|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กระเหรี่ยง,การบูรณาการ,การเมือง,แม่ฮ่องสอน |
Author |
วิทวัส ผาติธรรมรักษ์ |
Title |
สัมฤทธิผลของกระบวนการบูรณาการทางการเมือง ศึกษาเฉพาะกรณีชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยง 2 หมู่บ้านในอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) |
Total Pages |
187 |
Year |
2534 |
Source |
หลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
ผู้วิจัยใช้กลุ่มประชากรชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงสะกอร์ จาก 2 หมู่บ้านใน อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน จำนวน 102 คน เป็นประชากรตัวอย่างในการวิจัย โดยใช้เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามสัมภาษณ์ โดยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติศาสตร์ ใช้ค่าสถิติ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าไคแสควร์ ค่าแกมม่า และค่าแครมเมอร์ วี เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ ในการวิจัย ผู้วิจัยได้กำหนดให้ตัวแปรอิสระพื้นฐานประกอบด้วย เพศ อายุ รายได้ และความรู้ความเข้าใจในภาษาไทย นอกจากนี้ยังสร้างตัวแปรอิสระจากทฤษฎีจำนวน 3 ตัวแปร ประกอบด้วยความเหมือนกัน การปฏิสัมพันธ์ และความรู้ความเข้าใจในสังคมอื่น ตัวแปรอิสระจากทฤษฎีทั้ง 3 ตัวแปรรวมกันเป็นปัจจัยการบูรณาการ ส่วนตัวแปรตามคือ ผลสำเร็จของการบูรณาการให้ชาวเขารู้สึกว่าตนเป็นพลเมืองของประเทศไทย ประกอบด้วยตัวแปรตาม 3 ตัวแปร คือ ความจงรักภักดีต่อสังคมไทย ความไว้วางใจในสังคมไทย และการยอมรับวัฒนธรรม ความเชื่อของสังคมไทย ผลการวิจัยพบว่า 1) ตัวแปรอิสระพื้นฐานด้านอายุ รายได้ และความรู้ความเข้าใจภาษาไทย มีความสัมพันธ์กับปัจจัยการบูรณาการ และความเป็นพลเมืองไทย แต่ตัวแปรเพศไม่มีความสัมพันธ์กับปัจจัยการบูรณาการและความเป็นพลเมืองไทย 2) ตัวแปรอิสระตามทฤษฎี 3 ตัวแปรคือ ความเหมือนกัน การปฏิสัมพันธ์และความรู้ความเข้าใจในสังคมอื่น ซึ่งประกอบเป็นปัจจัยการบูรณาการ มีความสัมพันธ์กับความเป็นพลเมืองไทย (หน้า 1 - 2) |
|
Focus |
ศึกษาสัมฤทธิผลของกระบวนการบูรณาการทางการเมืองของรัฐบาลไทยต่อชาวเขา |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงสกอว์ ที่แม่เหาะ จังหวัดแม่ฮ่องสอน |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กะเหรี่ยงมีภาษาพูดเป็นของตนเอง ซึ่งจะมีความต่างกันบ้างในแต่ละเผ่าย่อย ส่วนภาษาเขียนได้รับการพัฒนาระบบอักขระโดยมิชชันนารีชาวตะวันตกโดยยึดแบบอักษรพม่าเป็นแม่แบบ (หน้า 81) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยง เป็นชาวเขาในกลุ่มธิเบต พม่า เป็นกลุ่มชาวเขาที่มีประชากรมากกว่าเผ่าอื่นๆในประเทศไทย กระเหรี่ยงสามารถแบ่งได้เป็น 4 เผ่า คือ เผ่าสะกอร์ เผ่าโปว์ เผ่าบัควี และเผ่าตองสู ซึ่งเป็นส่วนที่แยกออกมาจากรัฐกะเหรี่ยงในสาธารณรัฐสังคมนิยมพม่า โดยเผ่าสะกอร์มีประชากรมากที่สุดคือ ประมาณ 400,000 คน หรือ 60% ของจำนวนชาวเขาทั้งหมดในประเทศไทย โดยอาศัยบริเวณตะเข็บรอยต่อระหว่างไทย พม่า ตั้งแต่จังหวัดกาญจนบุรีถึงจังหวัดเชียงราย และมีจำนวนมากที่สุดในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอนคือมีประชากรถึง ร้อยละ 50 (หน้า 80 - 81) |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงนิยมตั้งบ้านเรือนสองลักษณะคือ หากตั้งหมู่บ้านในเขตหุบเขา บ้านจะมีลักษณะค่อนข้างถาวร แต่ถ้าตั้งบนเนินเขาบ้านจะมีลักษณะที่โยกย้ายได้ง่าย กะเหรี่ยงมักจะตั้งบ้านเรือนในระดับที่ต่ำกว่า 2,000 ฟุต (หน้า 81) |
|
Demography |
หมู่บ้านแม่เหาะ มีบ้านทั้งหมด 69 หลังคาเรือน 83 ครอบครัว มีประชากรทั้งหมด 320 คน หมู่บ้านแม่สวรรค์น้อย มีทั้งหมด 35 หลังคาเรือน 42 ครอบครัว มีประชากรทั้งหมด 201 คน (หน้า 190 - 191) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงยึดการปลูกพืชไร่เป็นอาชีพหลัก (หน้า 81) ประชากรหมู่บ้านแม่เหาะและหมู่บ้านแม่สวรรค์น้อยมีอาชีพหลักคือการเพาะปลูกพืช เช่น ข้าว ข้าวโพด และพืชผักต่างๆ สำหรับบริโภคในครัวเรือนและจำหน่ายแก่พ่อค้าที่มารับซื้อถึงหมู่บ้าน ด้านเศรษฐกิจโดยรวมของหมู่บ้านพบว่าหมู่บ้านแม่สวรรค์น้อยมีฐานะทางเศรษฐกิจในระดับที่ด้อยกว่าหมู่บ้านแม่เหาะ (หน้า 190 - 192) |
|
Social Organization |
ในด้านความเป็นพลเมืองซึ่งเป็นตัวแปรตามตามทฤษฎีที่เป็นผลรวมของตัวแปรตามย่อย 4 ตัว คือ ความจงรักภักดี ความไว้วางใจในสังคม ความสำนึกในหน้าที่พลเมือง และการยอมรับวัฒนธรรมความเชื่อ พบว่ากลุ่มประชากรตัวอย่างมีระดับความเป็นพลเมืองปานกลาง (หน้า 118 - 119) กลุ่มประชากรตัวอย่างเพศหญิงมีแนวโน้มที่จะมีระดับความจงรักภักดีสูงกว่าชาย ผู้ที่มีอายุน้อยกว่าจะมีแนวโน้มที่จะมีระดับความจงรักภักดีสูงกว่าผู้ที่อายุมากกว่า ผู้ที่มีอายุน้อยกว่าจะมีแนวโน้มที่จะมีระดับความรู้ความเข้าใจในสังคมอื่น มีระดับความไว้วางใจในสังคม มีระดับความสำนึกในหน้าที่พลเมืองและมีระดับความเป็นพลเมืองสูงกว่าผู้ที่อายุมากกว่า(หน้า 124,131,133 135,137) ระดับรายได้ไม่มีความสัมพันธ์กับระดับความจงรักภักดี ระดับความไว้วางใจในสังคม ระดับความสำนึกในหน้าที่พลเมืองที่ระดับนัยสำคัญ .05 ระดับรายได้มีความสัมพันธ์กับระดับการยอมรับวัฒนธรรมความเชื่อ ระดับความเป็นพลเมือง ที่ระดับนัยสำคัญ .05 กลุ่มหนุ่มสาวชาวเขาเป็นกลุ่มที่มีระดับของปัจจัยบูรณาการและความเป็นพลเมืองสูงกว่ากลุ่มอายุอื่น ในอนาคต ระดับความเป็นพลเมืองจะสูงขึ้นตามภาวะเจริญวัยของกลุ่มประชากร (หน้า 142 - 146,159) ชาวเขาเชื่อว่าเพศชายเป็นผู้มีบทบาทในการตัดสินใจต่างๆ โดยเพศหญิงทำหน้าที่เพียงผู้ติดตามเท่านั้น (หน้า 158) ปัจจัยเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจในสังคมอื่นมีความสัมพันธ์กับระดับความเป็นพลเมืองในระดับสูง (หน้า 179) |
|
Political Organization |
รัฐบาลไทยกับการแก้ไขปัญหาชนกลุ่มน้อยไทยภูเขา ในช่วงก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 รัฐบาลไทยให้ชาวเขาปกครองกันเอง ตราบใดที่ชาวไทยภูเขาอาศัยอยู่ด้วยความสงบและไม่มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนกฎหมายไทย การดำเนินงานของรัฐเริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2499 เมื่อคณะรัฐมนตรีได้จัดตั้ง คณะกรรมการสงเคราะห์ประชาชนไกลคมนาคม ขึ้นเพื่อทำหน้าที่สำรวจสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ของชาวไทยภูเขา ในชั้นต้น คณะกรรมการฯได้จัดตั้งนิคมสงเคราะห์ตนเองของชาวไทยภูเขาขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ตาก และจังหวัดเลย โดยมีหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในจังหวัดควบคุมดูแลและหาข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการวางแผนพัฒนาในขั้นต่อไปให้รัดกุมยิ่งขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2502 คณะรัฐมนตรีมีมติจัดตั้ง คณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขา โดยการแปรสภาพของคณะกรรมการสงเคราะห์ประชาชนไกลคมนาคม เพื่อรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาชาวไทยภูเขา โดยช่วงแรกได้ส่งเสริมให้ชาวเขามีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ส่งเสริมให้ชาวเขาจัดตั้งในรูปแบบนิคมสร้างตนเอง สนับสนุนให้มีการรวบรวมชาวเขาเป็นกลุ่ม เพื่อทำพืชไร่โดยจัดเป็นรูปนิคมเพื่อปฏิบัติตามนโยบายของคณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขา จากการตั้งคณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขาขึ้นในปี พ.ศ. 2502 เป็นต้นมาการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งช่วงระยะเวลาออกได้เป็น 4 ระยะ คือ ระยะ 2502 2504 นโยบายมุ่งไปในลักษณะจัดตั้งนิคมสร้างตนเอง ระยะ 2506 2509 นโยบายเน้นในลักษณะการสำรวจข้อมูลด้านเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเตรียมวางแผนสงเคราะห์ในขั้นต่อไป ระยะ 2510 2514 เน้นการดำเนินการแก้ไขปัญหาชาวไทยภูเขาเริ่มมีการเปลี่ยนรูปแบบ เนื่องจากปัญหาผู้ก่อการร้ายที่เกิดขึ้น นโยบายจึงเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นลักษณะใช้เจ้าหน้าที่เข้าถึงชาวเขาโดยตรง ระยะ 2515 ปัจจุบัน วัตถุประสงค์ของแนวทางปัจจุบันสามารถจำแนกได้เป็น 3 แนวทางคือ ด้านการปกครอง เพื่อให้ชาวเขาอยู่ร่วมในสังคมไทยโดยมีความสำนึกว่าเป็นคนไทย มีความจงรักภักดีในชาติ ด้านการเลิกปลูกและเสพฝิ่น เพื่อให้ชาวเขาลดการปลูกฝิ่นและหันมาประกอบอาชีพที่มีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพแทน เพื่อให้ชาวเขาพ้นจากอิทธิพลของชนกลุ่มน้อยถืออาวุธและของจีนฮ่ออพยพ(ไม่ถืออาวุธ) และ ผกค. ส่วนด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ชาวเขาได้รับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระดับที่สามารถดำรงชีวิตได้ตามควรแก่อัตภาพ เป็นต้น โดยมีกรมประชาสงเคราะห์เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบโดยตรง นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจำนวนมากที่รับผิดชอบและมีส่วนเกี่ยวข้องกับชาวเขา อาทิ หน่วยงานในสังกัดของกระทรวงต่างๆ โครงการหลวงภาคเหนือ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง งานแพทย์อาสาในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มูลนิธิชาวไทยภูเขา องค์การ UNICEF องค์การ USAID สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีหน้าที่แตกต่างกัน การทำงานของหน่วยงานทั้งหมดโดยรวมจะมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาชาวเขาด้านปัญหาความมั่นคงของชาติ ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าต้นน้ำลำธาร ปัญหาการปลูก เสพและจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ อีกทั้งยังมุ่งพัฒนาให้ชาวเขามีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น(หน้า88 96,109 ) ประชากรตัวอย่างของหมู่บ้านทั้งสองมีระดับความเป็นพลเมืองไทยสูง เนื่องจากนโยบายและกระบวนการบูรณาการของรัฐมีผลในทางบวกต่อสภาวะความเป็นพลเมืองไทยของชาวเขา (หน้า 180 - 181) |
|
Belief System |
ชาวเขาส่วนใหญ่มีความเชื่อเรื่องผี แต่ละหมู่บ้านจะมีหมอผีซึ่งมีฐานะเป็นผู้อาวุโสที่ทุกคนในหมู่บ้านจะล่วงเกินไม่ได้(หน้า 87) |
|
Education and Socialization |
ระดับความรู้ภาษาไทยมีความสัมพันธ์กับ ระดับความรู้ความเข้าใจในสังคมอื่น ระดับความจงรักภักดี ระดับความไว้วางใจในสังคม ระดับความสำนึกในหน้าที่พลเมือง ระดับการยอมรับวัฒนธรรมความเชื่อและระดับความเป็นพลเมืองที่ระดับนัยสำคัญ .05 (หน้า 149,151 - 155) หมู่บ้านทั้งสองมีโรงเรียนของกรมสามัญศึกษา และกรมการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการ ประจำอยู่ทั้งสองหมู่บ้าน โดยหมู่บ้านแม่เหาะมีโรงเรียนสังวาล สอนระดับชั้น ป.1 ป.6 ส่วนหมู่บ้านแม่สวรรค์น้อย มีที่ทำการของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนเพื่อชุมชนในเขตภูเขา (ศศช.) ทำหน้าที่สอนหนังสือแก่ผู้ใหญ่ในเวลาค่ำและสอนเด็กในช่วงกลางวัน ตามหลักสูตรของกรมการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการ (หน้า 180,190) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กะเหรี่ยงเพศชายสามารถใช้ภาษากลางได้บ้างเนื่องจากมีการติดต่อค้าขายกับชาวไทยพื้นราบเสมอ ส่วนกะเหรี่ยงเพศหญิงมีความสามารถในการใช้ภาษาไทยต่ำกว่าเพศชาย (หน้า 81) หมู่บ้านแม่เหาะและหมู่บ้านแม่สวรรค์น้อยมีการติดต่ออย่างใกล้ชิดกับศูนย์พัฒนาสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตลอดจนโครงการพัฒนาด้านต่างๆ (หน้า 190 - 191) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจุบันชาวเขาส่วนมากนับถือศาสนาพุทธควบคู่กับการนับถือผี (หน้า 87) ปัจจุบันหมู่บ้านแม่เหาะเกิดปัญหาขาดแคลนที่ดินเพาะปลูกอันเนื่องมาจากการขยายตัวของประชากรของหมู่บ้าน(หน้า 191) |
|
Map/Illustration |
- แผนภาพแสดงที่ตั้งของหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงในเขต ต.แม่เหาะ จ. แม่ฮ่องสอน (หน้า 194) |
|
|