษฐกิจใหม่ ๆ ให้กับชาวบ้านในชุมชนวัดจันทร์ ได้แก่ ผักกาดหอม แครอท กะหล่ำปลี ฯลฯ โดยที่โครงการส่งเสริมความรู้ ให้การอบรม สนับสนุนพันธุ์พืช และปุ๋ยให้เกษตรกร อย่างไรก็ตาม จำนวนของเกษตรกรที่เข้าร่วมมีจำกัดเนื่องจากโครงการได้กำหนดโควต้าไว้เพื่อควบคุมปริมาณผลผลิต (หน้า 26) นอกจากการเกษตรแล้ว ชาวบ้านมีรายได้เสริมจากการเป็นแรงงานรับจ้าง เช่น การรับจ้างทำงานในฟาร์ม ก่อสร้าง รวมทั้งทำงานช่วยโครงการหลวงและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ (หน้า 26) ความล้มเหลวในการทำนานั้นเกิดขึ้นทุกปี เนื่องจากปัจจัยด้านน้ำฝน และความเพียงพอของน้ำ อีกทั้งปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืช ดังนั้น ชาวนาแก้ปัญหาด้วยการหยิบยืมจากเพื่อนบ้านหรือญาติ ปลูกเผือก ข้าวโพด ฟักทอง มัน และถั่วพื้นเมือง (หน้า 27) ร้อยละ 95 ของกลุ่มตัวอย่างครอบครองผืนนาในที่ราบลุ่ม โดยขนาดพื้นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 4.13 ไร่ (0.66 เฮกเตอร์) ขณะที่ร้อยละ 16 ของพื้นที่ดังกล่าวต้องพึ่งพาน้ำฝน ส่วนที่เหลือนั้นอยู่ในพื้นที่ชลประทาน (หน้า 27) ปรากฏว่า 45 คน จากจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 95 คน เป็นเจ้าของที่นาบนที่ราบสูง ขณะที่ 33 คน ครอบครองทั้งนาบนที่ราบสูง และนาบนที่ลุ่ม(นาดำ) โดยขนาดของการครอบครองผืนนาบนที่ราบสูงมีตั้งแต่ 1 ไร่ จนถึง 65 ไร่ ซึ่งค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 12.85 ไร่ ต่อครัวเรือน และจำนวนแปลงนาต่อครัวเรือนเฉลี่ยเท่ากับ 3.2 แปลง ขณะที่พื้นที่ปลูกข้าวบนที่ราบสูงซึ่งเกิดขึ้นจริงในปี 1993 เฉลี่ยอยู่ที่ 2.67 ไร่ต่อครัวเรือน (หน้า 27) มีกลุ่มตัวอย่างเพียงร้อยละ 34 เท่านั้น ที่ทำการเกษตรในที่ดินผืนเดิมติดต่อกันทุกปี โดยที่ผลการสำรวจพบว่า ค่าเฉลี่ยของระยะเวลาที่ชาวนาทิ้งที่นาแล้วกลับมาใช้ทำกินในผืนดินแห่งเดิมอีกครั้งนั้นเร็วขึ้นมาเป็น 3.2 ปี ซึ่งเหตุผลที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร เป็นผลให้เกิดการลดขนาดพื้นที่ทำกิน ทั้งนี้ ก็เพราะสาเหตุจากข้อจำกัดในการขยายพื้นที่ทำกินเนื่องจากกฎระเบียบเกี่ยวกับป่าด้วย (หน้า 28) โดยทั่วไปแล้ว การปลูกข้าวบนที่ลุ่ม หรือการทำนาดำในภูมิประเทศที่เป็นผืนดินขรุขระจะอยู่ในบริเวณหุบเขาอันมีกระแสน้ำไหลผ่าน ตั้งอยู่บนอาณาเขตที่อยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับพื้นที่การปลูกพืชอื่น ๆ และด้วยความลาดชันของพื้นที่ไปตามกระแสน้ำนี้เอง ทำให้การทำนาดำไม่สามารถขยายพื้นที่ได้ในบริเวณที่ราบสูง ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้รูปร่างพื้นที่ทำนาดำมีลักษณะยาวและแคบ (หน้า 35) โดยปกตินั้น การปลูกข้าวไร่ หรือข้าวบนที่ราบสูงของกะเหรี่ยงในชุมชน เพื่อใช้เป็นอาหารหลัก ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าบริเวณที่ราบสูงส่วนใหญ่ในพื้นที่การศึกษาเป็นผืนดินที่ใช้ปลูกข้าวดอย ทำให้รูปร่างพื้นที่นาในที่ราบสูงไม่มีรูปแบบตายตัว ขึ้นอยู่กับขนาดการครอบครองที่ดินทำกิน และจำนวนแรงงานที่ใช้ในการหักร้างถางพง และเผาที่ดินเพื่อใช้ทำกินในแต่ละปี (หน้า 35) ผืนป่าประเภทต่าง ๆ ก็ตั้งอยู่บริเวณภูมิประเทศที่คล้ายคลึงกับพื้นที่ทำกินในที่ราบสูง ซึ่งในแผนที่จะเห็นได้จากบริเวณซึ่งมีสีทึบ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีจำนวนของสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่มาก และพืชพันธุ์ปกคลุมหนาทึบ ยิ่งไปกว่านั้น ลักษณะพื้นผิวบนภาพถ่ายทางอากาศยังมีลักษณะเรียบน้อยกว่าพื้นที่ทำกินบนที่ราบสูงอีกด้วย (หน้า 36) พื้นที่ปลูกนาดำ หรือนาบนที่ลุ่มจะมีอัตราส่วนการกระจายตัวของพื้นที่น้อยที่สุดทั้งในปี 1954 และ 1983 หากไม่นับพื้นที่ป่าในปี 1983 ทั้งนี้เนื่องจากจำนวนผืนป่ามีเพียง 3 ผืนเท่านั้น แปลงผืนป่าย่อย ๆ หนึ่งหรือสองแปลงก็มีผลต่อการลดระดับลงของการกระจายตัวของพื้นที่ได้เช่นกัน ขณะที่นาบนที่ราบสูงมีอัตราส่วนการกระจายตัวของพื้นที่มากที่สุด เพราะมีลักษณะการวางตัวที่เป็นผืนกว้าง (หน้า 37) การทำนาดำหรือนาในที่ลุ่มได้ขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นจาก 74.1 เฮกเตอร์(2.49% ของพื้นที่ทั้งหมด) ในปี 1954 เป็น 148.2 เฮกเตอร์(4.98%) ในปี 1983 และเพิ่มขึ้นอีกเป็น 205.56 เฮกเตอร์(6.91%) ในปี 1994 ขณะที่การใช้ประโยชน์ประเภทอื่นจากที่ดินก็เพิ่มขึ้น มีเพียงการทำนาบนที่ราบสูงเท่านั้นที่ตัวเลขไม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 40 ปี โดยชาวนาใช้พื้นที่เพียง 41 เฮกเตอร์ หรือ 0.16 เฮกเตอร์ต่อครัวเรือนในแต่ละปีเพื่อปลูกข้าวบนที่ราบสูง (หน้า 43) โดยธรรมชาติของการทำนาบนที่ราบสูงนั้น ต้องใช้แรงงานในการเตรียมดินและการจัดการมากกว่าการทำนาดำ ฉะนั้น ถ้าปีไหนชาวนาขาดแคลนแรงงานและน้ำ ครัวเรือนต่าง ๆ ก็จะหันไปทำนาดำในที่ลุ่ม และทิ้งนาในที่ราบสูงเอาไว้ (หน้า 43) ส่วนพื้นที่ป่าไม้ได้ลดลงจาก 2,813.2 เฮกเตอร์(94.51% ของพื้นที่ทั้งหมด) ในปี 1954 เป็น 2,237.9 เฮกเตอร์(75.18%) ในปี 1983 และกลายเป็น 2,097.3 เฮกเตอร์(70.46%) ในปี 1994 กล่าวคือ อัตราการลดลงของพื้นที่ป่าเท่ากับ 19 เฮกเตอร์ต่อปีในช่วงระหว่างปี 1954 ถึงปี 1983 และเท่ากับ 14 เฮกเตอร์ต่อปี ในช่วงระหว่างปี 1983 ถึงปี 1994 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อจำกัดของภาพถ่ายทางอากาศในปี 1954 ทำให้ร้อยละของพื้นที่ป่าในปี 1954 นั้นอาจรวมถึงพื้นที่การทำไร่เลื่อนลอย(Bush fallow) ด้วย (หน้า 43) ขณะที่พื้นที่ใช้ประโยชน์ประเภทอื่นรวมทั้งเนื้อที่อันเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ซึ่งรวมถึงถนนหนทาง พื้นที่ว่างเปล่า และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ นั้น มีขนาดใหญ่ขึ้นจาก 43.8 เฮกเตอร์(0.5%) เป็น 177.9 เฮกเตอร์(6.0%) ในช่วงปี 1954 และปี 1994 ตามลำดับ ตัวเลขนี้เป็นตัวบ่งชี้ทางอ้อมได้ว่ามีการขยายพื้นที่เพื่อใช้เป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัย และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ในชุมชนนี้ เพื่อเอื้อต่อจำนวนประชากรที่มากขึ้น (หน้า 44) พันธุ์ข้าวที่พบในพื้นที่การศึกษาทั้งหมดเป็นพันธุ์พื้นเมือง โดยพันธุ์ข้าวที่ปลูกในนาดำนั้นค้นพบทั้งหมด 9 ประเภท แต่พันธุ์ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวบ้านมีอยู่ 3 พันธุ์ ได้แก่ Poh Loh, Por Moh และ Mo ขณะที่พันธุ์ข้าวที่ปลูกในที่ราบสูงพบอยู่ 6 พันธุ์ แต่พันธุ์ที่นิยมปลูกก็คือ Pho Pri (หน้า 45) ผลิตภาพของการปลูกข้าว จากการสุ่มในแปลงนาดำจำนวน 70 แปลง ด้วยวิธี Crop Cutting ในเดือนพฤศจิกายน 1993 พบว่า ผลผลิตอยู่ในช่วงระหว่าง 84 กก. ต่อไร่ (0.52 ตันต่อเฮกเตอร์) จนถึง 878 กก. ต่อไร่ (5.50 ตันต่อเฮกเตอร์) โดยมีค่าเฉลี่ยของผลผลิตที่ 419 กก. ต่อไร่ (2.62 ตันต่อเฮกเตอร์) ขณะที่แปลงข้าวไร่ หรือนาบนที่ราบสูง มีผลผลิตอยู่ในช่วงระหว่าง 150 กก. ต่อไร่ (0.94 ตันต่อเฮกเตอร์) จนถึง 740.8 กก. ต่อไร่ (4.63 ตันต่อเฮกเตอร์) โดยมีค่าเฉลี่ยของผลผลิตที่ 346 กก. ต่อไร่ (2.16 ตันต่อเฮกเตอร์) (หน้า 46) แต่ค่าเฉลี่ยของผลผลิตข้าวไร่จากกลุ่มตัวอย่าง 44 คนนั้น อยู่ที่ 197.4 กก. ต่อไร่ (1.22 ตันต่อเฮกเตอร์) ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าค่าที่ได้จากวิธี Crop Cutting ทั้งนี้เนื่องจากเมล็ดข้าวถูกรบกวนจากแมลงศัตรูพืช และวัชพืช อย่างไรก็ดี ค่าเฉลี่ยของผลผลิตที่พบจากการศึกษาครั้งนี้ก็ใกล้เคียงกันกับผลวิจัยของ Ekasingh และคณะ(1995) (หน้า 48) การบริโภคข้าว ปริมาณความต้องการบริโภคข้าวของชุมชนรวมนั้นเท่ากับ 191.5 ตันต่อเฮกเตอร์ โดยคำนวณจากข้าวเปลือกที่ยังไม่ได้สี ซึ่งก็คือ 320 กก. ต่อคนต่อปี โดยค่าดังกล่าวน้อยกว่าผลการศึกษาของ Ekasingh และคณะ(1995) อยู่เล็กน้อย (หน้า 48) ระดับความเพียงพอของข้าว จากการสำรวจในปี 1993 นั้น ปริมาณข้าวเปลือกที่ชุมชนสามารถผลิตได้ทั้งหมดคือ 157.8 ตัน ดังนั้น เมื่อเทียบกับปริมาณการบริโภคข้าวแล้ว การผลิตข้าวมีสัดส่วนแค่ร้อยละ 82 เท่านั้น ซึ่งความไม่เพียงพอของการผลิตข้าวเกิดขึ้นเรื่อยมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้มีแค่ 12 ครัวเรือน หรือ ร้อยละ 13 จากทั้งหมดเท่านั้นที่มีข้าวพอกินและไม่ประสบปัญหาดังกล่าว อีกร้อยละ 67 เจอปัญหาขาดข้าวมากว่า 5 ปีแล้ว และร้อยละ 38 ไม่เคยผลิตข้าวได้พอกินเลย โดยพวกเขาต้องซื้อข้าวสารจากตลาดภายนอกชุมชนเฉลี่ยแล้ว 333.4 กก. ต่อปี (หน้า 48-49) ปัญหาที่ชุมชนไม่สามารถผลิตข้าวได้เพียงพอต่อความต้องการนั้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะแมลงศัตรูพืช และโรคพืช ฝนแล้งหรือตกไม่สม่ำเสมอ พื้นที่ปลูกข้าวมีจำกัด ดินเสื่อมคุณภาพ โดยร้อยละ 64 อ้างว่าเกิดจากแมลงศัตรูพืชและโรคพืช ข้อมูลดังกล่าวนี้สอดคล้องกับปัญหานาข้าวเสียหายที่เกิดขึ้นในปี 1992 และผลผลิตกว่าครึ่งได้รับความเสียหายในคราวนั้น (หน้า 49) กลยุทธ์การปรับตัว ชาวนาได้พยายามทดลองหลายวิธีในการจัดการกับปัญหาผลผลิตข้าวเสียหาย โดยที่ร้อยละ 87 หางานทำนอกภาคเกษตร ร้อยละ 65 ยืมจากธนาคารข้าว ร้อยละ 51 ขายสัตว์เลี้ยง ร้อยละ 47 ยืมข้าวจากญาติ ร้อยละ 43 ทำการปลูกพืชเศรษฐกิจ สำหรับการหางานทำนอกภาคเกษตรนั้น ชาวบ้านเกือบทั้งหมดทำในพื้นที่ใกล้ชุมชน มีจำนวนน้อยมากที่เข้าไปทำงานลักษณะนี้ในเมือง โดยงานนอกภาคเกษตรหลักๆ ก็คือ การเป็นแรงงานในอุตสาหกรรมป่าไม้ รองลงมาคือ การรับจ้างเป็นแรงงานในไร่นา (หน้า 51) ในชุมชนแห่งนี้มีธนาคารข้าว 2 แห่ง ที่ได้รับเงินทุน และการช่วยเหลือจากกลุ่มมิชชันนารี ก็ช่วยให้ชาวบ้านสามารถหยิบยืมข้าวไปบริโภคโดยไม่คิดดอกเบี้ย แต่ผู้ที่เป็นสมาชิกของกลุ่มศาสนาคริสต์ จะได้รับสิทธิ์เป็นอันดับแรกก่อนใคร ขณะที่มีธนาคารข้าวอีกหนึ่งแห่งที่สนับสนุนโดยรัฐบาลด้วย แต่เป็นรูปแบบที่ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราต่ำ ทั้งนี้ ค่าเฉลี่ยของการยืมข้าวจากธนาคารอยู่ที่ 166.5 กก. ต่อครัวเรือน ต่อปี (หน้า 52) การขายสัตว์ก็มีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาการขาดแคลนข้าวเช่นกัน โดยวัว ควาย และหมูพื้นเมือง ล้วนเป็นทรัพย์สินของครัวเรือนที่สามารถนำมาขายได้ในยามวิกฤต ส่วนการปลูกพืชเศรษฐกิจซึ่งได้รับการแนะนำจากโครงการหลวงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ก็ทำรายได้ให้ครัวเรือนได้ถึง 10,000 บาทต่อปี (หน้า 52-53) ร้อยละ 26.7 ของกลุ่มตัวอย่างมีความพยายามที่จะเพิ่มผลผลิตข้าว โดยในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ใช้วิธีการเพิ่มพื้นที่ปลูกข้าว และการปรับเปลี่ยนปุ๋ยที่ใช้เป็นสูตรต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวทำให้ยากเพราะมีกฎระเบียบเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ป่าคอยควบคุมอยู่ (หน้า 53) นอกจากนั้น ชาวนาหลายคนยังเสนอแนะว่าการแก้ปัญหาผลผลิตข้าวตกต่ำ สามารถกระทำได้ด้วยการทำงานนอกภาคเกษตร การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนอย่างเช่น การทำหัตถกรรม และทอผ้า ตลอดจนการจัดหาพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ และพัฒนาทรัพยากรน้ำ (หน้า 54) จากการคำนวณค่าความสามารถในการผลิตข้าวตามวิธี Rice Supporting Capacity แล้ว ชุมชนจะสามารถผลิตข้าวบนที่ลุ่มได้สำหรับ 1,332 คนต่อปี และผลิตข้าวบนที่ราบสูงได้สำหรับ 902 คนต่อปี ขณะที่ ความสามารถผลิตข้าวได้ทั้งหมดของพื้นที่การศึกษาของวิธีการของ Brush นั้นอยู่ที่ 2,457 คนต่อปี ซึ่งเท่ากับ 2 เท่าของจำนวนประชากรของชุมชน ดังนั้น กล่าวได้ว่าชุมชนมีศักยภาพในการผลิตข้าวได้เพียงพอต่อประชากร อย่างไรก็ตาม จากการสัมภาษณ์ชาวบ้าน 95 คน พบว่าชุมชนสามารถผลิตข้าวได้จริงเพียง 157.8 ตัน แต่ความต้องการบริโภคข้าวมีถึง 191.5 ตัน ฉะนั้น ชาวบ้านจึงขาดแคลนข้าวอยู่ร้อยละ 18 จากความต้องการทั้งหมด ซึ่งผลการศึกษานี้สอดคล้องกับรายงานการศึกษาของ Ekasingh และคณะ(1995) (หน้า 55) ทั้งนี้ ผลผลิตที่เสียหายไประหว่าง และหลังจากการเก็บเกี่ยวนั้นเป็นประเด็นที่ชาวบ้านไม่ได้ตระหนักถึง ซึ่ง Siamwalar และ Na-ranong (1976) ได้ทำการศึกษาในเรื่องนี้ พบว่า การเสียหายของผลผลิตข้าวจากกระบวนการเก็บเกี่ยว การสีข้าว และการขนส่ง เกิดขึ้นถึงร้อยละ 17 ดังนั้น ผลผลิตข้าวที่เกิดขึ้นจริงของพื้นที่การศึกษาจะต้องต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ (หน้า 55) นอกจากนั้น การคำนวณความต้องการบริโภคข้าวตั้งอยู่บนพื้นฐานของปริมาณข้าวที่ชาวบ้านนำมากินเท่านั้น ยังไม่รวมถึงความต้องการข้าวเพื่อเก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ต้องนำมาเลี้ยงสัตว์ การกลั่นเหล้า ข้าวที่ใช้ในงานประเพณี และนำไปเลี้ยงต้อนรับแขก ซึ่ง Hinton(1995) อ้างว่าความต้องการข้าวทั้งหลายเหล่านี้มีสัดส่วนถึงร้อยละ 25 ทีเดียว ขณะที่ผลการสำรวจของ Ekasingh และคณะ(1995) ก็รายงานว่าปริมาณความต้องการบริโภคข้าวและเพิ่มใช้ประโยชน์ในทางอื่น ๆ ของครัวเรือนรวมกันแล้วนั้นอยู่ที่ 366 กก.ต่อคน (หน้า 56) ข้อมูลจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างโดยไม่เป็นทางการ พบว่า ผลผลิต ในปี 1993 ดีกว่าปีก่อน ๆ โดยเฉพาะในปี 1992 ซึ่งเกิดปรากฏการณ์ภัยพิบัติด้านผลผลิตข้าวนอกจากนี้ ยังพบว่า ผลผลิตข้าวขึ้นอยู่กับความเพียงพอของน้ำ ความอุดมสมบูรณ์ของแปลงนาเลื่อนลอยที่ทำการเพาะปลูก รวมทั้งโรคพืช และแมลงศัตรูพืช (หน้า 56) ในช่วงระหว่างปี 1954 ถึงปี 1983 พื้นที่การปลูกข้าวในที่ลุ่มเพิ่มขึ้นสองเท่า (จาก 74 เฮกเตอร์ เป็น 148 เฮกเตอร์) ขณะที่พื้นที่การปลูกข้าวบนที่ราบสูงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้ง ๆ ที่ความต้องการบริโภคข้าวมากขึ้นตามจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า ในช่วงระหว่างปีดังกล่าว ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้ก็แสดงให้เห็นว่าชุมชนมีกลยุทธ์ในการจัดการกับความต้องการบริโภคข้าวที่มากขึ้นด้วยการขยายพื้นที่เพาะปลูก อย่างไรก็ดี ในช่วงปี 1994 ถึงปี 2000 จำนวนประชากรในชุมชนจะแซงหน้าความสามารถในการผลิตข้าว ซึ่งจะนำไปสู่ความรุนแรงมากขึ้นของปัญหาการขาดแคลนข้าว หากยังไม่มีการปรับปรุงเพิ่มผลผลิต หรือทำกิจกรรมอื่นในการเพิ่มรายได้ (หน้า 58) แผนทางเลือกในการพัฒนา Gypmantasiri และ Amaruekachoke (1997) ซึ่งได้ทำการทดลองในพื้นที่การศึกษาแห่งเดียวกันนี้ พบว่า ปุ๋ยเคมีสามารถช่วยส่งเสริมผลิตภาพในการปลูกข้าวบนที่ราบสูงได้สำหรับแปลงนาหมุนเวียนที่ถูกชาวบ้านปล่อยทิ้งไว้ในระยะสั้น (หน้า 59) ขณะที่ Pankao (1996) พบว่า ชาวนารายที่ใช้ปุ๋ยสูตร 16-20-0 ในอัตรา 156 กก. ต่อเฮกเตอร์ พร้อมกับการกำจัดวัชพืชนั้น สามารถสร้างผลผลิตได้ถึง 3.4 ตัน (537 กก. ต่อไร่) ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งอยู่ในช่วงระหว่าง 3.0 ตัน (485 กก.ต่อไร่) ถึง 3.2 ตัน (505 กก.ต่อไร่) (หน้า 60) ดังนั้น การเพิ่มผลผลิตข้าวในชุมชน สามารถทำได้ด้วยการพัฒนา หรือปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ คือ การส่งเสริมการใช้ปุ๋ย เช่น ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยเคมี และวัสดุจากธรรมชาติ การปรับปรุงข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อวัฒนธรรม เช่น การถอนวัชพืช การบริหารที่ดิน และน้ำ การปรับปรุงพันธุ์ข้าว ตลอดจนการพัฒนาแหล่งน้ำ (หน้า 60) จากการวิเคราะห์พบว่า หากชุมชนมีอัตราการเพิ่มประชากรในระดับร้อยละ 2 ต่อปี จะเป็นอัตราที่แซงหน้าความสามารถในการผลิตข้าวให้กับประชากรของชุมชนในปี 2008 ซึ่งจะอยู่ที่ 1,973 คน ณ ระดับความสามารถปลูกข้าวได้เพียง 3.0 ตันต่อเฮกเตอร์ โดยความไม่สมดุลดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นต่อไปจนถึงปี 2018 หากผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นเป็นเพียงแค่ 3.4 ตันต่อเฮกเตอร์ ฉะนั้น หากจะทำการเพิ่มผลผลิตในระดับที่มากขึ้นกว่านี้ ชุมชนจะต้องค้นหาทางเลือกใหม่ในการเพาะปลูก และมีวิธีการบริหารจัดการที่ถูกต้อง (หน้า 61) ทางเลือกอื่น ๆ ที่สามารถนำมาพิจารณาก็คือ การปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ผักสวนครัว ซึ่งเป็นรายได้เสริมที่ดีแก่ครัวเรือน แต่ก็มีปัญหาเนื่องจากโครงการหลวงกำหนดโควต้าของชาวบ้านที่จะเข้าร่วมโครงการ อย่างไรก็ดี ผลไม้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกร เพราะชุมชนมีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม (หน้า 61-62) ส่วนกิจกรรมอื่นที่สามารถสนับสนุนเพื่อเป็นช่องทางในการหารายได้เสริมก็ได้แก่ การทำหัตถกรรม และการเพิ่มมูลค่าสินค้า ซึ่งการทอผ้าฝ้ายถือว่าดำรงคงอยู่ในชุมชนมาเป็นเวลานาน อีกทั้งยังได้รับการส่งเสริมจากทั้งหน่วยงานราชการ และภาคเอกชนในการสร้างตลาด นอกจากนั้น กระแส และการรณรงค์เกี่ยวกับสินค้าจากธรรมชาติ และสินค้าพื้นเมือง ก็เป็นที่นิยมของประชาชนทั่วไป ฉะนั้น อุตสาหกรรมขนาดย่อมในครัวเรือนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการสร้างรายได้เช่นกัน ทั้งนี้ ตัวอย่างของสินค้าเพิ่มมูลค่าที่มีศักยภาพก็คือ ข้าวปลอดสารพิษ และข้าวไม่ขัดสีของชุมชนกะเหรี่ยง ซึ่งมีต้องการสูงมากในตลาด ก็น่าจะนำมาสร้างรายได้เพื่อทดแทนปัญหาความตกต่ำของผลผลิตข้าวในชุมชน (หน้า 62) |
|
Education and Socialization |
เด็กกะเหรี่ยงในชุมชนวัดจันทร์ค่อนข้างมีการศึกษาที่ดีโดยเปรียบเทียบกับชุมชนอื่น ๆ ทั้งนี้ ในชุมชนมีโรงเรียนประถมของรัฐหนึ่งโรง โรงเรียนมัธยมของเอกชนหนึ่งโรง และโรงเรียนมัธยมภายใต้การสนับสนุนของมิชชันนารีอีกหนึ่งโรง (หน้า 25) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
1. แผนที่แสดงพื้นที่การศึกษา (หน้า 12) 2. ตารางแสดงจำนวนประชากรของชุมชนวัดจันทร์ (หน้า 25) 3. แผนภูมิแสดงการครองที่ดินปลูกข้าวในที่ลุ่มของชาวนาปี 1993 (หน้า 28) 4. แผนภูมิแสดงการครอบครองพื้นที่ปลูกข้าวบนที่ราบสูงของชาวนาในปี 1993 (หน้า 29) 5. แผนภูมิแสดงจำนวนแปลงของพื้นที่ปลูกข้าวบนที่ราบสูง และระยะเวลา ของการทำกิน (หน้า 29) 6. แผนที่แสดงการกระจายตัวของจุดควบคุมภาคสนามที่สามารถระบุจุดพิกัดได้ถูกต้อง (GCPs) โดยภาพถ่ายทางอากาศ (หน้า 31) 7. ภาพถ่ายมุมใกล้ของ GCPs (หน้า 32) 8. แผนที่แบบโมเสคแสดงภาพถ่ายทางอากาศของพื้นที่ 2 แห่งที่ติดต่อกัน (หน้า 33) 9. แผนที่แบบโมเสคด้วยมือ (หน้า 33) 10. แผนที่แสดงพื้นที่การศึกษาในปี 1954 (หน้า 34) 11. แผนที่แสดงพื้นที่การศึกษาในปี 1983 (หน้า 35) 12. ตารางแสดงอัตราส่วนความแตกต่างของรูปแบบการใช้ที่ดินระหว่างปี 1954 กับปี 1983 (หน้า 36) 13. ตารางแสดงประเภทของการใช้ประโยชน์จากที่ดินในปี 1983 (หน้า 37) 14. ตารางแสดงความร้อนที่เกิดจากการใช้ที่ดิน 4 ประเภทในปี 1983(หน้า 38) 15. แผนที่แสดงภูมิประเทศด้วยระบบดิจิตอล (หน้า 39) 16. ภาพถ่ายทางอากาศแสดงการใช้ที่ดินของวัดจันทร์ในปี 1954 (หน้า 40) 17. ภาพถ่ายทางอากาศแสดงการใช้ที่ดินของวัดจันทร์ในปี 1983 (หน้า 41) 18. ภาพถ่ายทางอากาศแสดงการใช้ที่ดินของวัดจันทร์ในปี 1994 (หน้า 42) 19. ตารางแสดงความเปลี่ยนแปลงของประเภทในการใช้ที่ดินระหว่างปี 1954 ถึงปี 1994 (หน้า 44) 20. ตารางแสดงพันธุ์ข้าวบนที่ราบลุ่มที่พบในวัดจันทร์ปี 1993 (หน้า 45) 21. ตารางแสดงพันธุ์ข้าวบนที่ราบสูงในจัดจันทร์ปี 1993 (หน้า 46) 22. ตารางแสดงผลผลิตข้าวในปี 1993 (หน้า 47) 23. ตารางแสดงสัดส่วนระหว่างผลผลิตข้าวในที่ราบลุ่ม(นาดำ) กับข้าวในที่ราบสูง(ข้าวไร่) ปี 1993 (หน้า 47) 24. ตารางแสดงจำนวนครัวเรือนที่เสี่ยงต่อการปลูกข้าวไม่ได้ผลดี (หน้า 49) 25. ตารางแสดงระดับความรุนแรงของปัจจัยที่ทำให้การปลูกข้าวไม่ได้ผลในวัดจันทร์ (หน้า 50) 26. ตารางแสดงความถี่ของปัจจัยที่ทำให้การปลูกข้าวไม่ได้ผลในวัดจันทร์ (หน้า 50) 27. ตารางแสดงกลยุทธ์การปรับตัวต่อปัญหาการปลูกข้าวไม่ได้ผล (หน้า 51) 28. ตารางแสดงประเภทของงาน และค่าจ้างในวัดจันทร์ (หน้า 52) 29. ตารางแสดงวิธีการเพิ่มผลผลิตข้าวในที่ลุ่ม (หน้า 53) 30. ตารางแสดงวิธีการเพิ่มผลผลิตข้าวในที่ราบสูง (ข้าวไร่) (หน้า 54) 31. ตารางแสดงข้อมูล และแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการกำหนดความสามารถของการสนับสนุนเรื่องข้าว (หน้า 54) 32. ตารางเปรียบเทียบข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ (หน้า 57) 33. ตารางวิเคราะห์ความสามารถในการสนับสนุนเรื่องข้าวในปี 1954, 1983, 1994 และ 2000 (หน้า 58) 34. แผนภูมิวิเคราะห์ความสามารถในการสนับสนุนเรื่องข้าวกับจำนวนประชากรเป้าหมายระหว่างปี 1954 ถึงปี 2000 (หน้า 59) 35. แผนภูมิวิเคราะห์ความสามารถในการสนับสนุนเรื่องข้าวกับจำนวนประชากรเป้าหมายระหว่างปี 2000 ถึงปี 2020 โดยวัดจากผลผลิตของข้าวในที่ลุ่มจากวิธีการจัดการที่ถูกปรับปรุงขึ้น (หน้า 61) |
|
|