|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ(กระเหรี่ยงสะกอ),การดูแลสุขภาพ,การแต่งงาน,เชียงใหม่ |
Author |
อุไร เดชพลกรัง |
Title |
พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของแม่บ้านกะเหรี่ยงสะกอ กรณีศึกษาแม่บ้านชาวกะเหรี่ยงสะกอ หมู่บ้านแม่ซา ตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
เอกสารวิชาการ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
51 |
Year |
2544 |
Source |
สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
ผลการศึกษาพบว่าแม่บ้านส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษา มีรายได้ครอบครัวเฉลี่ย 5,001 10,000 บาทต่อปีและส่วนใหญ่อายุระหว่าง 25 44 ปี ด้านปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพอนามัยของแม่บ้านพบว่า
ปัจจัยด้านสภาพที่อยู่อาศัยยังมีปัญหาเรื่องการกำจัดขยะที่ถูกวิธี ขาดภาชนะรับน้ำฝนสำหรับดื่ม แม่บ้านส่วนใหญ่ดื่มน้ำจากลำธารโดยไม่ผ่านการต้ม
ปัจจัยด้านระบบสังคมและครอบครัวพบว่า มีแนวโน้มเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น แม่บ้านส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กันดีทั้งระหว่างสมาชิกในครอบครัวและระหว่างครอบครัวอื่นๆในหมู่บ้าน ปัจจัยด้านภาวะสุขภาพและระบบบริการสุขภาพพบว่า แม่บ้านส่วนใหญ่เห็นความสำคัญของสุขภาพ สนใจรับรู้ข่าวสารด้านสุขภาพแต่ยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องในประสบการณ์ด้านสุขภาพ เช่น มีความเชื่อว่าบุคคลที่เคยเจ็บป่วยจะดูแลรักษาตัวเองได้ดีกว่าบุคคลที่ไม่เคยเจ็บป่วย เชื่อว่ากินยาแก้ปวดสามารถป้องกันและรักษาการเจ็บป่วยได้ แม่บ้านส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว โรคที่พบมากคือ โรคกระเพาะ โรคปวดข้อ กระดูก และไต ซึ่งน่าจะเกิดจากวิถีชีวิตประจำวัน การประกอบอาชีพและผลข้างเคียงจากการรับประทานยาแก้ปวดพร่ำเพรื่อ
จากการศึกษาพบว่าแม่บ้านส่วนใหญ่พึ่งพาแพทย์แผนปัจจุบันเป็นทางเลือกแรก ในขณะที่หมอสมุนไพรและภูมิปัญญาท้องถิ่นในการพึ่งพาตนเองลดน้อยลง ปัญหาและอุปสรรคในการดูแลสุขภาพอนามัยของแม่บ้านกะเหรี่ยงสะกอที่สำคัญ ได้แก่ ปัญหาเรื่องรายได้ไม่เพียงพอ ดังนั้นการช่วยเหลือด้านค่ารักษาพยาบาล การให้ความรู้ ให้คำปรึกษาแนะนำ การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่จึงเป็นสิ่งที่แม่บ้านต้องการได้รับจากโรงพยาบาลและรัฐ
ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถสรุปได้ว่าตรงกับแบบแผนความเชื่อที่ว่าเมื่อบุคคลรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อโรคก็จะให้ความร่วมมือและมีพฤติกรรมการป้องกันการเกิดโรค โดยการดูแลเอาใจใส่ตัวเอง แต่ด้วยรายได้ที่ต่ำ การประกอบอาชีพและวิถีชีวิตประจำวัน เกิดความเคยชินและติดเป็นนิสัย จึงทำให้การปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเป็นไปได้ลำบาก |
|
Focus |
ศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของแม่บ้านกะเหรี่ยงสะกอหมู่บ้านแม่ซา ตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากะเหรี่ยงจัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน ธิเบต ลักษณะเด่นของภาษากะเหรี่ยงสะกอ คือ ไม่มีพยัญชนะสะกดอย่างภาษาไทย (หน้า 34) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยหนาแน่นบริเวณภาคเหนือและตะวันตกของไทย กะเหรี่ยง เป็นชื่อที่เรียกตามอย่างมอญซึ่งเรียกกลุ่มชาติพันธุ์นี้ว่า กะเรง ชนกลุ่มนี้เรียกตนเองว่า ปกากะญอ ซึ่งแปลว่าคน ทางภาคเหนือของไทยและทางรัฐฉานของพม่า ชนกลุ่มนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม ยาง ส่วนทางภาคตะวันตก เช่น จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ บางครั้งจะใช้คำว่า กะหร่าง เรียกกลุ่มชนกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น (หน้า 30)
หมู่บ้านแม่ซา ตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2473 โดยมีนายพะเด๊ะซึ่งถูกขับไล่จากหมู่บ้านเดิมบริเวณห้วยครก อันเนื่องมาจากความต่างทางศาสนา จึงได้ย้ายมาตั้งบ้านเรือนบริเวณห้วยแม่ซาซึ่งห่างจากหมู่บ้านเดิม 4 กิโลเมตร หลังจากนั้นประมาณ 6 ปีเศษมีชาวบ้านจากหมู่บ้านเดิมย้ายตามมาตั้งบ้านเรือนอยู่ด้วยอีก 5 ครัวเรือน ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2492 ชาวบ้านในหมู่บ้านติดเชื้ออหิวาตกโรคจากการออกเดินทางไปซื้อเกลือที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นผลให้ชาวบ้านหลายรายล้มป่วยและเสียชีวิต ชาวบ้านที่เหลือจึงต้องย้ายออกมาตั้งบ้านเรือนใหม่ซึ่งร่นลงมาทางทิศใต้ประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านแม่ซาในปัจจุบันต่อมาได้มีชาวบ้านจากต่างหมู่บ้าน ต่างอำเภอ อพยพมาตั้งบ้านเรือนเพราะความเชื่อและศรัทธาในพระเจ้ามากขึ้น กลายเป็น 30 ครัวเรือน ในปี พ.ศ.2500 ทางอำเภอและกำนันออกสำรวจพื้นที่ในเขครับผิดชอบ พบชาวบ้านอยู่รวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ จึงตั้งเป็นหมู่บ้าน โดยมีนายพะเด๊ะได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกเนื่องจากเป็นคนแรกที่บุกเบิกพื้นที่และสามารถพูดภาษาไทยถิ่นเหนือได้ ต่อมา ปี พ.ศ. 2531 ได้แยกหมู่บ้านออกเป็น 4 หมู่บ้านคือ หมู่บ้านแม่หอย หมู่บ้านห้วยผา หมู่บ้านแม่ขอ และหมู่บ้านแม่ซา(หน้า 10) |
|
Settlement Pattern |
หมู่บ้านแม่ซา สร้างบ้านเรือนกระจายตามริมห้วยต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณห้วยครกซึ่งมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ (หน้า 10) |
|
Demography |
ประชากรหมู่บ้านแม่ซามีจำนวน 112 ครอบครัว รวม 580 คน ประชากรส่วนใหญ่อพยพมาตั้งบ้านเรือนที่หมู่บ้านแม่ซาตั้งแต่เมื่อมีการตั้งหมู่บ้านใหม่ จำนวน 519 คน คิดเป็นร้อยละ 89.48 นอกจากนี้ยังมีประชากรจำนวน 43 คน อพยพย้ายถิ่นไปทำงานนอกหมู่บ้าน ส่วนใหญ่ทำงานที่จังหวัดเชียงใหม่ ร้อยละ 74.42 กรุงเทพฯ ร้อยละ 16.28 (หน้า 15,28 - 29)
กลุ่มประชากรชายและหญิงไม่มีความต่างมากนัก คือ ร้อยละ 51.72 และ 48.28 ตามลำดับ กลุ่มประชากรที่มีมากที่สุดคือ กลุ่มอายุ 30 59 ปี สำหรับกลุ่มประชากรที่มีอายุ 15 59 ซึ่งถือเป็นประชากรวัยแรงงานคิดรวมเป็น ร้อยละ 65 ส่วนกลุ่มอายุที่เหลือคือประชากรวัยพึ่งพา คิดเป็นร้อยละ 35 ของประชากรทั้งหมด (หน้า 22) |
|
Economy |
หัวหน้าครัวเรือนหมู่บ้านแม่ซาเป็นเกษตรกร 95 ครับเรือนร้อยละ 84.83 ค้าขาย 8 ครัวเรือน รับจ้างทั่วไป 6 ครัวเรือนและรับราชการ 3 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 7.14 5.35 และ 2.67 ตามลำดับ นอกจากนี้ ทุกครัวเรือนยังมีการเลี้ยงสัตว์เพื่อขายและเพื่อบริโภคในครัวเรือน โดยเฉพาะหมูและไก่ ซึ่งมีเลี้ยงมากกว่า 86 ครัวเรือน เลี้ยงวัว 40 ครัวเรือน เลี้ยงควาย 14 ครัวเรือน และเลี้ยงเป็ด 8 ครัวเรือน รายได้ของสมาชิกทั้งครัวเรือนรวมกัน ส่วนใหญ่มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี คิดเป็นร้อยละ 91.97
แหล่งที่มาของรายได้ส่วนใหญ่คือการรับจ้างทั่วไป การขายผลิตผลทางการเกษตรและการหาของป่า ครอบครัวที่มีรายได้มากกว่า 30,001 บาท มีจำนวน 9 ครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 8.3 ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับราชการซึ่งเป็นลักษณะงานประจำและกลุ่มรับจ้างทั่วไป จากการศึกษาพบว่าประชากรในหมู่บ้านในอนาคตจะมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเนื่องจากมีการแนะนำอาชีพเสริมและส่งเสริมสนับสนุนภาคการเกษตร โดยมีกรมป่าไม้และภาคเอกชนส่งเสริมและสนับสนุน
ลักษณะการถือครองที่ดิน ครัวเรือนส่วนใหญ่มีที่นา หรือมีทั้งที่นาและที่ไร่ หรือมีทั้งนาและสวน หรือมีทั้งนา ไร่ และสวน รวม 81 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 72.32 ครัวเรือนที่มีเพียงไร่หรือไร่และสวนมี 31 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 27.67 เนื่องจากการทำการเกษตรและอยู่อาศัยของชาวบ้านอยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (ป่าแม่แจ่ม) ดังนั้นทุกครัวเรือนจึงไม่มีเอกสารสิทธิ์ หัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่มีหนี้สิน รวม 69 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 61.61 ส่วนใหญ่มีหนี้สินไม่เกิน 10,000 บาท แหล่งเงินกู้ที่สำคัญของหมู่บ้านได้แก่ กลุ่มออมทรัพย์และกลุ่มเครดิตยูเนี่ยน (หน้า 15 - 21)
อาหารในชีวิตประจำวันของกะเหรี่ยงคือข้าวเจ้าพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งมีพันธุ์เมล็ดขาว และพันธุ์เมล็ดสีน้ำตาลแดง กับข้าวทุกชนิดต้องใส่พริกและนิยมใช้เกลือแทนน้ำปลา ไม่นิยมใช้น้ำตาลในการปรุงรสอาหาร อาหารแต่ละมื้อจะต้องมีน้ำพริก โดยใช้พริกสดหรือพริกแห้งเผาไฟนำมาตำกับเกลือใสน้ำพอขลุกขลิก หากมีกบ เขียด ปลา ปู ฯ ก็จะใช้ตำผสมลงไปด้วย ขนมหวานที่ชาวบ้านนิยมทำรับประทานคือ เมโธพี หรือ ข้าวปุ๊ก ในภาษาไทยถิ่นเหนือ ทำโดยใช้ข้าวเหนี่ยวนึ่งสุกผสมกับงาคั่วและเกลือตำให้พอเป็นเนื้อเดียวกัน
นอกจากนี้ชาวบ้านทั้งชายและหญิงยังนิยมสูบยาสูบและเคี้ยวหมาก (หน้า 31 - 32) ผลการสำรวจพบว่าแม่บ้านส่วนใหญ่มีรายได้ต่อปีรวมทั้งครอบครัว 5,001 10,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 72.85 (หน้า 41) |
|
Social Organization |
สังคมกะเหรี่ยงจะให้ความเคารพพ่อแม่และผู้อาวุโส โดยธรรมเนียมของกะเหรี่ยงจะต้องมีลูกคนใดคนหนึ่งเลี้ยงดูพ่อแม่จนแก่เฒ่า โดยการนำครอบครัวของตนมาอยู่ร่วมกับพ่อแม่หรืออาจนำพ่อแม่ไปอยู่ในครอบครัวของตนก็ได้ รูปแบบครัวเรือนของหมู่บ้านแม่ซาส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว 69 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 61.61 และครอบครัวขยาย 43 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 38.39 ครัวเรือนส่วนใหญ่มีสมาชิก 3 5 คน คิดเป็นร้อยละ 64.29 และ 6 8 คน คิดเป็นร้อยละ 29.46 (หน้า 25 - 26)
บทบาทหน้าที่ของผู้ชายชาวกะเหรี่ยง ต้องทำงานหนักทุกชนิด โดยเฉพาะงานสร้างบ้าน ล่าสัตว์ ทำงานที่นา สวน หรือไร่ ส่วนหญิง ทำงานบ้าน ทอผ้า ช่วยสามีออกหาอาหาร หาฟืนและช่วยงานสามีทั้งที่นา ที่สวน และที่ไร่ (หน้า 35)
การแต่งงานของกะเหรี่ยงหมู่บ้านแม่ซามีวิธีเลือกคู่ครองโดยดูกันที่ความขยันขันแข็ง อดทน ทำมาหากินเก่ง การแต่งงานของกะเหรี่ยงนั้นสินสอดทองหมั้นไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญ เมื่อหญิงชายตกลงแต่งงานกัน จะจัดพิธีทางคริสต์ศาสนาในโบสถ์ โดยถือเอาวันว่างของคู่บ่าวสาวและญาติผู้ใหญ่เป็นวันประกอบพิธี
การสู่ขอนั้น ฝ่ายหญิงต้องเป็นฝ่ายให้ญาติหรือพ่อสื่อ แม่สื่อไปสู่ขอ เพราะมีความเชื่อว่าผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ หากต้องการผู้ชายมาคุ้มครองดูแล ฝ่ายหญิงต้องเป็นฝ่ายไปสู่ขอ เมื่อตกลงกันได้ ฝ่ายหญิงต้องจัดเตรียมเสื้อผ้าในงานแต่งให้สามี
ในวันพิธีผู้หญิงสวมชุดเชอซู ซึ่งเป็นชุดประจำเผ่าสำหรับหญิงมีสามี ส่วนผู้ชายสวมเสื้อกะเหรี่ยงสีแดงทับเสื้อเชิ้ตสีขาว ในพิธีแต่งงานจะเชิญชาวบ้านมาร่วมพิธีเพื่อเป็นเกียรติแก่บ่าวสาว ร้องเพลงอวยพรคู่บ่าวสาว ผู้นำศาสนาให้ศีลและพร เป็นอันเสร็จพิธี กรณีที่หนุ่มสาวลักลอบได้เสียกันก่อนแต่งงานจะไม่อนุญาตให้ประกอบพิธีในโบสถ์ เพราะถือว่าโบสถ์คือสถานที่บริสุทธิ์ (หน้า 37) ผลการสำรวจพบว่าแม่บ้าน ร้อยละ 92.85 แต่งงานและอยู่กับสามี แม่บ้านร้อยละ 1.42 หย่าร้าง และร้อยละ 5.71 หม้าย (หน้า 41) |
|
Political Organization |
ลักษณะการปกครองของหมู่บ้านห้วยซาเป็นลักษณะการสืบสายโลหิต ตระกูลซึ่งมีฐานะทางเศรษฐกิจดีเป็นที่นับหน้าถือตาของชาวบ้านในหมู่บ้าน การปกครองเป็นลักษณะแบบพี่ปกครองน้อง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (หน้า 11) |
|
Belief System |
ในอดีตหมู่บ้านแม่ซาทุกครัวเรือนนับถือผี ปัจจุบันชาวบ้านเกือบทั้งหมดนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนด์ และมีเพียงส่วนน้อยที่ไม่ได้นับถือศาสนาใดเลย (หน้า 10)
ดังนั้นความเชื่อในเรื่องต่างๆของชาวบ้านจึงสัมพันธ์กับครรลองของคริสต์ศาสนา ดังเช่น ความเชื่อเกี่ยวกับการเกิดและการตาย เช่น เชื่อในเรื่องวันพิพากษา เชื่อเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และเชื่อว่าเมื่อตนตายจะได้เกิดใหม่ในแผ่นดินของพระเจ้า ความเชื่อเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บจะใช้การ อธิษฐานเผื่อ โดยชาวบ้านและญาติจะพร้อมใจกันสวดอธิษฐานขอพรต่อพระเจ้าให้คุ้มครองผู้ป่วย ส่วนความเชื่อเกี่ยวกับการทำมาหากินนั้น ส่วนใหญ่เชื่อว่าทรัพย์สมบัติเป็นเพียงสิ่งนอกกาย เมื่อเสียชีวิตก็ไม่สามารถเอาติดตัวไปได้ เป็นต้น (หน้า 38) |
|
Education and Socialization |
ภายในหมู่บ้านมีโรงเรียนบ้านแม่ซา เปิดทำการเรียนการสอนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 โดยรัฐบาลเป็นผู้จ้างครูผู้สอน ระยะแรกมีนักเรียนประมาณ 20 คน ปัจจุบันเปิดทำการสอนถึงระดับชั้น ม.3 ราว ปีพ.ศ. 2541 มีนักเรียนประมาณ 328 คน นอกจากนี้ยังมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งสร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 2543 โดยองค์การบริหารส่วนตำบล ผู้ปกครองสามารถนำเด็กอายุ 2 5 ขวบมาฝากเลี้ยงโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
ด้านโอกาสทางการศึกษานั้นประชากรชายมีโอกาสได้รับการศึกษามากกว่าประชากรหญิง ประชากรชาย หญิงอายุระหว่าง 30 60 ปีของหมู่บ้านส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษา คิดเป็นร้อยละ 27.24 ประชากรชาย หญิงอายุระหว่าง 15 59 ปี ส่วนใหญ่จบ ป.6 คิดเป็นร้อยละ 19.82 ของประชากรทั้งหมด (หน้า 23 - 24) แม่บ้านร้อยละ 67.14 ไม่ได้รับการศึกษา รองลงมาคือระดับชั้นประถมศึกษา คิดเป็นร้อยละ 27.14 (หน้า 41) |
|
Health and Medicine |
หมู่บ้านแม่ซามีการต่อท่อประปาบริเวณลำธารและห้วยบนภูเขา เพื่อใช้ทำประปาหมู่บ้าน ทุกครัวเรือนมีส้วมใช้ นอกจากนี้ภายในหมู่บ้านยังมีสถานบริการสาธารณสุขชุมชน(สสช.) สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2526 โดยงบประมาณจากกระทรวงสาธารณสุข กระทั่งปี พ.ศ. 2537 ได้รับการยกฐานะเป็นสถานีอนามัยบ้านแม่ซา เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2537 ชาวบ้านส่วนใหญ่ได้รับบัตรรับรองสิทธิประชาชนในการรักษาพยาบาลสำหรับผู้มีรายได้น้อย จึงสามารถขอรับยาจากสถานีอนามัยและโรงพยาบาลแม่แจ่มโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ยกเว้นเวชภัณฑ์บางชนิด (หน้า 10,39)
โรคประจำตัวที่แม่บ้านหมู่บ้านแม่ซาเป็นมากที่สุด ได้แก่ โรคกระเพาะอาหาร โรคปวดข้อ กระดูก โรคไต ตามลำดับ ความคิดเห็นด้านปัญหาและอุปสรรคในการดูแลรักษาสุขภาพของแม่บ้าน คือ มีรายได้ไม่เพียงพอ คิดเป็นร้อยละ 85.94 รองลงมาคือปัญหาด้านอารมณ์และจิตใจ ร้อยละ 7.81 ปัญหาเมื่อเจ็บป่วยและจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลของแม่บ้าน คือ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ร้อยละ 75.71 ค่ารักษาพยาบาล ร้อยละ 58.57 การบริการล่าช้า ขั้นตอนมาก ร้อยละ 57.14 แม่บ้านส่วนใหญ่ต้องการได้รับบริการจากรัฐและโรงพยาบาลในเรื่องค่ารักษาพยาบาลมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 58.57 รองลงมาคือการให้ความรู้เรื่องสุขภาพอนามัยและการให้บริการปรึกษาแนะนำ คิดเป็นร้อยละ 31.42 และ22.85 ตามลำดับ สวัสดิการที่แม่บ้านต้องการได้รับจากรัฐ คือ ต้องการให้มีการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในหมู่บ้านมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 91.43 (หน้า 44 - 48) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เรือนของกะเหรี่ยงนิยมสร้างยกพื้นสูง สำหรับวางฟืน เลี้ยงสัตว์และป้องกันสัตว์ร้ายขึ้นเรือน ใช้ไม้ไผ่สับตีแผ่เป็นฟากเพื่อทำพื้นและฝาเรือน หลังคามุงด้วยหญ้าคาแห้งหรือใบตองตึงเย็บเป็นตับ ภายในตัวเรือนไม่นิยมกั้นห้อง มีเตาไฟซึ่งตั้งอยู่บนกระบะดินอยู่กลางเรือน เหนือเตาไฟประมาณ 1 เมตรสร้างชั้นวางของขนาดความสูงไม่เกิน 5 ชั้น แต่ละชั้นมีความสูงไม่เกิน 50 เซนติเมตร (หน้า 30)
การแต่งกายของกะเหรี่ยงสะกอ หญิงสาวโสดใส่ชุดขาวทรงกระสอบยาวกรอมเท้า เรียกว่า เชอวา สวมผ้าโพกศีรษะสีขาวมีลายปัก หญิงที่แต่งงานแล้วจะใส่เสื้อสีดำทรงกระสอบมีลายปักด้วยลูกเดือย เรียกว่า เชอเบอะ หากปักด้วยด้ายไม่ใช้ลูกเดือย เรียกว่า เชอกี่ หญิงกะเหรี่ยงต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าปกปิดร่างกายอย่างมิดชิด ไม่นิยมใส่กางเกงและเสื้อผ้าที่เน้นรูปร่าง ส่วนเสื้อผ้าชายในอดีตใส่ชุดแดงทรงกระสอบยาวถึงเข่า ต่อมาช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้เปลี่ยนแปลงโดยแยกเสื้อและกางเกงเป็นคนละชิ้นเพื่อความคล่องตัวของผู้สวมใส่ เสื้อจะเป็นเสื้อคอวีทรงกระสอบสีแดง เพิ่มสีสันด้วยลวดลายของเส้นด้ายต่างสี มีพู่ห้อยเลยชายเสื้อ ไม่นิยมใช้ลูกเดือยเย็บเป็นลายอย่างชุดผู้หญิง เรียกว่าชุด เชอวอ เสื้อผู้ชายไม่มีการแบ่งแยกโสดหรือแต่งงาน เหมือนของผู้หญิง (หน้า 32 - 33)
สำหรับลักษณะการทอผ้าแบบกะเหรี่ยงนั้น จะขึงด้ายกับไม้คาน 2 อันในแนวนอน คานด้านหนึ่งผูกติดกับหลัก ส่วนคานอีกด้านหนึ่งผู้ทอจะใช้สายหนังคล้องหัวท้ายติดกับเอวของตน ความตึงของด้ายจึงไม่คงที่ ผู้ทอสามารถบังคับด้วยให้ตึงหรือหย่อนได้ตามต้องการ ผู้ทอจะโน้มตัวไปด้านหน้าเมื่อต้องการให้ด้ายหย่อน ส่วนการทำเส้นด้าย ในอดีตชาวบ้านนิยมปลูกฝ้าย ผลผลิตฝ้ายที่ได้ จะนำไปผ่านเครื่องอิฐฝ้ายเพื่อแยกเมล็ดฝ้ายออก นำมาม้วนแล้วสาวเป็นเส้นด้าย จากนั้นนำเส้นด้ายไปต้มในน้ำร้อนพร้อมกับข้าวสาร ทั้งนี้เพื่อให้มีความเหนียว หากจะย้อมสีก็จะย้อมในขั้นตอนนี้ โดยนำเปลือกไม้มาตำเพื่อให้ได้สีจากเปลือกไม้แต่ละชนิด เช่น เปลือกไม้สัก ไม้แดง ต้นแสด และต้นคราม เป็นต้น โดยป้องกันสีตกด้วยการใส่ยางกล้วยลงไปต้มในหม้อเล็กน้อย จากนั้นนำไปผึ่งจนแห้ง ใช้แปรงๆเส้นด้ายในขณะที่ยังเปียก หลังจากที่เส้นด้ายแห้งสนิทแล้วจะนำเส้นด้ายมาม้วนเป็นก้อนกลมสำหรับใช้ในการทอผ้าต่อไป (หน้า 33 - 34) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ประชากรชายหมู่บ้านแม่ซาแต่งงานกับหญิงสาวต่างหมู่บ้านถึง 34 คู่ ส่วนหญิงแต่งงานกับชายต่างหมู่บ้าน 32 คู่ ในจำนวนดังกล่าวมีการแต่งงานข้ามเผ่าจำนวน 10 คู่ ได้แก่ ม้ง มูเซอ คนไทยภาคเหนือและภาคกลาง (หน้า 28) ความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงจากอดีตถึงปัจจุบันยังคงมีการพึ่งพาทางเศรษฐกิจและการประกอบอาชีพ ดังจะเห็นได้จากการเอาแรงหรือการลงแขกกันในกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับข้าว หรือการสร้างบ้านเรือน และการแลกเปลี่ยนผลิตผลทางการเกษตรระหว่างกัน (หน้า 35) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ราวปี พ.ศ. 2511 คณะมิชชันนารีได้จ้างช่างจากต่างอำเภอซึ่งเป็นคนไทยภาคเหนือ มาสร้างสิ่งปลูกสร้างภายในหมู่บ้าน อาทิ โรงเรียน นับแต่นั้นมาการสร้างบ้านเรือนมีการพัฒนาให้คงทนถาวร โดยการแปรรูปไม้ใหญ่จากป่าแทนการใช้ไม้ไผ่ ใช้สังกะสีและกระเบื้องทำหลังคาแทนหญ้าคาและใบตองตึง เรือนไม่มีใต้ถุนอย่างอดีต นิยมสร้างบ้านสองชั้น มีการแบ่งกั้นห้องเป็นสัดเป็นส่วน (หน้า 30 31)
ปัจจุบันมีการประยุกต์เสื้อ เชอวา เป็นเสื้อคอวีชิ้นเดียว ทรงกระสอบเหมือนเสื้อผู้ชาย แต่ยังคงสีขาวดังเดิม ส่วนเสื้อกะเหรี่ยงชายมีหลากสีไม่เฉพาะสีแดงอย่างในอดีต ปัจจุบันทั้งชายและหญิงกะเหรี่ยงจะสวมใส่ชุดประจำเผ่าเฉพาะโอกาสสำคัญเท่านั้น เช่น เข้าโบสถ์ ต้อนรับแขก สำหรับชาย นิยมสวมเสื้อยืด กางเกงทั้งขาสั้นและขายาว ส่วนหญิงนิยมนุ่งผ้าซิ่นและเสื้อยืดตามสมัยนิยม สำหรับหญิงมีสามีนั้นยังคงนุ่งซิ่นแดงเพื่อแสดงถึงการมีสามี (หน้า 32 - 33) การทอผ้าของกะเหรี่ยงปัจจุบัน นิยมซื้อด้ายสำเร็จรูปมาทอ เนื่องจากสะดวกและหาซื้อได้ง่าย (หน้า 34)
ความสัมพันธ์ของชาวบ้านหมู่บ้านแม่ซา พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงในอดีต ห้ามไปไหนมาไหนด้วยกันตามลำพัง ห้ามถูกเนื้อต้องตัวกันโดยเด็ดขาด หนุ่มสาวจะใช้จดหมายเป็นสื่อโต้ตอบกัน หากตกลงเป็นคู่รักแล้วสามารถนั่งคุยที่บ้านฝ่ายหญิงได้ โดยทั้งนี้ พฤติกรรมทุกอย่างต้องให้ผู้ใหญ่และคนในครอบครัวรับทราบ ปัจจุบันชายหญิงมีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น การเกี้ยวพาราสี การพูดคุยของหนุ่มสาว พบเห็นได้ทั่วไปทั้งตามบ้านและสถานที่สาธารณะ ความสัมพันธ์กับคนพื้นราบนั้น ในอดีตชาวบ้านกลัวทางอำเภอขึ้นมาเรียกเก็บภาษีและกลัวคนพื้นราบมาแย่งชิงบุตรสาวหรือภรรยาของตน ดังนั้นเมื่อเห็นรอยรองเท้า(สมัยก่อนชาวบ้านไม่ใส่รองเท้า) ก็จะวิ่งหนีเข้าป่า ปัจจุบันความสัมพันธ์กับคนพื้นราบเริ่มดีขึ้นเมื่อมีการเดินทางไปขอรับการบริการจากหน่วยงานของรัฐในตัวอำเภอ มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าและผลิตผลทางการเกษตร (หน้า 35)
การตั้งชื่อของชาวบ้านส่วนใหญ่มีทั้งชื่อไทยและชื่อกะเหรี่ยง ชื่อกะเหรี่ยงส่วนมากมีความหมายเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว และชื่อบุคคลในพระคัมภีร์ของคริสต์ศาสนา ส่วนการตั้งชื่อไทยนั้น ปัจจุบันทางอำเภอได้จัดให้มีทะเบียนรายชื่อและนามสกุลบริการให้กับชาวเขาแทบทุกเผ่า (หน้า 36) |
|
Map/Illustration |
- แผนที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 9) |
|
|