|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กะเหรี่ยงโปว์,สิทธิ,การควบคุม,ป่าไม้,ที่ดินทำกิน,ลำพูน |
Author |
หทัยกานต์ สังขชาติ |
Title |
พลวัตของการอ้างสิทธิในการควบคุมและจัดการที่ดินในเขตป่า: กรณีศึกษาชุมชนกะเหรี่ยงโปว์ บ้านหนองหลัก อำเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลำพูน |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) |
Total Pages |
149 |
Year |
2551 |
Source |
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
กล่าวถึงการใช้ที่ดินของกะเหรี่ยงโปว์บ้านหนองหลัก ตำบลตะเคียนปม อำเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลำพูน ซึ่งแต่เดิมคนในหมู่บ้านมีบรรพบุรุษเป็นคนงานทำไม้จากที่อื่นเข้ามาทำงานต่อมาจึงรวมตัวกันเพื่อตั้งหมู่บ้านอย่างถาวรและมีญาติพี่น้องจากหมู่บ้านเดิม อพยพมาอยู่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ตั้งหมู่บ้านต่อมาทางการได้ประกาศให้พื้นที่บางส่วนเป็นเขตป่าสงวนและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทับที่ดินทำกินของคนในหมู่บ้าน ดังนั้นกะเหรี่ยงโปว์บ้านหนองหลักจึงรวมตัวกันเพื่อแก้ปัญหาการใช้ที่ดินทำกินที่อยู่ในเขตป่าเช่นทำเขตป่าชุมชนโดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาควบคุมดูแล และทำไร่แบบถาวร |
|
Focus |
ศึกษาและทำความเข้าใจถึงกระบวนการเปลี่ยนผ่านของความลักลั่นขัดแย้งเรื่องสิทธิในการเข้าถึงที่ดินภายใต้บริบทการขยายเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทับที่ทำกินและการขยายตัวของการปลูกพืชพาณิชย์ในระบบตลาด, การต่อรองและการปรับเปลี่ยนระบบสิทธิในลักษณะพลวัตว่าเป็นอย่างไรที่ใช้เป็นยุทธวิธีในการอ้างสิทธิเหนือที่ดินทำกินของชุมชน,วิเคราะห์ถึงบริบทและเงื่อนไขของการจัดการความขัดแย้งในเรื่องสิทธิและการเข้าถึงทรัพยากร (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ประชากรศึกษาคือกะเหรี่ยงโปว์ ที่อยู่บ้านหนองหลัก อำเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจาก ไปบุกเบิกที่ดินทำกินในพื้นที่ที่ต่อมาบางส่วนถูกประกาศให้เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติขุนแม่ลี้ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยผาเมือง (หน้า 2) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติการตั้งถิ่นฐานของกะเหรี่ยงโปว์บ้านหนองหลัก
แต่เดิมชาวบ้านหนองหลัก มีรกรากอยู่ที่อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย สาเหตุการย้ายที่อยู่ก็เพราะว่าต้องการเสาะหาที่ดินทำกินแห่งใหม่ ในตอนแรกที่มาอยู่ได้มาทำงานเป็นคนงานทำไม้ในภายหลังจึงตั้งที่อยู่ที่นี่และในเวลาต่อมาจึงมาญาติพี่น้องย้ายมาอยู่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (หน้า 42) |
|
Demography |
ประชากรบ้านหนองหลักมีประมาณ 2,728 คน (หน้า 33) ในการศึกษาการถือครองที่ดินกลุ่มตัวอย่างมี 134 ครัวเรือนจากทั้งหมด 204 ครัวเรือน (หน้า 53) |
|
Economy |
การแบ่งพื้นที่ป่า
กะเหรี่ยงโปว์บ้านหนองหลัก ได้ดำเนินการเพื่อจัดการที่ดินในเขตป่าอัน เนื่องจากไปบุกเบิกที่ดินทำกินในพื้นที่ป่า แต่ในภายหลังพื้นที่ป่าบางส่วนถูกประกาศให้เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติขุนแม่ลี้ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยผาเมือง ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจึงได้จำกัดการใช้ที่ดิน ในระบบไร่หมุนเวียนและได้ดำเนินการรักษาพื้นที่ไร่เหล่า 20 % เพื่อเป็นป่าชุมชน และอีก 70 % ชาวบ้านได้ตกลงลดจำนวนรอบหมุนเวียนให้มีรอบหมุน 3 ปี หรือ 2 ปี กับไร่คงที่และทำเป็นสวนผลไม้ เช่น ลำใย จำนวน 10 % (หน้า 2)
สำหรับสวนป่าชุมชนบ้านหนองหลักชาวบ้านแบ่งพื้นที่ป่าเป็นประเภทต่างๆ คือ
1)ป่าชุมชนเพื่อการอนุรักษ์ คือป่าบริเวณขุนแม่ลี้ ดอยผาเมือง ดอยแด่น พื้นที่นี้ไม่ให้ตัดต้นไม้ขนาดใหญ่แต่สามารถเลี้ยงวัว ควายได้ สำหรับป่าพื้นที่ขุนห้วยบ้านห่าง ห้วยต๋องแดง ซึ่งเป็นป่าประปาภูเขาบริเวณนี้ให้เป็นป่าอนุรักษ์ ไม่อนุญาตให้ตัดต้นไม้และหาของป่า (หน้า 99)
2)ป่าชุมชนใช้สอย คนในชุมชนสามารถใช้ประโยชน์ได้ไม่ว่าจะเป็นตัดต้นไม้มาปลูกบ้าน ตัดไม้ไผ่มาจักสานรวมทั้งหาของป่า
3)ป่าพิธีกรรมคือป่าช้ากับป่าเลี้ยงผีบ้าน คนในหมู่บ้านเชื่อว่าเป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ ไม่อนุญาตให้ตัดต้นไม้ (หน้า 99)
เศรษฐกิจ
ชาวบ้านหนองหลักทำอาชีพเกษตร อันเป็นรายได้หลักมาหล่อเลี้ยงครอบครัว นอกจากนี้ ยังทำอาชีพอื่นเสริมเพื่อ เพิ่มให้ความมั่นคงในการดำรงชีวิต (หน้า 70) เช่นการทำงานรับจ้างในภาคการเกษตรได้แก่ รับจ้างรายวัน ซึ่งจะได้ รับค่าแรงอยู่ระหว่าง 120-150 บาทต่อวัน งานที่รับจ้างเช่นเก็บลำใยในเดือนมิถุนายน- สิงหาคม รับจ้างปลูกหอม ในเดือนตุลาคม-ธันวาคม และอื่นๆ สำหรับการรับจ้างแบบเหมามาโดยการรวมกลุ่มเพื่อรับจ้างเช่นการเก็บลำใยจะคิดไร่ละ 1,200 บาท ปลูกหอมคิดไร่ละ 800-1,000 บาท ฯลฯ (หน้า 103) |
|
Social Organization |
สังคมบ้านหนองหลัก
คนในชุมชนบ้านหนองหลัก ซึ่งจากความเป็นมาของการตั้งถิ่นฐาน ระบุว่ามีการผสมผสานของคนชาติพันธุ์ต่างๆ เช่นคนเมือง(ไต) คนยอง กะเหรี่ยงสกอร์ กะเหรี่ยงโปว์ คนในหมู่บ้านอยู่กันแบบเครือญาติเนื่องมาจากมีการแต่งงานระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ สำหรับการแยกที่มาของเครือญาตินั้นมีข้อสังเกตด้านพิธีกรรมความเชื่อได้แก่ มาจากบรรพบุรุษเดียวกัน โดยจะมีพิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษ(อังเผาะ อังหมี่) เพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษ ด้านการแต่งงานก็จะมีพิธีกินแขกแต่งงาน เพื่อสร้างความสนิทสนมและสามัคคีในกลุ่มเครือญาติและพิธีไหว้ผีประจำหมู่บ้านกับพิธีกรรมเข้ากรรมบ้าน ซึ่งเป็นพิธีทางความเชื่อที่แสดงว่าจะอยู่ภายใต้เจ้าที่เจ้าทางเหมือนกัน (หน้า 43)
สำหรับคนในหมู่บ้านหนองหลักประกอบด้วย 5 ตระกูลใหญ่ คือ คำป้อ ปุ๊ดแค สุขใจ ใหม่น้อย และคำปา ต่อมาคนในตระกูลดังกล่าวได้แต่งงานกับคนในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้านจนขยายตระกูลเป็น 23 ตระกูล เช่น นกแดง วงค์อ้าย เมืองไชย ปันนา เชียงตา อินถาปัน และอื่นๆ (หน้า 43) |
|
Political Organization |
คณะกรรมการป่าชุมชน
ในการดูแลป่าชาวบ้านหนองหลักได้ทำการเลือกตั้งคณะกรรมการเพื่อมาดูแลป่าชุมชน ซึ่งประกอบด้วยตำแหน่งต่างๆ คือ ประธาน 1 คน รองประธาน 2 คน และเลขานุการ เหรัญญิก ประชาสัมพันธ์ ตำแหน่ง ละ 1 คน ส่วนคณะกรรมการจะมี 30 คน ในการทำงานรักษาป่านั้นได้นำประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นมาใช้ควบคู่ไปด้วย นอกจากการตั้งกฎระเบียบดูแลป่าและแจกในรูปแบบเอกสาร (หน้า 99) กำหนดเขตแดนป่าชุมชน จัดเวรยามรักษาป่า หากพบคนทำผิด คณะกรรมการก็จะพิจารณาความผิดนั้น เช่น ปรับเงิน ว่ากล่าวตักเตือนเพื่อไม่ให้กลับมาทำอีกครั้ง (หน้า 100)
การปกครองของหมู่บ้านหนองหลัก
หมู่บ้านหนองหลักตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ.2467 โดยมีพ่อหลวง(ผู้ใหญ่บ้าน) เป็นผู้นำ(หน้า 37) และทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ(หน้า 38) |
|
Belief System |
ความเชื่อเกี่ยวกับป่า
กะเหรี่ยงโปว์บ้านหนองหลักมีความเชื่อเกี่ยวกับป่าดังนี้ ไม่ให้ตัดต้นไม้ใน ป่าเด่ปอ เพราะเชื่อว่าเป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากต้นไม้ทุกต้นจะมีสายสะดือเด็กเกิดใหม่ผูกเอาไว้และเชื่อว่าขวัญของเด็กยังคงอยู่กับต้นไม้นั้น หากมีคนมาตัดต้นไม้ ขวัญของเด็กจะหนีออกจากร่างกาย ทำให้เป็นไข้ ไม่สบายหรือตาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากะเหรี่ยงโปว์บ้านหนองหลักมีความผูกพันกับป่าตั้งแต่เกิดจนโตเป็นผู้ใหญ่กระทั่งตายก็จะนำศพไปฝังที่ป่าช้า(ปกว่าโลปู) ที่ป่าช้าคน จะไม่ตัดต้นไม้เพราะเกรงว่าผีบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นจะไม่มีที่อาศัยรวมทั้งได้รับความเดือดร้อน นอกจากนี้ ยังห้ามทำไร่ในป่าต้นน้ำ ซึ่งเรียกว่า เดหมื่อเบอ คือ ป่าที่มีดินชุ่มฉำอยู่ตลอดเวลาเป็นเนินดินขนาดเล็กมีน้ำไหล โอบล้อม บริเวณนี้เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าเชื่อกันว่าถ้าใครทำไร่หรือตัดต้นไม้ผีจะรังคราญทำให้เจ็บป่วย บางครั้งรุนแรงถึงตาย ทุกวันนี้ป่าต้นน้ำเป็นป่าอนุรักษ์และมีการทำประปาภูเขาเข้ามาใช้ในหมู่บ้าน (หน้า 72)
ส่วนความเชื่ออื่นที่เกี่ยวกับป่าเช่น หากคนในหมู่บ้านเสียชีวิตก็ไม่ให้ตัดไผ่นาน 1 เดือน และต้นไม้ที่เถาวัลย์พันรอบก็ไม่ให้ตัดเพราะถ้าตัดเลื่อยไม้มาปลูกบ้านงูจะเข้าบ้าน, ไม่ให้ตัดไม้หางปลาคือมีกิ่งแยกเป็น 2 กิ่งมีขนาดเท่ากัน หากนำมาสร้างบ้านก็จะทำให้โชคไม่ดีไม่เจริญก้าวหน้าในชีวิต, ไม่ให้ตัดไม้ที่ทำให้ขวานหักเพราะเป็นไม้ที่มีผีร้าย ส่วนต้นไม้ที่มีความอุดมสมบูรณ์ให้สังเกตว่าต้นไม้นั้นจะมีรังผึ้งและมีจอมปลวกก็ไม่ให้ตัดเช่นกัน ฯลฯ (หน้า 72)
สำหรับการทำไร่หมุนเวียนมีหลักเกณฑ์ในการเลือกพื้นที่ดังนี้ บริเวณที่ทำไร่ต้องไม่เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ ห้ามทำไร่ข้างสองฝั่งห้วย ไม่ทำไร่ที่อยู่ติดกับไร่เหล่าซึ่งคั่นกลางด้วยนาของคนอื่น ห้ามทำไร่คั่นกลางระหว่างไร่เหล่าปีที่แล้วกับไร่ปีปัจจุบันของครอบครัวอื่น เนื่องจากเชื่อว่าการทำไร่แบบนี้ อาจทำให้แต่ละฝ่ายป่วยหนักหรือเสียชีวิต
กรณีเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด หากทำไร่อยู่ติดกันก็ไม่ให้กั้นไร่ เนื่องจากเชื่อว่าจะส่งผลให้ตัดขาดจากความเป็นพี่น้อง ฯลฯ (หน้า 73)
สำหรับเรื่อง ขวัญ เชื่อว่าคนกับสัตว์ต่างๆ มีขวัญ 37 ขวัญ ซึ่งขวัญที่อยู่ในร่างกายคน มี 5 ขวัญ โดยอยู่ตามอวัญวะต่างๆ คือ กระหม่อม มือขวา มือซ้าย เท้าขวาและเท้าซ้ายและขวัญที่อยู่ในสัตว์หลากหลายชนิดเช่น ขวัญหอย ขวัญปลา ขวัญหมา ขวัญจิ้งหรีด ขวัญปลา ขวัญนก ขวัญตุ๊กแก ขวัญชะนี ขวัญไก่ป่า ขวัญกวาง ขวัญหมี ขวัญเงือก ขวัญเม่น ขวัญกระทิง ขวัญช้าง ขวัญเต่า ขวัญเสือ ขวัญหมูป่า ขวัญตุ่น ขวัญกุ้ง ขวัญเก้ง ขวัญเขียด ขวัญปู ขวัญแรด ขวัญตะกวด (หน้า 73)
นอกจากนี้ยังเชื่อว่าคนกับสัตว์ต่างพึ่งพากันถ้าเข้าป่าไม่ให้ยิงปืนส่งเดช ถ้าเห็นชะนีก็ไม่ให้ยิงเพราะวิญญาณของบรรพบุรุษที่ล้วงลับไปแล้วได้เข้าไปสิงอยู่ในร่างชะนี (หน้า 73) |
|
Education and Socialization |
การรักษาแบบพื้นบ้าน
กะเหรี่ยงโปว์บ้านหนองหลักเชื่อว่าหากวิญญาณของผู้ดูแลมนุษย์และโลก หมื่อ กอลี อยากให้คนนำอาหารมาเซ่นไหว้ก็จะทำให้คนในบ้านเป็นไข้ไม่สบาย โดยคนในครอบครัวจะต้องไปถามผู้สูงอายุซึ่งมีความเชี่ยวชาญเรื่องความรู้พื้นบ้านเพื่อให้เสี่ยงทายจากกระดูกไก่ ว่าเป็นไข้เพราะอะไร เมื่อผลออกมาว่า หมื่อ กอลี อยากให้ประกอบพิธีเซ่นไหว้ ครอบครัวที่มีคนไม่สบายก็ต้องรีบทำอย่างเร่งด่วน (หน้า 75)
อีกกรณีหนึ่งคือถ้าหากสัตว์เลี้ยงมีพฤติกรรมแปลกๆ ผิดธรรมชาติ ตัวอย่างเช่นหมูเป็นหมัน แม่ไก่ขันได้เหมือนไก่ตัวผู้ หมาออกลูกครอกเดียวแต่เป็นเพศเดียวกันทั้งหมด เชื่อว่าเจ้าของจะอัปโชคจะต้องฆ่าสัตว์เลี้ยงที่ไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงตามธรรมชาติเหล่านั้นและต้องจัดพิธีเซ่นไหว้ (หน้า 75) |
|
Health and Medicine |
การรักษาแบบพื้นบ้าน
กะเหรี่ยงโปว์บ้านหนองหลักเชื่อว่าหากวิญญาณของผู้ดูแลมนุษย์และโลก หมื่อ กอลี อยากให้คนนำอาหารมาเซ่นไหว้ก็จะทำให้คนในบ้านเป็นไข้ไม่สบาย โดยคนในครอบครัวจะต้องไปถามผู้สูงอายุซึ่งมีความเชี่ยวชาญเรื่องความรู้พื้นบ้านเพื่อให้เสี่ยงทายจากกระดูกไก่ ว่าเป็นไข้เพราะอะไร เมื่อผลออกมาว่า หมื่อ กอลี อยากให้ประกอบพิธีเซ่นไหว้ ครอบครัวที่มีคนไม่สบายก็ต้องรีบทำอย่างเร่งด่วน (หน้า 75)
อีกกรณีหนึ่งคือถ้าหากสัตว์เลี้ยงมีพฤติกรรมแปลกๆ ผิดธรรมชาติ ตัวอย่างเช่นหมูเป็นหมัน แม่ไก่ขันได้เหมือนไก่ตัวผู้ หมาออกลูกครอกเดียวแต่เป็นเพศเดียวกันทั้งหมด เชื่อว่าเจ้าของจะอัปโชคจะต้องฆ่าสัตว์เลี้ยงที่ไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงตามธรรมชาติเหล่านั้นและต้องจัดพิธีเซ่นไหว้ (หน้า 75) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
เจ้าภูเขียว เจ้าภูเหลือง
จากความเชื่อของกะเหรี่ยงระบุว่า โลกเรานั้นพระเจ้า(สิ่งศักดิ์สิทธิ์) เป็นผู้สร้างเมื่อสร้างโลกเรียบร้อยแล้วพระเจ้าจึงมอบหน้าที่ให้เจ้าภูเขียว กับเจ้าภูเหลือง คุ้มครองดูแลป้าไม้บนโลก คือป่าไม้ด้านทิศตะวันออก ให้เจ้าภูเขียวเป็นผู้ดูแลรักษา ส่วนเจ้าภูเหลืองมีหน้าที่ปกปักรักษาป่าไม้ด้านทิศตะวันตก (หน้า 73)
ตำนานนกขวัญข้าว
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งได้ทรงขัดขวางไม่ให้เด็กกำพร้าคนหนึ่งให้ปลูกพืชทำกินในผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ แต่อนุญาตให้ปลูกพืชเฉพาะตรงที่เป็นหินในบริเวณเนินเขา เมื่อนกขวัญข้าวเห็นเหตุการณ์ก็เกิดความสงสาร ดังนั้นจึงแปลงกายเป็นผู้หญิงชราลงมาให้ความช่วยเหลือ ในการลงมาช่วยได้คิดอุบายให้ตัวเองติดอยู่กลางพงหนาม จึงร้องขอความช่วยเหลือจากคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแต่คนอื่นๆ ก็เฉย ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด เมื่อเด็กกำพร้าเห็นจึงเข้าไปช่วยเหลือหญิงชรา เมื่อออกมาจากพงหนามหญิงชราจึงขอไปอาศัยอยู้ที่บ้านเด็กกำพร้าและให้สัญญาว่า จะให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ กับปัญหาเรื่องที่ทำกินเป็นหิน หญิงชราจึงแนะนำให้เด็กกำพร้าไปเอาดินมากลบหิน จากนั้นก็ให้ตัดต้นใม้มาวางตากแดดจนแห้งแล้วเผาด้วยไฟ จากนั้นเด็กกำพร้าจึงไปเก็บเมล็ดข้าวจากไร่นาของเพื่อนบ้าน ตอนไปเก็บนั้นเก็บได้เพียงหนึ่งเมล็ด จากนั้นก็นำมาปลูกที่ไร่ตัวเอง เมื่อต้นข้าวโตก็ให้ผลิตเป็นจำนวนมาก เมล็ดข้าวมีมากมายกินไม่ไหว (หน้า 48)
เมื่อมีข้าวกินเหลือเฟือจึงแบ่งข้าวให้กับคนที่อดอยากไม่มีอาหารกิน เมื่อเห็นว่าได้ช่วยเหลือเด็กกำพร้าเรียบร้อยแล้ว หญิงชราจึงแปลงร่างกลับไปเป็นนกแล้วบินกับสวรรค์ตามเดิม ซึ่งจากตำนานเรื่องนี้ ได้สะท้อนถึงการทำไร่หมุนเวียนของกะเหรี่ยงหมายถึงการทำความดีเหมือนกับเด็กกำพร้าที่เคยกระทำมาซึ่งเป็นการแสดงถึงความมีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (หน้า 49) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ตาราง ตระกูลหลักและตระกูลย่อยที่มีอยู่ในบ้านหลัก (หน้า 44)
การถือครองที่ดิน (หน้า 53)
ปฏิทินการทำไร่คงที่ (หน้า 55)
ปฏิทินการทำไร่หมุนเวียนแบบพึ่งพาและเปลี่ยนผ่าน (หน้า 57)
พืชอาหารในไร่หมุนเวียน (หน้า 58)
การใช้ที่ดินในการทำไร่หมุนเวียนแบบมีทางเลือก (หน้า 60)
สถานทางเศรษฐกิจและสังคมของกะเหรี่ยงบ้านหนองหลัก (หน้า 61)
อาชีพและที่มาของรายได้ (หน้า 63)
ต้นทุนการผลิตพืชพาณิชย์ (หน้า 64)
ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ,หนี้สิน (หน้า 65)
แสดงความซับซ้อนของสิทธิในพื้นที่ป่าขุนลี้ (หน้า 80)
แผนที่ ชุมชนพื้นที่ศึกษา (หน้า 41)
การจัดการทรัพยากรในพื้นที่ป่าชุมชนบ้านหนองหลัก (หน้า 102) |
|
|