สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject คนไต,ไทใหญ่,การย้ายถิ่น,เชียงใหม่
Author ปณิธิ อมาตยกุล
Title การย้ายถิ่นของชาวไทยใหญ่เข้ามาในจังหวัดเชียงใหม่
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทใหญ่ ไต คนไต, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) Total Pages 99 Year 2547
Source หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภูมิภาคศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

ไทใหญ่ที่อพยพเข้ามายังเชียงใหม่และพื้นที่ต่างๆ ในภาคเหนือ ในระยะแรกมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางการเมือง เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การสู้รบระหว่างกลุ่มผู้ต่อต้านกับรัฐบาลพม่า ระยะหลังมีการอพยพมาเป็นจำนวนมากเนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนที่ทำกิน ที่ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ รายได้ไม่พอเลี้ยงชีพ ประกอบกับการถูกบีบคั้นจากทหารพม่าทำให้ไทใหญ่ได้อพยพมายังเชียงใหม่ เนื่องจากเชียงใหม่ มีญาติพี่น้องคนรู้จักอาศัยที่ จ. เชียงใหม่อยู่ก่อนแล้ว ภาษา ประกอบกับวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน การปรับตัวจึงสามารถทำได้ง่าย เชียงใหม่มีแหล่งงาน สภาพความเป็นอยู่ดีกว่ารัฐฉานไม่ต้องกลัวถูกทหารพม่าทำร้าย อีกทั้งเชียงใหม่มีพื้นที่ติดกับรัฐฉานเดินทางได้โดยสะดวก นโยบายรัฐไทยไม่ใช้ความรุนแรงในการผลักดันผู้อพยพ โดยผู้อพยพจะเดินทางจากรัฐฉานมายังเชียงใหม่โดยตรง ไม่มีการตั้งถิ่นฐานตามเมืองที่เดินทางผ่าน โดยผ่านแนวชายแดนตามอำเภอแม่สะเรียง เวียงแหง ฝาง แม่สาย จากนั้นจึงเดินทางเข้าสู่เมืองเชียงใหม่ บางส่วนก็เดินทางต่อไปยังกรุงเทพมหานคร ไทใหญ่ที่อยู่ในเชียงใหม่หากมีความรู้และมีบัตรประจำตัวประชาชนจะสามารถทำงาน และมีความเป็นอยู่ที่ดี แต่หากไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนต้องทำงานเป็นแรงงาน และมีคุณภาพชีวิตต่ำ และยังถูกกดขี่ข่มเหงจากข้าราชการบางกลุ่มและนายจ้างบางรายด้วย

Focus

ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการย้ายถิ่นของไทยใหญ่ที่เข้ามาในเชียงใหม่ การวิวัฒนาการ ขั้นตอนการอพยพ และลักษณะความเป็นอยู่ ตลอดจนปัญหาของไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเชียงใหม่

Theoretical Issues

ผู้เขียนได้ใช้แนวคิดเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้ประชากรย้ายถิ่นข้ามประเทศ เพื่อต้องการให้เห็นถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งปัจจัยภายในที่เป็นตัวผลักดันและปัจจัยภายนอกที่เป็นแรงดึงดูดให้เกิดการอพยพย้ายถิ่น และแนวคิดเกี่ยวกับขั้นตอนการอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองเพื่อให้เห็นถึงความเชื่อมโยงรูปแบบการอพยพในครั้งแรกๆ ที่เป็นส่วนสนับสนุนในการอพยพในครั้งหลัง และชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในการอพยพในแต่ละครั้ง

Ethnic Group in the Focus

ไทยใหญ่คือ กลุ่มคนไท ซึ่งเรียกตนเองว่า “ไทใหญ่” หรือ “ไต” มีถิ่นกำเนิดในรัฐฉานประเทศพม่า (หน้า 24)

Language and Linguistic Affiliations

ไทยใหญ่มีความสัมพันธ์ทางด้านภาษาที่ใกล้ชิดกับชาวไทยในเชียงใหม่ โดยเฉพาะการออกเสียง เช่น คำว่า “เมิง” ในภาษาไตใกล้เคียงกับคำว่า “เมือง” ในภาษาเชียงใหม่ (หน้า 2) ไทใหญ่ที่อยู่ในเชียงใหม่ใช้ทั้งภาษาไทยกลางและภาษาเมืองเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน และภาษาไตหรือภาษาไตใหญ่ในการสื่อสารระหว่างกลุ่มตนเอง สำหรับผู้ที่พูดภาษาอังกฤษได้จะใช้ในการประกอบอาชีพเท่านั้น (หน้า 74)

Study Period (Data Collection)

ไม่ปรากฏ

History of the Group and Community

ไทใหญ่ อพยพมาจากจีนตอนใต้เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 7 โดยบางกลุ่มมาอาศัยร่วมกับพม่าและมอญในบริเวณตอนล่างของประเทศพม่า บางกลุ่มแยกออกไปตั้งอาณาจักรของตนเองบริเวณตอนบนของประเทศพม่า เช่น อาณาจักรน้ำมาวหลวง ลุ่มน้ำมาว เมืองกอง และเมืองยาง ในปี พ.ศ. 1587 (ค.ศ. 1044) กษัตริย์อนอรธาแห่งอาณาจักรพุกามได้รวบรวมเมืองต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของพม่า ยกเว้นบริเวณรัฐฉานซึ่งไทใหญ่ปกครอง ในสมัยกษัตริย์อลองสิธูความสัมพันธ์ระหว่างไทใหญ่และพม่าเริ่มเป็นมิตรมากขึ้น จนกระทั่งสมัยบุเรงนองได้สู้รบชนะเจ้าฟ้าเมืองไตทำให้ราชวงศ์เจ้าฟ้าบางเมืองต้องจบสิ้น ในสมัยอลองพญา ประมาณพ.ศ. 2305-2428 (ค.ศ.1762-1885) กษัตริย์พม่าทำการปราบปรามและสังหารราชวงศ์ของเจ้าฟ้าไทใหญ่เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งปี พ.ศ.2428 (ค.ศ.1885) อังกฤษได้เข้ามายึดอำนาจจากกษัตริย์พม่าและยึดเมืองต่างๆ รวมถึงรัฐฉาน และได้แบ่งการปกครองออกเป็น 2 ลักษณะคือ ประเทศพม่าเป็นเมืองอาณานิคม (Colony) และรัฐฉานยกให้เป็นเมืองใต้อารักขา (Protective Country) โดยไม่ยกเลิกระบบเจ้าฟ้า แต่สนับสนุนให้เจ้าฟ้าแต่ละเมืองมีอำนาจในการปกครอง และสถาปนาเมืองทั้งหมดเป็นสหพันธรัฐฉาน (Federated Shan State) หรือเมืองไต ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ.2482 (ค.ศ.1939) ญี่ปุ่นเข้ามายังรัฐฉานเพื่อโจมตีกำลังทหารอังกฤษ เจ้าฟ้าเมืองไตจึงได้ร่วมกับอังกฤษทำการสู้รบกับฝ่ายญี่ปุ่น จนสิ้นสุดสงครามรัฐฉานยังตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษเช่นเดียวกับพม่า แต่ไม่ได้รับการปกครองเป็นประเทศเดียวกัน จากนั้นเจ้าฟ้าเมืองต่างๆ ได้ตกลงเปลี่ยนแปลงจำนวนผู้ปกครองจาก 33 พระองค์ เหลือ 12 พระองค์ เพื่อผลัดเปลี่ยนกันปกครอง เนื่องจากคิดว่าน่าจะส่งผลดีกว่าเดิม ระบบการปกครองแบบเจ้าฟ้าจึงไม่ได้ใช้อีกต่อไป โดยใช้ระบบการปกครองแบบสหพันธรัฐฉานแทน ในปีพ.ศ. 2490 (ค.ศ.1947) สหพันธรัฐฉานได้ร่วมมือกับพม่าเพื่อเรียกร้องเอกราชต่ออังกฤษ โดยตกลงว่าหากได้รับเอกราชจะต้องได้รับสิทธิการแยกดินแดน แต่ภายหลังจากพม่าได้รับเอกราชพม่าก็ไม่ได้ทำตามข้อตกลง ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอกราชทั่วบริเวณรัฐฉาน แต่ก็ถูกตอบโต้อย่างรุนแรงจากรัฐบาลพม่า (หน้า 25-30) ไทใหญ่ก็ได้อพยพเข้ามาในเขตภาคเหนือหลายครั้ง ทั้งปัจจัยจากการย้ายตามครอบครัว เหตุผลทางการเมืองเช่น ในปี 2530-2532 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยทหารพม่ายึดอำนาจการปกครอง และรัฐไทยขาดแคลนแรงงาน ทำให้เกิดการย้ายถิ่นเข้ามามากขึ้น แต่ในปี พ.ศ. 2539 รัฐบาลทหารพม่า SLORC สั่งให้ไทใหญ่ย้ายออกจากที่อยู่เดิมในรัฐฉานไปอยู่ในที่ใหม่ที่รัฐบาลจัดให้ เพื่อง่ายต่อการควบคุม จัดระเบียบ และป้องกันไม่ให้ได้รับความช่วยเหลือ ทำให้ไทใหญ่ประสบกับความยากลำบากและความโหดร้ายจากการปกครองของรัฐบาล ไทใหญ่จึงได้ย้ายถิ่นเข้ามายังภาคเหนือของไทยเป็นจำนวนมาก โดยทางเท้าและโดยสารยานพาหนะชนิดต่างๆ เข้ามาทางชายแดนด้านหมู่บ้านอรุโณทัย (หนองอุก) อำเภอเชียงดาว อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และบางส่วนใช้เส้นทางชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงรายในการอพยพ ในปัจจุบันไทยใหญ่ยังคงย้ายถิ่นเข้ามาในประเทศไทย เนื่องจากหนีปัญหาความยากลำบากในการดำรงชีพในประแทศพม่า (หน้า 2-3) เชียงใหม่ พญามังรายได้รวบรวมดินแดนต่างๆ เข้ารวมเป็นอาณาจักรล้านนา ในปีพ.ศ.1824 ได้ยกทัพมาตีเมืองหริภุญไชยแล้วให้ “อ้ายฟ้า” ครองเมืองหริภุญไชยไว้ แล้วเสด็จไปสร้างเมืองใหม่ชื่อ “เวียงกุมกาม” จนถึงปี พ.ศ.1834 ได้ทรงสร้างเมืองใหม่มีชื่อว่า“นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” เพื่อเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา โดยสร้างกำแพงเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างด้านละ 800 วา ยาวด้านละ 1,000 วา สร้างเสร็จในปีพ.ศ.1839 เชียงใหม่จึงกลายเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา เชียงใหม่ได้เคยตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาและพม่าอยู่หลายครั้ง จนครั้งสุดท้ายได้อยู่ใต้การปกครองพม่าประมาณ 216 ปี จนในสมัยกรุงธนบุรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินและพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงขับไล่พม่าออกจากเชียงใหม่และเชียงแสนได้สำเร็จในปีพ.ศ.2317 เชียงใหม่จึงกลายเป็นประเทศราชของกรุงธนบุรี จนกระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ.2440 ทำการปฏิรูปการปกครอง เปลี่ยนฐานะเมืองเชียงใหม่เป็นมณฑลพายัพ และได้กลายฐานะมาเป็นจังหวัดในปีพ.ศ.2476 (หน้า 42-43)

Settlement Pattern

สภาพความเป็นอยู่ของไทใหญ่ก่อนการปฏิวัติรัฐประหารในพม่า จะมีที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินเป็นของตนเอง ลักษณะบ้านเรือนยกพื้นสูง หรือบ้านสองชั้น สร้างจากวัสดุที่หาได้ในพื้นที่ เช่น ไม้สัก ไม้สน ไม้ตึง ฯลฯ มีการเลี้ยงสัตว์ประเภท โค กระบือ ไว้ในบริเวณที่อยู่อาศัย มักอาศัยรวมกันเป็นหมู่บ้าน มีวัดเป็นศูนย์กลางทางจิตใจ แต่หลังการปฏิวัติรัฐประหารในพม่า ไทใหญ่ต้องสูญเสียที่ทำกิน ยิ่งเมื่อมีนโยบายบังคับย้ายถิ่นสภาพความเป็นอยู่ได้เปลี่ยนไป ลักษณะบ้านเป็นเพิงพักหรือกระท่อมที่สร้างอย่างง่ายๆ วัสดุไม่คงทน อาศัยรวมกันในพื้นที่ที่รัฐจัดสรร (หน้า 58) ไทใหญ่ที่อพยพเข้ามาในเชียงใหม่ กลุ่มที่มีบัตรประชาชนจะอาศัยกระจัดกระจายทั่วบริเวณอำเภอเมืองเชียงใหม่และอำเภอใกล้เคียง ไม่อาศัยอยู่เป็นกลุ่ม ที่อยู่อาศัยเป็นบ้านส่วนตัวที่สร้างด้วยวัสดุที่มั่นคงถาวร ทั้งบ้านเดี่ยวชั้นเดียว และบ้านเดี่ยวสองชั้น และทาวน์เฮ้าส์ มีที่ดินเป็นของตนเอง สร้างเพื่ออาศัยอย่างถาวร ส่วนไทใหญ่ที่ทำงานบ้าน ร้านค้า โรงงาน สวนผลไม้ และสถานประกอบการต่างๆ มักอาศัยอยู่กับนายจ้างหรือที่ที่นายจ้างจัดให้ กระจายกันอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มที่มีอาชีพใช้แรงงานตามพื้นที่ก่อสร้าง มักอาศัยรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ในหรือใกล้พื้นที่ที่ทำงาน ที่อยู่อาศัยเป็นบ้านหรือกระท่อมที่สร้างอย่างง่ายๆ ด้วยวัสดุธรรมชาติซึ่งหาได้ในบริเวณที่ก่อสร้างนั้น ห้องน้ำและที่ซักผ้าแยกออกจากตัวที่พัก เพื่อง่ายต่อการเคลื่อนย้าย ซึ่งต้องมีการย้ายที่ทำงานอยู่บ่อยครั้ง (หน้า 73-74)

Demography

รัฐฉาน มีประชากรประมาณ 8 ล้านคน แบ่งออกเป็น 15 กลุ่ม คือ 1. ไต (ไทใหญ่) เป็นชนชาติที่มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 68 ของประชากรทั้งหมด ส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ 2. ปะหล่อง หรือ ตอาง มีประมาณร้อยละ 7 อาศัยอยู่บริเวณที่ราบสูง ประกอบอาชีพปลูกใบชา 3. ปะโอ มีประมาณร้อยละ 7 ประกอบอาชีพทำไร่ยาสูบ ทำนา ปลูกมันฝรั่ง และกระเทียม 4. ว้า มีประมาณร้อยละ 5 อาศัยอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน 5. คะฉิ่น อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของรัฐฉาน ประกอบอาชีพเกษตรกรรมบนที่สูง 6. ทน อาศัยอยู่ตามที่ราบฝั่งตะวันตกแม่น้ำสาละวิน ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและกสิกรรม 7. อางซา อาศัยอยู่ในทะเลสาบน้ำจืดอินเล (หนองฮายหญ้า) ประกอบอาชีพทำนาสวนผักกาด ช่างฝีมือทอผ้า ช่างตีพร้า ตีมีด 8. ลาหู่ หรือ มูเซอ อาศัยอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและกสิกรรม 9. อาข่า หรือ อีก้อ อาศัยอยู่ทางภาคตะวันออกตามแนวประเทศลาว 10. โกก้าง อาศัยอยู่ทางภาคเหนือ ประกอบอาชีพกสิกรรมและค้าขาย 11. ปะต่อง หรือ คะยา อาศัยอยู่บริเวณเมืองปาย ภาคใต้ของรัฐฉาน 12.ลีซอ อาศัยอยู่ทางภาคกลางและภาคใต้ ประกอบอาชีพทำไร่ 13. ยางดำ ยางลาย และยางแดง อาศัยอยู่ทางภาคกลางและภาคใต้ 14. ต่องเลอ อาศัยอยู่ทางภาคกลาง ประกอบอาชีพเกษตรกรรม 15. ลีซู อาศัยอยู่บิเวณภาคเหนือ ประกอบอาชีพทำไร่เลี้ยงสัตว์ (หน้า 34-35) ไทใหญ่ที่ตั้งถิ่นฐานในเชียงใหม่แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม 1. ไทใหญ่ที่อยู่อย่างถูกกฎหมาย มีประมาณ 1,000 คน เป็นกลุ่มที่อพยพมาก่อนปีพ.ศ.2521 จึงได้รับสิทธิในการโอนสัญชาติ 2. ไทใหญ่ที่เข้ามาอาศัยและทำงานโดยไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน เป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาหลัง พ.ศ.2521 ส่วนใหญ่อายุต่ำกว่า 15-35 ปี มีประมาณ 4,000 คน (หน้า71-72) 1. สาเหตุการย้ายถิ่นออกจากประเทศพม่าแล้วเดินทางเข้ามายังเมืองเชียงใหม่ของไทใหญ่ 1.1สาเหตุแตกต่างกันไปตามภูมิหลังของแต่ละคน กล่าวคือ ไทใหญ่ที่มีการศึกษาสูงและผู้ที่มีฐานันดรศักดิ์ เชื้อพระวงศ์ถูกบีบคั้นทางการเมืองการปกครอง ซึ่งกลุ่มคนดังกล่าวถูกสงสัยว่าเป็นภัยต่อรัฐบาลในอนาคต ไทใหญ่ที่ประกอบอาชีพค้าขายและเกษตรกรรมถูกบีบบังคับทางเศรษฐกิจ เนื่องจากปี พ.ศ.2539-2541 รัฐบาลพม่าใช้นโยบายบังคับการย้ายถิ่น ไทใหญ่ที่อยู่ในพื้นที่เป้าหมายถูกสั่งอพยพออกจากพื้นที่เดิมไปยังพื้นที่รัฐบาลจัดให้ ทำให้ต้องสูญเสียที่ดินทำกินและทรัพย์ส่วนตัว และพื้นที่ใหม่เป็นพื้นที่แห้งแล้ง ขาดความอุดมสมบูรณ์ ไม่สามารถทำการเกษตรกรรมเช่นเดิมได้ ในส่วนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่อพยพก็ประสบปัญหาจากการเรียกเก็บภาษีในอัตราที่ไม่แน่นอน ทำให้รายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ 1.1 นอกจากนี้เหตุผลจากการบีบคั้นทางสังคม เนื่องจากรัฐบาลประกาศให้กองทหารสามารถเกณฑ์ชาวบ้านมาเป็นแรงงานในกองทัพได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าแรง ไทใหญ่จึงถูกกดขี่ข่มเหงจากรัฐบาลพม่าอย่างมาก 2.2สาเหตุที่เป็นแรงจูงใจให้ชาวไทใหญ่ย้ายถิ่นเข้ามาในเมืองเชียงใหม่ เนื่องจากมีญาติหรือเพื่อนอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อนแล้ว ประกอบกับประเทศไทยมีการปกครองแบบประชาธิปไตยมากกว่าจีนและลาว การดำรงชีพจะมีอิสระและความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิม เนื่องจากเมืองเชียงใหม่มีแหล่งงานมาก รายได้ดี นอกจากนี้การที่มีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน นับถือศาสนาเหมือนกัน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไตเหมือนกัน ภาษาพูดและภาษาเขียนมีความคล้ายคลึงกัน ทำให้สามารถปรับตัวได้ง่าย และด้วยลักษณะภูมิประเทศตามแนวชายแดนที่เป็นป่าทึบ ไม่มีแม่น้ำสายใหญ่ที่เป็นอุปสรรคในการเดินทางด้วยเท้า ล้วนแล้วเป็นปัจจัยให้ไทใหญ่เดินทางอพยพมาสู่ประเทศไทย (หน้า 64-66) ขั้นตอนและลักษณะการย้ายถิ่น ในช่วงแรกจะเป็นการชักชวนในหมู่บ้านเดียวกันครั้งละ 1-2 ครอบครัว นำข้าวของเฉพาะที่จำเป็นติดตัวมา หลบซ่อนตัวในป่า มีการแวะพักมาเป็นระยะๆ เพื่อหลบเลี่ยงกองกำลังทหารพม่า ใช้เส้นทางเดินในป่าขนานไปกับแนวรบมายัง “ท่าขี้เหล็ก” ซึ่งสามารถข้ามพรมแดนเข้ามาอย่างสะดวก หลังจากข้ามมายังฝั่งแม่สายจะไปรวมกลุ่มกับผู้ที่อพยพมาก่อนแล้วค่อยแสวงหาที่อยู่ใหม่ ในช่วงปีพ.ศ.2505 เป็นช่วงเกิดรัฐประหารในพม่า ผู้ที่ย้ายถิ่นจะเป็นนักศึกษา อาจารย์มหาวิทยาลัย ครู ข้าราชการระดับสูง หรือเจ้าฟ้า การหลบหนีจากการจับกุมของทางการพม่าจึงต้องใช้การเดินป่าผ่านเขตฝ่ายต่อต้านรัฐบาลแล้วค่อยข้ามมายังดินแดนไทย ในช่วงพ.ศ.2539-ปัจจุบัน หลังจากที่พม่าประกาศนโยบายบังคับย้ายถิ่นฐาน การย้ายถิ่นจะใช้วิธีโดยสารรถบรรทุกหรือเดินเท้ามายังหมู่บ้านใกล้ชายแดนไทย โดยเฉพาะบริเวณหมู่บ้านอรุโณทัย (หนองอุก) และเส้นทางข้ามภูเขามาทางทิศตะวันตกของอำเภอฝาง สุดท้ายคือเส้นทางที่ตัดข้ามมาจากบ้านหัวเมืองมายังจังหวัดแม่ฮ่องสอน การย้ายถิ่นมักทำกันในเดือนเมษายนและพฤษภาคม เพราะเดินทางสะดวกกว่าฤดูฝน เมื่อเข้ามาได้แล้วช่วงแรกจะไปอาศัยกับคนที่รู้จักที่เข้ามาก่อน แล้วค่อยหาที่อยู่ใหม่ บางส่วนจะมีรถของนายหน้ามารับเพื่อไปส่งยังสถานที่ทำงานที่ติดต่อไว้ (หน้า 69-70) ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ ผู้ที่มีอายุ 35-60 ปีขึ้นไป อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่มาเป็นเวลามากกว่า 10 ปีขึ้นไปบางส่วนไม่กลับไปรัฐฉานอีกเลย บางส่วนกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่ยังอาศัยอยู่ในรัฐฉานบ้างบางครั้ง ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปีอาศัยอยู่ในเชียงใหม่ไม่เกิน 10 ปี จะมีการเดินทางกลับไปรัฐฉานทุกปี หรือ 2-3 ปี เพื่อเยี่ยมญาติและนำเงินไปให้ครอบครัว สำหรับผู้ที่เกิดในประเทศไทยและมีภูมิลำเนาในจังหวัดอื่นๆ มีการเดินทางกลับบ่อยครั้งเพราะการเดินทางสะดวกสบาย (หน้า 72) ปัญหาและความต้องการของไทใหญ่ 1.ไทใหญ่ที่มีบัตรประชาชนไม่มีความเดือดร้อนในการอาศัยอยู่ในเชียงใหม่ ปัญหาที่มีจะเป็นเรื่องส่วนตัว ครอบครัวและอาชีพการทำงาน 2.ไทใหญ่ที่ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน มักจะประสบปัญหาจากการต้องหลบหนีจากการตรวจจับของเจ้าหน้าที่ เมื่อทำงานกับนายจ้างบางราย นายจ้างจะยกเรื่องดังกล่าวมาเป็นเครื่องมือในการกดขี่แรงงานไทใหญ่ ทั้งการให้ทำงานในอัตราค่าจ้างต่ำกว่าปกติหรือโกงค่าแรง นอกจากนี้ไทใหญ่ที่ต้องทำงานตามสถานที่ก่อสร้างต้องเผชิญกับการถูกเรียกค่าคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่รัฐบางรายด้วย และปัญหาความเจ็บป่วยเพราะต้องอาศัยรวมกันในบริเวณพื้นที่ก่อสร้างเป็นกลุ่มใหญ่ ไม่มีการดูแลด้านสุขลักษณะ ทำให้เกิดการเจ็บป่วย ไทใหญ่ไม่กล้าเดินทางไปรักษายังสถานพยาบาลต่างๆ ใช้วิธีซื้อยามารับประทานเอง (หน้า 91) ไทใหญ่จึงต้องการให้รัฐบาลไทยอนุญาตให้ไทใหญ่ลี้ภัยเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย จัดทำทะเบียนประวัติโดยระบุชัดว่าเป็นไทใหญ่ไม่ใช่พม่า รัฐบาลควรเข้ามาควบคุมดูแลไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐบางรายและนายจ้างบางคนกดขี่ข่มเหงแรงงานไทใหญ่ ต้องการสิทธิในการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐ ให้รัฐบาลไทยเจรจากับรัฐบาลพม่าในการเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเองของไทใหญ่ ไทใหญ่ที่อาศัยอยู่นานกว่า 10 ปีอยากได้รับสิทธิเปลี่ยนสัญชาติไทย (หน้า 92-93)

Economy

รัฐฉาน ได้ชื่อว่าร่ำรวยทรัพยากรธรรมชาติมากที่สุดในพม่า สินค้าหลักได้แก่ ป่าไม้ โดยเฉพาะ ไม้สัก ไม้สน ไม้ตึง ไม้เปา ไม้แงะ ไม้ตีต๊อก ไม้จาน ไม้หมากผินพู่ (สนามคา) และไม้หอมทุกชนิด เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ สินแร่ มีแหล่งแร่รัตนชาติคือ ทับทิม พลอยแดง หยก โกเมน นิล ทองคำมีอยู่ตามแม่น้ำสายต่างๆ รวมถึงแร่เงิน ตะกั่ว สังกะสี ทองแดง ถ่านหิน ดีบุก เหล็ก แมงกานิส วุลแฟรม ทังสเตน นิเกิล พลวง ไมก้า หินขาว หินลาย และอลูมิเนียม โดยอังกฤษเป็นชาติแรกที่ใช้ผลประโยชน์ แต่หลังจากพม่าได้รับอิสระภาพแล้ว รัฐบาลพม่าเป็นผู้ผูกขาดการขุดสินแร่ในรัฐฉาน การประกอบอาชีพ รัฐฉานมีพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 2,529,285 ไร่ ประชากรร้อยละ 80 ประกอบอาชีพเกษตรกรรมคือ การทำนาตามฤดูกาลอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ทำไร่บริเวณเนินเขาหรือที่ราบระบบไร่หมุนเวียน ทำสวนพืชระยะสั้นและระยะยาว นอกจากอาชีพเกษตรกรรมแล้ว ประชากรบางส่วนประกอบอาชีพค้าขายทั้งภายในพม่าและกับประเทศเพื่อนบ้าน หัตถกรรมเช่น ทอผ้า ทำเครื่องจักสาน (หน้า 33-34, 58) เชียงใหม่ มีทรัพยากรธรรมชาติประเภทป่าไม้ 4 ประเภทคือ ป่าดงดิบ ป่าสน ป่าเบญจพรรณ และป่าแดง มีทรัพยากรแร่ธาตุที่สำคัญคือ ลิกไนต์ พืชเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ 1. ข้าวนาปี 2. ลำไย 3. ถั่วเหลือง (หน้า 53) ไทใหญ่ที่อพยพและมีบัตรประจำตัวประชาชนไทย ส่วนใหญ่เป็นผู้มีการศึกษา มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษ ประกอบอาชีพเดิมมักเป็นครูหรือข้าราชการมาก่อน เมื่อย้ายมาเชียงใหม่จึงทำงานเป็นพนักงานเสนอขายสินค้า มังคุเทศน์ ทำงานกับองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น NGO รายได้จากการทำงานประมาณ 5,000-10,000 บาทขึ้นไปต่อเดือน กลุ่มที่ไม่มีบัตรประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมายส่วนใหญ่ทำงานเป็นแม่บ้าน ทำความสะอาดตามบ้าน หรือลูกจ้างตามร้านค้า โรงงาน สถานประกอบการต่างๆ รายได้ประมาณ 700-2,000 บาทต่อเดือน ส่วนกลุ่มที่ลักลอบเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมายจะทำงานเป็นแรงงานก่อสร้าง ลูกจ้างตามร้านค้า และสวนผลไม้ มักได้ค่าแรงเป็นรายวัน วันละ 35-120 บาท (หน้า 72)

Social Organization

ไม่มี

Political Organization

รัฐฉาน สามารถแบ่งยุคสมัยการปกครองเป็นช่วงต่างๆ คือ 1. สมัยที่ยังเป็นรัฐอิสระ ตั้งอาณาจักรที่เมืองมาวหลวง มีเจ้าฟ้าปกครองอาณาจักรทั้งหมด ต่อมาตั้งตัวเป็นเมืองอิสระทั้งหมด 9 เมือง แต่ละเมืองมีบริวารย่อยๆ อีกหลายสิบเมือง เจ้าฟ้าแต่ละเมืองมีอำนาจเต็มในการบริหารบ้านเมือง และสืบราชวงศ์ต่อๆ มา 2. สมัยพม่าปกครอง ได้ถูกแบ่งเขตการปกครองเป็น 4 ส่วน แต่ละส่วนเรียกว่า “หวุ่น” มีเจ้าฟ้าปกครอง คือ เมืองนาย เมืองยอดห้วย เมืองสีป๊อ และเมืองแสนหวี เมืองอื่นๆ กลายเป็นเมืองบริวารของทั้ง 4 เมืองนี้ มีเจ้าฟ้าอ่อนหรือเมียวซาปกครอง เจ้าฟ้าต้องส่งบรรณาการหรือที่เรียกว่า “เงินกั่นต่อ” (กั่นตอ หมายถึง ขอขมาคารวะ) ให้แก่ ขุนหอคำ (กษัตริย์พม่า) ปีละ 2 ครั้ง ยามพม่ามีข้าศึกเจ้าฟ้าต้องเกณฑ์กำลังไปช่วยรบ ราชธิดาของเจ้าฟ้าจะต้องถูกส่งไปเป็น “ขุนนางอ่อน” (นางสนม) ในราชสำนักพม่า และราชบุตรต้องส่งไปเป็นตัวประกัน เพื่อมิให้เอาใจออกห่าง พม่าส่ง “อะเยแป่ง” (ข้าหลวง) มาควบคุมดูแลอีกทีหนึ่ง พระราชโองการของกษัตริย์ พม่าจะถูกส่งมาที่เมืองนาย (ที่ทำงานของสมหเทศาภิบาล) ก่อนส่งต่อไปยังเมืองอื่นๆ 3. สมัยอังกฤษปกครอง พ.ศ.2428-2490 (ค.ศ.1885-1947) อังกฤษให้อำนาจเจ้าฟ้าในการปกครองบ้านเมืองเช่นเดิม แต่ตั้งข้าหลวงชาวอังกฤษมาคอยกำกับและเป็นที่ปรึกษา และกำหนดอัตราภาษีอากรให้เจ้าฟ้าเก็บจากประชาชนส่งแก่รัฐบาลอังกฤษ อังกฤษแบ่งรัฐฉานเป็น 2 ส่วนคือ ฉานเหนือมีลาเสี้ยวเป็นเมืองหลวง ฉานใต้มีตองจีเป็นเมืองหลวง ส่วนเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรอังกฤษจะปกครองเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์โดยตรง 4. สมัยหลังจากได้รับเอกราช พม่าได้ใช้อำนาจปกครองรัฐฉานตามเดิม ไม่ให้แยกตัวเป็นรัฐอิสระตามที่ได้เคยตกลงไว้ในสัญญาปีพ.ศ.2490 โดยส่งกองกำลังทหารพม่าไปประจำอยู่ตามเมืองต่างๆ รัฐฉานจึงได้มีการรวมกำลังต่อสู้กับทหารพม่าในหลายหัวเมือง ปัจจุบันรัฐฉานแบ่งการปกครองเป็น 3 ภาค คือ 1.ภาคเหนือมีเมืองล่าเสี้ยวเป็นเมืองศูนย์กลาง 2.ภาคใต้มีเมืองตองยีเป็นเมืองศูนย์กลาง 3.3. ภาคตะวันออกของแม่น้ำสาละวินมีเมืองเชียงตุงเป็นเมืองศูนย์กลาง (หน้า 36-38) เชียงใหม่ แบ่งหน่วยการปกครองออกเป็น 22 อำเภอ 2 กิ่งอำเภอ 204 ตำบล 1,973 หมู่บ้าน 29 เทศบาล 184 องค์การบริหารส่วนตำบล มีหน่วยงานราชการบริหารส่วนภูมิภาคประจำจังหวัดและหน่วยราชการบริหารส่วนกลางในจังหวัดที่ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง (หน้า 50)

Belief System

รัฐฉาน ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ (หน้า 34) เชียงใหม่ นับถือพุทธศาสนา 1,225,489 คน (ร้อยละ 86.29) มีวัดจำนวน 1,289 แห่ง นับถือศาสนาอิสลาม 43,252 คน (ร้อยละ 3.05) มีมัสยิด 14 แห่ง นับถือศาสนาคริสต์ 144,204 คน (ร้อยละ 10.15) มีโบสถ์ 163 แห่ง นับถือพราหมณ์ ฮินดู ซิกส์ และอื่นๆ 7,198 คน (ร้อยละ 0.51) (หน้า 47) ไทใหญ่ที่ตั้งถิ่นฐานในเชียงใหม่นับถือศาสนาพุทธ วัดและพระสงฆ์เป็นที่รวบรวมจิตใจของทุกคนวัดจึงเป็นทั้งที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและที่พบปะสังสรรค์ของไทใหญ่ วัดที่ถือเป็นศูนย์รวมของไทใหญ่คือ วัดป่าเป้า และวัดกู่เต้า หากเป็นวันที่สำคัญมาก เช่น วันเข้าพรรษา จะมีการจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง งานประเพณีที่สำคัญทางศาสนาที่วัดป่าเป้าจัดเป็นประจำทุกปีคือ ปอยส่างลองหรืองานบวชสามเณร (เดือนเมษายน) งานพิธีเข้าพรรษา (แรม 1 ค่ำ เดือน 8) งานทำบุญช่วงกลางพรรษา (ขึ้น 15ค่ำ เดือน 10) งานทำบุญวันออกพรรษา (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11) วันชาติไทใหญ่ (7 กุมภาพันธ์) วันกองทัพไทใหญ่ (21 เมษายน) หรืองานเทศกาลประเพณีไทใหญ่ เช่น งานสงกรานต์ (13-15 เมษายน) เทศกาลปีใหม่ไทใหญ่ (วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 11) ก็จะมีการจัดงานที่วัดเช่นกัน (หน้า 74, 79)

Education and Socialization

รัฐฉาน เดิมไทใหญ่ศึกษาเล่าเรียนตามวัด เด็กชายอายุ 7-10 ขวบถูกส่งไปอยู่วัดเพื่อคอยรับใช้พระสงฆ์ 1-2 ปีก่อนไปอยู่วัดจะต้องเรียนรู้จากพ่อแม่เรื่องการปฏิบัติตน เมื่ออายุ 10-15 จึงบวชเป็นเณรเพื่อเรียนหนังสือกับพระสงฆ์ในวัด วิชาที่เรียนคือ คณิตศาสตร์เบื้องต้น ภาษาไต ภาษาพม่า ภาษาบาลี ภูมิศาสตร์(กำเนิดโลกจักรวาล) ศึกษาพระไตรปิฎก ฝึกเทศน์ (หน้า 38) ต่อมาในสมัยอยู่ใต้การปกครองอังกฤษได้เกิดโรงเรียนของหมอสอนศาสนา และชาวอังกฤษได้เปิดโรงเรียนให้แก่โอรสธิดาของเจ้าฟ้าและเชื้อพระวงศ์ที่ตองจี คือ Shan Chief’s School โอรสเจ้าฟ้าบางองค์ถูกส่งไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยในร่างกุ้งหรือที่ประเทศอังกฤษ ผลการสำรวจในปีค.ศ. 1985 มีโรงเรียนระดับประถมต้น 1,714 โรง ระดับมัธยมต้น 150 โรง ระดับมัธยม 55 โรง ระดับมหาวิทยาลัย 2 โรง ภาษาที่ใช้สอนคือ ภาษาพม่าและภาษาอังกฤษเท่านั้น ภาษาอื่นๆ ถูกห้ามสอนนอกจากในวัด (หน้า 40) ไทใหญ่ที่อยู่ในเชียงใหม่จะบวชเรียน ศึกษาการเขียนอ่านภาษาไทใหญ่ (ภาษาไต) และภาษาไทยที่วัดป่าเป้า ส่วนที่วัดกู่เต้าจะเป็นสถานที่สำหรับการเรียนภาษาไทใหญ่ ในวันเสาร์และอาทิตย์ เวลา 19.00-20.00น. ครูจะเป็นอาสาสมัครชาวไทใหญ่ การเรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และไม่จำกัดอายุผู้เรียน (หน้า 79)

Health and Medicine

เชียงใหม่ มีการบริการทางด้านสาธารณสุขแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ 1. สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ 2.สถานบริการสาธารณสุขเอกชนประกอบด้วย โรงพยาบาลเอกชน คลินิกแพทย์ คลินิกทันตกรรม สถานผดุงครรภ์ โดยมีอัตราส่วนบุคลากรทางสาธารณสุขต่อจำนวนประชากรคือ อัตราส่วนแพทย์ 1 คนต่อประชากร 1,960 คน พยาบาล 1 คนต่อประชากร 460 คน (หน้า 49) ไทใหญ่ที่เข้ามาทำงานในเชียงใหม่ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการดูแลด้านสุขภาพอนามัย เมื่อเจ็บป่วยจะรักษาโดยซื้อยาแผนปัจจุบันจากร้านขายยา หากเป็นโรคที่เผยแพร่ทางลมหายใจจะสามารถติดต่อได้โดยง่าย (หน้า 99)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไทใหญ่ที่อาศัยในเชียงใหม่ มักจะแต่งกายแบบเดียวกับคนท้องถิ่นคือ สวมกางเกง กระโปรง เสื้อยืด เสื้อเชิ้ต ตามสมัยนิยม ผู้สูงอายุยังคงแต่งกายแบบดั้งเดิม เมื่อมาทำบุญหรือร่วมงานเทศกาลต่างๆ คือ ผู้ชายนุ่งกางเกงทรงหลวม ก้นหย่อน ขากว้าง สีดำหรือสีน้ำตาลอ่อน สวมเสื้อตัวในแขนสั้น และสวมเสื้อตัวนอกแขนยาวคอกลม ผ่าหน้า ติดกระดุมผ้าแบบจีน มีผ้าสีอ่อนพันศีรษะ ส่วนผู้หญิงนุ่งซิ่นสีดำ น้ำเงิน หรือน้ำตาล สวมเสื้อสีขาวสั้นป้ายหน้า ติดกระดุมผ้า (หน้า 79)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Critic Issues

ไม่มี

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

รูปภาพ 1.1 แผนที่แสดงที่ตั้งของรัฐฉานในประเทศสหภาพเมียนมาร์ (หน้า 3) 1.2 แผนที่แสดงที่อยู่ของชาวไทใหญ่ในรัฐฉาน (หน้า 4) 1.3 แผนที่แสดงเส้นทางการเดินทางเข้ามายังประเทศไทยของชาวไทใหญ่ (หน้า 6) 1.4 แผนภูมิแสดงแนวคิดในการศึกษาเรื่องปัจจัยที่ก่อให้เกิดการย้ายถิ่น (หน้า 10) 1.5 แนวคิดเกี่ยวกับขั้นตอนการย้ายถิ่นระหว่างประเทศ (หน้า 11) 1.6 ปัจจัยในถิ่นต้นทาง และถิ่นปลายทาง และอุปสรรคที่แทรกอยู่ในการย้ายถิ่น (หน้า 18) 2.1 รัฐฉานภายใต้การอารักขาของอังกฤษ ในปี พ.ศ.2465 (1922) (หน้า 27) 2.2 แผนที่แสดงที่ตั้งรัฐฉานและอาณาเขตติดต่อ (หน้า 31) 2.3 แผนที่แสดงการแบ่งเขตการปกครองของรัฐฉานในปัจจุบัน (หน้า 39) 2.4 แผนที่แสดงที่ตั้งเมืองและเส้นทางคมนาคม (หน้า 41) 2.5 แผนที่จังหวัดเชียงใหม่และอาณาเขตติดต่อ (หน้า 44) 4.1 ลักษณะบ้านของชาวไทใหญ่ก่อนนโยบายบังคับย้ายถิ่นของรัฐบาล (หน้า 59) 4.2 วัดร้างในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้นโยบายบังคับย้ายถิ่นของรัฐบาล (หน้า 59) 4.3 ลักษณะบ้านเรือนในค่ายอพยพที่รัฐบาลจัดให้ (หน้า 60) 4.4 แผนภาพแสดงพื้นที่ภาคกลางของรัฐฉานที่อยู่ภายใต้นโยบายบังคับย้ายถิ่นในปีพ.ศ.2539-2541 (หน้า 65) 4.5 แผนภาพแสดงการเปรียบเทียบอักษรไทยใหญ่ อักษรเมือง อักษรไทย (หน้า 67) 4.6 แผนภาพแสดงวิธีการออกสียงอักษรไทใหญ่ (หน้า 68) 4.7 แผนภาพแสดงวิธีการออกเสียงอักษรเมือง (หน่า 68) 4.8 แผนที่แสดงเส้นทางอพยพเข้ามายังประเทศไทยในระหว่างปีพ.ศ. 2539-2541 (หน้า 71) 4.9 ลักษณะการทำงานในพื้นที่ก่อสร้าง (หน้า 75) 4.10 ลักษณะบ้านของชาวไทยใหญ่ที่มีบัตรประจำตัวประชาชน (หน้า 76) 4.11 ลักษณะบ้านของชาวไทยใหญ่ที่มีอาชีพที่ใช้แรงงานตามพื้นที่ก่อสร้าง (หน้า 77) 4.12 วัดป่าเป้า (หน้า 78) 4.13 วัดกู่เต้า (หน้า 78) 4.14 บรรยากาศงานเทศกาลในวัดป่าเป้า (หน้า 81) 4.15 โรงเรียนผู้ใหญ่มูลนิธิวัดป่าเป้า (หน้า 81) 4.16 ตัวอย่างบทเรียนวิชาภาษาไทย (หน้า 82) 4.17 ป้ายประกาศกำหนดจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่วัดป่าเป้า (หน้า 82) 4.18 ตลาดนัดวันศุกร์ ตรงข้ามมัสยิดช้างคลาน (หน้า 83) 5.1 แผนภาพแสดงปัจจัยที่ก่อให้เกิดการย้ายถิ่นของชาวไทใหญ่ (หน้า 88) 5.2 แผนภาพแสดงขั้นตอนการย้ายถิ่นของชาวไทใหญ่ (หน้า 90) 5.3 แผนที่แสดงการตั้งถิ่นฐานของชาวไทใหญ่ในปัจจุบัน (หน้า 92) ตาราง 2.1 ลักษณะภูมิประเทศของจังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 46) 2.2 จำนวนพื้นที่ประชากรรายอำเภอประจำปี พ.ศ. 2543-2544 (หน้า 48) 2.3 จำนวนเขตการปกครองของจังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 50)

Text Analyst รัฐกานต์ ณ พัทลุง Date of Report 21 ก.พ. 2557
TAG คนไต, ไทใหญ่, การย้ายถิ่น, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง