สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เย้า,การตั้งถิ่นฐาน,การใช้ประโยชน์ที่ดิน,เชียงราย
Author สมเกียรติ จำลอง
Title การตั้งชุมชนถาวรของชาวเขา กรณีศึกษา : เย้าบ้านผาเดื่อ
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) Total Pages 33 Year 2529
Source สถาบันวิจัยชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
Abstract

ผู้เขียนได้กล่าวถึงปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวเนื่องกับการตั้งถิ่นฐานถาวรของเย้าบ้านผาเดื่ออยู่ 3 ด้าน คือ
1)ปัจจัยด้านการเมืองที่มีลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัย ต่างเอื้อซึ่งประโยชน์ซึ่งกันและกันระหว่างรัฐและชุมชน มีการเปิดโอกาสและให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ชาวเย้าดำเนินชีวิตภายใต้ระบอบการปกครองของประเทศได้อย่างราบรื่น
2)ปัจจัยด้านเศรษฐกิจซึ่งมีการเปลี่ยนพืชจากฝิ่นมาเป็นถั่วเหลืองและพืชอื่นๆ โดยยังดำรงไว้ซึ่งโครงสร้างเศรษฐกิจตามจารีตประเพณีแบบกึ่งยังชีพกึ่งเศรษฐกิจได้ต่อไป
3)ปัจจัยด้านสังคม เย้าบ้านผาเดื่อมีวิถีทางวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อแตกต่างจากชนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ก็สามารถดำเนินชีวิตไปตามวิถีของตนเองได้โดยไม่เกิดปัญหาซึ่งรัฐได้เข้าไปพัฒนาชุมชนให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ชุมชนเย้าบ้านผาเดื่อจึงเป็นชุมชนที่สงบและมั่นคง (หน้า 32-33)

Focus

ปัจจัยที่ทำให้ชาวเขาเผ่าเย้าบ้านผาเดื่อตั้งชุมชนอย่างถาวร

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

เย้า

Language and Linguistic Affiliations

เย้า นักภาษาศาสตร์ยังมีความเห็นไม่ค่อยตรงกัน ในการจัดกลุ่มตระกูลภาษาของบางกลุ่มมีความเห็นว่า ภาษาเย้าอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต สาขา แม้ว-เย้า บางกลุ่มจัดภาษาเย้าอยู่ในตระกูลภาษา Austro-Thai สาขาแม้ว-เย้า เย้าไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเองแต่ได้รับเอารูปแบบตัวอักษรจีนมาดัดแปลงใช้ โดยอ่านออกเสียงและแปลแบบเย้า เรียกว่า “ถู่สูจื้อ” หรือตัวหนังสือสามัญท้องถิ่นทำให้เย้ามีตัวหนังสือเขียนที่สามารถใช้จดบันทึกเรื่องราวต่างๆ (หน้า 4)

Study Period (Data Collection)

เก็บข้อมูลภาคสนามตลอดปีงบประมาณ 2529 (คำประกาศกิติคุณ)

History of the Group and Community

เย้าได้อพยพมาจากประเทศจีนและกระจายตัวในประเทศจีน ไทย ลาว พม่า และเวียดนาม ส่วนเย้าบ้านผาเดื่อได้อพยพมาจากบ้านห้วยลานและบ้านหนองเต่า เขตเมืองมืง แขวงเมืองห้วยทราย ประเทศลาว เมื่อปี พ.ศ. 2488 และตั้งชุมชนของตนเองอยู่ที่บ้านผาเดื่อ ต.ป่าซาง อ.แม่จัน จ.เชียงราย สาเหตุของการอพยพคือต้องการแสวงหาพื้นที่เพาะปลูกใหม่และต้องการหลีกเลี่ยงสถานการณ์สู้รบระหว่างทหารฝรั่งเศสและขบวนการลาวกู้ชาติขณะนั้น พวกเขาได้ข้ามแม่น้ำโขงเข้าสู่ประเทศพม่าแล้วข้ามแม่น้ำแม่สายเข้าสู่เชียงรายโดยได้รับการต้อนรับอย่างดีจากนายอำเภอและได้ดำเนินวิถีชีวิตโดยมีการเกษตรเป็นหัวใจสำคัญ (หน้า 11-13) จากชุมชนเล็กๆ ขนาด 10 ครัวเรือน เมื่อปี พ.ศ.2488 ที่สามารถดำเนินวิถีชีวิตตามลักษณะสังคมของตนเองได้อย่างอิสระเสรี มีพื้นที่ทำกินที่กว้างขวางและอุดมสมบูรณ์จึงทำให้ครัวเรือนเย้าจากชุมชนอื่นอพยพเข้ามาอยู่ร่วมชุมชนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นชุมชนขนาด 23 ครัวเรือนประชากร 206 คนในปี พ.ศ. 2505 (หน้า 14)

Settlement Pattern

หมู่บ้านผาเดื่อตั้งอยู่บนสันดินรูปสี่เหลี่ยมคางหมูของจมูกภูเขาด้านทิศตะวันออกมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 700 เมตร ด้านขวามือจนถึงด้านใต้ของหมู่บ้านประมาณ 2-3 กิโลเมตรมีทิวเขาสูงๆ ต่ำๆ แผ่รัศมีอยู่รอบเกือบเป็นครึ่งวงกลม มีลำห้วยใหญ่ไหลลงมาจากด้านทิศตะวันตกผ่านบริเวณนี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ด้านหลังหมู่บ้านเป็นสันเขาสูงที่โค้งโอบหมู่บ้านไว้ตรงกลาง แล้วหักมุมเป็นสันพุ่งยาวไปทางทิศตะวันตกและเป็นแหล่งกำเนิดของลำธารเล็กๆ สี่สายที่ไหลไปลงลำห้วยใหญ่เบื้องหน้า ด้านเหนือและตะวันออกซ้ายมือเป็นหย่อมภูเขาถี่ๆ ที่ไม่สูงมากนัก ส่วนบริเวณรัศมีโดยรอบชุมชนทั้งสี่ด้านระยะห่างตั้งแต่ 1-2 ชั่วโมงเดิน มีชุมชนเย้าและเผ่าอื่นๆ ตลอดจนชุมชนชาวพื้นเมืองตั้งอยู่โดยรอบ ชุมชนเย้าผาเดื่ออยู่ห่างจากศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดเชียงรายไปทางทิศตะวันตกประมาณ 3 กิโลเมตร (หน้า 9)

Demography

สมาชิกชุมชนเย้าบ้านผาเดื่อเป็นเย้าทั้งหมดมี 84 ครัวเรือน 87 ครอบครัว ประชากร 704 คน แยกตามช่วงอายุได้ดังนี้ อายุ 0-14 ปี ชาย 134 คน หญิง 179 คน รวม 313 คน หรือร้อยละ 44.46 ช่วงอายุ 15-45 ปี ชาย 140 คน หญิง 162 คน รวม 302 คน หรือร้อยละ 42.89 ช่วงอายุ 46-65 ปี ชาย 30 คน หญิง 39 คน รวม 69 คน หรือร้อยละ 9.80 อายุ 65 ปี ขึ้นไป ชาย 9 คน หญิง 11 คน รวม 20 คน หรือร้อยละ 2.84 อัตราเพิ่มประชากรอย่างหยาบๆ ประมาณร้อยละ 3.9 ต่อปี สถานภาพของประชากรได้รับการจัดทำทะเบียนบ้านตามแบบ ทร.14 แล้ว จำนวน 43 หลังคาเรือน 45 ครอบครัว รวม 183 คน (หน้า 9)

Economy

โดยทั่วไปเย้าประกอบอาชีพทางเกษตรเป็นหลัก พืชสำคัญที่ปลูกคือ ข้าวไร่ ข้าวโพด และฝิ่น ต่อมาฝิ่นถูกประกาศเป็นพืชที่ผิดกฎหมายเย้าจึงยุติการปลูกฝิ่นและหันมาทำการเกษตรในลักษณะถาวรมากขึ้น พืชที่สำคัญคือ ข้าวและพืชไร่ต่างๆ รวมถึงการทำสวนผลไม้ พืชรายได้ที่สำคัญคือ ถั่วเหลือง และมีจำนวนไม่น้อยที่หารายได้โดยการค้าขาย หรือรับจ้างทำของ เช่น ตีโลหะเงินเป็นเครื่องประดับต่างๆ การขายของให้แก่นักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาเยี่ยมชมหมู่บ้านเป็นกิจกรรมที่ทำตลอดปี ในรอบปี พ.ศ.2528 รายได้รวมไม่น้อยกว่า 250,000 – 300,000 บาท จัดว่าชุมชนเย้าบ้านผาเดื่อเป็นชุมชนชาวเขาที่มีรายได้ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับชุมชนชาวเขาอื่นๆ ในเขตจังหวัดเชียงราย เฉลี่ยรายได้ต่อครอบครัว/ปี 30,620.75 บาท และเฉลี่ยรายได้ต่อคน/ปี 3,683.60 บาท (หน้า 6-11)

Social Organization

ลักษณะองค์กรทางสังคมของเย้าบ้านผาเดื่ออยู่เป็นครัวเรือนใหญ่ ประกอบด้วยหลายครอบครัวรวมกันในลักษณะ ที่เรียกว่าครอบครัวขยาย (Extened Family) สมาชิกในครัวเรือนมีไม่น้อยกว่า 3 รุ่นอายุ แต่มีบางครัวเรือนมีเพียง ครอบครัวเดียวตามลักษณะครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family) ปัจจุบันจากผลการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม ครัวเรือนเย้ามีแนวโน้มเป็นครัวเรือนขนาดเล็ก หรือเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น และในครัวเรือนขยายก็มี การแยกกันทางเศรษฐกิจอย่างค่อนข้างเด็ดขาดในแต่ละครอบครัว (หน้า 6) เย้าบ้านผาเดื่อมีวัฒนธรรมประเพณีที่มีลักษณะเฉพาะของตนเองเช่นเดียวกับเย้าโดยทั่วไป หน่วยทางสังคมมีความเป็นอิสระและเป็นหน่วยที่ใหญ่ที่สุดของชุมชนระดับหมู่บ้านของเย้าในประเทศไทย (หน้า 13)

Political Organization

ในระดับครัวเรือนจะเป็นหน้าที่ของชายโดยยึดถือระบบอาวุโส ผู้อาวุโสสูงสุดในครัวเรือนคือผู้ที่มีอำนาจปกครองและเป็นผู้รวบรวมทรัพย์สินที่สมาชิกในครัวเรือนหามาได้ พร้อมกับควบคุมการใช้จ่าย ของครัวเรือน (หน้า 6) การบริหารชุมชนตามประเพณีประกอบด้วยบทบาทของ 3 ฝ่ายที่เป็นแกนหลักของชุมชน คือ หัวหน้าหมู่บ้าน ผู้ช่วยหัวหน้าหมู่บ้าน และหมอผี หัวหน้าครัวเรือนในชุมชนจะร่วมกันเลือกสมาชิกในชุมชน 1 คน ให้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านทำหน้าที่ปกครองดูแลความสงบเรียบร้อยในชุมชนละตัดสินคดีข้อพิพาทที่เกิดขึ้นรวมทั้งติดต่อกับคนภายนอก (โดยเฉพาะบุคคลต่างเผ่า) ในเรื่องเกี่ยวข้องกับชุมชน หัวหน้าหมู่บ้านจะเลือกบุคคลในชุมชนจำนวน 1-2 คนเป็นอย่างน้อย ให้เป็นผู้ช่วยปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ส่วนบทบาทของหมอผีคือประกอบพิธีกรรมตามลัทธิความเชื่อให้แก่สมาชิกในชุมชนและเป็นผู้นำทางด้านลัทธิประเพณีประจำเผ่าพันธุ์ (หน้า 13) หัวหน้าหมู่บ้านนั้นมีชื่อเรียกแบบบรรดาศักดิ์เป็น “แสนพิทักษ์คีรีเขตต์” แต่งตั้งโดยปลัดอำเภอ (หน้า 15)

Belief System

คติความเชื่อหรือศาสนาของเย้าเป็นสิ่งที่รวมตัวมาจากความเชื่อหลายกระแสใต้กรอบความคิดพื้นฐานที่ยอมรับเรื่องอำนาจของผีและวิญญาณเป็นหลัก คือ เย้ามีความเชื่อว่ามนุษย์ทั้งโลกอยู่ภายใต้การปกครองของโลกเทพยดา ผู้มีอำนาจสูงสุดในจักรวาล มีเทพยดาหลายองค์ทำหน้าที่ต่างๆ ในการปกครองโลกมนุษย์ อีกความเชื่อหนึ่งคือ เย้าเชื่อว่าธรรมชาติและทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ล้วนมีผีและวิญญาณของสิ่งนั้นสิงสถิตย์อยู่ จากความเชื่อหลายด้านเกี่ยวกับเรื่องของผี ทำให้เย้ามีทัศนะว่า ความมั่นคงและปลอดภัยของชีวิตมนุษย์ทั้งขณะดำรงอยู่และหลังตาย คือเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับผี การสร้างความสัมพันธ์กับผีตามความเชื่อนี้ทำได้โดยผ่านทางพิธีกรรมเท่านั้น ผีที่เย้านับถือแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ผีเทพยดา ผีบรรพบุรุษ และผีทั่วไป (หน้า 5 )

Education and Socialization

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 ที่หน่วยงานของกรมประชาสงเคราะห์เข้าไปจัดการศึกษาให้แก่ชุมชนเย้าก็ได้มีการพัฒนาการศึกษามาเป็นลำดับขั้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เยาวชนได้มีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาไทยเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน การศึกษานี้ได้ส่งผลกระทบต่อประเพณีการเลือกผู้ปกครองชุมชนเพราะผู้นำชุมชนหรือหัวหน้าหมู่บ้านในระยะหลังมักเป็นคนหนุ่มที่อ่านออกเขียนได้มาแทนผู้อาวุโส (หน้า 23-25)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ชุมชนเย้าเรียกตัวเองว่า “เมี่ยน” หรือ “อิวเมี่ยน” (Mien or Iumien) ซึ่งในภาษาเย้ามีความหมายว่าคนที่มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในประเทศจีน เย้าถูกเรียกว่า “อูหลิงมาน” “ม่อหมาน” ในสมัยราชวงศ์เหนือใต้ประมาณระหว่าง พ.ศ. 808-1131 และในสมัยราชวงศ์ซ่งจึงถูกเรียกว่า “เย้า” เฉยๆ (หน้า 3)

Social Cultural and Identity Change

เมื่อเย้าบ้านผาเดื่อได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทยก็ได้ให้ความร่วมมือกับทางราชการเป็นอย่างดี ทั้งทางด้านการปกครอง เศรษฐกิจและสังคม โดยเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะของการประนีประนอม ได้รับความพอใจทั้งทางรัฐและชาวบ้าน เย้าต้องการความมั่นคงซึ่งทางราชการได้ผลักดันกฎหมายที่ให้เย้าได้เป็นพลเมืองไทยที่ถูกต้องตามกฎหมายและยังมีโอกาสได้เลือกผู้ปกครองชุมชนที่เป็นเผ่าเดียวกันได้เองด้วย ลักษณะครอบครัวของเย้ามีความเปลี่ยนแปลงจากครอบครัวขยายมาเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น สตรีขึ้นมามีบทบาทในการจัดการเรื่องของครอบครัวโดยเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจครอบครัวมากขึ้น (หน้า 15-25)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

ผู้เขียนได้ใช้แผนที่แสดงเส้นทางการอพยพของชาวเย้าบ้านผาเดื่อปี พ.ศ. 2488 หน้า ง

Text Analyst รัฐกานต์ ณ พัทลุง Date of Report 10 เม.ย 2556
TAG เย้า, การตั้งถิ่นฐาน, การใช้ประโยชน์ที่ดิน, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง