สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ(กระเหรี่ยงสะกอ),การดูแลสุขภาพ,การแต่งงาน,เชียงใหม่
Author อุไร เดชพลกรัง
Title พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของแม่บ้านกะเหรี่ยงสะกอ กรณีศึกษาแม่บ้านชาวกะเหรี่ยงสะกอ หมู่บ้านแม่ซา ตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
Document Type เอกสารวิชาการ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) Total Pages 51 Year 2544
Source สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

ผลการศึกษาพบว่าแม่บ้านส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษา มีรายได้ครอบครัวเฉลี่ย 5,001 – 10,000 บาทต่อปีและส่วนใหญ่อายุระหว่าง 25 – 44 ปี ด้านปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพอนามัยของแม่บ้านพบว่า ปัจจัยด้านสภาพที่อยู่อาศัยยังมีปัญหาเรื่องการกำจัดขยะที่ถูกวิธี ขาดภาชนะรับน้ำฝนสำหรับดื่ม แม่บ้านส่วนใหญ่ดื่มน้ำจากลำธารโดยไม่ผ่านการต้ม ปัจจัยด้านระบบสังคมและครอบครัวพบว่า มีแนวโน้มเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น แม่บ้านส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กันดีทั้งระหว่างสมาชิกในครอบครัวและระหว่างครอบครัวอื่นๆในหมู่บ้าน ปัจจัยด้านภาวะสุขภาพและระบบบริการสุขภาพพบว่า แม่บ้านส่วนใหญ่เห็นความสำคัญของสุขภาพ สนใจรับรู้ข่าวสารด้านสุขภาพแต่ยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องในประสบการณ์ด้านสุขภาพ เช่น มีความเชื่อว่าบุคคลที่เคยเจ็บป่วยจะดูแลรักษาตัวเองได้ดีกว่าบุคคลที่ไม่เคยเจ็บป่วย เชื่อว่ากินยาแก้ปวดสามารถป้องกันและรักษาการเจ็บป่วยได้ แม่บ้านส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว โรคที่พบมากคือ โรคกระเพาะ โรคปวดข้อ กระดูก และไต ซึ่งน่าจะเกิดจากวิถีชีวิตประจำวัน การประกอบอาชีพและผลข้างเคียงจากการรับประทานยาแก้ปวดพร่ำเพรื่อ จากการศึกษาพบว่าแม่บ้านส่วนใหญ่พึ่งพาแพทย์แผนปัจจุบันเป็นทางเลือกแรก ในขณะที่หมอสมุนไพรและภูมิปัญญาท้องถิ่นในการพึ่งพาตนเองลดน้อยลง ปัญหาและอุปสรรคในการดูแลสุขภาพอนามัยของแม่บ้านกะเหรี่ยงสะกอที่สำคัญ ได้แก่ ปัญหาเรื่องรายได้ไม่เพียงพอ ดังนั้นการช่วยเหลือด้านค่ารักษาพยาบาล การให้ความรู้ ให้คำปรึกษาแนะนำ การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่จึงเป็นสิ่งที่แม่บ้านต้องการได้รับจากโรงพยาบาลและรัฐ ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถสรุปได้ว่าตรงกับแบบแผนความเชื่อที่ว่าเมื่อบุคคลรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อโรคก็จะให้ความร่วมมือและมีพฤติกรรมการป้องกันการเกิดโรค โดยการดูแลเอาใจใส่ตัวเอง แต่ด้วยรายได้ที่ต่ำ การประกอบอาชีพและวิถีชีวิตประจำวัน เกิดความเคยชินและติดเป็นนิสัย จึงทำให้การปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเป็นไปได้ลำบาก

Focus

ศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของแม่บ้านกะเหรี่ยงสะกอหมู่บ้านแม่ซา ตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่

Theoretical Issues

ไม่มีข้อมูล

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยงสะกอ

Language and Linguistic Affiliations

ภาษากะเหรี่ยงจัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน – ธิเบต ลักษณะเด่นของภาษากะเหรี่ยงสะกอ คือ ไม่มีพยัญชนะสะกดอย่างภาษาไทย (หน้า 34)

Study Period (Data Collection)

พ.ศ.2544

History of the Group and Community

“กะเหรี่ยง” เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยหนาแน่นบริเวณภาคเหนือและตะวันตกของไทย “กะเหรี่ยง” เป็นชื่อที่เรียกตามอย่างมอญซึ่งเรียกกลุ่มชาติพันธุ์นี้ว่า “กะเรง” ชนกลุ่มนี้เรียกตนเองว่า “ปกากะญอ” ซึ่งแปลว่าคน ทางภาคเหนือของไทยและทางรัฐฉานของพม่า ชนกลุ่มนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม “ยาง” ส่วนทางภาคตะวันตก เช่น จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ บางครั้งจะใช้คำว่า “กะหร่าง” เรียกกลุ่มชนกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น (หน้า 30) หมู่บ้านแม่ซา ตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2473 โดยมีนายพะเด๊ะซึ่งถูกขับไล่จากหมู่บ้านเดิมบริเวณห้วยครก อันเนื่องมาจากความต่างทางศาสนา จึงได้ย้ายมาตั้งบ้านเรือนบริเวณห้วยแม่ซาซึ่งห่างจากหมู่บ้านเดิม 4 กิโลเมตร หลังจากนั้นประมาณ 6 ปีเศษมีชาวบ้านจากหมู่บ้านเดิมย้ายตามมาตั้งบ้านเรือนอยู่ด้วยอีก 5 ครัวเรือน ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2492 ชาวบ้านในหมู่บ้านติดเชื้ออหิวาตกโรคจากการออกเดินทางไปซื้อเกลือที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นผลให้ชาวบ้านหลายรายล้มป่วยและเสียชีวิต ชาวบ้านที่เหลือจึงต้องย้ายออกมาตั้งบ้านเรือนใหม่ซึ่งร่นลงมาทางทิศใต้ประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านแม่ซาในปัจจุบันต่อมาได้มีชาวบ้านจากต่างหมู่บ้าน ต่างอำเภอ อพยพมาตั้งบ้านเรือนเพราะความเชื่อและศรัทธาในพระเจ้ามากขึ้น กลายเป็น 30 ครัวเรือน ในปี พ.ศ.2500 ทางอำเภอและกำนันออกสำรวจพื้นที่ในเขครับผิดชอบ พบชาวบ้านอยู่รวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ จึงตั้งเป็นหมู่บ้าน โดยมีนายพะเด๊ะได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกเนื่องจากเป็นคนแรกที่บุกเบิกพื้นที่และสามารถพูดภาษาไทยถิ่นเหนือได้ ต่อมา ปี พ.ศ. 2531 ได้แยกหมู่บ้านออกเป็น 4 หมู่บ้านคือ หมู่บ้านแม่หอย หมู่บ้านห้วยผา หมู่บ้านแม่ขอ และหมู่บ้านแม่ซา(หน้า 10)

Settlement Pattern

หมู่บ้านแม่ซา สร้างบ้านเรือนกระจายตามริมห้วยต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณห้วยครกซึ่งมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ (หน้า 10)

Demography

ประชากรหมู่บ้านแม่ซามีจำนวน 112 ครอบครัว รวม 580 คน ประชากรส่วนใหญ่อพยพมาตั้งบ้านเรือนที่หมู่บ้านแม่ซาตั้งแต่เมื่อมีการตั้งหมู่บ้านใหม่ จำนวน 519 คน คิดเป็นร้อยละ 89.48 นอกจากนี้ยังมีประชากรจำนวน 43 คน อพยพย้ายถิ่นไปทำงานนอกหมู่บ้าน ส่วนใหญ่ทำงานที่จังหวัดเชียงใหม่ ร้อยละ 74.42 กรุงเทพฯ ร้อยละ 16.28 (หน้า 15,28 - 29) กลุ่มประชากรชายและหญิงไม่มีความต่างมากนัก คือ ร้อยละ 51.72 และ 48.28 ตามลำดับ กลุ่มประชากรที่มีมากที่สุดคือ กลุ่มอายุ 30 – 59 ปี สำหรับกลุ่มประชากรที่มีอายุ 15 – 59 ซึ่งถือเป็นประชากรวัยแรงงานคิดรวมเป็น ร้อยละ 65 ส่วนกลุ่มอายุที่เหลือคือประชากรวัยพึ่งพา คิดเป็นร้อยละ 35 ของประชากรทั้งหมด (หน้า 22)

Economy

หัวหน้าครัวเรือนหมู่บ้านแม่ซาเป็นเกษตรกร 95 ครับเรือนร้อยละ 84.83 ค้าขาย 8 ครัวเรือน รับจ้างทั่วไป 6 ครัวเรือนและรับราชการ 3 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 7.14 5.35 และ 2.67 ตามลำดับ นอกจากนี้ ทุกครัวเรือนยังมีการเลี้ยงสัตว์เพื่อขายและเพื่อบริโภคในครัวเรือน โดยเฉพาะหมูและไก่ ซึ่งมีเลี้ยงมากกว่า 86 ครัวเรือน เลี้ยงวัว 40 ครัวเรือน เลี้ยงควาย 14 ครัวเรือน และเลี้ยงเป็ด 8 ครัวเรือน รายได้ของสมาชิกทั้งครัวเรือนรวมกัน ส่วนใหญ่มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี คิดเป็นร้อยละ 91.97 แหล่งที่มาของรายได้ส่วนใหญ่คือการรับจ้างทั่วไป การขายผลิตผลทางการเกษตรและการหาของป่า ครอบครัวที่มีรายได้มากกว่า 30,001 บาท มีจำนวน 9 ครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 8.3 ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับราชการซึ่งเป็นลักษณะงานประจำและกลุ่มรับจ้างทั่วไป จากการศึกษาพบว่าประชากรในหมู่บ้านในอนาคตจะมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเนื่องจากมีการแนะนำอาชีพเสริมและส่งเสริมสนับสนุนภาคการเกษตร โดยมีกรมป่าไม้และภาคเอกชนส่งเสริมและสนับสนุน ลักษณะการถือครองที่ดิน ครัวเรือนส่วนใหญ่มีที่นา หรือมีทั้งที่นาและที่ไร่ หรือมีทั้งนาและสวน หรือมีทั้งนา ไร่ และสวน รวม 81 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 72.32 ครัวเรือนที่มีเพียงไร่หรือไร่และสวนมี 31 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 27.67 เนื่องจากการทำการเกษตรและอยู่อาศัยของชาวบ้านอยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (ป่าแม่แจ่ม) ดังนั้นทุกครัวเรือนจึงไม่มีเอกสารสิทธิ์ หัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่มีหนี้สิน รวม 69 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 61.61 ส่วนใหญ่มีหนี้สินไม่เกิน 10,000 บาท แหล่งเงินกู้ที่สำคัญของหมู่บ้านได้แก่ กลุ่มออมทรัพย์และกลุ่มเครดิตยูเนี่ยน (หน้า 15 - 21) อาหารในชีวิตประจำวันของกะเหรี่ยงคือข้าวเจ้าพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งมีพันธุ์เมล็ดขาว และพันธุ์เมล็ดสีน้ำตาลแดง กับข้าวทุกชนิดต้องใส่พริกและนิยมใช้เกลือแทนน้ำปลา ไม่นิยมใช้น้ำตาลในการปรุงรสอาหาร อาหารแต่ละมื้อจะต้องมีน้ำพริก โดยใช้พริกสดหรือพริกแห้งเผาไฟนำมาตำกับเกลือใสน้ำพอขลุกขลิก หากมีกบ เขียด ปลา ปู ฯ ก็จะใช้ตำผสมลงไปด้วย ขนมหวานที่ชาวบ้านนิยมทำรับประทานคือ “เมโธพี” หรือ “ข้าวปุ๊ก” ในภาษาไทยถิ่นเหนือ ทำโดยใช้ข้าวเหนี่ยวนึ่งสุกผสมกับงาคั่วและเกลือตำให้พอเป็นเนื้อเดียวกัน นอกจากนี้ชาวบ้านทั้งชายและหญิงยังนิยมสูบยาสูบและเคี้ยวหมาก (หน้า 31 - 32) ผลการสำรวจพบว่าแม่บ้านส่วนใหญ่มีรายได้ต่อปีรวมทั้งครอบครัว 5,001 – 10,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 72.85 (หน้า 41)

Social Organization

สังคมกะเหรี่ยงจะให้ความเคารพพ่อแม่และผู้อาวุโส โดยธรรมเนียมของกะเหรี่ยงจะต้องมีลูกคนใดคนหนึ่งเลี้ยงดูพ่อแม่จนแก่เฒ่า โดยการนำครอบครัวของตนมาอยู่ร่วมกับพ่อแม่หรืออาจนำพ่อแม่ไปอยู่ในครอบครัวของตนก็ได้ รูปแบบครัวเรือนของหมู่บ้านแม่ซาส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว 69 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 61.61 และครอบครัวขยาย 43 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 38.39 ครัวเรือนส่วนใหญ่มีสมาชิก 3 – 5 คน คิดเป็นร้อยละ 64.29 และ 6 – 8 คน คิดเป็นร้อยละ 29.46 (หน้า 25 - 26) บทบาทหน้าที่ของผู้ชายชาวกะเหรี่ยง ต้องทำงานหนักทุกชนิด โดยเฉพาะงานสร้างบ้าน ล่าสัตว์ ทำงานที่นา สวน หรือไร่ ส่วนหญิง ทำงานบ้าน ทอผ้า ช่วยสามีออกหาอาหาร หาฟืนและช่วยงานสามีทั้งที่นา ที่สวน และที่ไร่ (หน้า 35) การแต่งงานของกะเหรี่ยงหมู่บ้านแม่ซามีวิธีเลือกคู่ครองโดยดูกันที่ความขยันขันแข็ง อดทน ทำมาหากินเก่ง การแต่งงานของกะเหรี่ยงนั้นสินสอดทองหมั้นไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญ เมื่อหญิงชายตกลงแต่งงานกัน จะจัดพิธีทางคริสต์ศาสนาในโบสถ์ โดยถือเอาวันว่างของคู่บ่าวสาวและญาติผู้ใหญ่เป็นวันประกอบพิธี การสู่ขอนั้น ฝ่ายหญิงต้องเป็นฝ่ายให้ญาติหรือพ่อสื่อ แม่สื่อไปสู่ขอ เพราะมีความเชื่อว่าผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ หากต้องการผู้ชายมาคุ้มครองดูแล ฝ่ายหญิงต้องเป็นฝ่ายไปสู่ขอ เมื่อตกลงกันได้ ฝ่ายหญิงต้องจัดเตรียมเสื้อผ้าในงานแต่งให้สามี ในวันพิธีผู้หญิงสวมชุดเชอซู ซึ่งเป็นชุดประจำเผ่าสำหรับหญิงมีสามี ส่วนผู้ชายสวมเสื้อกะเหรี่ยงสีแดงทับเสื้อเชิ้ตสีขาว ในพิธีแต่งงานจะเชิญชาวบ้านมาร่วมพิธีเพื่อเป็นเกียรติแก่บ่าวสาว ร้องเพลงอวยพรคู่บ่าวสาว ผู้นำศาสนาให้ศีลและพร เป็นอันเสร็จพิธี กรณีที่หนุ่มสาวลักลอบได้เสียกันก่อนแต่งงานจะไม่อนุญาตให้ประกอบพิธีในโบสถ์ เพราะถือว่าโบสถ์คือสถานที่บริสุทธิ์ (หน้า 37) ผลการสำรวจพบว่าแม่บ้าน ร้อยละ 92.85 แต่งงานและอยู่กับสามี แม่บ้านร้อยละ 1.42 หย่าร้าง และร้อยละ 5.71 หม้าย (หน้า 41)

Political Organization

ลักษณะการปกครองของหมู่บ้านห้วยซาเป็นลักษณะการสืบสายโลหิต ตระกูลซึ่งมีฐานะทางเศรษฐกิจดีเป็นที่นับหน้าถือตาของชาวบ้านในหมู่บ้าน การปกครองเป็นลักษณะแบบพี่ปกครองน้อง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (หน้า 11)

Belief System

ในอดีตหมู่บ้านแม่ซาทุกครัวเรือนนับถือผี ปัจจุบันชาวบ้านเกือบทั้งหมดนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนด์ และมีเพียงส่วนน้อยที่ไม่ได้นับถือศาสนาใดเลย (หน้า 10) ดังนั้นความเชื่อในเรื่องต่างๆของชาวบ้านจึงสัมพันธ์กับครรลองของคริสต์ศาสนา ดังเช่น ความเชื่อเกี่ยวกับการเกิดและการตาย เช่น เชื่อในเรื่องวันพิพากษา เชื่อเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และเชื่อว่าเมื่อตนตายจะได้เกิดใหม่ในแผ่นดินของพระเจ้า ความเชื่อเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บจะใช้การ ”อธิษฐานเผื่อ” โดยชาวบ้านและญาติจะพร้อมใจกันสวดอธิษฐานขอพรต่อพระเจ้าให้คุ้มครองผู้ป่วย ส่วนความเชื่อเกี่ยวกับการทำมาหากินนั้น ส่วนใหญ่เชื่อว่าทรัพย์สมบัติเป็นเพียงสิ่งนอกกาย เมื่อเสียชีวิตก็ไม่สามารถเอาติดตัวไปได้ เป็นต้น (หน้า 38)

Education and Socialization

ภายในหมู่บ้านมีโรงเรียนบ้านแม่ซา เปิดทำการเรียนการสอนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 โดยรัฐบาลเป็นผู้จ้างครูผู้สอน ระยะแรกมีนักเรียนประมาณ 20 คน ปัจจุบันเปิดทำการสอนถึงระดับชั้น ม.3 ราว ปีพ.ศ. 2541 มีนักเรียนประมาณ 328 คน นอกจากนี้ยังมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งสร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 2543 โดยองค์การบริหารส่วนตำบล ผู้ปกครองสามารถนำเด็กอายุ 2 – 5 ขวบมาฝากเลี้ยงโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ด้านโอกาสทางการศึกษานั้นประชากรชายมีโอกาสได้รับการศึกษามากกว่าประชากรหญิง ประชากรชาย หญิงอายุระหว่าง 30 – 60 ปีของหมู่บ้านส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษา คิดเป็นร้อยละ 27.24 ประชากรชาย หญิงอายุระหว่าง 15 – 59 ปี ส่วนใหญ่จบ ป.6 คิดเป็นร้อยละ 19.82 ของประชากรทั้งหมด (หน้า 23 - 24) แม่บ้านร้อยละ 67.14 ไม่ได้รับการศึกษา รองลงมาคือระดับชั้นประถมศึกษา คิดเป็นร้อยละ 27.14 (หน้า 41)

Health and Medicine

หมู่บ้านแม่ซามีการต่อท่อประปาบริเวณลำธารและห้วยบนภูเขา เพื่อใช้ทำประปาหมู่บ้าน ทุกครัวเรือนมีส้วมใช้ นอกจากนี้ภายในหมู่บ้านยังมีสถานบริการสาธารณสุขชุมชน(สสช.) สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2526 โดยงบประมาณจากกระทรวงสาธารณสุข กระทั่งปี พ.ศ. 2537 ได้รับการยกฐานะเป็นสถานีอนามัยบ้านแม่ซา เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2537 ชาวบ้านส่วนใหญ่ได้รับบัตรรับรองสิทธิประชาชนในการรักษาพยาบาลสำหรับผู้มีรายได้น้อย จึงสามารถขอรับยาจากสถานีอนามัยและโรงพยาบาลแม่แจ่มโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ยกเว้นเวชภัณฑ์บางชนิด (หน้า 10,39) โรคประจำตัวที่แม่บ้านหมู่บ้านแม่ซาเป็นมากที่สุด ได้แก่ โรคกระเพาะอาหาร โรคปวดข้อ กระดูก โรคไต ตามลำดับ ความคิดเห็นด้านปัญหาและอุปสรรคในการดูแลรักษาสุขภาพของแม่บ้าน คือ มีรายได้ไม่เพียงพอ คิดเป็นร้อยละ 85.94 รองลงมาคือปัญหาด้านอารมณ์และจิตใจ ร้อยละ 7.81 ปัญหาเมื่อเจ็บป่วยและจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลของแม่บ้าน คือ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ร้อยละ 75.71 ค่ารักษาพยาบาล ร้อยละ 58.57 การบริการล่าช้า ขั้นตอนมาก ร้อยละ 57.14 แม่บ้านส่วนใหญ่ต้องการได้รับบริการจากรัฐและโรงพยาบาลในเรื่องค่ารักษาพยาบาลมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 58.57 รองลงมาคือการให้ความรู้เรื่องสุขภาพอนามัยและการให้บริการปรึกษาแนะนำ คิดเป็นร้อยละ 31.42 และ22.85 ตามลำดับ สวัสดิการที่แม่บ้านต้องการได้รับจากรัฐ คือ ต้องการให้มีการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในหมู่บ้านมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 91.43 (หน้า 44 - 48)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เรือนของกะเหรี่ยงนิยมสร้างยกพื้นสูง สำหรับวางฟืน เลี้ยงสัตว์และป้องกันสัตว์ร้ายขึ้นเรือน ใช้ไม้ไผ่สับตีแผ่เป็นฟากเพื่อทำพื้นและฝาเรือน หลังคามุงด้วยหญ้าคาแห้งหรือใบตองตึงเย็บเป็นตับ ภายในตัวเรือนไม่นิยมกั้นห้อง มีเตาไฟซึ่งตั้งอยู่บนกระบะดินอยู่กลางเรือน เหนือเตาไฟประมาณ 1 เมตรสร้างชั้นวางของขนาดความสูงไม่เกิน 5 ชั้น แต่ละชั้นมีความสูงไม่เกิน 50 เซนติเมตร (หน้า 30) การแต่งกายของกะเหรี่ยงสะกอ หญิงสาวโสดใส่ชุดขาวทรงกระสอบยาวกรอมเท้า เรียกว่า “เชอวา” สวมผ้าโพกศีรษะสีขาวมีลายปัก หญิงที่แต่งงานแล้วจะใส่เสื้อสีดำทรงกระสอบมีลายปักด้วยลูกเดือย เรียกว่า “เชอเบอะ” หากปักด้วยด้ายไม่ใช้ลูกเดือย เรียกว่า “เชอกี่” หญิงกะเหรี่ยงต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าปกปิดร่างกายอย่างมิดชิด ไม่นิยมใส่กางเกงและเสื้อผ้าที่เน้นรูปร่าง ส่วนเสื้อผ้าชายในอดีตใส่ชุดแดงทรงกระสอบยาวถึงเข่า ต่อมาช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้เปลี่ยนแปลงโดยแยกเสื้อและกางเกงเป็นคนละชิ้นเพื่อความคล่องตัวของผู้สวมใส่ เสื้อจะเป็นเสื้อคอวีทรงกระสอบสีแดง เพิ่มสีสันด้วยลวดลายของเส้นด้ายต่างสี มีพู่ห้อยเลยชายเสื้อ ไม่นิยมใช้ลูกเดือยเย็บเป็นลายอย่างชุดผู้หญิง เรียกว่าชุด “เชอวอ” เสื้อผู้ชายไม่มีการแบ่งแยกโสดหรือแต่งงาน เหมือนของผู้หญิง (หน้า 32 - 33) สำหรับลักษณะการทอผ้าแบบกะเหรี่ยงนั้น จะขึงด้ายกับไม้คาน 2 อันในแนวนอน คานด้านหนึ่งผูกติดกับหลัก ส่วนคานอีกด้านหนึ่งผู้ทอจะใช้สายหนังคล้องหัวท้ายติดกับเอวของตน ความตึงของด้ายจึงไม่คงที่ ผู้ทอสามารถบังคับด้วยให้ตึงหรือหย่อนได้ตามต้องการ ผู้ทอจะโน้มตัวไปด้านหน้าเมื่อต้องการให้ด้ายหย่อน ส่วนการทำเส้นด้าย ในอดีตชาวบ้านนิยมปลูกฝ้าย ผลผลิตฝ้ายที่ได้ จะนำไปผ่านเครื่องอิฐฝ้ายเพื่อแยกเมล็ดฝ้ายออก นำมาม้วนแล้วสาวเป็นเส้นด้าย จากนั้นนำเส้นด้ายไปต้มในน้ำร้อนพร้อมกับข้าวสาร ทั้งนี้เพื่อให้มีความเหนียว หากจะย้อมสีก็จะย้อมในขั้นตอนนี้ โดยนำเปลือกไม้มาตำเพื่อให้ได้สีจากเปลือกไม้แต่ละชนิด เช่น เปลือกไม้สัก ไม้แดง ต้นแสด และต้นคราม เป็นต้น โดยป้องกันสีตกด้วยการใส่ยางกล้วยลงไปต้มในหม้อเล็กน้อย จากนั้นนำไปผึ่งจนแห้ง ใช้แปรงๆเส้นด้ายในขณะที่ยังเปียก หลังจากที่เส้นด้ายแห้งสนิทแล้วจะนำเส้นด้ายมาม้วนเป็นก้อนกลมสำหรับใช้ในการทอผ้าต่อไป (หน้า 33 - 34)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ประชากรชายหมู่บ้านแม่ซาแต่งงานกับหญิงสาวต่างหมู่บ้านถึง 34 คู่ ส่วนหญิงแต่งงานกับชายต่างหมู่บ้าน 32 คู่ ในจำนวนดังกล่าวมีการแต่งงานข้ามเผ่าจำนวน 10 คู่ ได้แก่ ม้ง มูเซอ คนไทยภาคเหนือและภาคกลาง (หน้า 28) ความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงจากอดีตถึงปัจจุบันยังคงมีการพึ่งพาทางเศรษฐกิจและการประกอบอาชีพ ดังจะเห็นได้จากการเอาแรงหรือการลงแขกกันในกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับข้าว หรือการสร้างบ้านเรือน และการแลกเปลี่ยนผลิตผลทางการเกษตรระหว่างกัน (หน้า 35)

Social Cultural and Identity Change

ราวปี พ.ศ. 2511 คณะมิชชันนารีได้จ้างช่างจากต่างอำเภอซึ่งเป็นคนไทยภาคเหนือ มาสร้างสิ่งปลูกสร้างภายในหมู่บ้าน อาทิ โรงเรียน นับแต่นั้นมาการสร้างบ้านเรือนมีการพัฒนาให้คงทนถาวร โดยการแปรรูปไม้ใหญ่จากป่าแทนการใช้ไม้ไผ่ ใช้สังกะสีและกระเบื้องทำหลังคาแทนหญ้าคาและใบตองตึง เรือนไม่มีใต้ถุนอย่างอดีต นิยมสร้างบ้านสองชั้น มีการแบ่งกั้นห้องเป็นสัดเป็นส่วน (หน้า 30 – 31) ปัจจุบันมีการประยุกต์เสื้อ “เชอวา” เป็นเสื้อคอวีชิ้นเดียว ทรงกระสอบเหมือนเสื้อผู้ชาย แต่ยังคงสีขาวดังเดิม ส่วนเสื้อกะเหรี่ยงชายมีหลากสีไม่เฉพาะสีแดงอย่างในอดีต ปัจจุบันทั้งชายและหญิงกะเหรี่ยงจะสวมใส่ชุดประจำเผ่าเฉพาะโอกาสสำคัญเท่านั้น เช่น เข้าโบสถ์ ต้อนรับแขก สำหรับชาย นิยมสวมเสื้อยืด กางเกงทั้งขาสั้นและขายาว ส่วนหญิงนิยมนุ่งผ้าซิ่นและเสื้อยืดตามสมัยนิยม สำหรับหญิงมีสามีนั้นยังคงนุ่งซิ่นแดงเพื่อแสดงถึงการมีสามี (หน้า 32 - 33) การทอผ้าของกะเหรี่ยงปัจจุบัน นิยมซื้อด้ายสำเร็จรูปมาทอ เนื่องจากสะดวกและหาซื้อได้ง่าย (หน้า 34) ความสัมพันธ์ของชาวบ้านหมู่บ้านแม่ซา พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงในอดีต ห้ามไปไหนมาไหนด้วยกันตามลำพัง ห้ามถูกเนื้อต้องตัวกันโดยเด็ดขาด หนุ่มสาวจะใช้จดหมายเป็นสื่อโต้ตอบกัน หากตกลงเป็นคู่รักแล้วสามารถนั่งคุยที่บ้านฝ่ายหญิงได้ โดยทั้งนี้ พฤติกรรมทุกอย่างต้องให้ผู้ใหญ่และคนในครอบครัวรับทราบ ปัจจุบันชายหญิงมีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น การเกี้ยวพาราสี การพูดคุยของหนุ่มสาว พบเห็นได้ทั่วไปทั้งตามบ้านและสถานที่สาธารณะ ความสัมพันธ์กับคนพื้นราบนั้น ในอดีตชาวบ้านกลัวทางอำเภอขึ้นมาเรียกเก็บภาษีและกลัวคนพื้นราบมาแย่งชิงบุตรสาวหรือภรรยาของตน ดังนั้นเมื่อเห็นรอยรองเท้า(สมัยก่อนชาวบ้านไม่ใส่รองเท้า) ก็จะวิ่งหนีเข้าป่า ปัจจุบันความสัมพันธ์กับคนพื้นราบเริ่มดีขึ้นเมื่อมีการเดินทางไปขอรับการบริการจากหน่วยงานของรัฐในตัวอำเภอ มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าและผลิตผลทางการเกษตร (หน้า 35) การตั้งชื่อของชาวบ้านส่วนใหญ่มีทั้งชื่อไทยและชื่อกะเหรี่ยง ชื่อกะเหรี่ยงส่วนมากมีความหมายเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว และชื่อบุคคลในพระคัมภีร์ของคริสต์ศาสนา ส่วนการตั้งชื่อไทยนั้น ปัจจุบันทางอำเภอได้จัดให้มีทะเบียนรายชื่อและนามสกุลบริการให้กับชาวเขาแทบทุกเผ่า (หน้า 36)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

- แผนที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 9)

Text Analyst สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ Date of Report 22 มี.ค 2555
TAG ปกาเกอะญอ(กระเหรี่ยงสะกอ), การดูแลสุขภาพ, การแต่งงาน, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง